กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #101  
เก่า 18-01-2012, 16:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,993
ได้รับอนุโมทนา 4,416,474 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เส้นเลือดแตกยังไม่น่ากลัว เส้นเลือดเปราะน่ากลัวกว่า บางคนโดนนิดโดนหน่อยก็ช้ำเลือดใต้ผิวหนัง ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากอาหารการกินแทบทั้งนั้น ใครที่กินพวกไขมันอิ่มตัวมากก็อาการหนักกว่าเขาหน่อย

โดยเฉพาะสมัยนี้อาหารตะวันตกเข้ามาเยอะ บ้านเขาต้องกินอาหารที่มีแคลอรี่สูงเพื่อสู้กับความหนาว บ้านเราเป็นเมืองร้อนแต่ไปกินอาหารของคนเมืองหนาว ก็เกิดผล ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรก คืออ้วนง่ายเพราะกินแล้วไม่ได้ไปใช้ เก็บหมด อย่างที่สองคือโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ มีมากขึ้น ถึงเวลาก็มีไขมันในเลือด มีเส้นเลือดอุดตัน

และโรคน่าเกลียดน่าชังที่เพิ่งเคยได้ยินเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ คือ ไขมันพอกตับ ทำเป็นไก่ไปได้ มีไขมันพอกตับ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2012 เมื่อ 18:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #102  
เก่า 19-01-2012, 10:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,993
ได้รับอนุโมทนา 4,416,474 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้มีปัญหาที่วัดหนองบ้านเก่า เจ้าอาวาสวัดหนองบ้านเก่าจัดงานปิดทองฝังลูกนิมิตเสร็จเรียบร้อยแล้วก็สึก ท่านสึกแบบพระที่เป็นสายของหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็คือสึกอย่างเดียว เงินทองไม่ได้เอาไป ก็เลยมีปัญหาตรงที่ว่า บรรดากรรมการวัดอยากได้เงินก้อนนั้น (จำนวนเกือบ ๒ ล้านบาท)

ตอนแรกหลวงพ่อสมคิดก็มาขอพระครูบ่าวไปเป็นเจ้าอาวาส พระครูบ่าวได้ยินก็เครียด ความดันขึ้นเลย เพราะเป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัทก็จะแย่อยู่แล้ว ไป ๆ มา ๆ ทางกรรมการเขาก็ผลักดันพระในวัดที่เพิ่งจะ ๔ พรรษาขึ้นไปรักษาการณ์เจ้าอาวาส เพื่อจะได้ควบคุมได้

หลวงพ่อสมคิดเห็นท่าไม่ดีก็เลยใช้อำนาจทางกฎหมาย ท่านเป็นเจ้าคณะตำบลปกครองเขตนั้นอยู่ จึงอายัดบัญชีเงินไว้ พวกกรรมการวัดก็มาคุ้ยแคะแกะเกา สารพัดที่จะเกลี้ยกล่อมทุกอย่าง หลวงพ่อสมคิดไม่เอาด้วยอย่างเดียว ท้ายสุดพวกกรรมการวัดก็เลยหันไปบีบว่าที่เจ้าอาวาสให้เป็นคนไปเบิก อ้างว่าจะทำนั่นทำนี่ ทั้ง ๆ ที่ทุกอย่างเจ้าอาวาสเก่าเขาทำไว้หมดแล้ว ถ้าปิดทองฝังลูกนิมิตก็แสดงว่าโบสถ์เสร็จแล้ว ของยากที่สุดก็เสร็จแล้ว ที่เหลือยังต้องไปทำอะไรอีก ?

ว่าที่เจ้าอาวาสทนกรรมการวัดไม่ไหว จึงหนีออกจากวัดไป หลวงพ่อสมคิดก็เลยโทรศัพท์มาปรึกษากับอาตมา ว่าจะขอตัวพระครูบ่าวอีกครั้งหนึ่ง อาตมาได้ยินแล้วก็ขำ ครั้งแรกพระครูบ่าวก็ความดันขึ้นแล้ว นั่นแค่คาดว่าจะต้องเป็นเจ้าอาวาสนะ ถ้าต้องเป็นเจ้าอาวาสแน่ ๆ ดีไม่ดีเส้นเลือดในสมองอาจจะแตกตายไปเลย..!

อาตมาก็เลยบอกว่าเอาอย่างนี้แล้วกัน พระครูบ่าวดูท่าจะไม่ไหวเพราะสุขภาพไม่ค่อยดี มีพระครูหน่อยอีกรูปหนึ่ง แต่ว่าท่านติดเรียนอยู่ หากจะไปบริหารอะไรก็ได้ไม่เต็มที่ในระยะแรก ตอนนี้มีตัวสำรองอยู่ก็คือหลวงพี่ใหม่"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2012 เมื่อ 15:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #103  
เก่า 19-01-2012, 10:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,993
ได้รับอนุโมทนา 4,416,474 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"หลวงพี่ใหม่เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดทรงเมตตาวนารามที่ชลบุรี ท่านเบื่อสารพันปัญหาที่เกี่ยวกับชาวบ้านก็เลยลาออก ไป ๆ มา ๆ ท่านก็มาอยู่แถวนั้น และสนิทกับมหาโรจน์ จึงบอกว่าให้ติดต่อมหาโรจน์ให้บอกหลวงพี่ใหม่ที อาจารย์เล็กขอร้องให้มาเป็นเจ้าอาวาสทีเถอะ อย่างไรถ้าเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ ทางนี้ผมค่อยส่งพระครูหน่อยไปให้ ก็เลยตกลงกันตามนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าคุยกันไปถึงไหนแล้ว ?

คนลาออกจากเจ้าอาวาสด้วยความเบื่อหน่าย แล้วให้ไปเป็นเจ้าอาวาสอีกก็คงจะยากนะ ได้แต่หวังว่าเขาคงจะเกรงใจอาตมาแล้วกัดฟันรับเอาไว้

คราวนี้โยมเห็นหรือยังว่า ปัญหาใหญ่จริง ๆ ในวัดนี่ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากพระ แต่เกิดจากฆราวาสที่มาทำตัวเป็นเจ้านายพระ และฆราวาสที่เขาเข้ามา ตำแหน่งที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย มีอยู่ตำแหน่งเดียว คือ ไวยาวัจกร เพราะกฎหมายระบุชัดไว้ว่า เจ้าอาวาสและไวยาวัจกรเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย แต่กฎหมายคณะสงฆ์ก็ระบุไว้ชัดว่า ไวยาวัจกรมีหน้าที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ตามที่เจ้าอาวาสสั่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเข้ามาเพื่อเป็นพ่อเจ้าอาวาสทั้งนั้นเลย..!

สมัยตอนอยู่กับหลวงพ่อฤๅษีที่วัดท่าซุง ท่านถึงได้สั่งไว้ว่า “ถ้าแกไปเป็นเจ้าอาวาสที่ไหนก็ตาม เวลาตั้งกรรมการวัด ให้ตั้งพระด้วยกันให้หมดเรื่องไปเลย อย่าไปตั้งฆราวาส” แต่อาตมาเป็นคนชอบมีเรื่อง มีแล้วเกิดความมันในชีวิต อยู่เฉย ๆ แล้วเซ็งตายเลย เพราะฉะนั้น..พอเป็นเจ้าอาวาสแทนท่านอาจารย์สมพงษ์ ก็ไปเลาะหาชื่อกรรมการเก่า แล้วตั้งคืนไปทุกคน ถึงเวลาประชุมกรรมการ อาตมาก็ชี้แจงบัญชีเงินทุกบาททุกสตางค์ทุกกองทุนให้เขาดู มีแต่ตัวเลขติดลบ เขาเห็นแบบนั้นก็หมดอยากไปเอง

ปีนี้ก็เพิ่งจะชี้แจงบัญชีไป ติดลบแค่ ๖ ล้านกว่าบาทเท่านั้น เพราะฉะนั้น..วิธีที่จะทำให้กรรมการวัดไม่มีอิทธิพลเหนือเจ้าอาวาสก็คือ สร้างหนี้ให้เยอะ ๆ ไว้ พอเขาเห็นว่าหาประโยชน์ไม่ได้เขาก็จะไปเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2012 เมื่อ 15:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #104  
เก่า 19-01-2012, 10:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,993
ได้รับอนุโมทนา 4,416,474 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"กรรมการวัดไม่ได้มีอำนาจหน้าที่อะไรเลย นอกจากเจ้าอาวาสแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยอำนวยงานวัดให้สำเร็จเรียบร้อยโดยง่าย แต่ว่าส่วนใหญ่มาแล้วจะมาเป็นพ่อเป็นแม่เจ้าอาวาสกันทุกที ส่วนใหญ่เขาก็ไม่รู้ด้วยว่ากฎหมายระบุไว้ว่า ถ้าเจ้าอาวาสพ้นหน้าที่ ไวยาวัจกรและกรรมการก็พ้นหน้าที่ไปด้วย จนกว่าเจ้าอาวาสคนใหม่จะแต่งตั้งขึ้นมา ถ้าไม่เอาคนเก่าก็ซวยไปเลย

ตั้งแต่อาตมาเป็นเจ้าอาวาสมานี่กรรมการวัดท่าขนุนสบายที่สุด ถึงเวลาประชุม กรรมการวัดไม่ต้องออกความเห็น ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ฟังอย่างเดียว...จบแล้วกลับบ้านได้ ไม่มีการบอกบุญ ไม่มีการเรี่ยไร ไม่มีการแจกซองให้ไปทำทั้งนั้น ถ้าแจกซองเมื่อไรก็รั่วไหลเมื่อนั้น เขาคืนมาครบทุกซอง แต่ในซองเงินครบไหม ? กติกาวัดถ้าไม่บอกบุญไม่เรี่ยไรนี่สบายใจทั้ง ๒ ฝ่าย เราก็ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยเขา เขาก็จะได้ไม่ต้องไปทุจริต

ไวยาวัจกรที่อาตมาแต่งตั้งก็สบายมาก ไม่ต้องมีอะไรเลย นอกจากถึงปีก็เซ็นรับรองบัญชีที่อาตมาทำเองนั่นแหละ เขาเห็นตัวเลขเขาก็เซ็งแล้ว ติดลบแดงโร่ได้ทุกปี มิน่า..หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้บอกว่า เงินปีนี้อย่าใช้ถึงปีหน้า ก็แปลว่าถลุงให้หมดเกลี้ยงภายในปีนี้แหละ ถ้ามีเงินเหลือให้หางานใหญ่กว่าเงินทำเอาไว้เสมอ จะได้ไม่คิดว่าเงินเป็นของเรา สมมติว่าเหลือเงินสัก ๑ ล้านบาท ก็หางานสัก ๓-๕ ล้านบาททำไปเลย

คราวนี้จากการที่อาตมาส่งพระที่วัดไปเป็นเจ้าอาวาสที่อื่น ส่วนใหญ่ไปแล้วดี ดังนั้น..ถึงเวลาเขาขาดเจ้าอาวาสที่ไหนเขาจะมาขอที่วัดท่าขนุน แม้กระทั่งบางรูปที่ลาออกจากเจ้าอาวาสกลับมาอยู่ที่วัดท่าขนุน อย่างพระครูน้อย ลาออกจากเจ้าอาวาสที่วัดคลิตี้มา ถึงเวลามีงาน คนคลิตี้เขาก็เอารถมาแห่กลับไป คุณไม่เป็นเจ้าอาวาสก็ไม่เป็นไร แต่ตอนวันงานคุณมาก็แล้วกัน เขารักของเขา

ชาวบ้านเขาบอกว่า เจ้าอาวาสตั้งแต่รูปแรกจนถึงรูปปัจจุบัน ที่เขาเห็นมีพระครูน้อยคนเดียวที่ไปแล้วทำตามแบบของวัดท่าขนุน มีสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น ดูแลรักษาทำความสะอาดวัด คนอื่นเขาปล่อยวัดรกเป็นป่า อย่างดีก็ถูกุฏิตัวเองหลังเดียว บางทีกุฏิตัวเองก็ไม่ถู ใช้ชาวบ้านถูซะอีก

เจ้าอาวาสรูปก่อน ชาวบ้านเขาไม่ต้องการ เพราะว่าไปแล้ว ถึงเวลาชาวบ้านมานิมนต์ จะขอเก็บค่ามัดจำก่อน ๕๐๐ บาท งานใหญ่งานเล็กไม่รู้ ? จ่ายมาก่อน ๕๐๐ บาท ไม่อย่างนั้นไม่ไป..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2012 เมื่อ 15:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #105  
เก่า 19-01-2012, 10:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,993
ได้รับอนุโมทนา 4,416,474 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เขาไปลักษณะเหมือนกับโดนเจ้าคณะตำบลหลอกใช้ คือรู้ว่าความประพฤติไม่ดี แต่ถ้าตัวเองหาเจ้าอาวาสไม่ได้ก็อาจจะบกพร่อง โดนพิจารณา เขาก็เลยทำตราตั้งโดยไม่มีลายเซ็น ให้ไปเป็นเจ้าอาวาส เป็นตราตั้งที่ไม่มีผลตามกฎหมาย เพราะไม่มีลายเซ็นเจ้าคณะตำบล โดยที่เขาบอกว่าบริหารงานให้ดีแล้วเขาจะเซ็นให้ เข้าใจแหกตามากเลย..!

พอชาวบ้านเขาไม่เอา เขาก็มาขอพระจากอาตมาไป อาตมาจึงส่งพระครูน้อยไป ทางด้านนั้นก็ไม่ยอม..ประท้วง “ผมจะรวมชาวบ้านมาขับไล่” อาตมาบอกว่า “ดี..รีบไปรวมมา” พอชาวบ้านมากันครบ อาตมาก็ประกาศบอกผู้ใหญ่บ้านว่า “เอ้าโยม..ลงคะแนนมา จะเอาเจ้าอาวาสใหม่หรือจะเอาเจ้าอาวาสเก่า” ปรากฏว่าทุกคนเอาเจ้าอาวาสใหม่ เจ้าอาวาสเก่าจึงเฉาไปเลย

อาตมาบอกว่า "คุณไม่ได้มีอำนาจอะไรตามกฎหมายเลย เพราะตราตั้งก็ไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้อง การรายงานขึ้นไปเพื่อให้ทางคณะสงฆ์รับรองให้เป็นเจ้าอาวาสอย่างถูกต้องตามกฎหมายก็ไม่มี แต่เจ้าอาวาสใหม่ตราตั้งอยู่นี่ ผมเพิ่งจะเซ็นตั้งเมื่อครู่นี้เอง"

คราวนี้พอพระครูน้อยท่านอยู่ไปนาน ๆ แล้วเหนื่อย การเป็นเจ้าอาวาสนี่เหนื่อยมาก ต้องรับผิดชอบทุกอย่าง โบราณท่านใช้คำว่าสมภาร (สม+ภาระ เสมอด้วยงาน) พูดง่าย ๆ ก็คือไปแบกภาระทุกอย่างในวัด ท่านก็เลยลาออก

หลังจากพระครูน้อยออก จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ชาวบ้านยังไม่ได้เห็นหน้าเจ้าอาวาสใหม่เลย ทุกคนรู้ว่ามีการแต่งตั้ง แต่เจ้าอาวาสใหม่ไม่เข้าไป เพราะทางไกลและลำบากเขาก็ไม่ไป แต่งตั้งตัวเองเอาไว้เพื่อเอาอาวุโสและกินเงินเดือนเฉย ๆ เงินเดือนเจ้าอาวาสก็แค่ ๑,๕๐๐ บาท แต่ก็ดีกว่าอยู่เปล่า ๆ

ก่อนหน้านี้หลายสิบปี เงินเดือนเจ้าอาวาส ๕๐๐ บาท เพิ่งจะมาขึ้นเงินเดือนเมื่อไม่นานมานี้เอง ตอนสมัยนั้นเจ้าคุณสามัญอย่างหลวงพ่อวัดท่าซุง ตอนที่ท่านเป็นพระสุธรรมยานเถระ เงินเดือน ๔๔๐ บาท เจ้าอาวาสได้ ๕๐๐ บาท สมเด็จพระสังฆราชเงินเดือน ๓,๐๐๐ บาท เพิ่งจะมาปรับในยุคหลังนี่เองไม่กี่ปี

มาช่วงรัฐบาลคุณทักษิณจะปรับเงินเดือนให้เจ้าอาวาส ๓,๓๐๐ บาท โดยเอาฐานแนวคิดจากการส่งคนไปนั่งกินข้าวในตลาด สรุปว่าคนหนึ่งถ้ากินแล้วอิ่มพอดี มื้อละ ๕๕ บาท พระฉัน ๒ มื้อ ๑๑๐ บาท คูณ ๓๐ ได้ ๓,๓๐๐ บาทพอดี แต่ไม่สำเร็จ เสนอเรื่องไปแล้วโดนตีหงายท้องกลับมา เขาให้แค่ ๑,๕๐๐ บาท แต่ก็ยังดี..งอกเพิ่มมา ๑,๐๐๐ บาท ไม่อย่างนั้นก็ได้แค่ ๕๐๐ บาทเท่าเดิม"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 19-01-2012 เมื่อ 15:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #106  
เก่า 19-01-2012, 10:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,993
ได้รับอนุโมทนา 4,416,474 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ส่วนอาตมา ตั้งแต่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ มา เงินเดือนพระครูสัญญาบัตร ๒,๕๐๐ บาท แต่โดนหักไปปีละ ๕,๐๐๐ บาท เข้ากองทุนวัดช่วยวัด ๒,๕๐๐ บาท เข้ากองทุนช่วยเหลือชาวพุทธ ๒,๕๐๐ บาท จะหักเดือนมกราคมกับเดือนเมษายน ก็แปลว่าทำงาน ๑ ปีได้เงินเดือน ๑๐ เดือน ขนาดได้ทุกเดือนยังไม่พอยาขี้ฟันเลย..!

ส่วนใหญ่ที่คนอื่นเขาอยากเป็นเจ้าอาวาสกัน เพราะว่าเขาหวังผลประโยชน์เวลากฐินหรือผ้าป่า แต่พระสายของหลวงพ่อเรานี่ถ้าเงินมาต้องเหนื่อย เพราะไปทำให้เขาหมด พอทำแล้วไม่เสร็จก็ต้องไปหาเพิ่มให้เขาอีก ก็เลยกลายเป็นว่าพวกเราไม่มีใครอยากจะเป็นเจ้าอาวาสกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2012 เมื่อ 15:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #107  
เก่า 19-01-2012, 10:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,993
ได้รับอนุโมทนา 4,416,474 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ช่วงที่อาตมาอยู่เกาะพระฤๅษี อาทิตย์หนึ่งก็จะเข้าตลาดครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะไปซื้อพวกกับข้าวและข้าวของต่าง ๆ โดยเฉพาะผลไม้ ไปถึงก็เห็นเขาขายชมพู่เพชร ก็ไปสั่งเขา ๕ กิโลกรัม บอกให้เขาเลือกให้ด้วย เจ้าของร้านบอกว่าเลือกไม่เป็นจ้ะ อาจารย์เลือกเป็นไหม ?

อาตมาบอกว่า ถ้าอาตมาเลือกเองโยมน้ำตาเล็ดแน่ คราวหน้าขายไม่ได้หรอก เขาถามว่าทำไม เพราะอาตมาเลือกมีแต่ลูกหวาน ๆ จะเหลือแต่ลูกจืด ๆ เขาก็ทำหน้าเหมือนกับไม่เชื่อ ก็เลยจัดการเลือกเอง"

ปรากฏว่าตัวขี้สงสัยก็คือท่านกอล์ฟ สงสัยทุกเรื่อง บอกว่าขอเปลี่ยนลูกหนึ่งได้ไหม ? ท่านเอาชมพู่ลูกที่อาตมาเลือกออก แล้วก็เอาที่ไม่ได้เลือกมาลูกหนึ่ง แล้วจำไว้ว่าลูกไหน พอถึงเวลาซื้อมาแล้วเสร็จสรรพ ท่านกอล์ฟก็ฉวยลูกที่เลือกกับที่ไม่ได้เลือกไปกัดอย่างละคำ แล้วท่านก็ยอมรับว่า ลูกชมพู่ที่อาตมาเลือกหวาน ส่วนที่ท่านเปลี่ยนมารสชาติเปรี้ยวจืด ๆ

ท่านถามว่าทำไมอาตมาถึงรู้ ก็เพราะอาตมาเกือบจะโตมากับต้นชมพู่ สมัยเด็ก ๆ ปีนต้นเก็บกินอยู่ทุกวัน ทำไมจะไม่รู้ลูกไหนอร่อยหรือไม่อร่อย ?

ชมพู่ถ้าจะให้หวาน ก่อนออกตลาดสักอาทิตย์หนึ่งให้ตัดน้ำเสีย อย่ารดน้ำ ถ้ารดน้ำแล้วต้นจะดูดน้ำขึ้นไปมาก รสชาติจะจืด แต่คราวนี้เจ้าของเขาไม่รู้ ไปเร่งน้ำเยอะ ๆ น้ำหนักจะได้ดี ปรากฏว่ารสชาติไม่เอาอ่าวเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2012 เมื่อ 15:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #108  
เก่า 20-01-2012, 12:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,993
ได้รับอนุโมทนา 4,416,474 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงเด็ก ๆ ว่า "เด็ก ๆ สภาพจิตยังผ่องใสอยู่ จึงรับรู้อะไรได้ไว ถ้าหากว่าผู้ใหญ่ไม่รักเขาจริง เห็นเขาเป็นภาระ บางทีเขาก็เบื่อ ไม่ยอมรับ ดังนั้น..พี่เลี้ยงต้องปรับตัวเยอะ ๆ ชอบหรือไม่ชอบก็ต้องกัดฟันรักเขาให้ได้

เพราะสภาพจิตของเขายังผ่องใสอยู่ ยังไม่เหมือนผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่นี่กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ทับถมมายาวนานเท่าอายุ ในเมื่อใจเขายังใสอยู่ก็รับอะไรได้เร็ว เหมือนกับหมาที่วัด อาตมาด่าหมา เขาแลบลิ้นเลียหน้าแผล็บ ๆ เพราะรู้ว่าอาตมาด่าแต่ปาก แต่เวลาเราด่าพระด่าเณรนี่นั่งหัวหดกันหมด แสดงว่าหมารู้ดีกว่า..!

มีอยู่ระยะหนึ่งตอนนั้นอาตมาราว ๆ สัก ๕-๖ พรรษา เจอเด็กแล้วรักทุกคนเลย คิดแล้วใจหาย นี่ถ้าเป็นฆราวาสได้แต่งงานมีลูกแน่ ๆ ช่วงอารมณ์ตอนนั้นเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เห็นลูกใครก็น่ารักไปหมด"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2012 เมื่อ 18:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #109  
เก่า 20-01-2012, 12:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,993
ได้รับอนุโมทนา 4,416,474 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default



พระอาจารย์กล่าวถึงผ้าไตรว่า "เดี๋ยวนี้ผ้าไตรพัฒนาไปเยอะ ปัจจุบันนี้ที่เขานิยมกันเป็นผ้ามัสลิน ถ้าเป็นผ้าฝ้าย ๑๐๐ % คนเห็นแล้วไม่ค่อยชอบ เพราะฝ้าย ๑๐๐ % ทอแล้วเนื้อจะเป็นขน แต่ว่าห่มสบาย แล้วก็มีผ้าโทเรซึ่งจะผสมโพลีเอสเตอร์ ๓๐ % มีผ้าไตรแพร ผ้าไตรแพรนี่จะลื่นมาก สวยอย่างเดียว แต่ห่มไม่ติด รัดอกดีแค่ไหนเดี๋ยวก็ลื่นหล่น

มีผ้าไตรไหม แบ่งเป็นไหมญี่ปุ่นกับไหมโคราช ไหมญี่ปุ่นว่าราคาแพงแล้ว ไหมโคราชยังแพงกว่าอีก ผ้าพวกนี้เป็นผ้าที่บ้านเรานิยมใช้กัน ถ้าเป็นตามที่พระพุทธเจ้าอนุญาต ตามบทบาลีที่ว่า โขมํ กปฺปาสิกํ โกเสยฺยํ กมฺพลํ สาณํ ภงฺคํ

โขมํ ผ้าเปลือกไม้ กปฺปาสิกํ ผ้าฝ้าย โกเสยฺยํ ผ้าไหม กมฺพลํ ผ้าขนสัตว์ สาณํ ผ้าป่าน ภงฺคํ ผ้าแกมกัน เป็นผ้าเนื้อผสม อย่างฝ้ายผสมโพลีเอสเตอร์ เป็นต้น

แสดงว่า การทอผ้าในสมัยโบราณก็ก้าวหน้า เพราะว่าสามารถใช้หลายอย่างผสมกันทอขึ้นมาได้ บางทีถึงขนาดใช้เส้นเงินเส้นทองมาผสมเป็นเนื้อผ้า ทอออกมาแล้วหนักมาก ถ้าไม่แข็งแรงพอก็ยกไม่ไหว

ถ้าหากว่าใครที่สะสมผ้าโบราณหรือศึกษาเรื่องนี้มา เขาดูก็รู้เลยว่าผืนนี้ผสมอะไรบ้าง ไปขอซื้อจากคุณย่าคุณยาย แต่แกมักจะไม่ค่อยขาย ส่วนใหญ่จะเก็บไว้เป็นผ้าประจำตระกูล ไว้รับขวัญ มีอบพวกบุหงาด้วย เปิดลังออกมาก็หอมตลบไปหมด"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2012 เมื่อ 18:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #110  
เก่า 20-01-2012, 12:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,993
ได้รับอนุโมทนา 4,416,474 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๕๑ คณะรัฐมนตรีมีมติว่าให้ผู้หญิงลาบวชได้ ๓ เดือนโดยไม่ถือว่าขาดราชการ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ เจ้าหน้าที่ พนักงานหรือลูกจ้างประจำของหน่วยงานรัฐที่เป็นสตรี

แต่ที่ทองผาภูมิ พออาตมาประกาศว่าลามาบวชที่วัดได้ เพราะว่าทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เขาต้องประกาศก่อนว่าวัดไหนพร้อม ปรากฏว่าพวกข้าราชการที่ทองผาภูมิลาไม่ได้ หัวหน้าหน่วยงานในพื้นที่บอกว่าไม่มีคำสั่งมา

จริง ๆ แล้วเมื่อเป็นมติคณะรัฐมนตรีแล้ว ไม่ต้องมีคำสั่ง เพราะเขาถือว่าเป็นกฎหมายอยู่แล้ว อย่างนี้ต้องฟ้องให้ลือลั่นไปสักรายหนึ่ง จะได้เข็ดไปตาม ๆ กัน อาตมาเองแจ้ง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด บอกว่าช่วยแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดหน่อยว่า มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น ช่วยให้ทางจังหวัดมีคำสั่งลงไปทุกหน่วยงาน จะได้รู้เรื่องกันไป ไม่อย่างนั้นผู้หญิงเขาก็เสียสิทธิ์ไปโดยใช่เหตุ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2012 เมื่อ 18:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #111  
เก่า 20-01-2012, 13:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,993
ได้รับอนุโมทนา 4,416,474 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยังอยู่ จัดงานเป่ายันต์ที่ศาลาไหนครับ ?
ตอบ : ครั้งแรกที่ศาลาพระพินิจอักษร เป่ายันต์ได้ครั้งเดียว เพราะว่าต้องเป่ากัน ๔-๕ รอบ แล้วก็ย้ายไปที่ศาลา ๒ ไร่ ไปที่ ศาลา ๔ ไร่ แล้วก็ไปที่ศาลา ๑๒ ไร่ ๓ ครั้งหลังนี่ใช้ศาลา ๑๒ ไร่

ถาม : แล้วท่านพักที่ตึกไหนครับ ?
ตอบ : ก่อนหน้านั้นอยู่ที่ตึกกลางน้ำ แล้วก็มาย้ายไปหลังวิหาร ๑๐๐ เมตร

ถาม : หลังวิหาร ๑๐๐ เมตร ที่เขาเรียกว่าเล้าเป็ดหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่..เล้าเป็ดเป็นกุฏิแรกของท่านที่ริมน้ำ เป็นกุฏิเล็ก ๆ แบบเพิงหมาแหงน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 21-01-2012 เมื่อ 08:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #112  
เก่า 20-01-2012, 13:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,993
ได้รับอนุโมทนา 4,416,474 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันอาทิตย์ช่วงเช้า ๆ คนจะน้อย เพราะส่วนใหญ่แล้วเขาจะตื่นสาย เห็นเป็นวันหยุด แต่อาตมานี่ไม่ว่าจะวันหยุดหรือไม่หยุดก็ตื่นสายไม่ได้ เป็นตายอย่างไรก็จะตื่นให้ได้ ๐๑.๓๐ น.-๒.๐๐ น. ก็ตื่น เพราะเป็นความเคยชิน

ตอนเด็ก ๆ ครอบครัวคนจีนเริ่มทำงานตั้งแต่เช้ามืด พอมาฝึกกรรมฐานก็ต้องรีบตื่นเพื่อที่จะได้มีเวลาพอฝึก ก็เลยกลายเป็นความเคยชินที่ตื่นสายกับใครเขาไม่เป็น เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องตื่นขึ้นมาทำกรรมฐานให้ได้

สมัยที่หนักที่สุดก็คือตอนเรียนทหาร ช่วงฝึกยุทธวิธีรบเวลากลางคืน ช่วงนั้นเป็นเดือน ๆ ต้องตื่นตี ๕ กว่าจะได้นอนก็ ๓ ทุ่ม พอ ๔ ทุ่มก็มีเสียงเป่านกหวีดเรียกให้ตื่นไปฝึก จนตี ๒ ตี ๓ แล้วค่อยนอน ตี ๕ ตื่นใหม่ เป็นอย่างนี้ทุกวัน ก็ยังอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาฝึกกรรมฐานได้

เพราะรู้ว่าถ้าเราไม่ฝึกตอนนี้ เวลาอื่นก็ไม่แน่นอน แม้ว่าสมัยนั้นจะสามารถวิ่งไปภาวนาไปได้ แต่กำลังใจไม่นิ่งเหมือนตอนที่นั่งภาวนา เป็นสมาธิแน่นไม่ได้ เพราะว่าถ้าสมาธิแน่นจะทำให้วิ่งไม่ออก อาตมาวิ่งภาวนาได้ก็จริง แต่สมาธิยังไม่ใช่ระดับฌานใช้งาน เป็นได้แค่อุปจารสมาธิ จึงต้องมานั่งฝึกให้สมาธิทรงตัว แต่ก็ดีตรงที่ทำให้มีกำลัง แม้ว่าจะนอนน้อยแต่ก็ยังไปได้เรื่อย

ขนาดนั้นก็ยังเคยยืนหลับ ทหารเขาฝึกท่าอาวุธ เวลาครูฝึกสั่งเรียบอาวุธ อาตมาก็ลดปืนลงจากบ่าตามขั้นตอน แต่พอจังหวะเข้าร่องไหล่ดันตัดหลับเฉยเลย

โดนครูฝึกตะโกนกรอกหูว่า “เฮ้ย..อย่าเหม่อสิวะ!” ถึงได้สะดุ้งเฮือกขึ้นมา แสดงว่าเวลาร่างกายเพลียมาก ๆ จะตัดหลับเอง ยืน ๆ อยู่ก็หลับได้ ถึงได้รู้ว่าหลับในเป็นอย่างไร หลับใน..เพราะข้างในไม่รับรู้..หลับไปแล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2012 เมื่อ 18:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #113  
เก่า 20-01-2012, 13:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,993
ได้รับอนุโมทนา 4,416,474 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"มีคนมาน้อย ๆ ประมาณ ๑๐-๒๐ คนกำลังดี ถ้าคนเยอะ ๆ แล้วคนนั้นเรื่องหนึ่งคนนี้เรื่องหนึ่งแล้ว ทำให้ปรับอารมณ์ไม่ทัน เพราะแต่ละคนกำลังใจไม่เท่ากัน ถ้าอาตมาไม่ลดกำลังใจลงไปให้เท่าเขา หรือไม่เพิ่มกำลังใจขึ้นไปให้เท่าเขา ก็จะไม่เข้าใจเรื่องนั้น ถ้าลดเพิ่มเท่ากันก็สามารถตอบปัญหาได้ เพราะจะเข้าใจว่าอารมณ์ของเขาตอนนั้นว่าเป็นอย่างไร

ตรงจุดนี้เป็นจุดหนึ่งที่ว่า ถ้าหากไม่มีความคล่องตัวจริง ๆ แล้วมานั่งอยู่ในสถานะผู้ตอบคำถามเดี๋ยวจะยุ่ง เจอคนถามคำถามงี่เง่ามาก ๆ เข้า จะเกิดอารมณ์โกรธขึ้นมาอีก ถ้าหากว่าโกรธขึ้นมาก็ยุ่งเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 12-11-2019 เมื่อ 13:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #114  
เก่า 20-01-2012, 13:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,993
ได้รับอนุโมทนา 4,416,474 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนท่านออกป่า ท่านสมาทานธุดงค์ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เคยสมาทาน เดี๋ยวเทวดาเหยียบเอา เพราะอาตมาไม่เคร่ง แต่ก็ไปได้นานกว่าพวกที่สมาทานอีก

ถาม : ที่ว่าไม่เคร่งนี่คือในส่วนของอภิสมาจารหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ ในส่วนของการฉัน เพราะว่าอาตมาเองฉัน ๒ มื้อ ส่วนหลวงตาโมเช่ท่านเกรงใจ ท่านจึงไม่ฉัน ๓ มื้อ แต่ฉัน ๒ มื้อตาม ทั้งที่ท่านเป็นตาฤๅษี

ถาม : ท่านฉันพวกผักอย่างเดียวหรือครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่กะเหรี่ยงก็ถือในลักษณะของกินเจอยู่แล้ว ไปป่ากันเป็นเดือน ออกมานี่ไม่รู้ว่าผอมหัวโตกันขนาดไหน กินแต่ผักแต่หญ้า มีอยู่ช่วงหนึ่งเดินอยู่ ๒-๓ วัน มีแต่ป่าชะอมไปตลอดทาง

ด้วยความที่อาตมาเป็นเด็กชาวบ้านมาก่อน ก็คิดว่าชะอมเป็นพืชยืนต้น แต่จริง ๆ แล้วชะอมเป็นไม้เลื้อย อยู่ในป่าต้นใหญ่ขนาดขาอ่อน เลื้อยเต็มภูเขาเลย แต่ตามบ้านที่เห็นเป็นไม้ยืนต้นเพราะโตไม่พอให้เลื้อย โดนเด็ดยอดอยู่เรื่อย

ตอนช่วงนั้นอาตมาเดินจากทุ่งใหญ่ขึ้นไปอุ้มผาง ๓ วันอยู่แต่ในดงชะอมไม่ได้ไปไหนเลย อะไรจะขึ้นได้เป็นดง ๆ ขนาดนั้น แบบเดียวกับผักหวานป่า ผักหวานป่านี่ถ้ามีต้นแม่อยู่บนยอดเขา เนินเขานั้นทั้งลูกจะเป็นผักหวานป่าหมด เพราะเวลาเม็ดตกก็ขึ้นไปเรื่อย

ตอนนั้นกินชะอมจนหน้าจะเป็นหนามอยู่แล้ว พอวันที่ ๓ คงจะทำหน้าเบื่อโลกเต็มที หลวงตาโมเช่ท่านก็บอกว่า "เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้เปลี่ยนผักแล้ว" พรุ่งนี้จะพ้นเนินเขานั้นแล้ว อะไรก็พอกินได้ แต่ผักชะอมฉุนจะตาย ต้องทนกินอยู่ตั้ง ๓ วัน

แต่ไปกับท่านโมเช่นั้นดีอยู่อย่างหนึ่ง เจออะไรที่กินได้ท่านจะเก็บใส่ย่ามไปเรื่อย ท่านบอกใบนั่นกินได้ หน่อนี่กินได้ ดอกนั่นกินได้ บางทีหุงข้าวแล้วอาตมานั่งเฝ้าหม้อข้าวอยู่ ท่านก็เดินหายเข้าป่าไป พักหนึ่งได้ผักมาเป็นหอบเลย ท่านบอกว่าอย่างนี้ต้องต้ม อย่างนี้ต้องเผา แต่ก็แปลก..ผักบางประเภทเวลาเคี้ยวใบสด ๆ เข้าไปแล้วโดนยางกัดปาก เพราะเป็นกรด แต่พอเผาแล้วกลับอร่อย

อาตมาเองอยากรู้ว่ากินวิธีอื่นได้หรือเปล่า ? ก็เลยลองจนท่านโมเช่โกรธ ท่านบอกว่าลูกผักหวานกินไม่ได้ กินแล้วตาย อาตมาลองชิมดู..อร่อยนี่หว่า..!

พอแกะออกหน้าตาเหมือนเม็ดบัว แต่กรอบเหมือนแห้ว กินไปเป็นหอบ ๆ เลย กินเสร็จก็เดินยิ้มย่องผ่องใส แต่ปากคอชาไปหมด แสดงว่าเป็นพิษจริง ๆ ท่านโมเช่เดินไปบ่นไป “มาด้วยกันไม่เชื่อกัน แล้วจะไปด้วยกันทำไม ?” เขาไม่เคยเห็น คนอื่นที่บอกว่ากินแล้วตายยังตั้งหน้าตั้งตากิน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2012 เมื่อ 18:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #115  
เก่า 20-01-2012, 13:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,993
ได้รับอนุโมทนา 4,416,474 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อยู่ในป่าอย่าไปคิดว่ามีผักผลไม้เกลื่อนกลาด ความจริงไม่ใช่หรอก..บางทีไปเจอมะพูด กินเข้าไปท้องร่วงแทบตาย จะไปถือตามที่พระธุดงค์ท่านสอนต่อ ๆ กันมาว่า “ลิงกินได้ คนก็กินได้” อาตมาเกือบตายมาแล้ว ลิงกินทุกวันจึงมีภูมิต้านทาน แต่อาตมากินไปครั้งแรกนี่ถ่ายเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้าเลย ขนาดฉันน้ำร้อนลงไปยังออกมาใส ๆ เลย พูดง่าย ๆ ว่าลำไส้ตั้งแต่ต้นยันปลายไม่มีอะไรเหลือค้างอยู่แม้แต่นิดเดียว..!


มะพูด

หลักสูตรที่บอกว่าลิงกันได้คนก็กินได้ อาตมาไม่เชื่อเด็ดขาดเพราะเจอมาเอง บางทีก็ไปเจอผลไม้ที่หน้าตาน่ากิน แต่ดันไปเจอที่เขาเรียกว่าต้นแสลงใจ ตอนไปเจอก็แปลกใจว่ามีลูกสุกเหลืองเต็มต้นไปหมด แต่ทำไมไม่มีอะไรมากินเลย ความจริงแล้วแสลงใจเป็นพิษแรงขนาดช้างล้ม ช้างเดินผ่านด่านตรงนั้นจนราบเป็นทาง แต่ทำไมไม่กินต้นนี้บ้างเลย

พอจะเก็บสักหน่อยท่านโมเช่บอกว่า “กิงไม่ได้อาจาง ช้างยังตายเลย..!” บางวันไปเจอของน่ากินเข้า ท่านโมเช่ก็ไม่มั่นใจ เพราะไม่เคยกินมาก่อน ท่านก็ไปหาผักตำลึงหรือผักบุ้ง หรือรางจืดมาเป็นหอบเลย แล้วก็เริ่มชิมก่อน บอกว่าถ้าหากว่าแกเริ่มชักขึ้นมา ให้อาตมาเอาตำลึงหรือรางจืดที่เตรียมไว้นั่นแหละ มาตำแล้วกรอกปาก ตอนอยู่ในป่าลองกินกันด้วยวิธีนี้แหละ จะได้รู้ว่าอะไรกินได้บ้าง

ถึงได้รู้ว่าคนโบราณเขารู้ได้อย่างไรว่า อะไรที่กินได้หรือไม่ได้ เขาก็ลองกันด้วยวิธีนี้แหละ ส่วนที่พลาดก็ตายไปเลย..!


แสลงใจ

แล้วที่รู้อย่างหนึ่งก็คือเห็ดหูหนูเคี่ยวไม่ได้ พอสุกแล้วต้องกินเลย อาตมาล้างจนสะอาดแล้วให้ท่านโมเช่ต้ม พรุ่งนี้จะได้กิน พอตอนเช้าอาตมาตื่นก่อนก็มาต้มต่อ ปรากฏว่าพอเดือดแล้วเสียงเหมือนเวลาต้มข้าวต้ม ลองเอาช้อนตักขึ้นมากลายเป็นกาวไปแล้ว เห็ดหูหนูต้มมาก ๆ ละลายเป็นแป้งเปียกไปเลย อยู่ในป่าเวลาเจอเห็ดหูหนูทีหนึ่งก็เก็บกันเป็นย่าม ๆ เพราะว่าเวลาเห็ดชนิดนี้ขึ้น จะขึ้นเต็มทั้งขอนไม้ แล้วขอนไม้ในป่าโตเป็นโอบ เจอกันทีก็เก็บแทบไม่ไหว ต้องเลือกเอาที่ขึ้นใหม่ ๆ ดอกใหญ่ ๆ เท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2012 เมื่อ 18:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #116  
เก่า 21-01-2012, 09:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,993
ได้รับอนุโมทนา 4,416,474 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เข้าป่าเคยอดนานที่สุดกี่วันครับ ?
ตอบ : ไปจริง ๆ ยังไม่เคยอด เพียงแต่ว่าต้องจำกัดอาหาร บางทีเหลือบะหมี่สำเร็จรูปคนละ ๒-๓ ซอง ระยะทางยังอีกตั้ง ๗-๘ วัน ก็ต้องจำกัดอาหาร หาผักมาเยอะ ๆ ถ้าเดินไปตามลำห้วยก็สบาย มีผักกูด ผักหนาม พอให้อาศัย ถ้านอกเส้นทางขึ้นมาก็แล้วแต่ดวง ถ้าไปเจอต้นไม้ที่รู้จักก็สบาย กินได้แน่ ถ้าไม่รู้จักก็ใช้วิธีที่ว่านั่นแหละ คนหนึ่งชิมที่เหลือก็นั่งลุ้น จะรอดหรือไม่รอดหว่า ?

ถาม : เคยอดน้ำบ้างไหมครับ ?
ตอบ : เคยอดมาก ๆ ก็ตอนเข้าห้วยขาแข้ง เดินไปเจอลำห้วยหวั่นกุ๊ ห้วยแม่ดี ห้วยกรึงไกร ปกติเป็นลำห้วยสายมหึมาเลย แต่ปีนั้นแล้งจัด น้ำไหลริน ๆ เหมือนจะขาดใจ ต้องเอาฝากระติกน้ำเล็ก ๆ ไปรองทีละฝา

บางทีเดินไป ๗ วัน ๘ วัน พ้นจากบ้านคนไปแล้วอยู่กลางป่า ยังหาแหล่งน้ำไม่ได้ ไปเจอแอ่งเล็ก ๆ อยู่แอ่งเดียว ช้างก็ลุยซะเละเลย ช้างกินเสร็จก็ขี้เยี่ยวลงไปเรียบร้อย เราจะทำอย่างไรได้ก็ต้องเอามากิน ใช้วิธีเอาผ้าอาบคลุมบาตรไว้ แล้วก็ตักน้ำเทใส่ผ้าอาบให้กรองไปในตัว กรองได้แต่พวกเศษใบไม้ใบหญ้ากับดินโคลน ส่วนกลิ่นกรองไม่ได้ ยังมีกลิ่นขี้ช้างเยี่ยวช้าง เอามาต้มแล้วกลิ่นก็ยังอยู่ แต่ก็ต้องกิน ไม่กินก็ไม่รู้จะไปหากินจากที่ไหน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2012 เมื่อ 20:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #117  
เก่า 21-01-2012, 11:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,993
ได้รับอนุโมทนา 4,416,474 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตี้จู้เอี๊ยโดนน้ำท่วมไป ถ้าจะตั้งใหม่ ต้องมีพิธีอะไรไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องมีพิธีมากหรอก จุดธูปบอกท่านว่าขอโยนของเก่าทิ้ง แล้วเอาของใหม่มาตั้งได้เลย

ถาม : ตั้งได้เลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งครั้งแรกต้องทำเต็มพิธี แต่ถ้าแค่เปลี่ยนใหม่ จุดธูปบอกท่านเฉย ๆ ก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2012 เมื่อ 20:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #118  
เก่า 21-01-2012, 11:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,993
ได้รับอนุโมทนา 4,416,474 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำสมาธิไปถึงช่วงลมหายใจหายไป เข้าสู่อารมณ์นี้ตลอด แต่ทะลุผ่านจุดนี้ไม่ได้สักที ?
ตอบ : ก็เพราะเราไปนึกถึงลมหายใจที่หายไป แล้วตะกายไปหายใจใหม่ ต้องทำไม่รู้ไม่ชี้ว่าตายเป็นตาย แล้วเราก็ตามดูไปเฉย ๆ ส่วนใหญ่พวกเราพอลมหายใจหายไป ความกลัวตายจะทำให้ตะกายกลับมาหายใจใหม่ เพราะฉะนั้น..ต้องตัดสินใจให้ได้ว่าตายเป็นตาย

มีมากต่อมากด้วยกันที่เป็นแบบนี้ ระยะแรกอาตมาก็เป็นแบบนี้ พอไม่หายใจก็ตกใจ รีบกลับมาหาลมหายใจ กลายเป็นขึ้นบันไดไปแล้ว แต่ต้องย้อนกลับมาอยู่ที่ก้าวแรกทุกที

ถาม : แล้วถ้าทะลุผ่านจุดนี้ไป จะเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ร่างกายเหมือนกับว่าค่อย ๆ แข็งขึ้นมา จนเหมือนกับกลายเป็นหินไปเลย บางทีก็เย็นจากปลายเท้าขึ้นมา บางทีก็เริ่มเย็นจากปาก รวบเข้ามา ๆ ทั้งหมดที่รวบเข้ามาจะมาสว่างโพลงอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งข้างใน สว่างกว่าพระอาทิตย์หลายเท่าเลย ตอนนั้นฟ้าถล่มดินทลายเราก็ไม่รู้เรื่อง

ถาม : การที่มีอารมณ์แบบนี้บ่อย ๆ เป็นการซ้อมหรือครับ ?
ตอบ : ถ้ามาสายพุทธภูมิเก่าก็จะเป็นแบบนี้แหละ เข้าหลุด ๆ จนกระทั่งเราชำนาญไปเอง สามารถบอกเขาได้ทุกขั้นตอน คนอื่นเป็นแค่สักครั้งสองครั้งก็จบแล้ว ส่วนเราต้องย้ำแล้วย้ำอีก ต้องสามารถบอกเขาได้ทุกตารางมิลลิเมตร ไม่ใช่ตารางนิ้ว

สาวกภูมิทั่วไป เดินขึ้นบันไดมา มีกี่ขั้นยังไม่รู้เลย พุทธภูมินี่นอกจากต้องรู้ว่ามีกี่ขั้นแล้ว กว้างยาวเท่าไร สร้างจากวัสดุอะไร ใช้วิธีไหนสร้างต้องรู้จนหมด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2012 เมื่อ 20:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #119  
เก่า 21-01-2012, 15:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,993
ได้รับอนุโมทนา 4,416,474 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีพระที่เป็นเจ้าอาวาสใหม่มาปรึกษาเรื่องการบูรณะปรับปรุงวัด พระอาจารย์กล่าวว่า "ให้ค่อยเป็นค่อยไป อย่ารีบ..ผมยืนยัน เพราะรีบไปก็ไม่มีประโยชน์ การรีบทำแล้วจะมีผล ๒ อย่าง อย่างแรกเขาเห็นศักยภาพของเราแล้วจะยอมรับ แต่ส่วนใหญ่จะกลายเป็นอย่างที่ ๒ คืออิจฉา แล้วจะหาทางเตะสกัดเรา..!

ยังดีว่าคุณมีเจ้านายอย่างหลวงพ่อสมคิดนะ ถ้าเป็นเจ้านายคนอื่น เขากลัวว่าเราจะไปเบียดตำแหน่งของเขา คราวนี้เขาจะสกัดเราฉิบหายวายป่วงหมด ผมโดนมาตั้งแต่ยกแรก ๆ เลย จนเป็นประสบการณ์แนะนำพวกคุณได้เลยว่า ให้ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ไม่ต้องรีบ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2012 เมื่อ 20:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #120  
เก่า 21-01-2012, 15:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,993
ได้รับอนุโมทนา 4,416,474 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงเดือนที่ผ่านมาฝนเลื่อนลงไปที่ปักษ์ใต้ ส่วนที่เห็นชัด ๆ ว่ารุนแรงขึ้นก็คือคลื่นชายฝั่ง จากปกติที่ไม่หนักหนามากมาย เดี๋ยวนี้มีลักษณะที่เป็นพายุคลื่นที่รุนแรงมาก

ต่อไปถ้าบ้านเรือนของใครอยู่ติดชายน้ำมากก็ต้องสร้างกำแพงกันคลื่นด้วย มนุษย์ต่างดาวเขาสร้างกำแพงกันคลื่นแบบน่ารักมาก ทำเหมือนกับเราปักเสา แต่เขาปักเสาเป็น ๓ ชั้น เป็นแท่งคอนกรีตใหญ่ขึ้นไปเหมือนกับเสา ปักแล้วก็เว้นช่อง..ปักแล้วก็เว้นช่อง ส่วนแถวที่ ๒ ก็สลับฟันปลา แถวที่ ๓ ก็สลับฟันปลา

พอคลื่นมากระทบ เสาช่องที่ ๑ กับเสาช่องที่ ๒ จะทำให้คลื่นลดกำลังไปเกือบหมดแล้ว มาถึงช่องที่ ๓ ก็หมดกำลังพอดี ไม่มีอันตรายอะไร จริง ๆ แล้ว เราน่าจะเลียนแบบต่างดาวเขาบ้างนะ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2012 เมื่อ 20:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:04



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว