|
เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#61
|
||||
|
||||
ถาม : ผมเห็นมีคำภาวนา และวิธีฝึกที่จะให้ทิพจักขุญาณแจ่มใสอยู่หลายแบบ ทั้งอาโลกกสิณ พระคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า หรือพระคาถาปราโมทย์ ทีนี้ตัวไหนจะเป็นตัวที่ทำให้ทิพจักขุญาณแจ่มใสที่สุด ?
ตอบ : ทำ...ถ้าไม่ทำก็เท่านั้นแหละ..! ถาม : ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า วิธีไหนก็ได้ผลเหมือนกัน ? ตอบ : วิธีไหนก็ได้ เพียงแต่ว่าเราต้องนึกว่าใครให้มา แล้วขณะเดียวกันเราก็ต้องภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัวด้วย ถาม : ขึ้นอยู่กับผู้ทำด้วย ว่าทำคาถาไหนขึ้น ? ตอบ : ไม่ใช่ ของเรานี่จะเห็นว่ามีคาถาหลายอย่าง แต่ของหลวงพ่อท่านได้ทีละอย่างและท่านทำทีละอย่าง ท่านจะไม่มาเสียเวลาสงสัย สมบัติพ่อวางไว้หลายชิ้น...เราก็มานั่งสงสัย คว้าอันไหนขึ้นมาก็ทำไปสิ ข้าวอยู่ตรงหน้าสามจาน แทนที่จะกิน ก็มานั่งสงสัยว่าจานไหนอร่อยกว่า ก็สมควรอดต่อไป..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2010 เมื่อ 07:01 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#62
|
||||
|
||||
ถาม : ตอนนี้งานทางโลก ผมกำลังทำเกมออนไลน์อยู่ แต่กลัวว่าจะเป็นการมอมเมา เป็นอาชีพที่ไม่ดี ผมก็พยายามจะสอดแทรกข้อดีเข้าไป เป็นต้นว่า การรักษาความสมดุลให้เกม ให้มีตัวระบบกฎแห่งกรรมขึ้นมา โดยการจำลอง พบว่ากรรมก็มีความแรงหลายระดับ มีความเร็วหลายระดับอย่างนี้ครับ
ตอบ : ถ้าอย่างนี้ถือว่าเป็นธรรมทานเสียด้วยซ้ำ อย่างในเกม ถ้าเขาปฏิบัติถูกต้องตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า เราก็เพิ่มโบนัสพิเศษให้ สิ่งไหนปฏิบัติไม่ถูกก็อดไป หรือแทนที่จะระเบิดจนเลือดกระจาย เราก็ให้อภัยก็ได้ ถาม : ในเกมนี้ให้ทำดีทำชั่วได้หมด แต่ว่าให้ตัวเองเป็นตัวควบคุมอีกที จำลองระยะเวลาเข้าไปตายเกิด ๆ ในเกมแทน ตอบ : เสร็จแล้วเอามาให้เล่นบ้างนะ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2010 เมื่อ 07:03 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#63
|
||||
|
||||
ถาม : การออกมโนฯ ไปแบบเต็มกำลัง กับการที่ได้ภาวนาแล้วได้อภิญญาใหญ่เพราะของเก่ารวมตัว อันไหนเป็นเรื่องยากกว่ากัน ?
ตอบ : อภิญญาเป็นเรื่องยากกว่า แต่ว่ามโนมยิทธิเป็นส่วนหนึ่งของอภิญญาอยู่แล้ว ในเรื่องของอภิญญา..โดยเฉพาะอภิญญา ๖ ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เพราะว่าข้อที่ ๖ ต้องตัดกิเลสให้ได้อย่างน้อยพระโสดาบันขึ้นไป แต่ถ้าหากเป็นอภิญญา ๕ ก็ยังยากกว่าอยู่ดี เพราะต้องไปเริ่มต้นนับหนึ่งขึ้นมาจากกองกสิณ ในเรื่องของมโนมยิทธิเหมือนกับคนรวย ควักกระเป๋าไปก็ซื้อบ้านสำเร็จรูปเลย แต่เรื่องของอภิญญาเริ่มตั้งแต่คำนวณ เขียนแปลน ผูกเหล็ก เทโครงขึ้นมา อันไหนจะยากกว่ากันเล่า ? ถาม : เคยนั่งคิดเล่น ๆ ว่าพระอรหันต์อภิญญากับพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ พระอรหันต์อภิญญาต้องรู้มากกว่าแน่เลย เพราะไม่มีตัวปฏิสัมภิทาญาณมาคุม การคิดแบบนี้เป็นการปรามาสท่านหรือเปล่าครับ ? แล้วที่คิดแบบนี้ถูกหรือเปล่า ? ตอบ : ต้องเป็นพระอรหันต์แล้วจะรู้ ว่าคิดถูกหรือเปล่า ? แต่ขอบอกว่าผิดไปหลายลี้เลย อย่าลืมว่าพระอรหันต์ตัวปัญญาท่านต้องเลิศที่สุดแล้ว โดยเฉพาะตัวสติ มีมากกว่าเรานับประมาณไม่ได้ ผู้ที่ประกอบด้วยสติปัญญาขนาดนั้น จะบู๊อะไรท่านต้องตรองรอบคอบครบถ้วนแล้ว ถาม : แล้วที่ผมคิดปรามาสไหม ? ตอบ : ไม่ถึงกับปรามาสหรอก แต่ขณะเดียวกันคิดแล้วเสียเวลาเป็นบ้า ไปสงสัยเรื่องที่ไม่ควรสงสัย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2010 เมื่อ 12:29 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#64
|
||||
|
||||
ถาม : การที่เราใช้มโนมยิทธิ เราสามารถยกจิตไปที่หนึ่งที่ใดได้ ทำไมร่างกายเราจึงไม่สามารถไปได้ ?
ตอบ : ทำได้ แต่ต้องยกระดับขึ้นไปใช้อภิญญาใหญ่แทน ถ้าได้อภิญญาใหญ่ ใช้กสิณ ๑๐ ยกร่างกายไปเลย แต่ที่หลวงพ่อฤๅษีท่านชอบใช้มโนมยิทธิเพราะว่าไม่เหนื่อย เอาตัวไปก็คือ ลากซี่โครงตัวเองไป เหนื่อยจะตายชัก..! ถาม : แล้วอย่างการ..(ได้ยินไม่ชัด) ตอบ : คนที่มีความคล่องตัวแล้ว ก็เป็นส่วนของอากาสกสิณเท่านั้นเอง เขาไม่เสียเวลามาอธิษฐาน แค่คิดก็ไปแล้ว ถาม : อันนี้เป็นเพราะว่าด้วยความที่ท่านได้ หรือด้วยเพราะจิตของท่านยอมรับ ? ตอบ : ถ้าไม่มีของเก่าก็ไปไม่ได้ หรือถ้าไม่ได้ฝึกใหม่ก็ไปไม่ได้เหมือนกัน ถาม : แล้วคนที่มีอภิญญายังอยู่กับลูกกับเมีย เสพกามอะไรอย่างนี้ อภิญญาเขาไม่เสื่อมหรือครับ ? ตอบ : ถ้าไม่ได้ทำผิดศีล อภิญญาไม่เสื่อม เพราะว่าเรื่องของโลกียอภิญญา เขายังสามารถมีครอบครัวได้เป็นปกติ ถาม : แต่มันก็มีตัวกามฉันทะมาขวาง ? ตอบ : มี..แต่ตอนที่ท่านใช้อภิญญาท่านไม่ได้ไปนั่งทำอะไรกับเมียนี่หว่า แปลว่าของคุณแบ่งเวลาไม่เป็นนะสิ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2010 เมื่อ 12:31 |
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#65
|
||||
|
||||
พระอาจารย์ท่านกล่าวให้ฟังว่า "สมาธิ..เป็นได้ทั้งสัมมาสมาธิที่พระพุทธเจ้าต้องการ ฝ่ายมิจฉาสมาธิก็มีได้ แล้วความดีความชั่วก็ดึงดูดในสิ่งที่เป็นพวกของตัวเองได้ง่าย
เราอยู่ในสถานที่ดี คนตั้งหน้าตั้งตาทำดี พอไปถึงกำลังใจเราทรงตัวในด้านดีได้ง่าย บรรดามือปืนหรือเจ้าพ่อ ก็ดึงดูดแต่คนประเภทเดียวกันเข้าไปหา ฉะนั้น...ดีก็ดึงดี ชั่วก็ดึงชั่ว ถ้าหากกำลังใจเราไม่มั่นคง ไม่ทรงตัว ก็จะโดนอีกฝ่ายหนึ่งดึงไปได้ง่าย ถ้าโดนฝ่ายดีดึงไปก็ถือว่ากำไร ถ้าโดนฝ่ายไม่ดีดึงไป เราขาดทุนเยอะมาก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2010 เมื่อ 08:12 |
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#66
|
||||
|
||||
ถาม : เราใช้กำลังฌานในการตัดกิเลสได้ไหมครับ ?
ตอบ : กำลังฌานยังไม่พอ ทำได้แค่กดกิเลสให้นิ่ง ตัวที่จะตัดจะละได้จริง ๆ เป็นปัญญา กำลังฌานเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนให้ปัญญาแข็งกล้าพอ กำลังฌานเป็นเหมือนกับคนเพาะกายจนแข็งแรง ส่วนปัญญาเป็นเหมือนกับอาวุธที่มีความคม มีกำลังมีอาวุธนั่นแหละ จึงจะตัดได้ มีกำลังอย่างเดียวไม่ไหวหรอก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2010 เมื่อ 08:13 |
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#67
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าในระดับการทรงฌานแล้ว ยังมีตัวกิเลสในช่วงที่กดอยู่หรือเปล่า?
ตอบ : มี เพียงแต่มันยังไม่โผล่ คิดเมื่อไหร่มันโผล่เมื่อนั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#68
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าเรื่องกะลาให้ฟังว่า "กะลามหาอุด มันจะอุดหมด ไม่มีหน้าไม่มีตา หาได้ประมาณหนึ่งในหมื่น ถ้ากะลาตาเดียวหาได้ประมาณหนึ่งในสองพัน ถ้ากะลาสามตาพอมีเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าประมาณเท่าไร
สมัยก่อน กะลาตาเดียวเขาเอามาจารึกชื่อคู่บ่าวสาว เขาเชื่อว่าจะทำให้ครอบครัวร่มเย็นเป็นสุข นี่เป็นแค่ความเชื่อเท่านั้น ถ้าหากว่าความจริง..ก็ต้องตามพระพุทธเจ้าท่านบอก ครอบครัวจะอยู่เย็นเป็นสุขก็ต้องมีสมชีวิธรรมและฆราวาสธรรม สมชีวิธรรม ประกอบด้วย สมสีลา มีศีลเสมอกัน สมจาคา มีการให้ทานเสมอกัน สมสัทธา มีศรัทธาเสมอกัน สมปัญญา มีปัญญาเสมอกัน แต่ก็ไม่แน่นะ บางทีก็ขึ้นอยู่กับบุพเพสันนิวาสด้วย เจอคู่เวรคู่กรรมเข้านี่ อย่างไรก็จะต้องอยู่ด้วยกันแน่ แต่ถ้าความคิดเห็นในด้านต่าง ๆ ไม่ลงรอยกัน อย่างไรก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ ดังนั้น..สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนมา ถือว่าเที่ยงแท้เแน่นอน ส่วนในเรื่องของฆราวาสธรรม ก็คือ สัจจะ จริงใจต่อกัน ไม่โกหกหลอกลวงทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทมะ มีความข่มใจ อดออม ถนอมปากเอาไว้ ขันติ มีความอดทนต่อการดำเนินชีวิต การมีครอบครัวต้องเหนื่อย ต้องทำงานหนักกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งงานในบ้านและงานนอกบ้าน โดยเฉพาะต้องเลี้ยงดูลูก ต้องดูแลครอบครัว ต้องดูแลญาติผู้ใหญ่ ต้องมีความอดทนอดกลั้น ยอมยากลำบาก เพื่อที่จะรอสบายตอนปลายมือ จาคะ เสียสละต่อกัน เสียสละที่สำคัญที่สุดนั้น คือ การเสียสละความสุขตนเองเพื่อคนอื่น ก็คือ สละความสุขของตนเอง เพื่อลูก เพื่อเมีย เพื่อครอบครัว เพราะฉะนั้น..ต่อให้มีกะลาตาเดียว หรือกะลามหาอุดสักสิบใบ เขียนชื่อบ่าวสาวเอาไว้ ถ้าไม่มีหลักธรรมกำกับในการดำเนินชีวิต ครอบครัวก็ไม่แน่ว่าจะไปรอด จะว่าไปแล้วพวกกะลาตาเดียวหรือกะลาสามตา เป็นการผิดปกติทางพันธุกรรม แต่คนเรามักจะคิดว่าขลังไว้ก่อน เพราะไม่เคยเห็น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2010 เมื่อ 15:43 |
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#69
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "อายุขัยของหลวงพ่อนั้น จริง ๆ คือ ๑๒๐ ปีเศษ ๆ แต่ท่านไปเสียตั้งแต่ตอนอายุ ๗๘ เพราะฉะนั้น..อย่าประมาทนะ ต่อให้มีอายุเหลืออยู่ แต่ถ้าร่างกายไม่ไหวจริง ๆ ก็ต้องไป เพราะทำงานต่อไม่ได้ ไปทำในลักษณะที่คนทั่ว ๆ ไปมองไม่เห็นดีกว่า
ฉะนั้น..ถ้าหากใครเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อตั้งแต่รุ่นเก่า ๆ จะรู้สึกชัดที่สุด คือ หลวงพ่อมรณภาพแล้ว แต่เราไม่รู้สึกว่าท่านจากไปเลย รู้สึกเหมือนเดิมทุกอย่าง เพราะว่างานของท่านยังไม่หมด ท่านยังต้องทำหน้าที่เดิมต่อไป วาระอายุขัยของหลวงพ่อจริง ๆ อยู่ถึงปี ๒๕๗๙ แต่คราวนี้ก็ไปมั่นใจมาก ๆ ว่าท่านจะอยู่ไหว พอท่านตรากตรำงานมาก ๆ สังขารท่านไม่ไหวก็ไปเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2010 เมื่อ 15:44 |
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#70
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "อสุรินทราหู เป็นหนึ่งในมหาอำมาตย์ยักษ์ ๒๔ ตน มีเวปจิตตาสูร สาตาครียักษ์ กระทั่งอาฬวกยักษ์ ฯลฯ พระราหูท่านปรารถนาพระโพธิญาณ จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล มีพระนามว่า สมเด็จพระนารทสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในบทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยว่า นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ผูกขึ้นมาจากคำสรรเสริญพระพุทธเจ้า ของบรรดาเทวดาต่าง ๆ นะโม สาตาครียักษ์เป็นผู้สรรเสริญพระพุทธเจ้า ตัสสะ อสุรินทราหูเป็นผู้สรรเสริญพระพุทธเจ้า ภะคะวะโต ท้าวมหาราชทั้งสี่เป็นผู้สรรเสริญพระพุทธเจ้า อะระหะโต พระอินทร์เป็นผู้สรรเสริญ สัมมาสัมพุทธัสสะ ท้าวสหัมบดีพรหมเป็นผู้สรรเสริญ เขาผูกเป็นบาลีว่า นะโม สาตาคิรายักโข ตัสสะ จะ อะสุรินทะโก ภะคะวะโต มะหาราชา สักโก อะระหะโต ตะถา สัมมาสัมพุทธัสสะ มะหาพรัหมา ปัญจะ เอเต นะมัสสะเร แต่ถ้าจะเอาสุดยอดในการผูกกลอนสรรเสริญพระพุทธเจ้า ต้องเป็น พระวังคีสเถระ ท่านสามารถจับเอาเหตุการณ์รอบข้างต่าง ๆ มาผูกเป็นโคลงเป็นกลอน แล้วสรรเสริญพระพุทธเจ้าได้ทุกครั้งที่ต้องการ ถ้าใครเรียนประโยค ๘ ประโยค ๙ คงจะต้องบูชาพระวังคีสะเถระเป็นพิเศษ เพราะประโยค ๘ ประโยค ๙ ต้องแต่งฉันท์เป็นภาษาบาลี แต่งโคลงแต่งฉันท์เป็นภาษาไทยก็แย่แล้ว นี่ต้องแต่งเป็นบาลีอีก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2010 เมื่อ 15:46 |
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#71
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยอยู่กับหลวงปู่มหาอำพัน ท่านบอกว่า ความไม่พอพาจนเป็นคนเข็ญ พอแล้วเป็นเศรษฐีมหาศาล จนทั้งนอกจนทั้งในไม่ได้การ ต้องคิดอ่านแก้จนเป็นคนพอ
ถ้าคนไม่รู้จักพอ ต่อให้เขามีเป็นพันล้าน ก็ยังคงต้องไขว่คว้าหาต่อไป ก็เท่ากับว่ายังไม่รวยสักที แต่คนที่รู้จักพอ มีพอสมควรแล้ว ก็ไม่ดิ้นรนมาก รู้จักแบ่งปันคนอื่นเขา ก็เหมือนเป็นคนรวย ฉะนั้น..คนมีเงินมาก ไม่แน่ว่าจะรวยนะ ถ้าว่ากันตามแนวคิดของหลวงปู่ มีเงินก็ยังจนอยู่เลย เพราะยังดิ้นรนหาไปเรื่อย แต่คนมีเงินน้อย ๆ แล้วมีความสุข รู้สึกว่าบ้านเราจะหายาก แต่ที่ภูฏาน บ้านเขาบริหารประเทศโดยกำหนดความสุขมวลรวมประชาชาติ บ้านเรานี่กำหนดโดยรายได้มวลรวมประชาชาติ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2010 เมื่อ 15:47 |
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#72
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าเรื่องมะเมียะให้ฟังว่า "สมัยก่อน เชียงใหม่ของเราเป็นเมืองขึ้นของพม่าบ่อย พอตอนหลังพม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ความเจริญต่าง ๆ ก็ไหลไปอยู่ที่พม่าหมด สมัยนั้น บรรดาลูกเจ้าลูกนาย ถ้าไม่ส่งไปเรียนที่อินเดียหรือยุโรป ก็จะส่งไปเรียนที่มะละแหม่ง
เจ้าน้อยศุขเกษม เป็นลูกของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ท่านส่งไปเรียนที่มะละแหม่ง เพราะเดินทางไม่ไกลเกินไป ปรากฏว่าเจ้าน้อยศุขเกษมไปพบรักกับมะเมียะ ที่มะละแหม่ง พอเรียนจบเจ้าน้อยก็พามะเมียะกลับมาด้วย เจ้าพ่อท่านไม่พอใจ เพราะว่าตอนนั้นกรุงเทพฯ ที่เขาเรียกว่าสยาม ปกครองล้านนาอยู่ และสยามกับพม่ายังถือว่าเป็นศัตรูกันอยู่ ในช่วงนั้นยังห่างจากสงครามกับพม่าครั้งสุดท้ายไม่นาน พูดง่าย ๆ ว่ายังอยู่ในช่วงชีวิตของคน ๆ หนึ่งที่ยังฝังใจอยู่ว่าพม่าเป็นศัตรู ตัวเองอยู่ใต้การปกครองของสยาม ดันไปเอาสาวพม่ามาแต่งงานด้วย ลองคิดดูถ้าหากว่าเป็นผู้ครองนครที่เขามองการณ์ไกล เขาจะมองอย่างไร ? กำลังเอาความเดือดร้อนมาให้แล้ว ถ้าเกิดสยามเขาเอาเรื่องขึ้นมา ล้านนาก็ตายพอดี ก็เลยบังคับให้ส่งมะเมียะกลับ เจ้าน้อยศุขเกษมก็จำเป็นต้องจัดขบวนช้าง ส่งมะเมียะกลับ คราวนี้การแสดงออกความเคารพของผู้หญิงพม่า ผู้หญิงพม่าเขาจะไว้ผมยาวแล้วม้วนเป็นมวยขึ้นข้างบน ถ้าเขาคลี่ผมมาเช็ดเท้าให้ใคร แสดงว่าเคารพคนนั้นเท่ากับชีวิตตนเอง อาตมาไปอยู่พม่า บางทีเจอแม่ออกแม่ขาว เขาเคารพเรามาก เขาคลี่ผมมาเช็ดเท้าให้เราเลย ยังต้องมาคิดว่า ความดีเรามีพอหรือนี่ ? ฉากที่มะเมียะเขาคลี่ผมมาเช็ดเท้าให้เจ้าน้อยศุขเกษม ทำให้คนที่ใจแข็งขนาดไหน ก็มีความรู้สึกว่า เราไม่น่าจะไปพรากชายหญิงคู่นี้ออกจากกัน เมื่อมะเมียะกลับไปมะละแหม่ง เจ้าน้อยกินไม่ได้นอนไม่หลับ ป่วยตายเลย ถ้าเป็นสมัยก่อน เขาเรียกว่าตรอมใจตาย แต่มะเมียะกลับไปมะละแหม่ง ไปบวชชีอยู่ที่วัดไจ๊ซานลาน ยังดีที่อาตมามารู้เรื่องนี้ทีหลัง ไม่อย่างนั้นจะไปเดินดูว่ามีประวัติตรงนี้อยู่หรือเปล่า ? ถ้ามีโอกาสไปใหม่ จะลองไปสืบประวัติดู เรื่องนี้เป็นที่เลื่องลือในราชสำนักฝ่ายเหนือมาก ทางพม่าเขาก็นิยมพวกจดหมายเหตุ น่าจะมีบันทึกเอาไว้บ้าง" หมายเหตุ : รูปเจ้าน้อยศุขเกษมค่ะ http://www.oknation.net/blog/home/bl...ic1/jonas3.jpg ส่วนรูปมะเมียะหาไม่ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2010 เมื่อ 18:49 |
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#73
|
||||
|
||||
พระอาจารย์ท่านได้เหรียญเก่า ๆ หลายประเทศมา นำมาให้พวกเราดู หลังจากนั้นท่านก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับเหรียญให้ฟังว่า "มีพ่อค้าของเก่าอยู่คนหนึ่ง เขาขึ้นเครื่องบิน เอามือกุมกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา แอร์โฮสเตสเห็นผิดสังเกตก็เลยถาม เขากระซิบบอกว่า กำลังเอาเหรียญไปส่งลูกค้า เพราะว่ามีคนประมูลเหรียญเอาไว้ประมาณ ๗ เหรียญ ราคา ๔ แสนกว่าดอลลาร์ ที่เอามือกุมกระเป๋าเพราะกลัวเหรียญจะหาย"
แล้วท่านก็เล่าเรื่องที่สองให้ฟังว่า " มีคุณยายอยู่คนหนึ่ง ฐานะยากจนมาก ไม่มีเงินจะซื้ออาหาร ก็เลยไปงัดเอาเหรียญเก่า ๆ มา ไปถามร้านขายขนมปัง ว่าเหรียญนี้ยังใช้ได้อยู่หรือเปล่า เจ้าของร้านเห็นแล้วตาโตเลย บอกให้ยายไปอีกร้านหนึ่ง ร้านนั้นเป็นพวกรับซื้อเหรียญเก่า ปรากฏว่าเหรียญที่ยายหอบมานั้น ยายแลกได้เงินเกือบล้าน..! ตอนยายยังเด็ก ยายก็เก็บเหรียญสะสมไปเรื่อย ไม่รู้ว่าพอถึงรุ่นนี้กลายเป็นของสะสมราคาแพง ต้องบอกว่าบุญมีแต่กรรมมันบัง นั่งทับขุมทรัพย์อยู่ แต่ตัวเองไม่รู้ ถ้าหากว่าไม่ไปเจอเจ้าของร้านขายขนมปังที่เขามีศีลมีธรรม อาจจะโดนเขาหลอกได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2010 เมื่อ 05:20 |
สมาชิก 130 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#74
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าเจ้าของร้านขนมปังเขาหลอกเอาเหรียญนั้นจากยาย จะผิดศีลหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ นึกถึงเรื่องที่พระเทวทัตกับพระพุทธเจ้าจองล้างจองผลาญกันมาตั้งแต่ชาติแรก ต่างคนต่างเป็นพ่อค้าเหมือนกัน ไปหาซื้อของเก่า มีคุณยายคนหนึ่งเคยอยู่ในครอบครัวเศรษฐีมาก่อน ยายไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรที่เหลือ นอกจากถาดอยู่ใบหนึ่ง ตั้งใจจะไปแลกเป็นเครื่องประดับให้หลานสาว ก็เลยเอาไปยื่นให้กับพ่อค้าที่เป็นพระเทวทัตในชาตินั้น พระเทวทัตลองขีดถาดใบนั้นดู ก็รู้ว่านี่เป็นถาดทองคำแท้ ราคาได้แสนกหาปณะ แต่พระเทวทัตบอกกับยายว่า "ไม่มีราคาหรอก ไม่สามารถที่จะแลกได้" พระเทวทัตก็ทำเป็นไม่สนใจ เดินไปที่อื่น กะว่าเดี๋ยวจะกลับมาเอาถาดใบนี้ ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าในชาตินั้นท่านเป็นพ่อค้าเหมือนกัน พอยายเอาถาดไปให้พระพุทธเจ้า ท่านลองขีดถาดดู ทราบว่าเป็นทองคำแท้ จึงตีราคาให้หนึ่งแสนกหาปณะ ยายดีใจมากจนเป็นลม เพราะตอนแรกตั้งใจแค่จะแลกเครื่องประดับเท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าในชาตินั้นก็มอบเงินให้ยายแสนกหาปณะ แล้วเอาถาดกลับไป ทีนี้ท่านเป็นพ่อค้าสำเภา ท่านก็ขึ้นเรือไป ทางด้านพระเทวทัตที่เป็นพ่อค้า เมื่อได้ยินข่าวว่ายายขายถาดใบนั้นไปแล้วก็เป็นลมเหมือนกัน สำหรับยายนั้นเป็นลมเพราะดีใจ แต่พระเทวทัตเป็นลมด้วยความโกรธ ก็เลยตามพระพุทธเจ้าไป ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าที่เป็นพ่อค้าออกเรือแล้ว พระเทวทัตก็เลยกอบทรายที่ชายหาดขึ้นมา บอกว่า "จะตามจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้าให้เท่ากับจำนวนเม็ดทรายที่กอบขึ้นมา" เรื่องของพระพุทธเจ้าและพระเทวทัตเริ่มต้นจากเรื่องอย่างนี้ แล้วเรามาดูว่าผิดศีลไหม ? เจตนาโกงอย่างชัดเจน ของพระท่านมีขโมย ฉ้อโกง ลักสับ ซ่อนเร้น อย่างเช่นว่า เห็นทรัพย์ตกอยู่แล้วเอาใบไม้กลบไว้ ถึงเวลาเจ้าของหาไม่เจอ เราก็แอบมาเอา หรือว่าตัวเองได้สลากเบอร์นี้ รู้ว่าได้ของไม่ดี ก็แอบสลับกับสลากของเพื่อน ถ้าเป็นอย่างนี้พระพุทธเจ้าปรับปาราชิกหมด ถาม : ยายเขาตั้งใจจะแลกเครื่องประดับเท่านั้น ถ้าได้เงินไม่ถึงมูลค่าสิ่งของ มันผิดด้วยหรือคะ ยายเขาไม่รู้ราคานี่คะ ? ตอบ : ยายเขาไม่รู้ แต่พ่อค้ารู้ ถาม : ผิดหรือคะ ? ตอบ : ผิดสิ เพราะรู้ ถ้าหากจะแลก ต้องแลกตามมูลค่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2010 เมื่อ 05:23 |
สมาชิก 124 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#75
|
||||
|
||||
ในเรื่องคำพูดของคน พระอาจารย์ท่านบอกว่า "ท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านบอกว่า ดีแสนดี...ถ้าเขาจะติ เขาก็หาเรื่องมาติ ชั่วแสนชั่ว..ถ้าเขาจะชมมัน มีลูกคุณช่างติคนหนึ่ง ไปกราบพระพุทธชินราช ที่ถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่งามที่สุดของประเทศไทย กราบแล้วก็ดู ดูแล้วดูอีก เดินดูจนรอบ ในที่สุดเขาก็บอกว่า สวยอยู่หรอก เสียอย่างเดียวพูดไม่ได้..! เขาหาที่มาติจนได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2010 เมื่อ 05:26 |
สมาชิก 130 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#76
|
||||
|
||||
ถาม : ธรรมใดที่ทำให้พระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง สามารถอยู่ในนรกโดยที่ไม่มีความทุกข์ในการที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ในนรกได้ ?
ตอบ : กำลังใจอย่างเดียวเลย ถาม : ท่านต้องภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือเปล่าครับ หรือท่านอยู่ในระดับที่หลุดพ้นการภาวนาไปแล้ว ? ตอบ : ถ้าถึงระดับนั้นอภิญญาเป็นเรื่องเล็กแล้ว จะไปไหนก็ไปได้ จะอยู่ไหนก็อยู่ได้ ถาม : แล้วพระโพธิสัตว์องค์นั้นเกิดมีการแบ่งภาคมาจุติ แล้วเขาต้องทำขนาดไหน ? ตอบ : ไม่มีการแบ่งภาค ถาม : ระดับนั้นไม่มีการแบ่งภาคหรือครับ? ตอบ : มาก็คือมาเลย ถาม : ถ้ามาก็ต้องมาเริ่มต้นใหม่หรือครับ? ตอบ : ต่อของเก่าสิวะ..! ถาม : ทำสมาธิอย่างไรจึงจะต่อของเก่าได้ครับ ? ตอบ : เหมือนเดิม ถาม : ก็คือ ตัวสังโยชน์ ๑๐ ใช่ไหมครับ ? ตอบ : นั่นยิ่งต้องทำให้หนักเลย เพราะว่าถ้าไม่รู้แล้วจะไปสอนเขาได้อย่างไร เพียงแต่ว่ารู้ แต่กำลังใจไม่ได้ตัด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2010 เมื่อ 05:26 |
สมาชิก 126 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#77
|
||||
|
||||
ถาม : พระโพธิสัตว์นี่ บารมีท่านต้องถึงที่สุดหรือครับ ท่านจึงจะได้เจอพวกนางแก้ว ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงที่สุดหรอก แค่ในระดับกลาง ๆ ก็พอแล้ว เพราะส่วนใหญ่ช่วงอุปบารมีเป็นช่วงที่เขาสร้างบารมีเข้มข้นมาก มักจะเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ และก็ได้สร้างสมบุญกุศลใหญ่ ๆ อาจจะได้สละอวัยวะ ควักดวงตา ตัดศีรษะถวายพระ ถ้ายังไม่ถึงอย่างนั้นตัดไปก็ไม่มีประโยชน์ นางแก้วก็นางแก้วเถอะ อาจไปอยู่กับคนอื่นก็ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2010 เมื่อ 05:27 |
สมาชิก 125 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#78
|
||||
|
||||
ถาม : เด็กเกิดมาแล้วจะมีความจำเดิมอยู่ไหมครับ?
ตอบ : เป็นบางคน บางคนนี่จำได้หมดเลย แล้วก็ขัดใจด้วยว่าทำไมตอนนี้ทำอะไรไม่ค่อยได้ พวกที่ตายจากคนแล้วเกิดเป็นคนเลยจะจำได้ เพราะไม่โดนคั่นด้วยระยะเวลาอันยาวนานของสุคติหรือทุคติ เพราะฉะนั้น..เราจะเห็นเด็กบางคนไม่กี่ขวบก็จบด็อกเตอร์ นั่นก็แค่เอาความรู้เดิมมาใช้เท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2010 เมื่อ 15:44 |
สมาชิก 132 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#79
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าฝันเห็นครูบาอาจารย์ เป็นเรื่องยาวเลย อย่างนี้ใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นเรื่องธรรมดา ถาม : แล้วถ้าชอบฝันเรื่องเดิมบ่อย ๆ ตอบ : อาจจะเป็นสัญญาเก่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2010 เมื่อ 15:45 |
สมาชิก 142 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#80
|
||||
|
||||
ถาม : ยุคนี้พวกหญิงที่เป็นชาย มีอยู่เยอะ
ตอบ : มันเป็นช่วงที่พวกนี้เขาเกิดมาสร้างบารมี ถาม : สมัยก่อนมีอย่างนี้ด้วยหรือครับ ที่ผู้หญิงเริ่มเป็นผู้ชาย ? ตอบ : นาน ๆ ทีจึงจะมี ถาม : จำเป็นจะต้องเป็นทุกคนไหมครับ ? ตอบ : เป็นทุกคน เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้พวกบารมีเข้มเขามาเกิด ก็จะเป็นเพศชัดเจนมาเลย นาน ๆ จึงมีแทรกมา พอระยะหลังพวกบารมีปานกลางเขาจะมากันเยอะ เพราะพวกบารมีเข้มเขากวาดไปหมดแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2010 เมื่อ 15:45 |
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) | |
|
|