กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #101  
เก่า 24-12-2012, 10:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,536 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พอมาปริญญาเอก มีคู่แข่งเยอะมาก เพราะคนที่จะมาเรียนระดับนี้ได้ ต้องมั่นใจตัวเองทั้งนั้น ตอนนี้อาตมาวิ่งไม่ใช่ประเภทนำเดี่ยวแล้ว แต่ไปเป็นหน้ากระดาน จะแซงกันได้แค่ปลายจมูกเท่านั้น

นึกว่าปริญญาเอกแล้วจะไม่มีวันทำคะแนนเต็มได้ อาตมาก็ยังอุตส่าห์ได้ แปลภาษาอังกฤษได้คะแนนเต็ม บังเอิญจริง ๆ ไม่ได้เก่งกว่าคนอื่นหรอก อาศัยสำนวนดีกว่าเท่านั้นเอง คนอื่นเขาก็แปลได้เหมือนกับอาตมานั่นแหละ เพียงแต่อาตมาสามารถอธิบายได้เหมือนกับเป็นภาษาของเรา ไม่ใช่ออกมาทั้งดุ้นแบบของเขาแล้วก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เพื่อนหลายคนแปลจากโปรแกรมของกูเกิ้ล ออกมานี่ไม่ต้องรู้เรื่องกันเลย เพราะเล่นแปลคำต่อคำ พอมาเรียงกันแล้วไม่เป็นประโยค"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2012 เมื่อ 02:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 214 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #102  
เก่า 24-12-2012, 10:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,536 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "การเป็นลูกคนเดียวมีข้อบกพร่องมาก ปรับตัวเข้ากับสังคมยาก เพราะส่วนใหญ่อยู่บ้านพ่อแม่ดูแลดี เอาใจไม่ให้เรากระทบอะไร ภูมิคุ้มกันจะน้อย ไม่เคยน้อยใจ ไม่เคยเสียใจ ไม่เคยทะเลาะกับใครจริง ๆ จัง ๆ เพราะฉะนั้น..จะมีวุฒิภาวะทางอารมณ์จะน้อย ออกไปข้างนอกแล้วต้องระมัดระวังให้ดี

ต้องทำสมาธิมากหน่อย พอสมาธิทรงตัวจะมีสติ สติจะช่วยให้เรารู้จักยั้งคิด แล้วระงับกาย วาจา ใจของเราได้ ดูอย่างท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ที่ท่านตอบกระทู้ในสภา ใครอยากด่าก็ด่าไป มีปัญญานอกทุ่งนอกท่าอย่างไรก็ด่าไป นั่งยิ้มอย่างเดียว ถึงเวลาก็ตอบ ไม่ทะเลาะกับใคร ไม่เถียงกับใคร ต้องให้ได้อย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นต้องบอกว่ามีวุฒิภาวะทางอารมณ์มาก ขนาดเขาด่าในที่สาธารณะยังเฉย ๆ ไม่ใช่ไม่โกรธ โกรธ..แต่เก็บอาการเอาไว้ได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2012 เมื่อ 02:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #103  
เก่า 26-12-2012, 11:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,536 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมัยก่อนอ่านหนังสือมหาสติปัฏฐานสูตรไม่จบสักที เพราะอ่านแล้วอยากทำเลย ต้องวางมือแล้วไปนั่งภาวนาทุกที จนกระทั่งท้ายสุดต้องบนพระ พอดีช่วงจะสอบนักธรรมเอกมาลาเรียกำเริบ ตอนนั้นหมอบอกว่าเป็นไวรัสลงตับ เขาไม่คิดว่าเป็นมาลาเรีย อาตมาก็เลยหมดสภาพ ไม่ได้อ่านหนังสือ จึงบนพระท่านว่า ถ้าสอบนักธรรมเอกได้ จะเขียนมหาสติปัฏฐานสูตรด้วยลายมือของตนเอง เพราะไม่อย่างนั้นอ่านอย่างไรก็ไม่จบ ท้ายสุดก็สอบได้ จึงต้องไปเขียนจนจบ

ยังดีที่เขียนแต่บาลี ถ้าเขียนคำแปลด้วยจะจุกมากกว่านั้นอีก เขียนแบบเต็มเลยนะ..ไม่ได้เขียนย่อ ตอนท้ายของมหาสติปัฏฐานเขาจะย่อไว้ เพราะว่าข้อความจะเหมือน ๆ กันหมด พอเหมือนกันเขาก็จะย่อ ที่เราเห็นเขียนว่า “เปฯ” ก็คือไปยาลนั่นแหละ


ถาม : แล้วเวลาเขียนไม่เป็นเหมือนตอนอ่านหรือคะ ?
ตอบ : ไม่เป็น...เพราะต้องวางกำลังใจให้อยู่ในระดับที่เขียนได้ แต่ตอนที่อ่านไม่ต้องบังคับตัวเอง เวลาอ่านพออารมณ์ทรงตัวก็ปล่อยเลย หลวงปู่ดู่ท่านเคยจุดธูปไหว้พระ พอประนมมือขึ้นมาอารมณ์ใจทรงตัว ท่านก็ปล่อยยาวเลย ลืมตาขึ้นมาธูปเหลือแต่ก้าน..! หมดไปตอนไหนก็ไม่รู้ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 26-12-2012 เมื่อ 22:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #104  
เก่า 26-12-2012, 11:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,536 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในรูปนี้เป็นต้นกล้วยที่หลวงปู่อุตตมะใช้ทำประคำ ?
ตอบ : เขาเรียกกล้วยโทนหรือกล้วยแสนหวี ประคำโทนก็มาจากต้นกล้วยนี่แหละ เพราะเป็นกล้วยที่ไม่มีหน่อ เกิดด้วยเมล็ด สมัยที่อาตมาเจอใหม่ ๆ ก็แปลกใจว่ากล้วยอะไรโตเป็นโอบเลย ขนาดโอบยังไม่ค่อยจะรอบ เวลาผลออกมาเครือจะยาวมาก เรียงกันเป็นร้อย ๆ หวี เขาจึงเรียกกล้วยแสนหวี ต้นนี้ขึ้นอยู่หน้าถ้ำที่อาตมาไปพักตอนธุดงค์พอดี

เวลานอนอยู่ในถ้ำนั้นแรก ๆ อาตมาก็หวาดเสียว มีแขกมาเยี่ยมอยู่เรื่อย จริง ๆ แล้วเป็นที่อยู่ของเขา พอพระมาอยู่เขาก็มาเมียงมองว่าเมื่อไรจะไปสักที ไปแล้วเขาจะได้เข้ามาอยู่ตามเดิม ตอนที่เขามานี่ขนลุกเกรียวเลย อาตมาเหลือบไปดู “อ้าว...มาแล้ว” พอเห็นพระมองเขาก็ถอย จะว่าไปแล้วพวกผีเขามีมารยาท ที่ของเขาแท้ ๆ พระไปแย่งอยู่ เขายังอุตส่าห์ยอมอดทน

เวลาไปอยู่ที่ไหนให้ตั้งใจแผ่เมตตา บอกเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าของสถานที่ทั้งหมด ว่าเราขอมาอยู่อาศัยเพื่อปฏิบัติธรรมเพียงชั่วคราว ไม่ได้ยึดครองเป็นของส่วนตัว ถึงเวลาก็จะไป ความดีทั้งหมดที่เราทำในช่วงนั้นขอให้เขาโมทนาด้วย เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไรขอให้เขาได้รับด้วย ถ้ามีอันตรายใด ๆ มาถึงก็ให้ช่วยคุ้มครองป้องกันให้ด้วย ถ้าเป็นอย่างนี้อยู่ที่ไหนก็สบาย ไปแล้วให้รู้จักติดสินบนบ้าง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2012 เมื่อ 16:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #105  
เก่า 26-12-2012, 12:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,536 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำไมถึงห้ามตั้งศาลช่วงเข้าพรรษา ?
ตอบ : เขาเชื่อว่าเทวดาไปจำศีลหมดแล้ว คุณจะเชิญใครมาล่ะ ? แบบเดียวกับ "ย่าเฒ่าผาขาว" ที่ภาคเหนือ ท่านมีหน้าที่ดูแลสัตว์ป่าต่าง ๆ ตอนนั้นมี "ไอ้โทน" เป็นหมูป่าเกเร ลงมากินผัก กินข้าว กินข้าวโพดของชาวบ้าน ลุยราบเป็นไร่ ๆ เขาก็ต้องไปไล่ยิง แต่ไอ้โทนหนังเหนียวเพราะย่าเฒ่าคุ้มครอง ยิงเท่าไรก็ไม่เข้า พอยิงตูมกระเด็นล้มลงไป ลุกขึ้นมาได้ก็วิ่งไล่ขวิดคนยิง

กว่าที่ปืนแก๊บจะอัดลูกใหม่ได้ก็นาน ต้องวิ่งหนีกันอุตลุด บางคนมีปืนลูกซองดี ๆ ยิงตูมไอ้โทนกระเด็นตกห้วยไป พอโผล่ไปดู ที่ไหนได้..ไอ้โทนวิ่งสวนขึ้นมาก็ต้องเผ่นเหมือนกัน ท้ายสุดเขาไปได้ความลับมาว่า ย่าเฒ่าจะต้องไปจำศีลบนสวรรค์ทุกวันพระ ไอ้พวกระยำก็เลยแหกประเพณีชาวบ้าน ปกติเขาไม่ล่าสัตว์วันพระ เขาก็ออกล่าวันนั้น ไอ้โทนคงถึงที่ตาย โดนยิงตายวันนั้นแหละ

ปกติแล้วไอ้โทนหนังเหนียว วันนั้นเขายิงท่าไหนไม่รู้เข้ารูหูพอดี ถ้าเข้าหูก็ถึงสมองด้วย ย่าเฒ่าไม่อยู่คุ้มครอง เพราะมัวแต่ไปจำศีล
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 26-12-2012 เมื่อ 22:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #106  
เก่า 26-12-2012, 12:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,536 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ที่เขาต้องการกันก็คือต้นกล้วยที่ไปขึ้นอยู่บนไม้ยืนต้น คือกล้วยป่าจะมีเมล็ด เวลานกหรือกระรอกกินแล้วไปถ่ายไว้บนคาคบไม้ ถ้าไปถ่ายตรงที่ลึกหน่อยแล้วมีเศษดินอยู่บ้าง ต้นกล้วยจะงอกเป็นต้นได้ ถ้าได้อย่างนั้นเขาก็จะไปเอามา แต่ต้องไปพลีก่อน พลีก็คือทำพิธีขอ พอได้มาก็เอามาสับ ตากแห้ง เผาจนกลายเป็นขี้เถ้า แล้วเอามาเป็นส่วนผสมปั้นลูกประคำ ก่อนหน้านี้อาตมามีอยู่เม็ดหนึ่งที่หลวงพ่ออุตตมะท่านทำให้ ติดอยู่กับประคำชุดแรก โดนเขาปล้นไปพร้อมกับประคำนั้นแหละ..!

ถาม : แล้วมีอานุภาพด้านไหนครับ ?
ตอบ : ก็คงจะป้องกันอันตรายได้ทุกอย่าง เดี๋ยวต้องกลับไปค้นดู พอดีคุณหม่อมไปได้ต้นไผ่ที่ขึ้นอยู่บนกอไม้ใหญ่ แล้วท่านทำเป็นตะกรุดสะหรีกัญไชยแบบตำราเหนือ คุณหม่อมท่านถวายมาดอกหนึ่ง ท่านบอกว่าผมตีราคาหนึ่งล้านบาทนะหลวงพี่ ถ้าใครอยากได้ให้เขาบูชา อาตมาไม่ได้คิดจะให้เขาบูชาหรอก จะเอามาบรรจุด้ามพระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราช ต้องกลับไปค้นดูก่อน ไม่รู้ว่าเอาไปซุกไว้ที่ไหน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-12-2012 เมื่อ 12:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #107  
เก่า 26-12-2012, 12:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,536 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีของ ๒ - ๓ อย่างที่เก็บจนหาไม่เจอ อย่างชานหมากปรอทของหลวงปู่ละมัย คนอื่นตำไปเสกไปเท่าไรก็ไม่เป็นปรอทสักที ของอาตมา ๔ - ๕ นาทีหยิบให้ดู หลวงปู่ยังว่า “เฮ้ย..เป็นแล้วหรือ ?” บอกว่า "เป็นแล้วครับ" ก็แค่ใช้สมาธิช่วย ถ้าไม่ใช้เลยตำอีกกี่ชาติกว่าจะเป็น

ตอนนั้นอยู่ที่บ้านอนุสาวรีย์ จำได้ว่าเก็บอยู่แถวนั้น แล้วหยิบให้คนอื่นเขาดู หลุดมือตกพื้นเสียงดังปัง คนเขาสงสัยว่าหนักขนาดนั้นเลยหรือ ? ไม่ใช่ชานหมากเฉย ๆ นะ..เป็นปรอทด้วย ผสมอยู่ด้วยกัน ตำแล้วเสก ของบางอย่างเก็บ ๆ ไว้แล้วหาไม่เจอ ยังมีปิรามิดหินปรอทอีกก้อนหนึ่งไม่รู้อยู่ที่ไหน ? จำได้ว่าหลวงปู่ละมัยท่านให้บูชาตอนนั้นสี่หมื่นบาท ของอาตมาไม่ได้บูชาหรอก..ได้มาฟรี

ของหลวงปู่ละมัยถ้าอยากได้ต้องถามหลวงพี่ติงลี่ ท่านสนิทชิดเชื้อกับหลวงปู่มาก มีอะไรก็ช่วยหลวงปู่อยู่เรื่อย ขนาดมรณภาพแล้วก็ยังไปซื้อ
โลงแก้วถวาย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2012 เมื่อ 16:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #108  
เก่า 26-12-2012, 12:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,536 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลวงปู่ละมัยท่านมีคู่ปรับ ท่านบอกว่าเป็นพวกคนธรรพ์หรือวิชาธร มาขโมยปรอทท่านไปเรื่อย พวกนี้ถ้าได้ของไปแล้วจะมีฤทธิ์มากขึ้น บางทีเขาปลอมตัวมาเหมือนกับลูกศิษย์ ทำท่าเหมือนจะบูชาแล้วก็ขอดูก่อน พอใส่มือให้เขาถือว่าให้แล้ว..ก็เอาไปเลย หลวงปู่ท่านบอกว่าถ้าเป็นสมัยหนุ่ม ๆ ท่านไล่ตามตีไปแล้ว สมัยนี้ได้แต่ด่าตามหลัง..!

ถาม : แล้วไม่ถือว่าขโมยหรือครับ ?
ตอบ : ก็วางใส่มือ..เขาก็ถือว่าให้ แบบเดียวกับพระอินทร์ โทณพราหมณ์เอาพระเขี้ยวแก้วซ่อนไว้ในผม พระอินทร์ถือพานแก้วมณีรออยู่ตรงมวยผม เวลาโทณพราหมณ์เอาพระเขี้ยวแก้วซุกก็เท่ากับวางใส่พาน ท่านก็อัญเชิญไปเลย ท่านไม่ได้ขโมยสักหน่อย

หลวงปู่บอกว่าท่านเอาปรอทไปต้มในน้ำพุร้อน เขายังตามไปขโมย ถ้าเป็นอาตมาจะวางกับดักไว้ เอาให้โดนหนีบดิ้นเป็นหนูอยู่ตรงนั้นแหละ แต่เป็นเรื่องแปลก ใคร ๆ ก็ได้ยินหลวงปู่บอกว่าอายุเท่านั้นปีเท่านี้ปี เป็นร้อยปีบ้าง เป็นพันปีบ้าง พออาตมาไปถามท่านตรง ๆ ท่านบอก “อย่าไปเชื่อ..ข้าอายุแค่ ๗๐ กว่าเอง” ท่านบอกกับหูเองก็เลยไม่รู้จะว่าอย่างไร เพราะไม่ตรงกับของใครเลย ท่านบอกว่าคนอื่นเขาลือกันไปอย่างนั้นเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2012 เมื่อ 16:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #109  
เก่า 26-12-2012, 22:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,536 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมามีพระของหลวงปู่มุ่ย วัดป่าระกำเหนืออยู่องค์หนึ่ง เป็นพระปิดตาน้ำนมควาย เป็นเนื้อผงแต่ประสานด้วยน้ำนมควาย พระปิดตาสายใต้รับประกันเรื่องปืนได้ จะว่าไปแล้วปักษ์ใต้ซ่อนเสือซ่อนมังกรเลยนะ พระมรณภาพแล้วสังขารไม่เน่ามีเยอะมาก หลวงพ่อมุ่ย วัดป่าระกำเหนือก็องค์หนึ่ง เฉพาะนครศรีธรรมราชจังหวัดเดียว มีตั้ง ๕ - ๖ รูปที่มรณภาพแล้วไม่เน่า

เวลาทำวัตถุมงคลส่วนใหญ่บรรดาเกจิจะใช้กำลังตัวเอง ต้องเสกให้ถึงอนัตตาถึงจะใช้ได้ ถ้ากำลังตัวเองยังไม่ถึงอนัตตายังใช้ไม่ได้ คำว่าอนัตตาในที่นี้ต้องเป็นอรูปฌาน"


ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ก็ต้องพิจารณาให้เห็นอนัตตาจริง ๆ แต่คราวนี้อนัตตาในความหมายของท่านเป็นแค่อรูปฌาน แทบจะทั่วประเทศไทย เกจิอาจารย์มักจะใช้กำลังตัวเอง สายหลวงพ่อวัดท่าซุงพระท่านสงเคราะห์..ไม่ต้องเหนื่อยเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 27-12-2012 เมื่อ 08:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #110  
เก่า 26-12-2012, 22:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,536 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โยมไม่กล้ายกพระองค์ใหญ่มาถวายสังฆทานเพราะเกรงว่ายกไม่ไหว พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ทำไมไม่มีกำลังใจเลย ? คนอื่นยกไหวเราก็ต้องยกไหวสิ..ถ้ายกไม่ไหวเขาไม่วางไว้ให้ยกหรอก แสดงว่าไม่เคยได้ยินเรื่องหลวงปู่ปานยกรูปหล่อพระศรีอาริยเมตไตรยที่วัดไลย์ใช่ไหม ?

วัดไลย์ที่ลพบุรีเป็นวัดแรก ๆ ในประเทศไทยที่หล่อรูปพระศรีอาริยเมตไตรย เป็นรูปพระพุทธรูปนี่แหละ แต่ไม่มีพระเกตุมาลา เขาเอาไปฉลองกันที่วัดบางนมโค เพราะลพบุรีจะมีความผูกพันกับหลวงปู่ปานมาก เนื่องจากหลวงปู่ปานไปสร้างบันไดขึ้นวัดเขาวงพระจันทร์ ไปสร้างวัดเขาสะพานนาค เขาจึงเคารพนับถือหลวงปู่ พอสร้างพระศรีอาริยเมตไตรยก็แห่ไปวัดบางนมโค

เราอาจจะสงสัยว่าพระองค์ใหญ่ขนาดนั้นแห่มาอย่างไร ? เขามาทางเรือ ลงแม่น้ำป่าสักก็มาแม่น้ำเจ้าพระยา เข้าวัดบางนมโคได้ ตอนยกพระศรีอาริยเมตไตรยขึ้นศาลาเขาใช้คน ๘ คนช่วยกันยก แต่ปรากฏว่าตอนดึก..จะว่าดึกก็ไม่ใช่หรอก..ใกล้จะสว่างแล้ว

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านลุกขึ้นครองผ้าเตรียมเจริญกรรมฐาน พอดีตาเชิดซึ่งเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดของหลวงปู่ปานมาตาม บอกว่า “ท่านครับ ๆ ท่านใหญ่ให้มาตาม” ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์วัดหรือชาวบ้านเรียกหลวงปู่ปานว่าท่านใหญ่ก็มี เรียกหลวงพ่อใหญ่ก็มี หลวงพ่อท่านพร้อมอยู่แล้วท่านก็ไปเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-12-2012 เมื่อ 03:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #111  
เก่า 26-12-2012, 22:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,536 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พอไปถึงหลวงปู่ปานก็บอกว่าท่านปรารถนาพระโพธิญาณมา หลวงพ่อวัดท่าซุงก็ปรารถนาพระโพธิญาณมา จึงให้มาเสี่ยงสัตย์อธิษฐานกับรูปหล่อหลวงพ่อพระศรีอาริยเมตไตรยด้วยกัน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็คิดว่า “เอ..เราจะเคยปรารถนามาหรือ ?” หลวงปู่ปานท่านก็อธิษฐานเสียงดังเลยว่า ถ้าท่านสามารถบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณได้จริง ก็ขอให้ยกพระศรีอาริยเมตไตรยขึ้น

ปรากฏว่าหลวงปู่ปานยกพระศรีอาริยเมตไตรยขึ้น ท่านบอกว่าเบาอย่างกับกระดาษ ท่านยกเหมือนไม่ได้มีน้ำหนักเลย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็แปลกใจว่าตอนยกจากเรือขึ้นบนศาลาใช้คน ๘ คน หลวงปู่ปานก็ไม่ได้รูปร่างใหญ่โตแข็งแรงอะไร ยก ๒ มือลอยอย่างกับยกกระดาษ แล้วหลวงปู่ปานก็บอกว่า “เอ้า..แกอธิษฐานดูบ้าง”

หลวงพ่อวัดท่าซุงหน้าเหี่ยวเลย บอกว่า “จะไหวหรือครับหลวงพ่อ ?” หลวงปู่ท่านก็บอก “ไหวสิ” ท่านก็อธิษฐานพูดอ้อม ๆ แอ้ม ๆ หลวงปู่ปานไม่ยอมก็ดุเอา “อธิษฐานต้องว่าดัง ๆ จะได้แสดงว่ากำลังใจของเราเต็ม” หลวงพ่อท่านอธิษฐานว่า ถ้าท่านจะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณได้ขอให้ยกขึ้น ก็ยกขึ้นเหมือนกัน ท่านบอกว่าเบาเหมือนยกลังกระดาษใบหนึ่ง แสดงว่าเทวดาท่านช่วย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-12-2012 เมื่อ 03:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #112  
เก่า 26-12-2012, 22:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,536 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"จากนั้นหลวงปู่ปานก็บอกว่า "แกลองอธิษฐานดูว่าจะหมดอายุเมื่อไร ?" ท่านก็ไล่ไปเรื่อยจาก ๒๓ ๒๔ ๒๕ ๒๖ ๒๗ พอ ๒๗ ท่านบอกว่ายกวืดติดมือมาเลย หลวงปู่ปานบอกว่า "แกหมดอายุแค่ ๒๗" ในอดีตท่านสร้างกรรมไว้เยอะ เป็นแม่ทัพ เป็นทหารเข่นฆ่าข้าศึกมาทุกชาติ เกิดชาติใหม่จึงอายุสั้น หลวงปู่บอกให้หลวงพ่อไปปล่อยชีวิตสัตว์

ปรากฏว่าหลวงพ่อไม่ปล่อยหรอก จะปล่อยทำไมเพราะไม่ได้อยากอยู่ พอดูว่าหลวงพ่อท่านไม่ปล่อยแน่ หลวงปู่ปานท่านสั่งปลามาหนึ่งกาละมัง ตั้งทิ้งไว้ตรงศาลาท่าน้ำ ตอนฉันเช้าเสร็จหลวงปู่ก็บอกว่า “ข้าซื้อปลามาจากตลาด แกไปช่วยปล่อยให้ที” หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็คิดว่าอาจารย์สั่งก็ไปปล่อย พอเทลงน้ำเสร็จสรรพหลวงปู่บอกว่า “ถือว่าเป็นการต่ออายุแล้วนะ” เสร็จท่านจนได้..!

ต่อไปถ้าใครกำลังใจถึง ไปยกหลวงพ่อหยกขาวที่วัดท่าขนุนได้นะ องค์นั้นน้ำหนักตันกว่า ๆ เอง ถ้ายกแล้วตกแตกไม่เป็นไร ดูซิว่าจะทำได้ไหม ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-12-2012 เมื่อ 12:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #113  
เก่า 26-12-2012, 22:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,536 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าจิตเราปรารถนาพระนิพพาน แต่ตัดร่างกายไม่ได้ จะได้ไปพระนิพพานไหมคะ ?
ตอบ : ใกล้ ๆ ตายจะทุกข์ทรมานสาหัสเพื่อให้เราเห็นทุกข์ ถ้าตัดได้ก็ไปได้ ถ้าตัดไม่ได้ก็ทรมานอยู่เป็นปี ๆ เพราะฉะนั้น..ถ้ากลัวทรมานก่อนตายก็รีบ ๆ พิจารณาให้เห็นเสียตั้งแต่ตอนนี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-12-2012 เมื่อ 03:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #114  
เก่า 26-12-2012, 22:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,536 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาจารย์ทิพากร รินไธสงค์ ท่านเป็นพุทธภูมิขนานแท้ ท่านกำลังสร้างพระใหญ่ชัยภูมิ ฆราวาสแท้ ๆ ยังทำงานใหญ่มหึมาขนาดนั้น ถ้าพระเสร็จทันก็ไม่ต้องกลัวภัยพิบัติ ท่านบอกว่า “แผ่นดินอันเป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนา เทวดาท่านย่อมรักษาอยู่แล้ว”

ตอนพายุนาร์กีสถล่มพม่า ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายราบหมด แต่พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แม้แต่ยอดฉัตรยังไม่เสียหายเลย ทำให้คนไทยที่ไปช่วยเขาเห็นประโยชน์ขึ้นมา มีอยู่ช่วงหนึ่งคณะกรรมการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ของสภาผู้แทนราษฎร ประกาศให้เทศบาลและอบต.ซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ใกล้ชิดประชาชนที่สุด ให้ส่งตัวแทนไปรับพระบรมสารีริกธาตุที่สภาผู้แทนราษฎร แล้วเอาไปสร้างสถานที่บรรจุไว้ในแต่ละแห่งของตัวเอง พูดง่าย ๆ ก็คือเอาบารมีพระช่วยคุ้มครองในเรื่องของภัยพิบัติต่าง ๆ

ปรากฏว่าเทศบาลตำบลทองผาภูมิเล่นง่าย รับมาแล้วถวายวัดท่าขนุนให้ไปจัดการ อาตมาจึงบรรจุไว้ในสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก
เขาเองถ้าไม่จัดสถานที่ตั้งให้บูชาอย่างเป็นทางการ ก็จะต้องสร้างพระหรือสร้างเจดีย์บรรจุซึ่งต้องใช้งบประมาณมาก ใช้วิธีถวายวัดท่าขนุน เดี๋ยวอย่างไรพระอาจารย์เล็กท่านก็จัดการให้แน่..เล่นง่ายดี"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-12-2012 เมื่อ 03:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #115  
เก่า 27-12-2012, 21:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,536 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในปฐมสมโพธิกถา ปริเฉทที่ ๒๙ อันตรธานปริวรรต กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระพุทธศาสนาว่า พระบรมสารีริกธาตุจะเสด็จมารวมตัวกัน ปรากฏเหมือนอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาเอง ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดเป็นครั้งสุดท้าย ๗ วัน ๗ คืน หลังจากนั้นก็อันตรธานไป ถึงเวลานั้นไฟบรรลัยกัลป์ก็จะล้างโลก เพราะว่าพระบรมสารีริกธาตุเสด็จไปหมดแล้ว ไม่เหลืออะไรไว้ป้องกันแล้ว

ถาม : จะเหลือคนที่รอดไหมคะ ?
ตอบ : ๗ วันสุดท้าย ถ้าใครยังของเก่าให้เกิดขึ้นได้ก็จะอยู่รอด เพราะไฟบรรลัยกัลป์ระดับนั้น ถ้าไม่ได้คล่องตัวในกสิณโดยเฉพาะภูตกสิณ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลมจริง ๆ จะเอาไม่อยู่ ฉะนั้น..ท่านที่จะรอดก็ต้องหลบไปอยู่ตามป่าตามเขา ใช้กำลังอภิญญาสมาบัติรักษาตนเอง สามารถรักษาคุ้มครองคนได้เท่าไรก็ต้องเต็มที่ของตัวเอง ตอนไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลกหมด ถ้าไม่ได้อาศัยพวกอำนาจอภิญญาสมาบัติช่วยสงเคราะห์ ก็ไม่รู้ว่าจะไปหาอะไรมากินได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2012 เมื่อ 02:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #116  
เก่า 27-12-2012, 21:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,536 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตราบใดที่ยังมีพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ในแผ่นดินของเรา ตราบใดที่ยังมีฆราวาสที่ปฏิบัติธรรมหวังความหลุดพ้นอยู่ บ้านเราเมืองเราจะต้องเป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนาไปจนกว่าครบ ๕,๐๐๐ ปี จึงไม่ต้องไปกังวลในเรื่องของโลกแตก ส่วนเรื่องของภัยพิบัติต่าง ๆ นั้น ถ้าไม่ได้สร้างกรรมไว้สาหัสจริง ๆ อย่างไรก็ไม่ตาย

ขนาดพวกที่ติดอยู่ใต้ดินตั้งสองสามร้อยวัน เขายังขุดขึ้นมาได้เลย ที่นั่นเขาเห็นคุณค่าชีวิตของคนทุกคน ช่วยกันขุดจนกระทั่งเอาขึ้นมาได้ ก็เลยทำให้รู้ว่าการช่วยคนใต้ดินต้องทำอย่างไร ไม่อย่างนั้นปกติเขาไม่เคยได้ทดลองเลย พอหย่อนแคปซูลลงไปได้ก็ผลัดกันขึ้นมาทีละคน เราจะเห็นว่าเขามีระบบการจัดการที่ดี เพราะแบ่งสันปันส่วนกันว่าคนไหนควรจะขึ้นก่อน คนที่สภาพร่างกายที่อ่อนแอมากกว่าก็ขึ้นไปก่อน คนไหนแข็งแรงสุดก็ขึ้นคนสุดท้าย เขาไม่ได้แย่งกันขึ้นแย่งกันลง เพราะแคปซูลไปได้ทีละคนเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2012 เมื่อ 02:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #117  
เก่า 27-12-2012, 21:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,536 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกตำนานหนึ่งที่เราลืมไปแล้วโดยส่วนมาก ก็คือรัตนพิมพวงศ์ ตำนานพระแก้วมรกต เขาระบุไว้ว่า “แผ่นดินใดเป็นที่ตั้งของพระแก้วมรกต แผ่นดินนั้นจะไม่ว่างจากพระอริยเจ้า” ในเมื่อแผ่นดินไม่ว่างจากพระอริยเจ้า มีพระอริยเจ้าอยู่ที่ไหน ท่านก็สามารถที่จะยังความสุขให้กับคนหมู่มากได้

แบบเดียวกับสุปปิยปริพาชก สุปปิยปริพาชกเดินตามขบวนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปและด่าไปตลอดทาง แต่พอถึงเวลาพระท่านพัก สุปปิยปริพาชกบอกกับพรหมทัตมาณพที่เป็นลูกศิษย์ว่า ให้เข้าไปพักอยู่ใกล้ ๆ พอถามว่าทำไม ? เขาบอกว่า “สมณโคดมเป็นพระอรหันต์ อยู่ที่ไหนเทวดาก็รักษา เราไปพักใกล้ ๆ เราก็ปลอดภัยด้วย” สมควรตายจริง ๆ..! ตามด่าพระพุทธเจ้าไปตลอดทาง แต่พอพระพุทธเจ้าเข้าพักที่ไหนก็เข้าไปพักใกล้ ๆ ด้วย

เรื่องนี้ลูกศิษย์กับอาจารย์มีความเห็นไม่ตรงกัน สุปปิยปริพาชกเดินไปด่าพระพุทธเจ้าไป ส่วนพรหมทัตมาณพก็เดินไปสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าไป ไม่รู้ว่าเป็นลูกศิษย์เป็นอาจารย์กันได้อย่างไร คนหนึ่งด่าคนหนึ่งสรรเสริญ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2012 เมื่อ 02:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #118  
เก่า 27-12-2012, 21:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,536 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมัยก่อนบรรดาศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ เขาไม่ใช่มีคนนับถือเปล่า ๆ เขาเองมีลัทธิสารพัดสารเพตั้ง ๖๒ ลัทธิ แบ่งเป็นปุพพันตกัปปิกทิฏฐิ ๑๘ ลัทธิ อปรันตกัปปิกทิฏฐิ อีก ๔๔ ลัทธิ รวมแล้วเป็น ๖๒ ลัทธิ มีคนนับถือกันเต็มบ้านเต็มเมือง ตอนแรกอาตมาก็สงสัยว่า ลัทธิโง่ ๆ แบบนี้ทำไมมีคนนับถือกันมาก ปรากฏว่าเขาไม่ได้โง่ อาตมาโง่เอง..!

พวกปุพพันตกัปปิกทิฏฐิเขาระลึกชาติได้ แต่ละคนระลึกชาติได้ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ครึ่งกัปบ้าง หนึ่งกัปบ้าง คราวนี้การที่เขาเห็นไม่เท่ากัน ก็เลยต้องตั้งทฤษฎีการเกิดไม่เหมือนกัน จึงกลายเป็น ๑๘ ลัทธิ

ส่วนอปรันตกัปปิกทิฏฐินั้นเห็นอนาคต บางคนเห็นตัวเองเป็นอากาสานัญจายตนพรหม เป็นวิญญาณัญจายตนพรหม เป็นอากิญจัญญายตนพรหม เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนพรหม เป็นรูปพรหมชั้นต่าง ๆ ไล่ไปเรื่อย ในเมื่อเขาเห็นไม่เหมือนกัน บางคนเขาเห็นว่าเป็นเทวดา บางคนก็เห็นว่าจะลงนรก ก็ต้องตั้งลัทธิที่ไม่เหมือนกันขึ้นมา

คราวนี้เขาเห็นเอง เขาพูดได้เต็มปากเต็มคำ ยืนยันผลได้ พวกลูกศิษย์จึงเชื่อแล้วปฏิบัติตาม ฉะนั้น..พวกศาสดาเจ้าลัทธิเก่า ๆ ของเขาไม่ใช่สักแต่ว่าคนนับถือเฉย ๆ เขามีความสามารถที่แท้จริง เพียงแต่ที่จะรู้รอบแล้วเก่งจริงเท่าพระพุทธเจ้านั้นหาได้น้อยมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2012 เมื่อ 02:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #119  
เก่า 27-12-2012, 21:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,536 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดูอย่างในอารกสูตร (อรกานุสาสนีสูตร) อังคุตรนิกาย สัตตกนิบาต กล่าวถึงศาสดาชื่ออารกะสอนลูกศิษย์ว่า ชีวิตเหมือนต่อมน้ำ ก็คือผุดเป็นฟองแล้วก็แตกไป ชีวิตเหมือนรอยไม้ที่ขีดลงในน้ำ วูบเดียวก็หายไปแล้ว ชีวิตเหมือนลำธารที่ไหลลงจากภูเขา พรวดเดียวก็ผ่านหน้าไปแล้ว ชีวิตเหมือนชิ้นเนื้อนาบไฟ มีแต่จะโดนเผาหมดไปในเวลาอันรวดเร็ว ชีวิตเหมือนโคที่เขานำไปฆ่า ต้องตายแน่ ๆ ไม่เหลือหรอก

ศาสดานอกพระศาสนาเขายังสอนชัดขนาดนี้ แต่คราวนี้เขาเห็นแค่ความไม่เที่ยง ตัวความทุกข์และอนัตตาเขาไม่เห็น แต่ก็ยังสอนลูกศิษย์ได้ขนาดนั้นแล้ว ชีวิตเหมือนก้อนเขฬะที่ปลายลิ้น เหมือนน้ำลายซึ่งบุรุษอันมีกำลังจะถ่มทิ้งเสียเมื่อไรก็ได้ คือต้องตายแน่ ๆ จะตายเมื่อไรไม่รู้ ?

ส่วนศาสดามหาวีระนั้นเป็นต้นบัญญัติศีล ๕ เลย แต่ศีลของเขาเข้มข้นมาก ศาสดาของเขาถึงขนาดว่าไปไหนต้องมีผ้าขาวปิดจมูก กลัวจะหายใจเอาจุลชีวะเข้าไปแล้วทำให้พวกนั้นตาย ไปไหนต้องมีลูกศิษย์กวาดพื้นนำหน้าไป เพราะกลัวว่าจะไปเหยียบสัตว์เล็ก ๆ ตาย จึง กลายเป็นสีลัพพตุปาทาน ก็คือยึดมั่นในศีลมากจนเกินไป ทำให้ติดอยู่แค่นั้น..ไปไหนไม่ได้

แต่ประวัติการเกิดของศาสดามหาวีระคล้าย ๆ กับพระพุทธเจ้าเลย มาจากตระกูลกษัตริย์เหมือนกัน มีปาฏิหาริย์ต่าง ๆ เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเขาถือสุดโต่งจนเกินไป ถือว่าการยึดถือสิ่งของต่าง ๆ ยังเป็นกิเลสทั้งหมด ก็เลยแก้ผ้า จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ที่เมืองฤๅษีเกตก็ยังมีพวกศาสนาเชนเยอะแยะไปหมด ยังคงแก้ผ้า ใช้ขี้เถ้าทาตัว นั่งจ้องดวงอาทิตย์ ปฏิบัติอยู่ตามปกติของเขา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2012 เมื่อ 02:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #120  
เก่า 27-12-2012, 21:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,536 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เขาใช้ผ้าปิดจมูก ก็แสดงว่าเขารู้มาก ?
ตอบ : อย่าลืมว่าพวกนี้เขาได้อภิญญาทั้งนั้น เขารู้อยู่แล้วว่ามีพวกสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เต็มไปหมด เวลาเราไปศึกษาเรื่องของเขาแล้วจะรู้ว่าที่แท้เขาเก่งจริง เพียงแต่ว่าเก่งได้ไม่ถึงที่สุดเท่านั้นเอง

เวลาเราไปประเทศอินเดีย ถ้าเห็นรูปปั้นหรือแกะสลักเหมือนพระพุทธเจ้าอย่าเพิ่งรีบไหว้ส่งเดช เพราะอาจจะเป็นรูปศาสดามหาวีระ ให้สังเกตดี ๆ ว่ารูปนั้นนุ่งผ้าหรือไม่นุ่งผ้า ต่างกันอยู่นิดเดียว ถ้าเป็นรูปของศาสดามหาวีระเขามีรูปของอวัยวะเพศให้เห็น เพราะเขาถือว่าไม่ได้นุ่งผ้า ถ้าเราไม่สังเกตกราบไปเรียบร้อยแล้วก็ไม่เป็นไร เพราะเรานึกถึงพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะในถ้ำที่อชันตาจะมีศาสนาเชนกับศาสนาพุทธช่วยกันสร้าง ก็เลยปน ๆ กันอยู่ในนั้น กราบผิดจังหวะก็กราบท่านมหาวีระไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2012 เมื่อ 02:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:27



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว