กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านเติมบุญ

Notices

เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #101  
เก่า 22-03-2017, 21:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "โลกยุคใหม่เป็นโลกของการแข่งขันกันทางการค้า เป็นยุคของคนกินคน ปลาใหญ่กินปลาเล็ก สังเกตไหมว่าพวกร้านค้า "โชห่วย" ตายสนิทเกือบหมดประเทศไทยแล้ว การแข่งขันทางการค้าฟาดฟันกันยิ่งกว่าสงครามอีก สารพัดวิธีที่จะนำมาล้มคู่ต่อสู้ให้ได้ โดยเอาชาวบ้านเป็นเครื่องมือ

ตอนนี้ทองผาภูมิปลูกดอกดาวเรือง ต้องทำสัญญากับเขา ต้องมีจำนวนคนเท่านี้ มีจำนวนไร่เท่านี้ รวมกันเป็นกลุ่มไปแล้วไปรับพันธุ์จากเขามา ปลูกเสร็จแล้วขายให้เขา แต่ขอโทษเถอะ...พูดง่าย ๆ ว่าปุ๋ยก็ของเขา ยาก็ของเขา พันธุ์ก็ของเขา ถึงเวลาหักกลบลบล้างแล้วเหลือถึงตัวเราเท่าไร ? แล้วอีกอย่างหนึ่งคือเมล็ดพันธุ์ก็ขยายไม่ได้ ดอกออกมาเบ้อเริ่มเลย แต่ลีบหมดไม่มีเมล็ด เพราะผ่านการฉายรังสีมา เราไม่สามารถที่จะหากำไรเพิ่มเติมจากส่วนที่เขาไม่ได้ให้เลย"


ถาม : แสดงว่าปลูกแล้วก็หมดเลย
ตอบ : หมดแล้วหมดเลย แล้วเขาก็เอาเมล็ดพันธุ์ให้เราใหม่ เราก็ต้องจ่ายให้เขาอีกรอบหนึ่ง หมุนเวียนเป็นทาสเขาไปแบบนี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-03-2017 เมื่อ 02:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #102  
เก่า 22-03-2017, 21:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เบียร์ยี่ห้อหนึ่งเคยครองตลาด เบียร์ยี่ห้อสองก็คิดว่าทำอย่างไรจะแบ่งส่วนแบ่งได้ ปรากฏว่าเบียร์ยี่ห้อสองขายเหล้าขาว ซึ่งเหล้าขาวนี่คนกินกันทั้งประเทศ เบียร์ยี่ห้อสองก็เลยบังคับบรรดายี่ปั๊ว คุณต้องการเหล้าของเราไปขาย คุณต้องซื้อเบียร์ด้วย ถ้าคุณไม่ซื้อเบียร์เราก็ไม่ขายเหล้าให้ เป็นการมัดมือชก

ปรากฏว่ายี่ปั๊วเขาก็เก่ง เอาเบียร์ยี่ห้อสองไปขาย ๓ ขวดร้อย ร้อยหนึ่งที่ไปซื้อเบียร์ยี่ห้อหนึ่งได้ ๒ ขวดกับอีกนิดเดียวนะ แต่ถ้าหากว่าไปซื้อเบียร์ยี่ห้อสองได้ ๓ ขวด คนกินก็กินเอามัน เพราะฉะนั้น...เยอะย่อมดีกว่าน้อย ก็ไปซื้อสามขวดร้อย ซื้อไปซื้อมาส่วนแบ่งการตลาดของเบียร์ยี่ห้อหนึ่งหาย เบียร์ยี่ห้อสองโตเอา ๆ แล้วมีการที่โฆษณาแสบมากเลย เที่ยวทั่วไทย ขี่ช้างกินเบียร์ มีการโยนกระป๋องลงมาแล้วไปซูมให้เห็นว่าเป็นเบียร์ยี่ห้อหนึ่ง แก้เกมกันไป แปลว่าหนึ่งขี่สอง...ใช่ไหม ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-03-2017 เมื่อ 02:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #103  
เก่า 22-03-2017, 21:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

รถกระบะยี่ห้อหนึ่งเป็นเจ้าการตลาดมาตลอด รถกระบะยี่ห้อสองพยายามจะโค่นลงให้ได้ ปรากฏว่ารถกระบะยี่ห้อหนึ่งคิดเครื่อง D4D ได้ก่อน รถกระบะยี่ห้อสองคิดได้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าไปขโมยข่าวหรือว่าสืบความลับเขามาได้อย่างไร ออกรถกระบะยี่ห้อสอง D4D ปาดหน้ารถกระบะยี่ห้อหนึ่งแค่ ๔ เดือน ยอดจองถล่มทลายทั่วบ้านทั่วเมือง รถกระบะยี่ห้อหนึ่งออกมาขายไม่ออกเลย ตั้งแต่นั้นมารถกระบะยี่ห้อหนึ่งที่มีรถทำตลาดอยู่อย่างเดียวคือรถกระบะ ก็หลุดจากตำแหน่งแชมป์ไป จนป่านนี้ก็ยังตีคืนไม่ได้

ถึงได้บอกว่าการตลาดปัจจุบันนี้เป็นเรื่องของการฆ่ากันเลยนะ ถ้าหากว่าเราอยู่ได้คุณก็ต้องอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าประคับประคองกันไป ต้องเหยียบคนอื่นไว้ใต้เท้า การแข่งขันจึงดุเดือดมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 23-03-2017 เมื่อ 15:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #104  
เก่า 22-03-2017, 21:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

น้ำดำ ๑ กับน้ำดำ ๒ อันนี้ก็คู่กัดถาวรเลย บ้านเราเป็นประเทศเดียวในโลกที่น้ำดำ ๒ ขายดีกว่าน้ำดำ ๑ ปรากฏว่าบริษัทน้ำดำ ๒ ตัดสินใจผิด มาขึ้นราคาลิขสิทธิ์กับตัวแทนในไทย ขอเซ็นสัญญาใหม่ ตัวแทนไม่เซ็น น้ำดำ ๒ จึงขอคืนไปทำเอง คิดว่าการตลาดที่คนกินกันระเบิดเถิดเทิงทั่วประเทศเกิดจากยี่ห้อน้ำดำ ๒ แต่ไม่ใช่ เกิดจากการฝีมือการตลาดของตัวแทน ตัวแทนไปถึงไหน น้ำดำ ๒ ไปถึงนั่น

ในเมื่อตัวแทนโดนตัดหางปล่อยวัด ก็ออก
น้ำดำ ๓ มาสู้ ก่อนหน้านี้ตัวแทนไทยติดต่อกับบริษัทผลิตขวดมาตลอด จึงไปจับมือเซ็นสัญญา ห้ามผลิตขวดให้ยี่ห้ออื่นน้ำดำ ๒ ตายสนิท ทุกวันนี้ยังไม่ฟื้นเลย น้ำดำ ๓ ที่ใคร ๆ บอกว่ารสชาติสู้น้ำดำ ๒ ไม่ได้ กลายเป็นติดตลาดเพราะว่าตัวแทนไทยทำตลาด

สรุปแล้วก็คือต่อให้เป็นซีอีโอของฝรั่ง ก็ไม่แน่ว่าสายตาจะมองเกมขาด โฆษณาก็ฆ่ากันจริง ถึงเวลาเด็กตัวเล็กไปหยอดตู้ซื้อน้ำกระป๋อง กระป๋องที่หนึ่ง
น้ำดำ ๑ หล่นลงมาแล้วก็หยิบวาง กระป๋องที่สองน้ำดำ ๑ หล่นลงมาก็หยิบวาง เอาเท้าเหยียบเพื่อต่อขาขึ้นไปหยอดรูบน ตัวเองยังเด็กหยอดไม่ถึง เอาน้ำดำ ๑ วางต่อเท้าเพื่อหยอดเอาน้ำดำ ๒ มากิน ยอมเสียเงินหยอดน้ำดำ ๑ ถึงสองกระป๋อง เพื่อให้ได้กินน้ำดำ ๒ โฆษณาเหยียบกันแบบรุนแรงมากเลยนะ ทำให้เห็น ๆ ว่าเหยียบน้ำดำ ๑ ไว้ใต้เท้า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-03-2017 เมื่อ 02:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #105  
เก่า 22-03-2017, 21:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าเราอยู่วงนอกแล้วดูการแข่งขัน เราจะเห็นว่าฟาดฟันกันโหดเหี้ยมมาก ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ทำไมไม่จับมือกันทำตลาด ต่างคนต่างแบ่งปันผลประโยชน์ กลายเป็นชนะด้วยกันทั้งสองฝ่าย อันนี้ต้องแพ้กันไปข้างหนึ่ง

เคยมีคนบอกว่า ศัตรูคือยากำลัง แต่สมัยนี้ไม่ได้....ศัตรูต้องฆ่าให้ตาย สมัยเหล้าสี ๑ กับ
เหล้าสี ๒ ก็เหมือนกัน กว่า ๒ จะล้ม ๑ ลงได้ ก็รบกันอยู่หลายปี ท้ายสุดเจ้าพ่อน้ำเมากวาดเรียบ อยากยุ่งยากมากนัก เทคโอเวอร์ให้เกลี้ยงเลย แล้วก็ออกยี่ห้อเยอะแยะ จะเอาอะไร ๒ ทอง ๒ เงิน ๒ ฟ้า ฯลฯ สรุปแล้วก็ออกมาแข่งกับตัวเอง คุณจะกินยี่ห้อไหนก็ซื้อของเขาเหมือนกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-03-2017 เมื่อ 02:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #106  
เก่า 22-03-2017, 22:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงยังมีชีวิต เคยสร้างตะกรุดไหมคะ ?
ตอบ : หลวงพ่อท่านเคยทำตะกรุดอยู่รุ่นหนึ่ง ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร พวกเราเลยเรียกว่าตะกรุดเดินป่า ท่านทำอยู่รุ่นเดียวแล้วก็เลิกทำ เพราะว่าที่ทำรุ่นนั้นศาลาพังไปหลังหนึ่ง คนแย่งกันรับ ศาลาเก่าไม่ค่อยจะแข็งแรง แห่กันขึ้นไปหลายร้อย ศาลาพังเลย แล้วที่เหลือก็เป็นตะกรุดมหาสะท้อน ซึ่งท่านทำแค่ไม่กี่ดอก

ถาม : ตะกรุดจาร อักษรย่อ ว.ย.ป. ?
ตอบ : ย่อมาจากอะไร ?

ถาม :ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ
ตอบ : ไม่เคยได้ยิน ว. ส่วนใหญ่มาจากวัด

ถาม : พอดีเขาถามมา ก็ไม่แน่ใจค่ะ
ตอบ : ยังไม่เคยได้ยิน โดยเฉพาะตะกรุดของหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาก็ไม่แกะมาดูอยู่แล้ว เลยไม่รู้ว่ามีรหัสลับอะไรอยู่หรือเปล่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 23-03-2017 เมื่อ 08:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #107  
เก่า 23-03-2017, 21:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "การขึ้นภาษีสุรานั้น คนติดเหล้าแล้วต่อให้แพงแค่ไหนก็กิน แต่มีอยู่ส่วนหนึ่งซึ่งจะมีผลกระทบก็คือนักท่องเที่ยว เพราะส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวบ้านเรามาแบบประหยัดงบ อะไรแพงขึ้นมาเขาก็จะไม่ไปยุ่งด้วย โดยเฉพาะบรรดาเหล้าเบียร์ในแหล่งท่องเที่ยวที่รู้อยู่ว่าราคาแพงกว่าข้างนอก

ต้องบอกว่านักท่องเที่ยวฝรั่งส่วนใหญ่กินกันแบบมีวินัย เราจะเห็นว่าฝรั่งน้อยคนที่จะเมาจนหมดสภาพ ส่วนใหญ่ก็คนละหนึ่งช็อตสองช็อต จบแล้วกลับบ้าน ที่เขากินเพื่อผ่อนคลาย ทำงานเครียดมาทั้งวัน อาศัยแอลกอฮอล์ผ่อนคลายประสาทหน่อย กลับบ้านไปกินข้าวอร่อยขึ้นอีก แต่ส่วนใหญ่แล้วคนเราต้านทานฤทธิ์ของเหล้าไม่ได้ พอกินแล้วก็กลายเป็นมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ท้ายสุดก็กลายเป็นติดเหล้าแอลกอฮอลิค"


ถาม : เขาคิดว่าเป็นความสุข ?
ตอบ : น่าสงสาร...เขาไม่รู้ว่าความสุขหาจากข้างนอกไม่ได้ ความสุขภายนอกไม่ยั่งยืน ความสุขภายนอกเกิดจากการกระตุ้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความสุขภายในเกิดจากใจ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2017 เมื่อ 02:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #108  
เก่า 23-03-2017, 22:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถามว่า "บทบังสุกุลตายกับบังสุกุลเป็น บทไหนเกิดก่อน ? บังสกุลเป็นเกิดก่อน จริง ๆ แล้วเป็นคำสอนที่พระพุทธเจ้าประทานให้พระปูติคัตตติสสะ ในอดีตชาติท่านเป็นพรานนก พอจับนกได้ก็หักขา หักปีก นกจะได้ไม่บินหนี พอมาชาตินี้ ถึงมาบวชแล้วกรรมเก่าก็ยังตามทัน

ในบาลีท่านบอกว่าเกิดเป็นฝีตามร่างกาย แรก ๆ ก็โตประมาณเม็ดน้อยหน่า หลังจากนั้นก็โตขึ้นจนเท่าผลมะตูมแล้วก็แตก โลหิตและหนองไหลไปทั้งกาย เมื่อเหม็นเน่ามาก บรรดาพระก็ทิ้ง ไม่มีใครดูแล ปูติคัตตะคือผู้มีกายอันเน่า อาตมาคาดว่าน่าจะเป็นมะเร็ง เพราะว่าแตกทั่วตัวเลย น่าจะประเภทมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ในเมื่อโดนทิ้ง พระพุทธเจ้าทรงทราบก็เสด็จไปเอง ให้พระอานนท์ต้มน้ำร้อน ผสมน้ำอุ่นด้วยพระองค์เองแล้วก็เช็ดตัวให้ พระอื่นพอทราบข่าวก็จะไปแย่งกันทำ พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ต้อง พระองค์ท่านจะทำเอง เมื่อเช็ดตัวเปลี่ยนผ้าให้เรียบร้อย ท่านติสสะก็รู้สึกสบายขึ้น

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า อจิรํ วตยํ กาโย ปฐวี อธิเสสฺสติ แปลความว่า ติสสะ...ขอให้เธอจงดูกายนี้ ซึ่งอีกไม่นาน เมื่อปราศจากวิญญาณแล้ว ก็เหมือนกับขอนไม้ที่นอนกลิ้งอยู่บนพื้นดิน พระติสสะท่านพิจารณาธรรมตามนั้น...เห็นจริง จิตปลดจากการยึดเกาะร่างกาย กลายเป็นพระอรหันต์พร้อมกับสิ้นชีวิต

ลักษณะของการเป็นพระอรหันต์แล้วมรณภาพเลย ในบาลีเขาเรียกว่า สมสีสี [สะ-มะ-สี-สี] ก็คือบรรลุมรรคผลพร้อมกับการดับของสังขารร่างกาย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2017 เมื่อ 02:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #109  
เก่า 23-03-2017, 22:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ส่วน อนิจจา วะตะ สังขารา นั้น เป็นบทที่พระอินทร์ท่านแสดงธรรมสังเวชตอนพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน สรุปแล้วมีที่มาทั้งคู่ คนสมัยใหม่ก็เอามาแบ่งเป็นบังสุกุลตายกับบังสุกุลเป็น แต่จริง ๆ แล้วเป็นหลักธรรมทั้งนั้น

อนิจจา วะตะ สังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ วะตะตัวนี้ก็คือหนอ
อุปปาทะวะยะธัมมิโน เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไปเป็นธรรมดา
อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ มีเกิดแล้วก็มีดับ
เตสัง วูปสโม สุโข การเข้าถึงความสงบสังขารทั้งหลายนั่นแหละเป็นสุข

สงบสังขารในที่นี้ หมายถึงหยุดการปรุงแต่งทั้งปวง สังขารตัวนี้คือจิตสังขาร การปรุงแต่งของใจ สภาพจิตหยุดการปรุงแต่งหมดก็มีอยู่ประเภทเดียวคือพระอรหันต์"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2017 เมื่อ 02:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #110  
เก่า 25-03-2017, 20:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์ถามโยม "เบาลงบ้างหรือยัง ? หรือยังหนักเท่าเดิม ? กินให้น้อยหน่อยสิ ใช้วิธีลดแบบพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ได้ ลดมื้อละคำเดียว ไม่ทรมานตัวเองด้วย วันนี้ลดคำหนึ่ง พรุ่งนี้ลดคำหนึ่ง ลดไปเรื่อย

ลดวันละคำของพระเจ้าปเสนทิโกศลนี่ไม่ได้ลดเยอะนะ พระท่านบอกว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลเสวยพระกระยาหารด้วยข้าวสุกที่หุงจากข้าวสาร ๑ ทะนาน ๒๐ ทะนานเป็น ๑ ถัง ก็แปลว่า ๑๐ ทะนานเท่ากับครึ่งถัง ๑ ทะนานประมาณ ๗ ขีดครึ่ง ๗ ขีดครึ่งหุงเป็นข้าวนี่กินกันตายไปข้างหนึ่ง คิดตัวเลขกันทันไหม ? อาตมาคิดเร็วไปหน่อย ๗ ขีดครึ่งเสวยคนเดียวสำหรับข้าวนะ ยังไม่คิดถึงกับข้าวเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2017 เมื่อ 20:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #111  
เก่า 25-03-2017, 20:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อนิจจา วะตะ สังขารา วะตะ คำนี้คือ วัฏสงสารหรือคะ ?
ตอบ : วะตะตัวนี้คือหนอ ไม่ใช่ วัฏฏะ วะตะ โภ โกณฑัญโญ โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ ถ้าวัฏฏะ แปลว่า การหมุนเวียน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2017 เมื่อ 20:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #112  
เก่า 25-03-2017, 21:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเราทำกรรมฐาน จิตจับไม่เห็นภาพอะไร เราต้องไปอยู่ในชั้นพรหมหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่...อยู่ที่ว่าเรานึกถึงอะไร สำคัญตรงที่เรานึกถึงอะไร ไม่ต้องเห็นหรอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-03-2017 เมื่อ 02:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #113  
เก่า 25-03-2017, 21:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พุทธทานมีหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่มี ธรรมทานคือการให้ธรรมเป็นทาน เป็นการที่เราปฏิบัติได้แล้วสอนคนอื่น สังฆทานเป็นการให้ทานโดยเจาะจงเอาหมู่สงฆ์ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ในเมื่อมีที่มาที่ไป ก็กลายเป็นธรรมทานกับสังฆทานไป แต่พุทธทานไม่มี ถ้าพุทธทานมีก็มีวิธีเดียว ก็คืออุ้มพระพุทธเจ้าไปถวายเป็นทาน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-03-2017 เมื่อ 02:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #114  
เก่า 26-03-2017, 21:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีวิธีแก้ปวดหัวอยู่วิธีหนึ่ง ไม่รู้ว่าโยมถนัดกันหรือเปล่า ? คือให้หายใจด้วยจมูกข้างซ้าย จมูกข้างซ้ายเป็นลมเย็น จมูกข้างขวาเป็นลมร้อน ถ้าต้องการแก้ปวดหัวให้หายใจด้วยจมูกข้างซ้าย อาตมาหายใจทีละข้างได้ ไม่รู้ว่าโยมทำได้หรือเปล่า ...(ไม่ได้ค่ะ)... ถ้าไม่ได้ก็เอามืออุดรูจมูกข้างขวาไว้

ก่อนหน้านี้อาตมาไม่รู้หรอกว่าคนเราหายใจด้วยจมูกได้ทีละข้าง หลวงพ่อสมปองท่านสอน ตอนนั้นท่านยังไม่ได้บวช ไปเป็นนาคอยู่ที่วัด ท่านบอกว่าท่านเป่าปี่ชวา หายใจเข้าด้วยจมูกข้างซ้าย หายใจออกด้วยจมูกข้างขวา อาตมาก็งง ๆ ว่าทำแบบนี้ได้ด้วยหรือวะ ? พอมาลองทำดู ปรากฏว่าทำได้จริง ๆ เพราะว่าเวลาเป่าปี่ชวาต้องใช้ลมหายใจที่ยาวมาก ๆ ไม่อย่างนั้นจะสะดุด จึงต้องใช้วิธีหายใจหมุนเวียนจะได้ไม่ต้องหยุด อาตมาก่อนหน้านี้ไม่รู้หรอกว่าคนเราหายใจได้ด้วยจมูกทีละข้าง ไปรู้เอาตอนนั้นเอง"


ถาม : คงทำได้นิดเดียวค่ะ ?
ตอบ : ใหม่ ๆ ลองบังคับดู อีกข้างหนึ่งจะหายใจเข้าด้วย แต่พอเราเพ่งความรู้สึกไว้ที่รู้จมูกข้างใดข้างเดียว ก็จะใช้ได้เฉพาะข้างนั้น ตอนหัดใหม่ ๆ อีกข้างหนึ่งก็จะหายใจเข้าไปหน่อยหนึ่งด้วย

ถ้าใครรู้สึกปวดหัวขึ้นมาให้หายใจด้วยจมูกข้างซ้ายข้างเดียว สัก ๓ นาที ๕ นาทีก็หายแล้ว ที่เราปวดหัวเพราะว่าความดันขึ้นหรือว่าความร้อนในร่างกายมากขึ้น ที่สมัยนี้เขาเรียกว่า "หัวร้อน" ก็ต้องอาศัยลมหายใจเย็น เขาเรียกลมจันทกาลา คือลมหายใจแบบพระจันทร์ ถ้าสุริยกาลาจะเป็นลมหายใจร้อน เอาไว้สร้างพลังงาน

ใครรู้สึกเพลีย ๆ ไม่มีแรงให้หายใจด้วยจมูกขวาข้างเดียวสัก ๓ นาที เดี๋ยวก็ไปต่อได้ แต่ขอบอกนะว่าหายใจด้วยจมูกขวาข้างเดียวนี่หิวข้าวอย่าบอกใคร เพราะว่าใช้พลังงานเยอะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2017 เมื่อ 02:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #115  
เก่า 26-03-2017, 23:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ที่บอกว่า คนโบราณเขาฉลาด ทำบุญให้คนตายในช่วง ๗ วัน ๕๐ วัน คนตายจะได้บุญ ถ้าเลยระยะมาแล้วละครับ ?
ตอบ : อาตมายังสงสัยอยู่ว่า ทำไมพวกเราฟังอะไรไม่ละเอียด แล้วจับไปกระเดียดกันอุตลุด ?

คำว่าทำบุญ ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วันหมายความว่าที่ทำช่วงนั้น คนตายยังมีโอกาสที่จะได้รับมากกว่า เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วยังไม่ผ่านการตัดสินที่ตำหนักพญายม แต่ไม่ได้หมายความว่าทำแล้วจะได้บุญทันที ดันไปใช้คำพูดว่าทำช่วงนั้นแล้วจะได้บุญ ถ้าเกิดลงนรกไปก่อนหรือว่าไปอบายภูมิก่อนก็ไม่มีโอกาสที่จะได้

ถาม : ... (ไม่ชัด) ...
ตอบ : ถ้าหากว่าลงยาวไปเลยก็ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าเลยจากช่วงนั้นตัดสินไปแล้วลงข้างล่างก็หมดสิทธิ์ ถ้าขึ้นข้างบนถึงจะได้ คำพูดแต่ละอย่างรู้สึกว่าจะเอาไปแล้วตีความกันใหม่ทุกที ทั้ง ๆ ที่อาตมาพูดไปชัด ๆ แล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 27-03-2017 เมื่อ 08:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #116  
เก่า 26-03-2017, 23:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมหลายคนที่อาตมาเตือนเรื่องวัดธรรมกายไป ต้องบอกว่าเริ่มรู้ตัว อย่าลืมว่าท่านเป็นพระ เราเป็นฆราวาส อะไรที่เราคิด เราพูด เราทำกับพระ มีโทษมากกว่าประโยชน์ โบราณท่านถึงได้ใช้คำว่า “ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์”

ประการหนึ่งก็คือ เรื่องของศีลพระนั้น ทำผิดคือศีลขาดเลย ไม่ใช่ทำผิดแล้วต้องรอศาลมาตัดสิน ในเมื่อเป็นเช่นนั้นถ้าตัวเราเองไม่เข้าใจ ซึ่งปัจจุบันนี้ฆราวาสจำนวนมากก็ไม่เข้าใจในเรื่องเช่นนี้ จึงทำให้เรื่องเกี่ยวกับพระของเราสับสนวุ่นวายไปหมด

อย่างเช่นพระพุทธเจ้าตรัสบัญญัติศีลขึ้นมาว่า “ภิกษุหยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ ราคาได้ ๕ มาสกขึ้นไป ต้องอาบัติปาราชิกคือขาดความเป็นพระ” คราวนี้ในวินีตวัตถุท่านใช้คำว่า “วัตถุนั้นเคลื่อนจากฐาน” ถามว่าเคลื่อนไกลเท่าไร ? ท่านบอกว่า “พ้นฐานไป ๑ ส่วน ๑๖ ของเส้นผม” พูดง่าย ๆ ว่ามองแทบไม่เห็น ถ้าหากว่าจับเคลื่อนจากฐานก็ขาดความเป็นพระไปแล้ว ไม่ได้แปลว่าเราวางคืนแล้วความเป็นพระจะกลับคืนมา เพราะตอนช่วงที่เราหยิบฉวยนั้นเกิดเถยยจิต คือคิดที่จะขโมย

ในเมื่อคิดจะขโมยและหยิบเคลื่อนจากฐาน แปลว่าการกระทำนั้นสำเร็จแล้ว ในเมื่อการกระทำนั้นสำเร็จแล้วแปลว่ากรรมนั้นบรรลุผลแล้ว ถ้าหากว่าปรับก็คือขาดจากความเป็นพระไปแล้ว ถึงไปวางคืนก็ไม่สามารถที่จะเป็นพระได้อีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2017 เมื่อ 02:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #117  
เก่า 26-03-2017, 23:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น...เรื่องศีลของพระไม่จำเป็นต้องอาศัยศาลทางโลกตัดสิน จบไปตั้งแต่คุณกระทำแล้ว เราเป็นฆราวาสถ้าไม่รู้ตรงจุดนี้ก็อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ เพราะถึงอย่างไรท่านก็ยังห่มเหลืองอยู่ ยังมีธงชัยของพระอรหันต์คลุมตัวอยู่ ถ้าเราไปด่า ไปตำหนิโดยใช้คำว่า "พระ" นำหน้านี่พังเลย

เพราะคำว่า “พระ” คือผู้ที่ประเสริฐ หมายถึงผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งหมด ไม่ใช่ตัวบุคคล ฉะนั้น...เรื่องที่เกี่ยวกับพระจึงเป็นเรื่องที่อันตรายมาก โบราณรู้จริงถึงได้บอกว่า “ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์” คือเราอย่าไปยุ่ง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของท่านจัดการกันเอง ถ้าหากในหมู่ของพระสังฆาธิการฝ่ายปกครองจัดการไม่ได้ ก็ไปรู้กันอีกทีตอนตาย ซึ่ง
ในช่วงนั้นก็ไม่มีใครแก้ไขได้แล้ว

เราอย่าไปหาทุกข์หาโทษใส่ตัว คิดไม่ดีเป็นมโนกรรม พูดไม่ดีเป็นวจีกรรม ทำไม่ดีเป็นกายกรรม มีแต่สร้างกรรมทั้งนั้น จงทำตัวเป็นผู้ดูที่ดี ก็คืออยู่วงนอกอย่างมีสติสัมปชัญญะ อย่าเชียร์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ลงมือเชียร์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเมื่อไรก็แปลว่าอคติ หรือ รัก โลภ โกรธ หลง เริ่มท่วมทับเราแล้ว โอกาสที่จะโดนกิเลสน็อกคาสนามมีเยอะมากแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2017 เมื่อ 02:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #118  
เก่า 26-03-2017, 23:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมาบอกไปเมื่อวันก่อนว่า สงสารท่านอาจารย์สนิทวงศ์ ตอนนี้เห็นว่าทางวัดธรรมกายเปลี่ยนโฆษกใหม่แล้ว แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าเปลี่ยนตัวก็แค่มาแสดงโวหารเท่านั้น ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงที่ได้กระทำไปแล้ว ต่อให้ลากเอาเหตุการณ์อะไรต่อมิอะไรมากลบ ก็ลักษณะเดียวกับช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิด ซึ่งอย่างไรก็ไม่มิด

ยิ่งนานไปก็ยิ่งทำผิดกฎหมายมากขึ้น ถ้าทำผิดกฎหมายเมื่อไรก็ผิดพุทธดำรัสเมื่อนั้น เพราะพระองค์ท่านตรัสไว้ชัดแล้วว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว ราชานํ อนุวตฺติตุฯ ดูก่อน...ภิกษุทั้งหลาย เราให้คล้อยตามพระราชา คำว่า พระราชาในสมัยก่อนก็คือกฎหมาย เพราะสิ่งที่เป็นพระราชดำรัสต้องปฏิบัติตามทั้งสิ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2017 เมื่อ 02:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #119  
เก่า 28-03-2017, 19:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (พระถาม) มีคนบอกว่า ๕ มาสก เท่ากับทอง ๑ บาท ?
ตอบ : อันนั้นของทางประเทศพม่า ไม่ใช่ทอง ๑ บาท เป็นทอง ๑ สลึง ผมไปทางพม่าแล้วได้มีโอกาสพูดคุยเกี่ยวกับศีลหลายข้อที่ลักลั่นกันอยู่ เพราะพม่ากับไทยตีความไม่เหมือนกัน

จุดที่ผมถามก็คือเรื่องอาบัติปาราชิก คนไทยเราถือว่า ๑ บาทเท่ากับ ๕ มาสก แต่ทางพม่าถือว่า ๕ มาสกเท่ากับทองคำ ๑ สลึง ผมถามว่าเอาอะไรมาเป็นเครื่องวัด ? ท่านบอกว่า ดูจากมาตราโบราณที่บอกว่า ๔ เมล็ดข้าวเปลือกเป็น ๑ กุญชา ๒ กุญชาเป็น ๑ มาสก ก็แปลว่า ๘ เมล็ดข้าวเปลือกเป็น ๑ มาสก ๕ มาสกก็เท่ากับ ๔๐ เมล็ดข้าวเปลือก เขาก็เอา ๔๐ เมล็ดข้าวเปลือกมาชั่งน้ำหนักแล้วบอกว่า ได้ประมาณทองคำ ๑ สลึง ส่วนของบ้านเราตีความสูงไว้ก่อนป้องกันไม่ให้พระทำผิด ก็เลยตีราคาว่าบาทเดียว

ส่วนอีกจุดหนึ่ง ก็คือ การฉันอาหารในเวลาวิกาล เราจะเห็นว่าพระพม่าฉันอาหารเย็นเป็นปกติ แม้แต่ในห้องอาหารก็มีห้องที่แยกให้พระโดยเฉพาะ ปรากฏว่ามีศีลพระอีกข้อหนึ่งว่า “ภิกษุห้ามเข้าบ้านในเวลาวิกาล” ซึ่งเราตีความคำว่าวิกาลใน ๒ สิกขาบทนี้ไม่เหมือนกัน

การฉันอาหารในเวลาวิกาล เราตีความว่าหลังเที่ยงไปแล้ว แต่เข้าบ้านในเวลาวิกาล เราตีความว่าพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว คำ ๆ เดียวเราตีความต่างกัน แต่ของพม่าตีความแบบเดียวกันก็คือพระอาทิตย์ตกดินแล้ว เพราะฉะนั้น...เขาฉันอาหารก่อนค่ำได้...ไม่เป็นไร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-03-2017 เมื่อ 20:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #120  
เก่า 28-03-2017, 19:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,559 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่คราวนี้เราต้องไม่ลืมว่าในเรื่องของศีลพระนั้นมีส่วนที่เป็นโลกวัชชะ คือผิดแล้วโลกติเตียน ในเมื่อผิดแล้วโลกติเตียน บ้านเราถือว่าเวลาวิกาลคือหลังเที่ยงไปแล้ว เราก็ต้องถือตามแบบบ้านเรา ส่วนของเขาถือว่าวิกาลคือพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ของเขาไม่ติเตียนกัน แถมโยมยังตั้งใจถวายอีกด้วย

ปัจจุบันนี้เรื่องศีลพระหาคนที่ศึกษาลึกซึ้งมีน้อยมาก ในเมื่อมีน้อยมาก ไม่สามารถที่จะบอกกล่าวกับพระรุ่นหลัง ๆ ต่อไปได้ โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นครูบาอาจารย์ ก็มีการเข้าใจผิด ประพฤติผิด ทำผิดเป็นปกติ แล้วก็อีกประเภทหนึ่งก็คือ พระอุปัชฌาย์อาจารย์บวชให้แล้วไม่สั่งสอน บวชแล้วทิ้งไปเลย ลักษณะที่เขาเรียกว่าพระอุปัชฌาย์เป็ด ไข่แล้วทิ้ง ปล่อยให้ฟักเป็นตัวเอาเอง ก็เลยมีการทำผิดทำพลาดให้ญาติโยมเขาตำหนิได้มาตลอด

แบบเดียวกับการที่ผมนั่งรับเงินที่ญาติโยมถวายนี่แหละ ถ้าหากว่าเป็นอีกนิกายหนึ่งเขาก็จะมาตำหนิว่าเราทำผิด แต่คราวนี้ผมไปดูการกระทำของท่านคือท่านรับเป็นเช็ค รับเป็นตั๋วแลกเงินซึ่งก็ไม่ได้อยู่แล้ว เพราะในสิกขาบทที่ ๙ ในนิสสัคคิยปาจิตตีย์ท่านใช้คำว่า “รูปิยสํโวหรํ” ก็คือสิ่งที่ใช้แทนเงินทอง ในเมื่ออะไรที่ใช้แทนเงินได้ก็ถือว่าผิดเหมือนกัน จะรับเองหรือจะให้คนอื่นรับก็โทษเท่ากัน

ฉะนั้น...ครูบาอาจารย์ผมท่านถึงบอกว่า “รับไปเถอะ แล้วสร้างประโยชน์ให้เขาให้มากที่สุด อย่าไปคิดว่าเป็นของเรา”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-03-2017 เมื่อ 20:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:12



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว