|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#101
|
||||
|
||||
ถาม : น้ำท่วมวัดท่าซุงคราวนี้หนักกว่าตอนปี พ.ศ ๒๕๔๙ ไหมครับ?
ตอบ : เท่าที่อาตมารู้ก็น่าจะหนักกว่า แต่ถ้าในอดีตที่ผ่านมามีหนักกว่านี้อีก ทางน้ำหน้าวัดเปลี่ยนไปเลย ก่อนหน้านั้นพื้นที่วัดท่าซุงเก่าจะอยู่เลยกึ่งกลางแม่น้ำสะแกกรังไปอีก ลองคิดดูว่าถ้าน้ำท่วมคราวนั้นไม่หนักจริง ๆ ทางน้ำจะเปลี่ยนไปถึงขนาดนั้นหรือ ? อันนี้ถือว่าพูดย้อนหลังในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่เห็น ผิดถูกอย่างไรก็ไม่มีใครยืนยัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-10-2011 เมื่อ 10:59 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#102
|
||||
|
||||
ถาม : ที่บ้านเลี้ยงปลากัดไว้ครับ แล้วต้องให้ลูกน้ำเพราะให้อาหารเม็ดแล้วปลาไม่ยอมกิน แบบนี้ถือว่าผิดศีลข้อ ๑ ไหมครับ ?
ตอบ : ผิดเต็ม ๆ..! สมัยอาตมาเด็ก ๆ ก็เคยหนีโรงเรียนไปช้อนปลากัด แต่ว่าหลังจากที่เพื่อนโดนงูเห่ากัดตายก็เลิกเล่นปลากัด เพื่อนเขาไปช้อนปลากัดใต้กอสวะ งูเห่าอยู่บนกอสวะ เพื่อนมัวแต่ช้อนปลาอยู่ ไม่ทันเห็นงูเห่าจึงโดนกัดตาย เด็กบ้านนอกสมัยก่อน ถ้าชนไก่ กัดปลา ยิงนก ตกปลาไม่เป็นนี่ ไม่ใช่เด็กบ้านนอกหรอก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-10-2011 เมื่อ 15:13 |
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#103
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเทคโนโลยีต่าง ๆ จะดีกับพระก็ต่อเมื่อพระมีจิตสำนึกในความเป็นพระมากพอ ถ้ามีจิตสำนึกไม่พอเดี๋ยวก็จะไปโหลดหนังโป๊มาดูกัน อย่าลืมว่าสมมุติสงฆ์ที่เป็นพระในสายตาของพวกเรา ก็คือลูกของชาวบ้านที่มี รัก โลภ โกรธ หลงเท่ากับเรานั่นแหละ เพียงแต่ว่าท่านเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว เปลี่ยนกติกาการดำเนินชีวิตเข้าไป ถ้าหากว่าขาดหิริโอตัปปะ ขาดความละอายชั่วกลัวบาป ก็จะไปทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งามเหล่านั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-10-2011 เมื่อ 18:25 |
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#104
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าตามประทีปครบแสนดวง จะมีอานิสงส์ได้ทิพจักขุญาณในชาติปัจจุบันหรือไม่คะ ?
ตอบ : สิ่งนี้เป็นอปราปรเวทนียกรรม แปลว่ากรรมที่ให้ผลในชาติที่สองที่สามไป ไม่ใช่ทิฎฐธรรมเวทนียกรรม ซึ่งเป็นกรรมที่ให้ผลทันตาในชาตินี้ สำหรับอุปปัชชเวทยนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในชาติหน้า ถาม : เราอธิษฐานขอในชาตินี้ไม่ได้หรือคะ ? ตอบ : อธิษฐานได้จ้ะ อย่างน้อยก็ได้อธิษฐาน ต้นไม้จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาห้าปีสิบปีจึงจะมีลูก เราจะให้มีลูกวันนี้ก็ลองดู เผื่อว่าจะทำได้..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-10-2011 เมื่อ 18:27 |
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#105
|
||||
|
||||
ถาม : ตอนที่สภาวะจิตนิ่ง เห็นว่าทุกอย่างเป็นภาพนิ่งที่เคลื่อนไหวติดต่อกันในเวลาอันรวดเร็ว เหมือนกับปัจจุบันเป็นอดีตไปในทันที ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสว่าสรรพสิ่งเป็นอนิจจัง เพราะว่าเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก โดยเฉพาะสภาพร่างกายของเรา แต่คราวนี้ "สันตติ" คือความสืบเนื่อง เป็นสิ่งที่ปิดบังอนิจจังเอาไว้ เราเห็นว่าร่างกายโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความจริงแล้วกำลังพังไปเรื่อย ๆ ต่างหาก เซลล์เก่าตายเซลล์ใหม่เกิด สันตติก็เลยปิดบังอนิจจัง ทำให้คนที่ปัญญาไม่ถึงมองไม่เห็น ถาม : ถ้าเราเห็นอย่างนั้นแล้วเราควรทำอย่างไรต่อคะ ? ตอบ : ใจเรายอมรับหรือเปล่า ? ถ้ายอมรับอย่างแท้จริง เห็นว่าไม่มีอะไรเลยอย่างนี้ เราอยู่ไปจะมีประโยชน์อะไร ไปนิพพานดีกว่า ถาม : แล้วถ้าหนูสรุปให้กับตัวเองว่า แม้แต่เวลาปัจจุบันก็ไม่ได้มีอยู่จริง เป็นของสมมติ ? ตอบ : ก็แค่นั้นเอง เป็นเพียงสภาพจิตที่เป็นไปโดยกรรม อย่าเพิ่งรีบบรรลุนะ..เดี๋ยวคนอื่นจะอิจฉา คนเราแข่งกันทำความดี แข่งกันลดความชั่ว โลกจึงจะเจริญ แต่ถ้าหากว่าแข่งกันดีอย่างเดียว ก็เจริญยาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-10-2011 เมื่อ 18:29 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#106
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "อยู่วัดแล้วแรงกระทบมีเยอะ ไม่ว่าวัดไหนก็มี..ขอยืนยัน ใครที่คิดว่าแน่ เข้าวัดไปหงายท้องมาเยอะแล้ว เพราะว่ากำลังใจของผู้ปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะในระดับแรก ๆ ยังเก็บกดกิเลส ยังไม่สามารถที่จะตัดได้อย่างแท้จริง พอเก็บไปนาน ๆ กระทบซ้ายกระทบขวาเข้า ไม่รู้ว่าจะไประเบิดใส่ใคร ก็ระเบิดใส่กันเอง ยิ่งวัดไหนเป็นสำนักปฏิบัติมีคนมาก ๆ แล้วจะมีสารพัดเรื่องเลย
เราเองถ้าไม่เข้าใจสภาพธรรมชาติของคนที่เก็บกดกิเลสใหม่ ๆ ว่าเป็นอย่างไร เราก็จะไปนั่งคร่ำครวญว่าทำไมอยู่วัดแล้วเป็นอย่างนี้ ยุ่งไปหมด เพราะเราไปตั้งความหวังว่าเขาจะดี ที่เขาเข้าวัดก็เพื่อที่จะไปพัฒนาตัวเองให้ดี ที่เราโดนมานั้นเขาดีขึ้นมาตั้งเยอะแล้ว ถ้าหากว่าเมื่อก่อนที่เขายังไม่ทำตัวให้ดีขึ้นมา เราอาจจะโดนหนักกว่านี้อีก..! อาตมาจึงสรุปให้กับตัวเองได้ตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุงแล้วว่า “วางก่อน สบายก่อน” ถ้าใครอยากแบกก็ปล่อยให้แบกไป แต่ให้วางในลักษณะผู้มีปัญญาจริง ๆ นะ อย่าไปวางใส่หัวคนอื่น..! อยู่ในวัดต้องไปเป็นหน้ากระดาน เวลาทหารเข้าตีข้าศึกต้องไปเป็นหน้ากระดาน เพราะว่าถ้าล้ำหน้าอาจจะโดนเพื่อนข้างหลังยิงเสียเอง ทำตัวเด่นเมื่อไรเดี๋ยวจะซวย อาจจะโดนแอบแทงข้างหลังเมื่อไรก็ได้ ให้ทำตัวกลมกลืนกับเขา แล้วแอบปฏิบัติของเราเอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-10-2011 เมื่อ 18:32 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#107
|
||||
|
||||
ถาม : รู้จักพี่คนหนึ่งมานานแล้ว เขาค้าขายพวกวัตถุไสยศาสตร์ มีอยู่วันหนึ่งหนูสวดมนต์นั่งสมาธิตอนเช้าแล้วกำลังใจไม่รวมตัว รู้สึกแปลก ๆ จึงพยายามอาราธนาพระเข้ามาไว้ในกาย ขับไล่สิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้นออกไป แล้ววันนั้นก็ไปเจอคนที่หนูรู้อยู่ว่าเขายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของไสยศาสตร์ เขาก็เข้ามาทำประมาณทีเล่นทีจริงว่า “นี่ฉันป้ายเสน่ห์เธอนะ” แล้วก็เอาบางอย่างมาป้ายแขน หนูก็รู้สึกว่าเขาตั้งใจทำจริง ๆ ตอนโดนรู้สึกเย็น ๆ แบบโดนยาหม่อง มีวิชาอะไรอย่างนี้ด้วยหรือคะ ?
ตอบ : มีเยอะแยะไป ถ้าเขาจะทำเราเขาก็ต้องนึกถึงเราก่อน กำลังก็ส่งมาถึง เราภาวนา เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขาเอาไว้ก็สิ้นเรื่อง ถาม : ลักษณะแบบนั้นถ้าเราภาวนาไปเรื่อย ๆ พวกนี้จะทำอันตรายเราได้ไหมครับ ? ตอบ : ไม่ได้..ถ้ากำลังใจเราทรงตัวไสยศาสตร์ขนาดไหนก็เข้าไม่ได้ จะได้ก็ตอนที่เราเผลอ เพราะฉะนั้น..พวกนี้เขาจะชอบทำให้เราตกใจ ถ้ากำลังใจเคลื่อนนี่เสร็จเขาเลย ลองสังเกตพวกสะกดจิต เขาจะพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ ถ้าเราจิตนิ่งอยู่กับที่เขาก็จะสะกดเราไม่ได้หรอก ถ้าหากว่าเราไปคิดตามนี่เสร็จเลย ลักษณะเดียวกับไสยศาสตร์ เขาจะทำให้เราเสียสมาธิ คลายออกจากจุดที่เรายึดมั่น แล้วเขาก็จะครอบงำเราได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2011 เมื่อ 01:22 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#108
|
||||
|
||||
มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งโดนน้ำมันพราย ลักษณะที่ป้ายตัวแบบนี้แหละ แต่โยมผู้หญิงท่านนั้นดวงดีสุด ๆ เลย คือเขาเข้ามาถึงแล้วจับข้อมือถามว่า “น้อง..เวลาเท่าไรแล้ว?” แต่จริง ๆ แล้วเขาป้ายน้ำมันพราย โยมผู้หญิงเขาก้มลงดู ปรากฏว่าโยมเขาแขวนพระรอดอยู่ พระแปะลงบนรอยป้ายพอดี แล้วมีควันขึ้นกลิ่นเหมือนผีตาย เขารู้ตัวทันทีเลยว่าโดน อันนี้ต้องบอกว่าคนดีพระคุ้มจริง ๆ วันนั้นถ้าเขาไม่ห้อยพระนอกเสื้อก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน
เวลาหลวงพ่อวัดท่าซุงเป่ายันต์เกราะเพชร ท่านจะแนะนำไว้ว่าเพื่อความปลอดภัยให้ปลุกยันต์ทุกวัน ดังนั้น..เรื่องของวัตถุมงคลให้อาราธนาเอาไว้ทุกวัน ถ้าหากว่ากลัวพลาดก็อาราธนาเช้าเย็นไปเลย คาถาอาราธนาของสายหลวงพ่อวัดท่าซุงหลัก ๆ ก็ อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะจงมาเป็นที่พึ่งแก่ มะอะอุ นี้เถิด อันนี้หลัก ๆ แต่วัตถุมงคลบางชนิดมีคาถากำกับต่างหากเราก็ว่าต่อไป ถ้าหากว่าเราปลุกอย่างนี้ไว้ทุกวันก็ปลอดภัยค่อนข้างแน่ แต่อย่าเผลอนะ บางทีเราเผลอถอดออกตอนอาบน้ำ สมัยอาตมาเป็นฆราวาสใส่สร้อยสเตนเลส จะใส่อาบน้ำไปเลย สมัยหลวงปู่ปานท่านยังเคยโดนเลย ท่านเอาพระใส่กระเป๋าอังสะไว้ ตอนนั้นเป็นช่วงของวาระกรรมเปิดพอดี ท่านถอดอังสะแขวนไว้ข้างฝาเพื่อที่จะสรงน้ำ โดนเข้าตอนนั้นหงายท้องเลย องค์ปรมาจารย์ยังโดน แล้วเราจะรอดไหม ? จึงต้องระมัดระวัง อาราธนาพระเอาไว้ทุกวัน อาตมาเองรับยันต์เกราะเพชรใหม่ ๆ มองวันไหนก็เห็นยันต์เกราะเพชรสว่างใสอยู่ในท้อง ไปไหนก็ไปตัวเปล่า ลุยกระจาย จนกระทั่งหลวงพ่อท่านบอกไม่ให้ประมาท พกพระเอาไว้บ้าง หลวงพ่อท่านเมตตาบอกว่า "ถ้าแกไม่เผลอ กำลังใจทรงตัวอยู่ก็รอด แต่ถ้าวันไหนเผลอแกจะโดน ยันต์เกราะเพชรไม่ได้กันไสยศาสตร์ไม่ให้ทำอันตรายอย่างสิ้นเชิง ถ้าวาระกรรมหนักมา จะกันไม่ให้ตายจากไสยศาสตร์เท่านั้น ต้องโดนบ้างเหมือนกัน" ท่านเปรียบว่าเหมือนกับคนเขาก่อกองไฟใหญ่เอาไว้ มีวัสดุมากั้นระหว่างเรากับกองไฟ วัสดุนั้นคือยันต์เกราะเพชร ถ้ากองไฟนั้นใหญ่มาก ความร้อนก็ยังผ่านวัสดุมาถึงเราได้ แต่ว่าเปลวไฟไม่สามารถที่จะทำอันตรายเราได้ ดังนั้น..วิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือภาวนาไว้ทั้งวัน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2011 เมื่อ 01:28 |
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#109
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครเคยดูวีดีโอคลิปเรื่องของน้องกัน (ทรงเสถียร ท้าวทัญ)บ้าง ที่เขาป่วยไม่สามารถเดินไปไหนได้ แม่ต้องอุ้มไปวัด น้องกันมักจะนอนฟังเสียงธรรมะ แกบอกว่าที่อยากให้แม่พามาวัดเพื่อจะได้พบพระรัตนตรัย มาวัดแล้วได้ไหว้พระพุทธรูป ได้ฟังพระเทศน์ ได้เห็นพระสงฆ์ ครบพระรัตนตรัยพอดี นั่นเด็กพูดนะ..พูดจารู้เรื่องเป็นผู้ใหญ่มาก
คนถามว่าอิจฉาน้องกี้ไหม ? เพราะว่าน้องวิ่งเล่นได้ ไปเล่นกับเพื่อน ๆ ได้ น้องกันตอบว่าแรก ๆ ก็เป็น แต่พอฟังธรรมแล้วเข้าใจว่าคนเราสร้างกรรมมาไม่เหมือนกัน เราทำกรรมหนักมาก็ต้องรับกรรมอย่างนี้ไป ถ้าเกิดใหม่ก็ไม่อยากจะเป็นอย่างนี้อีก เขาถามว่าเกิดใหม่อยากเป็นอะไร น้องเขาตอบว่าเกิดใหม่อยากจะเป็นพระพุทธเจ้า ตั้งเป้าไว้สูงมากเลย..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-11-2011 เมื่อ 03:12 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#110
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าเราอ้วนสิ่งที่จะเสียเร็วที่สุดคือหัวเข่า เพราะฉะนั้น..ใครไม่อยากใช้ไม้เท้าตั้งแต่สาว ๆ ให้รีบลดน้ำหนัก รู้ไหมว่ามียาลดความอ้วนราคาแค่ไม่กี่สตางค์เอง ก็คือไปซื้อพลาสเตอร์มาปิดปาก ถ้ายังไม่ถึงมื้ออย่างไรก็ไม่กิน รับรองไม่กี่วันก็เห็นผล
ถ้าจะลดความอ้วนนี่อาหารมื้อเช้าสำคัญที่สุด จะต้องกินให้เต็มที่ มื้อกลางวันลดลงครึ่งหนึ่ง มื้อเย็นไม่กินเลยก็ได้ ตอนอาตมาถือศีล ๘ ใหม่ ๆ เดือนเดียวน้ำหนักหายไป ๙ กิโลกรัมครึ่ง นั่นลดแค่มื้อเย็นนะ ส่วนใหญ่พวกเราไปกินหนักมื้อเย็น มื้อเช้าเรากินได้ใช้พลังงานไปถึงกลางวัน มื้อกลางวันเรากินได้ใช้พลังงานไปถึงเย็น มื้อเย็นเรากินแล้วร่างกายเก็บไว้ ไม่ได้ใช้ ทำให้บางคนทำอย่างไรก็อ้วน เพราะไปกินหนักที่มื้อเย็น ส่วนบางคนสงสัยว่ากินแต่นมทำไมถึงอ้วน เพราะนมมีพวกไขมันเยอะ เนยที่เป็นไขมันเข้มข้นก็ทำมาจากนม"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2011 เมื่อ 14:25 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#111
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่อยู่ในท่าเดียวเป็นชั่วโมง จะรู้สึกเมื่อย ต้องเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อแก้อาการทุกขเวทนา เรียกว่าอิริยาบถปิดบังทุกข์
เมื่อครู่นี้ที่บอกไปว่า สันตติปิดบังอนิจจัง เซลล์เก่าตายเซลล์ใหม่เกิดต่อเนื่องไปเรื่อย การต่อเนื่องเขาเรียกว่าสันตติ การเกิดขึ้นต่อเนื่องกันทำให้คนไม่เห็นอนิจจังคือความไม่เที่ยง ส่วนอิริยาบถปิดบังความทุกข์ คือเราเมื่อย เราก็ขยับเดิน ยืน นั่ง นอน แต่ถ้าอยู่ท่าเดียวตลอดก็ไม่ไหว สมัยอาตมาเป็นทหาร มีครูฝึกคนหนึ่ง คือ จ.ส.อ.สัจจะ ฤทธิ์ขจร เป็นครูฝึกที่ไม่แตะต้องตัวทหารเลย ครูบอกว่า "กูเป็นสุภาพบุรุษ กูไม่ทำร้ายร่างกายพวกมึงหรอก.." แต่จ่าสัจจะเวลาสั่งลงโทษทหาร แค่สั่งว่า “มึงไปกอดเสาไฟอยู่ตรงนั้น จนกว่ากูจะบอกให้เลิก” ลองคิดดู ไปยืนกอดเสาไฟนิ่ง ๆ ชั่วโมงหนึ่งแทบจะตายเสียให้ได้ เพราะฉะนั้น..จ่าสัจจะเป็นสุภาพบุรุษ แต่ทหารกลัวฉิบหายเลย คราวนี้เห็นหรือยังว่า ถ้าไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถนี่เราจะทุกข์ขนาดไหน ยืนกอดเสาไฟนิ่ง ๆ เท่านั้น พอเลิกระบมไปทั้งตัวเลย ฆนะปิดบังอนัตตา ฆนะ คือความจับกันเป็นแท่ง เป็นก้อน ฆนะปิดบังจึงไม่เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างประกอบขึ้นมาจากส่วนเล็ก ๆ ทั้งหมด เหมือนกับกำแพง เราเห็นว่าเป็นกำแพง แต่ถ้าเราถอดออกมาจริง ๆ ก็เป็นอิฐทีละก้อน ๆ มาประกอบกัน ถ้าถอดเป็นอิฐทีละก้อนก็จะเป็นอนัตตา ไม่เป็นตัวตนของกำแพง แต่คราวนี้พอรวมกันเข้าไปเป็นก้อน เป็นแท่ง เป็นแผ่น เป็นผืน ก็เลยปิดบังสภาพอนัตตาไว้ได้ คือบังความไม่มีตัวตน เหมือนกับร่างกายของเราที่ประกอบไปด้วยอวัยวะภายใน อวัยวะภายนอก เป็นอาการ ๓๒ ปิดบังทำให้เราเห็นว่าเป็นเรา เป็นของเรา แต่ถ้าเราแยกออกเป็นชิ้น ๆ ก็หมดเลย ถ้าเราเห็นว่าสาวคนนี้สวยจังเลย หนุ่มคนนี้หล่อจังเลย ลองถอดออกมาเป็นชิ้น ๆ ดูสิว่าสวยตรงไหน ? หล่อตรงไหน ? ถอดเอาจมูกออกมาวาง เอาตาออกมาวาง เอาหูออกมาวาง แต่ละอย่างก็ยังเหมือนเดิม แต่ทำไมพอถอดเป็นชิ้น ๆ แล้วกลับดูไม่ได้เลย พอประกอบกันเข้าไป กลับปิดบังอนัตตาไปแล้ว กลายเป็นตัวเป็นตนไปแล้ว เพราะฉะนั้น..ต้องใช้ปัญญามากพอสมควรถึงจะถอดประกอบออกมาได้ อย่างที่สมัยก่อนอาตมาสอนพวกเราให้ถอดเป็นชิ้น ๆ ระยะหลังที่ไม่สอนเพราะปล่อยให้ใช้ความพยายามกันเองบ้าง สอนมาเยอะแล้ว ลองปล่อยให้ไปหากินเองบ้าง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2011 เมื่อ 14:29 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#112
|
||||
|
||||
ถาม : คนศาสนาอื่นที่เขามาฝึกมโนยิทธิ แล้วต้องจับภาพพระ จะถือว่าเขาผิดหลักศาสนาของเขาไหมครับ ?
ตอบ : คนศาสนาอื่นมาฝึกมโนยิทธิแล้วใช้การจับภาพพระถือว่าผิดหลักศาสนาของเขา แต่ถูกวิธีของเรา อยู่ที่ว่าเขาจะทำอีกไหม ? ถ้าคิดว่าผิดหลักศาสนาของเขาก็ผิดตั้งแต่เขามาฝึกแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2011 เมื่อ 14:54 |
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#113
|
||||
|
||||
ถาม : เงินที่เราหยอดกระปุกทำบุญทุกวัน เราตั้งเจตนาทำบุญชำระหนี้สงฆ์ ทีนี้เงินเป็นเหรียญเยอะ แล้วเราแลกเป็นธนบัตร แบบนี้ไม่เกิดโทษกับเราใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เกิดโทษ สะดวกดีด้วย พระท่านก็ไม่ต้องแบกหนักมาก ถาม : แล้วตั้งเจตนาเงินชำระหนี้สงฆ์ ถ้าหากว่าเราตายไปก่อนยังมีอานิสงส์ไหมครับ ? ตอบ : มีอานิสงส์ตั้งแต่ตั้งเจตนาแล้ว ถาม : แล้วถ้าคนอื่นเขาเอาไปเล่าครับ ? ตอบ : เขาก็ติดหนี้สงฆ์ ความซวยเป็นของเขา เพราะฉะนั้น..เราก็เขียนติดป้ายไว้ว่าชำระหนี้สงฆ์ จะได้ช่วยเตือนสติเขาหน่อย ถาม : ถ้าเป็นเงินเหรียญที่คนอื่นเขาทำบุญชำระหนี้สงฆ์มา เขาตั้งเจตนาชำระหนี้สงฆ์ด้วย เห็นว่าเหรียญเยอะ เราแลกเป็นธนบัตรมาทำบุญแทนได้ไหมครับ ? ตอบ : ได้..แลกเป็นธนบัตรมาก็ใช้ได้ ถือว่าทำบุญแบบคนฉลาด อานิสงส์นี้ต่อไปเวลาได้อะไรก็จะได้แบบสบาย ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2011 เมื่อ 14:55 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#114
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาจะจารวัตถุมงคลแจกพวกที่ไปนราธิวาส จะได้รู้ว่าเหนียวจริงหรือเปล่า ? ปกติแล้ววัตถุมงคลทางสายหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านห้ามเหนียว หลวงพ่อท่านบอกว่า ลูกศิษย์ท่านส่วนใหญ่มาทางสายพุทธภูมิ พวกนี้มาแรงเป็นปกติ ถ้าหากว่าเหนียวเดี๋ยวจะไม่มีใครเอาอยู่ ท่านก็เลยห้ามทำวัตถุมงคลที่เหนียว ถ้าจะทำวัตถุมงคลที่เหนียว ให้เว้นข้อมือกับข้อเท้าไว้ เพื่อให้มีจุดอ่อน
แต่จริง ๆ แล้ววัตถุมงคลที่เหนียวจะเสกง่ายกว่า วัตถุมงคลที่เสกยากก็คือทางด้านเมตตา ทางด้านลาภ อาตมานี่เล่นของยากมาตลอด แต่คนเขาคิดว่าง่าย วัตถุมงคลทางด้านเมตตามหานิยม ต้องออกจากใจคนเสกจริง ๆ ถ้าคนเสกไม่มีเมตตาจริง ๆ ทำขึ้นไม่เต็มที่หรอก ส่วนวัตถุมงคลทางด้านลาภผลนั้น คนเสกต้องมีพื้นฐานของทานบารมีมาแต่อดีต ไม่อย่างนั้นเท่ากับตัดของตัวเองให้เขาหมด เดี๋ยวตัวเองได้จนตายชัก..! แต่อาตมาชอบพวกแคล้วคลาดมากกว่า โดยเฉพาะพวกแคล้วคลาดปืน แคล้วคลาดระเบิด เสียงดัง ๆ อร่อยหูดี ถึงเวลาพวกเราก็เฮพร้อม ๆ กันบอกว่า “เอาอีก ๆ” พวกวางระเบิดคงยืนเกาหัวว่า ไอ้พวกนี้บ้าหรือเปล่า ? สมัยก่อนทหารออกรบ ๑ กองร้อย พระไปอย่างน้อยประมาณ ๑ กองพล มากกว่าประมาณ ๑๐ เท่า พวกเราลงใต้ไปกัน ๘๐ คน พระน่าจะไปประมาณ ๘๐๐ องค์ นี่ถือว่าเกินโควตามากแล้ว สมัยที่ท่านพ่อขุนแผนตีเชียงใหม่ ไปกันแค่ ๓๗ คนเอง มีขุนแผน มีพลายงาม และเพื่อนนักโทษอีก ๓๕ คน ตีเชียงใหม่ซะเละเป็นโจ๊กเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2011 เมื่อ 14:58 |
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#115
|
||||
|
||||
ถาม : เมื่อวานตอนกลับบ้านไปของขึ้น มีคนโทรมาถามเรื่องการปฏิบัติ พอสักพักก็ตัวสั่น เหมือนกับว่ามีกำลังส่งมา หลังจากนั้นแล้วคนนั้นก็โทรมา คนนี้ก็โทรมา หนูก็สั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่อย่างนั้นค่ะ
ตอบ : บอกท่านว่าไม่ต้องเข้า แค่ช่วยเฉย ๆ ก็พอ ถ้าหากว่าขืนเข้าเดี๋ยวหนูจะอาละวาดด่าไม่หยุด..! ถาม : เป็นอย่างนี้บางครั้ง แต่ไม่ใช่ทุกครั้ง ตอบ : บางคนอาจจะเนื่องกับท่านมา ท่านก็ส่งกำลังมาช่วย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวตอบคำถามไม่ถูกใจคนถาม แต่ขอโทษเถอะ..ถ้าตอบคำถามถูกใจเดี๋ยวเขาก็มากวนเราเรื่อย ถาม : บางทีเรารู้ว่าต้องตอบอย่างนี้ แต่ก็พลิกไปใช้อีกคำพูดหนึ่งให้เหมาะกับคน ๆ นี้ ตอบ : ระวังไว้..เดี๋ยวจะเดือดร้อนขึ้นมา คนเราถ้าเขาหมายมั่นปั้นมือว่าคุณคือที่พึ่งแล้ว เขาจะเกาะหนับเป็นตุ๊กแกเลย ถ้าตอนนั้นเรามีวัตถุมงคลกี่ชิ้นฉวยขึ้นมาเลย ถือโอกาสปลุกไปในตัว อยากส่งกำลังมาดีนัก ดูดให้หมด..! ถาม : ค้างอยู่นานหลายชั่วโมงเลยค่ะ ตอบ : ก็ดีอยู่นะ..ตอนนั้นกิเลสกินเราไม่ได้ แต่ว่าทำให้หัวใจเราเต้นผิดจังหวะ เราจะเหนื่อย อาตมาถึงได้ไม่เอาเลย ถ้าจะมาก็มาปกติ อย่าทำให้ผิดปกติเดี๋ยวตูตายเร็ว ไม่ได้กลัวตายหรอก แต่เหนื่อยเลยไม่เอา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2011 เมื่อ 16:13 |
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#116
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าท่านส่งกำลังมาอีก แล้วเราไม่ต้องการรับ เราจะปฏิเสธอย่างไร ?
ตอบ : ก็ไม่รับแค่นั้นเอง เอาแค่เฉพาะการใช้งานของพระศาสนา นอกเหนือจากนั้นไม่เอา ไม่อย่างนั้นนาน ๆ ไปจะกลายเป็นร่างทรง ถาม : บางทีเป็นนานแล้วหนูเหนื่อย ตอบ : ที่วัดท่าขนุนห้ามทรง ถ้าไปทรงสั่นแหง็ก ๆ ที่นั่น จะรู้ว่าเจ้าอาวาสมือหนักแค่ไหน ผัวะเดียวร่วงมาเยอะแล้ว..! ถาม : ถ้าปฏิเสธแล้วเขายังไม่ไป ? ตอบ : บอกท่านว่าถ้าอยากจะใช้อย่ามาแรง ถ้ามาแรงแล้วทางวัดเขาไม่รับ นี่เราดันจะมาขลังเอาตอนนี้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2011 เมื่อ 16:14 |
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#117
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่มารับตะกรุดมหาสะท้อนว่า "ตะกรุดมหาสะท้อนนี่ห้ามเด็กใช้นะจ๊ะ ถ้าเราเผลอไปตีเด็กแล้วเราจะโดนซะเอง ตะกรุดมหาสะท้อนไม่ได้คืนเท่าเดียวนะจ๊ะ คืนหลายเท่า..! แล้วอีกอย่างก็คืออย่าเผลอเข้าไปในที่ ๆ คนหรือสัตว์ที่จะคลอด เพราะว่าจะทำให้เขาคลอดไม่ออก
ช่วงที่ผ่านมาหมาวัดกำลังจะคลอด แล้วดันไปติดใจหลังกุฏิของพระรูปหนึ่งในวัด ก็คือท่านคอม(พระพิทยา ติกฺขญาโณ) ก็เลยไปทำรังเตรียมจะคลอด ปรากฏว่าร้องครางอยู่เป็นวันเลย คลอดไม่ได้สักที จนท่านคอมนึกได้ว่าหัวนอนท่านเก็บไว้ตะกรุดมหาสะท้อน ๗-๘ ดอก และหมาก็อยู่ตรงนั้นพอดี ท่านคิดว่าต้องเป็นสาเหตุนี้แน่ จึงรีบคว้าตะกรุดแล้วออกมาข้างนอก พอแม่หมายืนขึ้น ลูกก็หล่นออกมา ๕ ตัว เพราะอั้นมาเป็นวัน..! ท่านคอมบอกว่าใจหายวาบเลย ถ้าหากว่ารู้ช้านี่แม่หมาอาจจะตาย ท่านบอกว่าท่านไม่ได้เข้าไป แต่แม่หมาเข้ามาเอง เพราะฉะนั้น..ตะกรุดมหาสะท้อนถ้าใช้ผิดก็อันตรายมาก แล้วอาตมาก็เขลาไปหน่อย สร้างพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านดันใส่ตะกรุดมหาสะท้อนลงไปด้วย ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าพกพระรุ่นนั้นไว้ก็อาจจะคลอดไม่ได้ไปด้วย ไม่ได้เจตนา คิดแต่ว่าจะใส่ชนวนสำคัญเลยลืมไป"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 01-11-2011 เมื่อ 08:48 |
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#118
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่นี้นั่งทำงานอยู่ข้างบน ก็นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เรื่องที่มีชาวตะวันตกหลายรายบอกว่า การทำความดีตามหลักพระศาสนาก็เพื่อความสุข แต่ทำไมพระพุทธศาสนาสอนแต่เรื่องทุกข์ ? แสดงว่าฝรั่งเขาไม่เข้าใจว่า สิ่งที่คิดว่าเป็นความสุขนั้น จริง ๆ แล้วก็คือความทุกข์ที่น้อยลงเท่านั้น
ความจริงแล้วเรื่องของทุกข์ไม่มีใครอยากได้ ก็เลยพลอยผลักไสปฏิเสธไปด้วย แต่ว่าหลักของพระพุทธศาสนานั้นเป็นการย้อนทวนกระแส ความสุขทำให้คนหลงยึดติดได้ง่าย เพราะเห็นว่าสุขจึงรับเอาไว้ด้วยความยินดี หารู้ไม่ว่ามีโทษยิ่งกว่าความทุกข์อีก โดยเฉพาะบุคคลถ้าหวังความหลุดพ้น ไม่ว่าจะติดสุขหรือว่าติดทุกข์ก็ไปไม่รอดทั้งคู่ ในเรื่องของความทุกข์นั้น ความจริงแล้วเป็นของที่มีค่ามหาศาล พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีมาอย่างน้อย ๔ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป เกิดจนนับชาติไม่ถ้วน ถ้าเราคำนวณว่าแต่ละชาติใช้ทรัพยากรไปเป็นจำนวนเงินเท่าไร บวกลบคูณหารออกแล้วรับรองว่าจะได้ตัวเลขมหัศจรรย์ที่อ่านออกมาไม่ได้ เพราะมหาศาลจริง ๆ ทั้งหมดที่พระองค์ท่านเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร ใช้ทรัพยากรไปจนประมาณเป็นตัวเลขไม่ได้ ก็เพื่อตรัสรู้ในเรื่องของความทุกข์นี่เอง เพื่อการรู้เห็นทุกข์อย่างชัดแจ้ง รู้ว่าทุกข์เกิดจากสาเหตุอะไร แล้วสามารถที่จะออกจากทุกข์อย่างไร ในเมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว จะเห็นว่าความทุกข์นั้นมีค่ามหาศาลที่ประมาณเป็นตัวเลขไม่ได้ เงินทองตลอดชีวิตที่เราทำมาได้ก็ไม่พอซื้อ แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่ว่าพอทุกข์อยู่ตรงหน้าแล้วพวกเราดันเผ่นหนีกัน แล้วเมื่อไรเราจะรู้เสียทีว่าความทุกข์นั้นเป็นอย่างไร ในเมื่อเราไม่รู้ก็จะไม่เบื่อ ไม่เข็ด ไม่กลัว ก็ต้องทนอยู่กับทุกข์ต่อไป แต่หากว่ารู้แล้ว ถ้าเรามี สติ สมาธิ ปัญญา เพียงพอ ก็จะเกิดอาการเบื่อ อาการเข็ด อาการกลัว แล้วก็เร่งหาทางพ้นจากความทุกข์ ดังนั้น..ที่ฝรั่งเขาความถามว่าหลักการของพระศาสนาต่าง ๆ เขาปฏิบัติเพื่อความสุข แต่ทำไมศาสนาพุทธพูดถึงแต่ทุกข์ทั้งนั้น ก็เพราะว่าความสุขที่ฝรั่งว่านั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นโลกียสุข เป็นความสุขที่เนื่องด้วยโลกียะ ไม่ใช่ความสุขที่เป็นโลกุตระ คือหลุดพ้นออกจากกองทุกข์ทั้งปวง ความสุขของโลกียะนั้นไม่ยั่งยืน พอขาดตัวกระตุ้น ขาดตัวหนุนเสริม ความสุขนั้นก็หายไป แต่ความสุขที่เป็นโลกุตรสุขนั้น เมื่อเข้าถึงแล้วคงตัวอยู่ไม่ไปไหน สิ่งที่เราวิ่งหากันอยู่ทุกวันคือความสุขในการหลุดพ้น แต่จะเข้าถึงความสุขในการหลุดพ้นได้เราต้องย้อนทวนความทุกข์ไปก่อน ก้าวทะลุกำแพงทุกข์เมื่อไรก็แปลว่าพบความสุขที่ยั่งยืนและแท้จริง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-11-2011 เมื่อ 09:42 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#119
|
||||
|
||||
"อาตมาไม่เหมือนกับชาวบ้านเขา อะไรที่ยากลำบากนี่จะวิ่งใส่เลย ถือเป็นความมันในชีวิต คิดไม่เหมือนชาวบ้านเขา คิดว่าเราสร้างบารมีมาจนป่านนี้แล้ว ถ้าทำอะไรง่าย ๆ แล้วเสียศักดิ์ศรี เพราะฉะนั้น..อะไรที่ยากเท่าไรก็มันเท่านั้น ใครจะเลียนแบบก็ได้นะ แต่ต้องอึดพอ ถ้าหน้าไม่ด้านพอเผ่นไปตั้งแต่แรกแล้ว..!
มีดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้าเรากระโดดเข้าหาความทุกข์ เราก็จะไม่ต้องโดนบังคับให้ทุกข์ ตรงนี้เคยพูดหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่คาดว่าญาติโยมทั้งหลายจะลืมไป บุคคลที่ตั้งใจจะไปพระนิพพาน ต้องเห็นทุกข์อย่างชัดแจ้ง เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด เข็ดกลัว แล้วหาทางหลีกหนีให้พ้นจากความทุกข์นั้น ถ้าตราบใดที่ไม่เห็นความทุกข์อย่างชัดแจ้ง ก็จะหลุดพ้นไม่ได้ แล้วพวกเราก็อธิษฐานกัน ขอถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ ไม่ดูความทุกข์สักทีแล้วเมื่อไรจะถึงพระนิพพาน พวกเราส่วนใหญ่ลงมาก่อนเวลา ในเมื่อลงมาก่อนเวลา ก็ต้องไปขออนุญาตเทวดาชั้นผู้ใหญ่ ให้ท่านช่วยรับรองให้ เทวดาที่ท่านรับรองให้ก็ต้องเป็นเจ้านายใหญ่ ก็คือท่านปู่พระอินทร์แล้วก็รวมท่านย่าไปด้วย ท่านย่าเคยบอกว่า ถ้าใครไม่ยอมพิจารณาให้เห็นทุกข์แล้วอยากจะไปนิพพาน ก็จะต้องโดนบังคับให้ทุกข์ เพราะฉะนั้น..ใครที่รู้สึกว่าชีวิตกูลำบากฉิบหายเลย ถ้าอยากจะสบายขึ้นให้รีบพิจารณาทุกข์ให้ชัดเจน ท่านจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาบังคับ ลองนึกดูว่าถ้าเราเลี้ยงวัว วัวตัวไหนที่น่ารัก เดินอยู่ในทาง จะไปโดนตีโดนเฆี่ยนได้อย่างไร ? ส่วนประเภทที่แวะเกะกะข้างทางไม่พอ แล้วยังไปกินข้าวชาวบ้านเขาอีก ก็ต้องโดนไม้ คราวนี้พอเจ็บพอลำบากขึ้นมาก็โวยวาย หารู้ไม่ว่าตัวเองไม่ยอมเดินไปดี ๆ เอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-11-2011 เมื่อ 15:44 |
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#120
|
||||
|
||||
"ฉะนั้น..รีบกลับไปพิจารณาเห็นทุกข์ให้ชัด จะได้ไม่ต้องถูกบังคับให้ทุกข์ วิธีบังคับให้ทุกข์ที่อาตมาเห็นมาส่วนใหญ่จะเป็นโรคมะเร็ง เจ็บปวดสาหัสดีนักแล อยากหายจากโรคมะเร็งให้รีบพิจารณาทุกข์ให้ชัด แต่อาตมาไม่ยืนยันว่าจะหายจากโรคมะเร็ง เพียงแต่บอกให้รู้ว่าถ้าตั้งใจไปพระนิพพานต้องเห็นทุกข์จนเบื่อร่างกายนี้ก่อน
อาตมาวิ่งใส่งานทุกอย่างที่ขวางหน้า อย่างวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาวิ่งรถ ๒,๐๐๐ กว่ากิโลเมตร ออกตีสามกลับมาถึงที่นี่เที่ยงคืน แล้วต้องมารับสังฆทานต่อ ยอมเหนื่อยเพราะรู้ว่า แค่นี้ตัวเองยังรับได้ พอทนได้กับความเหนื่อยแค่นี้ แต่ถ้าให้เขามาเองนี่ไม่รู้ว่าเขาจะมาหนักเบาเท่าไร เพราะฉะนั้น..วิ่งใส่งานดีกว่า ดีกว่าให้ความทุกข์เข้ามาบังคับเราเอง สรุปแล้วเมื่อครู่ขึ้นไปนั่งทำงาน เลยคิดอะไรได้ตั้งเยอะแยะ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-11-2011 เมื่อ 16:17 |
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) | |
|
|