|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#61
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในการจัดดอกไม้ ถ้ามีธูปเทียนอยู่ด้วย ธูป ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทียน ๒ คือ ตัวแทนของพระธรรมโดยตรง ก็คือ โลกียธรรม โลกุตรธรรม เพราะเทียนเขาหมายถึงความสว่างที่เป็นดวงปัญญา โดยเฉพาะความสว่างของพระธรรม บูรพาจารย์มักจะแทรกปริศนาธรรมต่าง ๆ เอาไว้ อยู่ในหลักการปฏิบัติบ้าง อยู่ในศาสนพิธีบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าเราจะตีความออกไหม ? เข้าถึงไหม ?
ปกติแล้วเราจะจุดธูปแล้วค่อยจุดเทียน ถ้าที่ไหนก็ตาม เขาเตรียมธูปเทียนไว้พร้อม มีการใส่น้ำมันไว้ด้วย เราจะจุดธูปก่อนแล้วจุดเทียน แต่ถ้าที่ไหนที่เขาไม่พร้อม เราต้องจุดเทียนก่อนแล้วเอาธูปไปต่อจากเทียน แต่มาระยะหลังเห็นจุดเทียนก่อนแล้วจุดธูป เขาก็เลยบอกว่าเป็นการจุดเทียนธูป เป็นวลีที่ไม่สะดวกลิ้น แต่จริง ๆ ก็คือจุดธูปจุดเทียน อาตมากำลังคิดว่าจะออกหนังสือสักเล่มหนึ่งชื่อว่า กลิ่นธูปควันเทียน มีบรรยากาศผี ๆ หน่อย ตอนนี้ปกิณกธรรมไป ๓ เล่มแล้ว สัพเพเหระไป ๑ เล่ม เดี๋ยวลองดูว่ากลิ่นธูปควันเทียนจะออกไปทางไหน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-11-2012 เมื่อ 02:08 |
สมาชิก 222 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#62
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยเด็ก ๆ เขาจะว่าพวกผู้หญิงไม่ดีว่า นางกะแหร่ง พอเวลานางร้ายออกมาเล่นงานนางเอกมาก ๆ ก็จะมีคนออกมาด่าว่า "อีนางกะแหร่ง" กว่าจะรู้ว่าคำว่ากะแหร่ง แปลว่าตอแหล ก็เมื่อตอนข้ามไปฝั่งพม่าแล้ว เป็นภาษาพม่าเต็ม ๆ เลย กะแหร่งแปลว่าตอแหล
คำที่ติดตลาดมาจนถึงสมัยนี้ ก็คือคำว่า "เชย" ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๘ จนป่านนี้เชยยังติดตลาดอยู่ เกิดจากนิยายเรื่อง ๓ เกลอ พล นิกร กิมหงวน มีคุณลุงเป็นเศรษฐีบ้านนอก ชื่อลุงเชย ลุงมาทำกะป้ำกะเป๋ออยู่ในกรุงเทพฯ ประจำ ก็เลยเรียกลุงเชย คำนี้ก็เลยเอาไว้สำหรับคนที่ทำอะไรไม่ค่อยทันสมัย ไม่ถูกที่ถูกทาง ชิ้น แปลว่า คู่รัก เหมือนคำว่ากิ๊กในสมัยนี้ สมัยก่อนเขาจะถามว่า เป็นชิ้นกับเธอหรือเปล่า ? ประมาณนั้นแหละ เวลาไปอ่านหนังสือเก่า ๆ เจอคำพวกนี้จะได้รู้ มีพวกเด็ก ๆ หลายคน เวลาอ่านหนังสือแล้วก็งง เข้ามาถามว่าคำนี้หมายความว่าอะไร อาตมาก็ต้องอธิบายให้เขาฟัง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-11-2012 เมื่อ 02:09 |
สมาชิก 213 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#63
|
||||
|
||||
"นายกะเต ก็คือนายสถานีรถไฟ มาจากคำว่า Station สมัยก่อนเขาเรียกตามความสะดวกลิ้นว่ากะเตชั่น ไม่เรียก Station ดังนั้น..ถ้าเป็นนายสถานีจึงเรียกว่านายกะเต
ถ้าเป็นสมัยพุทธกาลก็อย่างนางกีสาโคตมี กีสะแปลว่าผอม นางกีสาโคตมีหุ่นเธอผอม ถ้านางถูลนันทา ก็หุ่นแบบเดียวกับหยก ถูละแปลว่าอ้วน ถ้าอุจจะหรืออุจโจ แปลว่าสูง ที่นอนสูงที่นอนใหญ่ เขาใช้คำว่า อุจจาสะยะนะ สะยะนะก็คือที่นอน มหาสะยะนา ก็คือที่นอนใหญ่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-11-2012 เมื่อ 02:11 |
สมาชิก 220 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#64
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนอาตมาไม่สบาย นอนหลับแล้วก็ฝันไปเรื่อยว่า สถานการณ์บ้านเมืองเราปีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก การที่พยายามจะโค่นล้มรัฐบาลจะเข้มข้น ถึงขนาดอาจจะมีการลอบสังหารบุคคลสำคัญ แล้วก็ป้ายโทษให้ทางรัฐบาล
อะไรจะทำกันได้ขนาดนั้นก็ไม่รู้ พอสะดุ้งตื่นขึ้นมา อ้าว..ฝันไปนี่หว่า แต่ปีหน้าพระผู้ใหญ่สำคัญหลายรูป ก็น่าจะถึงวาระ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-11-2012 เมื่อ 10:09 |
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#65
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่คนเป็นพ่อแม่จะรักลูกมากเกินไปไม่กล้าตี ไม่กล้าลงโทษ แต่พอเก็บกดมากเข้า ๆ ทนไม่ไหว ไปตีระบายอารมณ์ ทำให้เด็กจะไม่เชื่อถือ
คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องมีความมั่นคงในอารมณ์ ผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก ลงโทษก็คือลงโทษ ให้รางวัลคือให้รางวัล เด็กเขาจะรับได้ แต่ถ้าปล่อยให้ผิดไปเรื่อย ๆ จนทนไม่ไหว แล้วค่อยไปตี เด็กเขาไม่รับรู้ด้วย เพราะว่าเขาลืมไปแล้ว แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่ไปเก็บเอาไว้ซะเยอะ เขาเห็นว่าผิดหน่อยเดียว ทำไมตีซะเยอะแยะขนาดนั้น เมื่อเห็นว่าตัวเองโดนลงโทษแบบไม่ยุติธรรม เขาก็จะเริ่มดื้อ..! แบบชินจัง..โดนแม่ลงโทษ เขกหัวจนปูดเป็นลูกมะกรูด เด็กญี่ปุ่นเขกหัวไม่เป็นไร แต่ถ้าตีก้นนี่เรื่องใหญ่ บ้านเรานี่ตีก้นได้ แต่อย่าตีหัว "
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-11-2012 เมื่อ 02:58 |
สมาชิก 214 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#66
|
||||
|
||||
"สมัยก่อนอาตมาเลี้ยงเด็กแบบปล่อย ถ้าเขาซนแบบไม่มีอันตราย จะปล่อยให้เล่นไปเลย อยากเล่นมีดก็ส่งให้อีกเล่ม พอโดนบาดเข้าก็จะไม่เล่นอีก อยากเล่นไฟใช่ไหม ? เอาไปอีก เดี๋ยวเดียวร้องจ๊ากเข้าให้ ต่อไปส่งให้แล้วเขาเดินหนีเลย
จำไว้ว่าเด็กอยู่ในลักษณะที่ว่า ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ฉะนั้นอย่าไปห้าม ปล่อยเขาไป ประเภทบันได ๑๐ กว่าขั้น ตกสักครั้งต่อไปไม่กล้าลงบันไดหรอก อาตมาเลี้ยงหลานนี่พ่อแม่เขาจะหัวใจวายตาย แต่พอถึงเวลาเขายอมรับว่าเด็กรู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องไม่ได้เพราะนอกจากไม่ห้ามแล้วยังยุส่ง อยากเล่นนักใช่ไหม ? เอาไปเลย ไปหาประสบการณ์จริงเอาเอง..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-11-2012 เมื่อ 03:00 |
สมาชิก 223 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#67
|
||||
|
||||
ถาม : บันไดบ้านควรตั้งอยู่ทิศใดของบ้าน ?
ตอบ : เรื่องของบันไดเขาดูขั้นมากกว่า ส่วนใหญ่เขาให้ขั้นบันไดเป็นเลขคี่ ๑-๓-๕-๗-๙-๑๑ อย่าให้ลงเลขคู่ ถาม : ทิศที่เราขึ้น ? ตอบ : จะขึ้นด้านไหนก็ช่างเถอะ ทิศของบันไดเขาไม่คิด ยกเว้นตำราฮวงจุ้ยของจีนที่บางทิศก็ห้ามตั้งเหมือนกัน แต่เราไม่ควรฟุ้งซ่านขนาดนั้น เอาแค่นี้ก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็ต้องรื้อบ้านอีก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2012 เมื่อ 01:18 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#68
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระกริ่งมีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศจีน ในส่วนของพระพุทธศาสนามหายานถือว่าเป็นพระหมอ ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยให้อาราธนาท่านทำน้ำมนต์ ดื่มเข้าไปรักษาโรคได้ หรือติดตัวไว้ก็จะแคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตราย
เมื่อความเชื่ออย่างนี้แพร่หลายออกไป บรรดาพ่อค้าที่ไปค้าขายต่างประเทศสมัยก่อน ต้องไปเรือสำเภากันข้ามปี จึงพกพระกริ่งติดตัวมา การค้าขายสมัยนั้นส่วนใหญ่ก็ค้าขายกับอยุธยากับละโว้ พอพ่อค้าจีนเข้ามาถึงเมืองไทย คนไทยจึงทราบในอานุภาพของพระกริ่ง ก็เลยมีการสร้างขึ้นมาบ้าง ตำราพระกริ่งที่ค่อนข้างเป็นที่ยอมรับกัน ปรากฏขึ้นครั้งแรกโดยสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชสมัยอยุธยา เชื่อกันว่าท่านเป็นคนริเริ่มสร้างขึ้นมา"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2012 เมื่อ 01:20 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#69
|
||||
|
||||
"ความจริงแล้วพระกริ่งทางสายมหายาน เขาจะจารึกอักษรธรรม แล้วก็หลอมเป็นเม็ดกริ่งใส่ไว้ในองค์พระ เวลาเขย่าทีหนึ่งก็เท่ากับว่าได้สวดมนต์บทนั้นไปด้วย ส่วนใหญ่คนจีนนิยมก็คือคำว่า โอม มณี ปัทเม หุม
คนที่ไม่มีเวลาก็ใช้วิธีแกว่งกงล้อมนต์บ้าง หมุนกงล้อมนต์บ้าง นับลูกประคำบ้าง พระกริ่งก็อยู่นัยเดียวกัน ก็คือ เวลาเขย่าทีหนึ่งก็เท่ากับว่าตนเองสวดมนต์ไปรอบหนึ่ง คราวนี้การเขย่าของที่มีเสียงดังอยู่ข้างใน คนไทยเขาว่าดัง "กริ่ง ๆ" เขาก็เลยเรียกว่า พระกริ่ง แต่คนที่คิดมากพยายามลากเข้าหาบาลี เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ก็เลยไปไกลเกินเหตุ เขาไปเปรียบกับบาลีว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตเจ้าก็ดี เมื่อบรรลุมรรคผลแล้ว ก็มานั่งพิจารณาว่า การที่เข้าถึงมรรคถึงผลนี้ได้ เกิดจากการหนุนส่งของกุศลกรรมอะไรหนอ บาลีเขาว่า กิง กุสโล คำว่ากิงก็คืออะไร อย่างเช่น กิงนะระ ก็คือคนอะไร ที่เรามาเรียก กินนร กินนรี นั่นแหละ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2012 เมื่อ 01:21 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#70
|
||||
|
||||
"พระกริ่งของไทยเราที่สร้างแล้วชื่อเสียงโด่งดังที่สุดก็คือ พระกริ่งที่สร้างโดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ จำนวนสร้างน้อย เพราะว่าโลหะต่าง ๆ ที่รวบรวมนั้นมานั้น ใช้ตำรานวโลหะของไทย ไม่ได้สร้างตามแบบของจีน
ปกติโลหะก็มีพลังอำนาจในตัวอยู่แล้ว อย่างเช่น การแพทย์ของจีนบอกว่าร่างกายของคนเรา นอกจากมีดิน น้ำ ลม ไฟแล้ว ยังมีธาตุไม้ ธาตุทองด้วย ธาตุทองก็คือโลหะธาตุ เพราะฉะนั้น..บางทีเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ตำรายาต้องเข้าทองคำเปลวด้วย หรือไม่อย่างยาหอมอำพันทองของปราสาททองโอสถ ก็จะเป็นยาหอมปิดทอง ถือว่ากินโลหะทองเข้าไปเสริมธาตุ พอธาตุสมบูรณ์จะได้ไม่เจ็บป่วย การเจ็บไข้ได้ป่วยบางอย่างเกิดจากความบกพร่องของธาตุ พอใช้พระกริ่งที่สร้างจากนวโลหะแช่น้ำทำน้ำมนต์แล้วดื่มเข้าไป ก็เลยทำให้รักษาโรคบางอย่างได้ เมื่อมาประกอบไปด้วยพุทธมนต์ ก็ยิ่งมีอำนาจในการรักษาโรคที่ผิดไปจากปกติธรรมดาได้มากยิ่งขึ้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2012 เมื่อ 01:23 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#71
|
||||
|
||||
"ตามประวัติเล่าว่า สมเด็จพระวันรัต (แดง) วัดพระเชตุพนฯ ป่วยเป็นอหิวาตกโรค ซึ่งสมัยนั้นคนเป็นโรคนี้ตายอย่างเดียวเลย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เสด็จไปเยี่ยม พอเห็นเข้าก็ตรัสว่า สมเด็จพระอุปัชฌาย์ ก็คือสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ได้สร้างพระกริ่งเป็นพระหมอรักษาโรคไว้ จะรีบกลับไปวัดบวรนิเวศน์วิหาร เพื่อไปอัญเชิญพระกริ่งมาทำน้ำมนต์รักษาโรคให้
สมเด็จพระวันรัต (แดง) กราบทูลว่า ถ้าเป็นพระกริ่งของสมเด็จมหาสมณเจ้าฯ นั้น ไม่ต้องกลับไปวัดบวรฯ หรอก ที่นี่ก็มีอยู่องค์หนึ่ง จึงอัญเชิญพระกริ่งออกมา สมเด็จมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงทำน้ำมนต์ให้ พอฉันเข้าไปแล้วหายจากอหิวาต์จริง ๆ เราจะเห็นได้ว่า แม้กระทั่งบุคคลที่ถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ ไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ง่าย ๆ อย่างสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ก็ยังให้ความเคารพ ยังเชื่อถือในวัตถุมงคลที่สมเด็จพระอุปัชฌาย์ของท่านสร้างขึ้นมา ตำราพระกริ่งเมื่อสืบทอดมาจากสมเด็จพระวันรัต (แดง) ก็มาโด่งดังในสมัยสมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์เทพวราราม ที่ดังเพราะว่าสมเด็จพระสังฆราช(แพ) ท่านเล่นแร่แปรธาตุมาก่อน สมัยนั้นมักจะนิยมหลอมโลหะให้เป็นทอง ในเมื่อท่านได้ตำราสร้างพระกริ่งมา ก็อาศัยความสามารถพิเศษในการเล่นแร่แปรธาตุ ผสมนวโลหะเพื่อหล่อพระกริ่ง ท่านเล่นแร่แปรธาตุขนาดที่ว่า หลอมโลหะแต่ละครั้งใช้ถ่านหมดไปหลายลำเรือ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2012 เมื่อ 01:26 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#72
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าทำบุญเราต้องอุทิศให้ตัวเองไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเราทำบุญเราได้บุญเองแล้ว ทำเองได้เองแล้วจะอุทิศไปทำไมเล่า ? การอุทิศเป็นการให้กับคนอื่น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2012 เมื่อ 01:26 |
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#73
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "การซ่อมพระพุทธรูป เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงได้เบญจกัลยาณี ตอนสมัยคุณปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ได้นางงามจักรวาล มีโยมไปถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า ทำบุญอะไรถึงได้เป็นนางงามจักรวาล ? หลวงพ่อท่านบอกว่า ต้องมีเมตตาพรหมวิหารเป็นปกติ ต้องมีศีลเป็นปกติ และที่สำคัญคือต้องเคยซ่อมพระพุทธรูปเก่า ทำของเก่าให้สวยงามขึ้นมาใหม่
ฉะนั้น..ถ้าใครคิดจะเกิดใหม่ ให้ซ่อมพระพุทธรูปเอาไว้บ้างนะ อาตมาไม่ได้ซ่อมพระพุทธรูปอย่างเดียว โบสถ์ก็ซ่อม แต่ขอบอกว่าซ่อมของเก่านี่ยากมาก ทำของใหม่เลยดีกว่า ซ่อมโบสถ์เก่ายิ่งรื้อก็ยิ่งเจอส่วนที่ชำรุด สร้างโบสถ์ใหม่หลังหนึ่งใช้เวลาไม่กี่เดือน เพราะอาตมาทำส่วนใหญ่คนพร้อม ของพร้อม เงินพร้อม แต่พอซ่อมโบสถ์เก่าหลังหนึ่งใช้เวลาเป็นปีเลย เพราะยิ่งรื้อก็ยิ่งเจอจุดที่ชำรุด โดยเฉพาะโบสถ์เก่าเป็นไม้ระแนง เพื่อให้เขาเอากระเบื้องขอไปเกี่ยว ๆ ติดไว้ พอนานหลายสิบปี ไม้ระแนงก็ผุ แต่ที่ทรงตัวอยู่ได้เพราะขอกระเบื้องเกี่ยวกันประคองอยู่ พอเราเริ่มรื้อก็พังเลย..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2012 เมื่อ 01:28 |
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#74
|
||||
|
||||
"ประมาณปี ๒๕๓๒ อาตมาธุดงค์ไปทางทองผาภูมิ ก็ไปกราบขอความรู้จากหลวงปู่สาย วัดท่าขนุนนั่นแหละ เห็นว่าชายคาโบสถ์ทรุดพังลงไปซีกหนึ่ง จึงกราบเรียนถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่จะไม่ซ่อมชายคาโบสถ์สักหน่อยหรือครับ ?" ท่านบอกว่า "เดี๋ยวก็มีคนมาทำให้" สรุปว่าคนที่มาทำให้ นั่งอยู่ตรงนี้นี่แหละ...(หัวเราะ)...
พอคล้อยหลังมาอีก ๑๒ ปี ตอนนั้นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัด คือหลวงพ่อพระเทพเมธากร ท่านส่งอาตมาไป บอกว่า "วัดหลวงปู่สายโทรมเต็มทีแล้ว อาจารย์เล็กไปช่วยทำให้ใหม่หน่อยสิ" อาตมาก็เลยต้องไปเริ่มซ่อมเริ่มสร้าง ทำอยู่ได้ ๒ ปี คือปี ๒๕๔๔ - ๒๕๔๕ พอปี ๒๕๔๖ ท่านส่งไปเป็นเจ้าอาวาสวัดทองผาภูมิ อาตมาไปทำวัดทองผาภูมิอยู่ประมาณ ๑๐ กว่าเดือน ท่านก็เรียกกลับมาช่วยที่วัดท่ามะขามของท่าน พอปี ๒๕๕๑ กลับไปเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ที่ซ่อมไว้โทรมหมด ต้องเริ่มลงมือทำใหม่อีกแล้ว ถ้าวัดวาอารามไม่มีเจ้าอาวาสที่ค่อนข้างเข้มงวด พระเณรก็ปล่อยปละละเลย วัดจะโทรมเร็ว อย่างปัจจุบันวัดท่าขนุนเป็นที่เลื่องลือไปทั้งทางคณะสงฆ์และชาวบ้าน เข้มงวดถึงขนาดขอมติคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิว่า ถ้าพระภิกษุสามเณรรูปใดรูปหนึ่งโดนไล่ออกจากวัดท่าขนุน เพราะการกระทำที่ละเมิดพระวินัยหรือระเบียบวัด ขอให้วัดที่เหลืออย่ารับไว้ ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่กลัวโดนไล่ออกจากวัดกัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2012 เมื่อ 01:32 |
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#75
|
||||
|
||||
"ปรึกษากันอยู่นาน ในที่สุดก็ตกลงเพราะได้ประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย ถ้าคนของเขาโดนไล่ออกมา ทางวัดเราก็ไม่รับเหมือนกัน สรุปว่าถ้าใครอยู่วัดหรือสำนักสงฆ์ในทองผาภูมิ แล้วไปทำผิดระเบียบวัดหรือผิดพระวินัย โดนไล่ออกมาเมื่อไร ๕๑ วัดกับ ๑๖ สำนักสงฆ์ไม่มีใครรับคุณหรอก เพราะว่าถ้ารับไปเมื่อไร เวลาประชุมสงฆ์ทุกวันที่ ๕ ของเดือน ก็จะโดนพวกยำกลางที่ประชุม เพราะดันไปฝืนมติเอง
ถามว่าโหดร้ายเกินไปหรือเปล่า ? ถ้าคนเราไม่มีที่ให้ต้องกลัวบ้าง ก็จะทำชั่วไปเรื่อย ฉะนั้น..บางอย่างจึงจำเป็นต้องเข้มงวด มีญาติโยมเอาลูกมาบวช แล้วละเมิดระเบียบวัด อาตมาบอกกับพ่อแม่เขาเลยว่า เอาลูกคุณออกจากวัดไปก่อน ไปอยู่ที่วัดอื่นที่เขาเข้มงวดน้อยกว่านี้ ถ้าโดนไล่ออกเดี๋ยวจะอยู่ในทองผาภูมิไม่ได้เลย คุณเป็นคนมีชื่อเสียงที่นี่ จะทำให้เสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลไปด้วย เขาถามว่าอาจารย์เข้มงวดไปหรือเปล่า ? อาตมาบอกว่าไม่เข้มเกินไปหรอก สมัยหลวงปู่สายหนักกว่านี้อีก คุณทันหลวงปู่ก็รู้อยู่ แต่เขาว่าอาจารย์ไม่ให้เกียรติเขา เขาเลยไม่มาทำบุญที่วัด อาตมาก็ว่าไม่เป็นไร ขาดคุณไปสักคนวัดไม่ล่มหรอก แต่ถ้ามีลูกคุณอยู่คนหนึ่งวัดอาจจะพัง..! ของบางอย่างเพื่อส่วนรวม เราก็ต้องเสียสละส่วนน้อย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ให้สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ ให้สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ให้สละทั้งทรัพย์ อวัยวะ และชีวิตเพื่อรักษาธรรม ถือว่าอาตมาทำตามที่พระพุทธเจ้าสอนก็แล้วกัน ถึงจะเถรตรงไปหน่อยก็ช่างมันเถอะ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2012 เมื่อ 01:35 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#76
|
||||
|
||||
ถาม : พระอาจารย์ไปยุโรป ประเทศไหนบ้างคะ ?
ตอบ : ไปฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ และเบลเยี่ยม ๕ ประเทศ ส่วนอังกฤษถ้ามีเวลาว่าง น่าจะไปประมาณปลาย ๆ เดือนมีนาคม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2012 เมื่อ 01:36 |
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#77
|
||||
|
||||
ถาม : พระเวสสันดรเอาชนะใจพระนางมัทรีอย่างไร ?
ตอบ : ท่านอธิษฐานตามกันมา พระนางมัทรีอธิษฐานว่า ขอเป็นสำเภาทองรองรับพระองค์ท่านเพื่อข้ามสู่วัฏสงสาร ชาติที่เป็นพระนางมัทรีก็เลยโดนบริจาคเป็นทาน ถาม : มีชาติที่พระโพธิสัตว์ต้องเอาชนะ ต้องได้ตัวมาให้ได้ ? ตอบ : ชาติที่เป็นพระเจ้ากุสราช ท่านเกิดมาหน้าตาขี้ริ้ว โผล่หน้าเข้าไปพระมเหสีตกใจจนเป็นลม..! ถาม : ผมต้องเอาชนะนางแก้วด้วยการอธิษฐานใช่ไหมครับ ? ตอบ : คุณจะเอาชนะเขาไปทำไมวะ..!? ถาม : ต้องเอาชนะใจเขาให้ได้ เพื่อจะดึงเขามา ตอบ : คิดดี พูดดี ทำดีไว้ เดี๋ยวเขาก็ดีกับเราเอง สมัยก่อนอาตมาไม่เคยชวนคนเข้าวัดแม้แต่คำเดียว คบหากันเฉย ๆ กินด้วย เที่ยวด้วย เล่นด้วยทุกอย่าง แต่เวลามีงานวัดก็บอกเขาว่า ช่วงนี้ไปไหนไม่ได้เพราะต้องไปวัด แล้วเราก็ไปของเรา ไม่ชวนเขาไปหรอก ผ่านไป ๗ ปี เขาอดรนทนไม่ได้ ถามว่าวัดมีอะไรดี ทำไมถึงต้องไปทุกครั้ง อาตมาบอกว่าถ้าอยากรู้ต้องไปดูเอง เท่านี้ก็เสร็จเรา..เข้าวัดจนได้ ไม่เห็นต้องชวนสักคำ ถาม : ถ้าพ่อแม่เขาไปหาผู้หญิงมาให้เรา ? ตอบ : ไม่มีประโยชน์ ต้องเราหาเอง พ่อแม่พามาบางทีไม่ใช่ ไม่ถูกใจหรอก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-12-2012 เมื่อ 08:46 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#78
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่อยากให้วัตถุมงคลมีราคาแพง เพราะถ้าแพงแล้วคนจะเข้าถึงน้อย ท่านตั้งราคาสมเด็จพระคำข้าว สมเด็จหางหมากไว้องค์ละ ๑๐ บาท ดูซิว่าตอนนี้ราคาไปถึงไหนแล้ว ? อุตส่าห์สร้างไว้เป็นล้านองค์ ท่านบอกว่า "ต่อไปของข้าจะพอ ๆ กับสมเด็จวัดระฆัง" ดูท่าจะใกล้เคียงแล้ว ล่าสุดเท่าที่ได้ยินมา สมเด็จองค์ปฐมทองคำเขาสู้กันที่ ๔ แสนบาท ยังไม่รู้ว่าจะไปถึงขนาดไหน เพราะสร้างแค่ไม่กี่องค์ ราคา ๔ แสนนี่เพื่อนกันด้วยนะ...
เดี๋ยวนี้เขาเอารูปสมเด็จองค์ปฐมทองคำที่อาตมาถ่ายไว้ไปลงในเว็บต่าง ๆ อยู่เรื่อย แล้วก็บอกว่าไม่รู้ว่าของใคร อยากจะบอกว่าของอาตมาเอง แต่ขี้เกียจบอก เพราะคนอื่นถ่ายแล้วไม่สวยอย่างที่เราถ่าย และถ้าบอกไปเดี๋ยวเขาก็มาตื๊อขอบูชาอีก..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-12-2012 เมื่อ 07:37 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#79
|
||||
|
||||
ถาม : เราถือศีลแปดตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง อานิสงส์ที่เราจะได้ ?
ตอบ : อานิสงส์เราได้อยู่แล้วตามระยะเวลาที่เราตั้งใจถือ ต้องดูตัวอย่างเทวดาที่เป็นคนใช้ของอนาถปิณฑิกเศรษฐี นั่นก็ถือศีล ๘ ครึ่งวันเหมือนกัน พอหลังเที่ยงไปแล้ว ถ้าเรายังกินอาหารอยู่ก็ถือว่าศีล ๘ บกพร่องไป อานิสงส์ส่วนนั้นเราก็ไม่ได้ เวลาถือให้เราตั้งใจถือจริง ๆ เวลาที่เราจะกินเราก็กินตามปกติของเราไป แต่ถ้าทำในลักษณะเล่น ๆ อย่างเช่นนึกจะถือเมื่อไรก็ถือ นึกจะกินเมื่อไรก็กิน จะกลายเป็นปรามาสพระรัตนตรัย ให้ตั้งใจงดเว้นให้จริงจัง เวลาที่เราไม่สามารถรักษาต่อได้ เราค่อยละไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2012 เมื่อ 18:17 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#80
|
||||
|
||||
ถาม : ตอนที่เป็นพระชาดก พระโพธิสัตว์เกิดอยู่ในช่วงพุทธกาลหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ช่วงพุทธกาลนี้ พระพุทธเจ้ามีอยู่แต่ผ่านช่วงของพระองค์ท่านไปแล้วก็มี มีหลายต่อหลายช่วงในชาดกที่เกิดทันพุทธกาลแต่ไม่ใช่พุทธกาลนี้ อย่างสุเมธดาบสก็เกิดทัน จึงอธิษฐานกับพระพุทธเจ้าทีปังกรว่าขอสำเร็จพระโพธิญาณ พูดง่าย ๆ ว่าเกิดมาเจอบ้าง ไม่เจอบ้าง สลับกันไป ถ้าเกิดมาเจอทุกชาติไม่ได้อยู่ถึงพระโพธิญาณหรอก เจอทุกชาติเดี๋ยวก็ตัดใจไปพระนิพพานก่อน ถาม : ช่วงที่โดนทดสอบหนักจะไม่ได้เกิดในพุทธกาลหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ก็ไม่แน่ ขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นอยู่ในบารมีอะไร ถ้าเจอบารมีที่ต้องใช้การทดสอบหนัก ๆ ต่อให้เกิดร่วมสมัยพุทธกาล ก็อาจจะโดนหนัก ๆ ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2012 เมื่อ 18:19 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|