กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องบูรพาจารย์ > ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน

Notices

ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน รวมประวัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพจากทั่วเมืองไทย

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #121  
เก่า 04-10-2012, 11:19
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

มารกระซิบ

การภาวนาอยู่โดยลำพังคนเดียววัน ๆ หนึ่ง ท่านไม่พูดคุยกับใครเลย ถ้าไม่ออกฉันข้าววันใด ก็ไม่พบเห็นใครทั้งสิ้น จึงไม่มีสิ่งใดมารบกวน ยุ่งเกี่ยวในการประกอบความเพียรของท่านตลอด เว้นแต่เวลาหลับ แม้อย่างนั้น บางวันพยายามต่อสู้อย่างหนัก จิตก็ยังลงไม่ได้เลย บางทีกิเลสก็กล่อมเอาบ้างเหมือนกันว่า

“...โธ่!! มาอยู่อย่างนี้ .. เหมือนคนสิ้นท่า ไม่มีคุณค่ามีราคาอะไรเลย โลกสงสารเขาก็อยู่ได้สะดวกสบาย สนุกสนาน ไม่ต้องมารับความทุกข์ทรมานเหมือนเรา ซึ่งเปรียบเหมือนคนสิ้นท่านี่ ทำไมจึงต้องมาทรมานอยู่ในป่าในรกกับสัตว์กับเสืออย่างนี้ ไม่มีคุณค่าราคาอะไร...”


ความคิดเช่นนี้ ทำให้ท่านรู้สึกท้อถอยน้อยใจ และอ่อนความเพียรลงไปบ้างเหมือนกัน ท่านเล่าว่า กิเลสมารมันคอยแอบกระซิบ คอยสอดแทรกอยู่ตลอดทั้ง ๆ ที่ก็พยายามทำความเพียรอยู่อย่างนั้น ดังนี้

“...วันหนึ่งเรายังไม่ลืม เราไม่ได้ดูนาฬิกา ก็นั่งภาวนาจะไปดูนาฬิกาอะไร มันคงประมาณหกทุ่มหรือตีหนึ่ง มันดึกจริง ๆ นะวันนั้น จิตมันยังลงไม่ได้ ... ก็พอดีเขามีลำกัน ทางภาคอีสานเขาเรียกลำ ลำยาวข้ามทุ่งนาไปจากบ้านนามน


เขามาเที่ยวสาวบ้านนามน เขาอยู่บ้านโพนทอง ด้านตะวันออกวัดบ้านนามนโน้นน่ะ เขาลำยาวไปตามทุ่งนา ฟังอาการเขาร้องเพลง เขาลำยาวเพลงภาคนี้ จิตมันยังวิตกขึ้นมาได้ในขณะนั้น

‘โอ้.. เขายังมีความสนุกสนานรื่นเริง เดินขับลำทำเพลงตัดทุ่งนาไปอย่างเพลิดเพลิน ไม่มีความทุกข์กายทรมานใจเหมือนเรา ไอ้เรานี้กำลังตกนรกทั้งเป็น... ไม่มีใครที่จะทุกข์ยิ่งกว่าเรา คนในโลกนี้ กำลังตกนรกทั้งเป็นอยู่เวลานี้’…”


ความคิดปรุงดังกล่าวมีขึ้นขณะได้ยินเสียงลำเพลงอยู่นั้น แต่แล้วท่านก็หวนรำลึกเป็นธรรมขึ้นมาแก้ในทันทีว่า

“...อันรื่นเริงบันเทิงแบบนี้เราเคยเป็นมาแล้ว ทุกข์แบบนี้เราเคยเป็นมาแล้ว เราเคยตกนรกทั้งเป็นกับกิเลส ตกนรกทั้งตายกับกิเลสมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว นี่เราจะตะเกียกตะกายตนให้พ้นจากนรกของกิเลส เราจะถอนตัวของเราด้วยความพากเพียรเพื่อความพ้นทุกข์ ทำไมจึงเห็นว่าเป็นความทุกข์ ความลำบาก เราประกอบความเพียรหาอะไร ? หานรกอเวจีที่ไหน เวลานี้ยังจะอยากตกนรกกับเขาอยู่หรือ !..”


ท่านว่า มันคิดขึ้นปุ๊บแก้กันทันทีเลย จากนั้นไม่นานจิตก็สงบลงได้

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-10-2012 เมื่อ 15:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #122  
เก่า 05-10-2012, 11:24
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

จิตตั้งหลักได้

หลังจากได้รับอุบายอันแยบคายจากหลวงปู่มั่น ท่านจึงนำมาตั้งเป็นข้อสังเกตขึ้น แล้วเร่งความเพียร นำคำบริกรรมพุทโธมากำกับจิตทุกเวลา ไม่ว่าเข้าสมาธิออกสมาธิ ไม่ว่าจะที่ไหน อยู่ที่ใดหรือทำกิจวัตรต่าง ๆ จะไม่ยอมให้สติพลั้งเผลอจากคำบริกรรมนั้นเลย ทำให้เริ่มรู้ถึงเรื่องราวภาวะเสื่อมของจิตได้อย่างชัดเจน ดังนี้

“...คราวนี้เราจะตั้งใหม่ คราวนี้เอาคำบริกรรมเป็นหลัก ไม่ได้กำหนดเอาเฉพาะความรู้เหมือนแต่ก่อน ซึ่งเจริญขึ้นแล้วเสื่อมลง ๆ เหมือนว่าตั้งต้นใหม่ ตั้งแต่บัดนี้ต่อไป.. เราจะภาวนาด้วยบทคำบริกรรมคือพุทโธ เราชอบพุทโธ นิสัยผมกลมกลืนกับพุทโธมาดั้งเดิม ก็ตั้งกำหนดกฎเกณฑ์ให้ใหม่ ทีนี้จะบริกรรมด้วยพุทโธ แต่สำหรับนิสัยเรานี้รู้สึกว่าเป็นคนจริงจังมากตลอดมา พอว่าตั้งกับคำว่าพุทโธก็เหมือนทำสัตยาบันสัญญากันเลย จะเคลื่อนเป็นอื่นไปไม่ได้ กับคำว่าพุทโธจะต้องตั้งกันตลอดเวลา ไม่ว่าอิริยาบถใดจะไม่ยอมให้เผลอจากคำว่าพุทโธนี้เลย.. ตั้งตลอด ตั้งแต่ตื่นนอน ตั้งไม่ให้เผลอ ควบคุมกันตลอดเวลา ทุกข์ก็ให้อยู่กับพุทโธ สุขก็ให้อยู่กับพุทโธ


‘เอ้า! มันจะเสื่อมไปถึงไหนก็ให้มันเสื่อม มันจะเจริญก็ตามที เพราะความเสื่อมความเจริญนี้.. เรามันเคยมาพอแล้ว จนอิดหนาระอาใจต่อความเสื่อมความเจริญ คราวนี้มันจะเสื่อมให้เสื่อมไป เจริญก็เจริญไป จะไม่ถือเอาเป็นอารมณ์ยิ่งไปกว่าการบริกรรมด้วยความมีสติ ไม่ปล่อยวางนี้เท่านั้น’

จึงได้ปักลงตรงนั้น แล้วปักจริง ๆ นะ เอาอยู่กับนั้นเลย.. จะเจริญก็ตาม เสื่อมก็ตามไม่เอามาเป็นอารมณ์ เพราะเราเคยเป็นอารมณ์นี้ แล้วก็สร้างความทุกข์ร้อนให้เรามามากขนาดไหน.. ปล่อยเลย เมื่อภาวนาเข้าไป ๆ พุทโธเข้าไป พุทโธเข้าไป บังคับจิตตลอดเวลา สุดท้ายจิตที่เคยเสื่อมเคยเจริญ..มันก็ไม่เสื่อม ค่อย ๆ เจริญขึ้น ค่อยสงบเย็นใจ เข้าไป ๆ ปักเข้าไปเรื่อย ๆ ไม่ถอย จนกระทั่งจิตสงบ

ถึงบางครั้งนี้บริกรรมไม่ได้นะ คือจิตมันละเอียด สงบเข้าไปจนถึงขั้นละเอียด นึกคำบริกรรมไม่ออกเลย คือหมดจริง ๆ ปรุงขึ้นมาไม่มีเลย ไม่มีเลย เหลือตั้งแต่ความรู้ที่ละเอียดสุดอยู่ในนั้น.. ในจิตชั้นนี้ จนเกิดความงง ‘เอ๊ะ.. นี่จิตของเราบริกรรมมาตลอด คราวนี้คำบริกรรมก็ไม่มี บริกรรม ‘ยังไง’ ก็ไม่ปรากฏ ทำ ‘ยังไง’ ก็ไม่ปรากฏ เหลือแต่ความรู้สึกที่ละเอียด แล้วจะทำ ‘ยังไง’ ?..’ งง.. กลัวมันเสื่อมอีก จึงได้งง.!

ก็เลยได้สติ ‘เอ้า!..ถ้าหากว่าคำบริกรรมมันหายไป เอ้า!..ให้หายไป แต่กับความรู้อันนี้จะไม่หาย สติจะจับเข้าอยู่กับความรู้อันนี้ จนกว่าบริกรรมได้เมื่อไรจะบริกรรมทันที’ จิตก็ปักอยู่กับความรู้

พอได้จังหวะความรู้ที่ปรุงไม่ได้นี้ มีแต่ความละเอียด รู้อย่างละเอียด ๆ มันก็ค่อยคลี่คลายตัวออกมาเรียกว่ามันถอยออกมา คำบริกรรม..บริกรรมได้ เอาคำบริกรรมติดเข้าไปอีกเลยตลอด อย่างนี้เป็นพัก ๆ พอถึงชั้นมันละเอียดจริง ๆ หมดคำบริกรรม.. หายเลย จับอันนั้นไว้ตามเดิม ๆ ต่อไปมันก็ค่อยละเอียดขึ้น ๆ จนถึงขั้นที่มันเคยเจริญแล้วเสื่อม ๆ ไปถึงนั้นแล้ว

‘เอ้า!...เสื่อมไป อยากเสื่อมก็เสื่อมไป เราไม่เป็นกังวลกับความเสื่อมความเจริญ เพราะเคยเป็นมาแล้วไม่ได้ผลอะไรเลย แต่เราจะไม่ปล่อยคำบริกรรมนี้ตลอดไป’

เอากันตลอด มันก็ขึ้นไปเรื่อย ๆ ๆ พอถึงชั้นมันจะเสื่อม มันก็ไม่เสื่อม

ทีนี้ก็ก้าวขึ้นเรื่อย ๆ อ๋อ..ที่นี้ถูกแล้ว จับได้แล้วนะ จากนั้นก็ย้ำคำบริกรรมเข้าไป จนกระทั่งจิตมีความแน่นหนามั่นคง ‘ปึ๋ง ๆ’ เอาละทีนี้ เราจะจับเอาจุดแห่งความแน่นหนามั่นคง ซึ่งเป็นจุดผู้รู้อย่างเด่นชัดนี้ด้วยสติอีก.. เอาสติจับตรงนั้น ไม่ปล่อยอีก เช่นเดียวกับคำบริกรรมพุทโธ ไม่ปล่อยไม่วางเช่นเดียวกัน จิตก็ละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไป จนกระทั่งปล่อยเองนะ .. คำบริกรรม เมื่อถึงขั้นที่จะปล่อยแล้วมันปล่อยเอง มีแต่ความรู้เด่น อยู่กับความรู้นั้นด้วยสติ ๆ ตลอดไปเลย ...

นี่ทำจริงจังไม่ได้ทำเล่น ไม่ว่าอะไรก็ตาม บิณฑบาตในหมู่บ้านไม่ยอมให้เผลอเลย เดินจงกรมไปตลอด เขาใส่บาตร ไม่ทราบเขาใส่อะไร ? ไม่ได้สนใจ มีแต่คำบริกรรมพุทโธ ๆ ตลอดทั้งไปทั้งกลับ ทั้งขบทั้งฉัน กระดิกพลิกแพลงไปไหน คำบริกรรมจะไม่ปล่อยเลย นี่เรียกว่าบริกรรมโดยแท้ จนกระทั่งจิตมันตั้งได้แล้วก็เข้าอยู่ในสมาธิ มันถึงแน่นหนามั่นคง พอถึงขั้นแน่นหนามั่นคงจริง ๆ ...”

ตั้งแต่นั้นมา ท่านก็ตั้งคำบริกรรมมาเป็นลำดับ ไปไหนมาไหนอยู่ที่ใด เป็นกับตายจะไม่ยอมให้เผลอจากพุทโธ แม้จิตจะเสื่อมไปไหนก็ให้รู้กันที่นี่เท่านั้น ไม่ยอมรับรู้ไปทางอื่น จิตก็เลยตั้งหลักลงได้เพราะคำบริกรรมคือพุทโธ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-10-2012 เมื่อ 04:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #123  
เก่า 08-10-2012, 12:20
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

หักโหมความเพียรเต็มเหนี่ยว

ท่านเริ่มหักโหมความเพียรมาตั้งแต่เดือนเมษายน และพฤษภาคมก่อนเข้าพรรษาปีนั้น หลังจากหลวงปู่มั่นเสร็จงานเผาศพหลวงปู่เสาร์แล้ว (๑๕-๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๖) ท่านก็ไปรับหลวงปู่มั่นมาด้วยกัน และเดินทางจากพระธาตุพนมเข้ามาจำพรรษาที่บ้านนามน จังหวัดสกลนคร นับเป็นพรรษาที่ ๒ ของการไปศึกษาอยู่กับหลวงปู่มั่น และเป็นพรรษาที่ ๑๐ ของการบวช

ในพรรษานี้ ท่านเร่งความเพียรอย่างเต็มเหนี่ยวยิ่งกว่าธรรมดา หักโหมทั้งร่างกายและจิตใจ กลางวันไม่นอน เว้นแต่วันที่นั่งสมาธิตลอดรุ่งวันนั้น จึงจะยอมให้พักกลางวันได้ ถ้าวันไหนทำความเพียรธรรมดา ๆ กลางวันท่านจะไม่ยอมพักเลย

“...กลางวันไม่นอน เดินจงกรม หมากพลูไม่แตะเลยในสามเดือน ทิ้งเลย ... แต่ก่อนไปที่ไหนมันมีหมากพูลเต็มไปหมดนี่ เขาเอามาถวายก็ฉันไปอย่างนั้นเอง ฉันมาเรื่อย ๆ...


การนั่งสมาธิตลอดรุ่งนี่มันของเล่นเมื่อไร ใครเก่งลองดูสิ จะได้รู้ว่านั่งแต่หัวค่ำจนกระทั่งตลอดรุ่งเป็นเวลา ๑๓-๑๔ ชั่วโมงเป็นอย่างไรบ้าง บางวันนั่งจนกระทั่งถึงเวลาบิณฑบาต เพราะอยู่กับหมู่กับเพื่อน.. ถ้าอยู่คนเดียวยังไม่ออกอีกนะ จะกี่ชั่วโมงไม่รู้นะ แต่นี่ (มีข้อวัตร) เกี่ยวกับครูกับอาจารย์ ...”

ท่านกล่าวถึงสมาธิกับการพิจารณาในขณะเกิดทุกขเวทนา ดังนี้

“สมาธิเริ่มแน่นไม่เสื่อมอีกมาแต่เดือนเมษายน แต่นี่ไม่เกี่ยวกับสมาธิ แต่เป็นปัญญาในเวลาจนตรอก มันเป็นปัญญาสายฟ้าแลบ สติปัญญากับกิเลสราวกับมัดคอติดกัน ไม่ใช้ปัญญาได้ ‘ยังไง’ เวลามันจะตายมันจนตรอกจนมุม ก็ต้องใช้ปัญญาสิ เวลารู้ขึ้นมามันก็รู้ด้วยปัญญา


ความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจากการนั่งตลอดรุ่งนี้ เกิดจากผลของการพิจารณาทุกขเวทนา ในเรื่องนี้ท่านสอนพระเณรอย่างถึงใจ ดังนี้

“...ตอนที่เห็นความอัศจรรย์ ก็เห็นตอนภาวนาตลอดรุ่งตั้งแต่เริ่มคืนแรกเลย พิจารณาทุกขเวทนา แหม..มันทุกข์แสนสาหัสนะ ทีแรกก็ไม่นึกว่าจะนั่งสมาธิภาวนาตลอดรุ่ง... ตอนจะนั่งภาวนาได้ตลอดรุ่งนั้นก็จากนี่แหละ ทีนี้เริ่มนั่งกำหนด กำหนดลงไป ๆ ทีแรกใจก็ลง เพราะมันเคยลง มันลงได้ง่ายเรียกว่ามีหลักมีฐานอันดี กำหนดการภาวนาลงไป เมื่อเวทนาอันใหญ่หลวงยังไม่เกิด ภาวนามันก็สงบดี พอถอยขึ้นมาก็เป็นเวลาหลายชั่วโมง เวทนาใหญ่ก็เกิดขึ้น และเกิดขึ้นจนจะทนไม่ไหว ใจที่เคยสงบนั้นก็ล้มไปหมด ฐานดี ๆ นั้นล้มไปหมด เหลือแต่ความทุกข์เต็มในส่วนร่างกาย แต่จิตใจไม่ร้อน.. ชอบกล

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-10-2012 เมื่อ 13:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #124  
เก่า 09-10-2012, 11:26
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ร่างกายทุกข์มาก สั่นไปหมดทั้งตัวนี่แหละ ตอนที่ได้เข้าตะลุมบอนกันในเบื้องต้นแห่งเหตุที่จะได้อุบายสำคัญขึ้นมา ตอนทุกขเวทนากล้าสาหัสเกิดขึ้นโดยไม่คาดไม่ฝัน คืนวันนั้นก็ยังไม่ได้ตั้งใจว่าจะนั่งจนตลอดรุ่งนะ เราไม่ได้ตั้งสัจอธิษฐานอะไรเลย นั่งภาวนาธรรมดา ๆ แต่เวลาทุกขเวทนาเกิดขึ้นมามาก... พิจารณา‘ยังไง’ก็ไม่ได้เรื่อง

‘เอ๊ะ! มัน‘ยังไง’กันนี่ว่ะ เอ้า!..วันนี้ตายก็ตาย เราจะต้องสู้ให้เห็นเหตุเห็นผลกับเวทนานี้เสียวันนี้’ เลยตั้งสัจอธิษฐานในขณะนั้น เริ่มนั่งตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงสว่างถึงจะลุก


‘เอ้า!.. เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ถ้าไม่ถึงเวลาลุกจะไม่ลุกจริง ๆ ...เอ้า! .. สู้กันจนถึงสว่างเป็นวันใหม่ วันนี้จะพิจารณาทุกขเวทนาให้เห็นแจ้ง เห็นชัดกันสักที ถ้าไม่เห็น.. แม้จะตายก็ให้มันตายไป ให้รู้กัน ขุดกันลงไป ค้นกันลงไป’

นี่แหละ ตอนปัญญาเริ่มทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง ... เวลานั่งก็ไม่ให้มีข้อแม้ใด ๆ เช่น ปวดหนักปวดเบา อยากถ่ายถ่ายไป ถ่ายไปแล้ว..เราจะล้างไม่ได้หรือ ล้างไม่ได้อย่าอยู่ให้หนักศาสนา ตายเสียดีกว่า เพราะฉะนั้น จึงไม่มีข้อแม้... แต่มันก็ไม่เคยปวดถ่ายนะ เรื่องปวดเบานี่ไม่มีหละ เพราะจีวรมันเปียกหมด เปียกเหมือนเราซักผ้าจริง ๆ นะ ไม่ใช่ธรรมดา... เปียกหมดตัวเลยเพราะมันจะตาย

มันไม่ใช่เหงื่อละ ภาษาอีสานเขาเรียกยางตาย อันนี้มันจะไปปวดเบาที่ตรงไหน เหงื่อมันออกหมด ส่วนการถ่ายหนักนั้นมันอาจเป็นได้ แต่ที่ผ่านมานี้มันก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่ หากเป็นขึ้นมาจริง ๆ ก็เอาจริง ๆ นี่ ขนาดนั้น... เราไม่ทราบ ไม่คาดไม่ฝันว่าปัญญาจะมีความแหลมคม เวลามันจะจนตรอกจนมุม ไม่มีทางออกจริง ๆ ปัญญาก็หมุนติ้วเลย ปัญญาออกขุดค้น สู้กันแบบไม่ยอมถอยทัพกลับแพ้เลย เวลาจนตรอก..ปัญญาเกิด จึงทำให้เข้าใจว่า คนเราไม่ใช่จะโง่อยู่เรื่อยไป เวลาจนตรอกย่อมหาวิธีช่วยตัวเองจนได้ นี่ก็เหมือนกัน พอจนตรอกเพราะทุกขเวทนากล้าครอบงำ สติปัญญาค้นเข้าไปถึงทุกขเวทนา เมื่อเวทนาเกิดขึ้นมาก ๆ เช่นนี้ มันเป็นไปหมดทั้งร่างกาย ทีแรกมันก็ออกร้อนตามหลังมือหลังเท้า ซึ่งไม่ใช่เวทนาใหญ่โตอะไรเลย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-10-2012 เมื่อ 11:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #125  
เก่า 10-10-2012, 09:50
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เวลามันใหญ่โตจริง ๆ เกิดขึ้นมา ร่างกายเป็นไฟไปหมด กระดูกทุกท่อนทุกชิ้นที่ติดต่อกัน เป็นฟืนเสริมไฟในร่างกายทุกส่วน เหมือนมันจะแตกไปเดี๋ยวนั้น..! กระดูกต้นคอมันก็จะขาด กระดูกทุกท่อนทุกชิ้นที่ติดต่อกันมันก็จะขาด หัวจะขาดตกลงพื้นในขณะนั้น เวลาเป็นทุกข์อะไร ๆ ก็พอ ๆ กัน และทั่วไปหมดทั้งร่างกายนี้ ไม่ทราบจะไปยับยั้งพอหายใจได้ที่ตรงไหน ก็มีแต่กองไฟคือความทุกข์มาก ๆ ทั้งสิ้น

เมื่อหาที่ปลงใจไม่ได้ สติปัญญาก็ขุดค้นลงไปที่ทุกขเวทนานั้น โดยหมายเอาจุดที่มันทุกข์มากกว่าเพื่อน อันไหนที่มันเป็นทุกข์มากกว่าเพื่อน สติปัญญาพิจารณาขุดค้นลงที่ตรงนั้น โดยแยกทุกขเวทนาออกให้เห็นชัดเจนว่า เวทนานี้เกิดมาจากไหน ใครเป็นทุกข์ ถามสกนธ์กายส่วนต่าง ๆ อาการต่าง ๆ ต่างอันต่างเป็นอยู่ตามธรรมชาติ หนังก็เป็นหนัง เนื้อก็เป็นเนื้อ เอ็นก็เป็นเอ็น ฯลฯ มีมาแต่วันเกิด ไม่ปรากฏว่ามันเป็นทุกข์มาตั้งแต่วันเกิด ติดต่อกันมาเหมือนเนื้อหนังที่มีอยู่ตั้งแต่วันเกิดนี้ ส่วนทุกข์เกิดขึ้นและดับไปเป็นระยะ ๆ ไม่คงอยู่เหมือนอวัยวะเหล่านั้นนี่


กำหนดลงไป อวัยวะส่วนไหนซึ่งเป็นรูป อันนั้นก็จริงของมันอยู่อย่างนั้น ทุกขเวทนาขณะนี้มันเกิดอยู่ตรงไหน ? ถ้าว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเวทนาทั้งหมด ทำไมมันจึงมีจุดเดียวที่มันหนักมาก ! แน่ะ.. แยกมันออกไป สติปัญญาตอนนั้น หนีไปไหนไม่ได้แล้ว ต้องวิ่งอยู่ตามบริเวณที่เจ็บปวด และหมุนติ้วรอบตัว แยกเวทนากับกาย ดูกายแล้วดูเวทนา ดูจิต มีสามอย่างนี้เป็นหลักใหญ่

จิตก็เห็นสบายดีนี่ ถึงทุกขเวทนาจะเกิดขึ้นมากน้อยเพียงไร จิตก็ไม่เห็นทุรนทุราย .. เกิดความเดือดร้อนระส่ำระสายอะไรนี่ ! แต่ความทุกข์ในร่างกายนั้นชัดว่าทุกข์มาก มันก็เป็นธรรมดาของทุกข์และกิเลสที่มีอยู่ มันต้องเข้าประสานกัน ไม่เช่นนั้น จิตจะไม่เกิดความเดือดร้อน หรือกระทบกระเทือนไปตามทุกขเวทนาทางกายที่สาหัสในขณะนั้น ปัญญาขุดค้นลงไป จนกระทั่งกายก็ชัด เวทนาก็ชัด จิตก็ชัด ตามความจริงของแต่ละอย่างละอย่าง

จิตเป็นผู้ไปหมาย ไปสำคัญเวทนาว่าเป็นนั้นเป็น นี้ก็รู้ชัด พอมันชัดเข้าจริง ๆ เช่นนั้นแล้ว เวทนาก็หายวูบไปเลย ในขณะนั้น กายก็สักแต่ว่ากาย จริงของมันอยู่อย่างนั้น เวทนาก็สักแต่เวทนา และหายวูบเข้าไปในจิต ไม่ได้ไปที่อื่นนะ พอเวทนาหายวูบเข้าไปในจิต จิตก็รู้ว่าทุกขเวทนาดับหมด ทุกขเวทนาดับหมดราวกับปลิดทิ้ง นอกจากนั้น กายก็หายหมดในความรู้สึก ขณะนั้น กายไม่มีในความรู้สึกเลย เหลือแต่ความรู้ล้วน ๆ เพราะยังเหลืออยู่อันเดียว คือความรู้และเพียงสักแต่ว่ารู้เท่านั้น จิตละเอียดมาก แทบจะพูดอะไรไม่ได้เลย สักแต่ว่ารู้ เพราะละเอียดอ่อนที่สุดอยู่ภายใน...ร่างกายหายหมด เวทนาหายหมด เวทนาทางร่างกายไม่มีเหลือเลย ร่างกายที่กำลังนั่งภาวนาอยู่นั้นก็หายไปหมดในความรู้สึก เหลือแต่ความสักแต่ว่ารู้ จะคิดจะปรุงเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มี ขณะนั้นจิตไม่คิดปรุงเลย ถ้าไม่ปรุงก็เรียกว่าไม่ขยับเขยื้อนอะไรทั้งนั้น จิตมันแน่ว คือแน่วอยู่โดยลำพังตนเอง เป็นจิตล้วน ๆ ตามขั้นของจิตที่รวมสงบ นี่ไม่ได้หมายถึงอวิชชาไม่มีนะ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-10-2012 เมื่อ 15:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #126  
เก่า 15-10-2012, 11:03
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

อวิชชามันแทรกอยู่ในนั้นแหละ เพราะจิตยังไม่ถอนออกจากอวิชชา มันก็มีจิตกับอวิชชาที่สงบตัวอยู่ด้วยกัน เพราะอวิชชาไม่ออกทำงาน ขณะที่ถูกตีต้อนด้วยปัญญา.. อวิชชาก็หดตัว สงบลงไปแทรกอยู่กับใจ เหมือนตะกอนนอนก้นโอ่งฉะนั้น

ขณะนั้นเกิดความอัศจรรย์ขึ้นมา ทุกขเวทนาไม่เหลือ กายหายหมด สิ่งที่ไม่หายมีอันเดียวคือ ความรู้อันละเอียดที่พูดไม่ถูก คือสักแต่ว่าปรากฏเท่านั้น พูดนอกออกไปจากนั้นไม่ได้ สิ่งที่สักแต่ว่าปรากฏนั้นแล คือความอัศจรรย์ยิ่งในขณะนั้น ไม่ขยับเขยื้อนภายในจิตใจ ไม่กระเพื่อม ไม่อะไรทั้งหมด สงบแน่วอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งพอแก่กาลแล้วก็ขยับ คือใจเริ่มถอยออกมา และกระเพื่อม "แย็บ" แล้วหายเงียบไป การกระเพื่อมมันเป็นเองของมันนะ เราไปหมายไม่ได้ ถ้าไปหมายก็จะถอน คือจิตพอดิบพอดีของมันเอง การกระเพื่อม "แย็บ" อย่างนี้มันก็รู้ พอกระเพื่อม "แย็บ" มันก็ดับไปพร้อม สักประเดี๋ยวกระเพื่อม "แย็บ" อีก หายไปพร้อม แล้วค่อยถี่เข้า ถี่เข้า


นี่ละจิตเวลามันลงถึงฐานเต็มที่แล้ว ขณะที่จะถอนก็ไม่ถอนทีเดียว เรารู้ได้ชัดขณะนั้น มันค่อยกระเพื่อม คือ สังขารมันปรุง "แย็บ" ขึ้นมา.. หายเงียบไป ยังไม่ได้ความอะไร กระเพื่อม "แย็บ" แล้วดับไปพร้อม แล้วประเดี๋ยว "แย็บ" ขึ้นมาอีก ค่อย ๆ ถี่เข้า พอถี่เข้า ถึงวาระสุดท้ายก็รู้สึกตัว ถอนขึ้นมาเป็นจิตธรรมดา แล้วก็รู้เรื่องร่างกาย เวทนาก็หายเงียบ เวลาจิตถอนขึ้นมาแล้ว เวทนายังไม่มี ยังหายเงียบอยู่ก่อน จนกว่าจะถึงเวลาที่เวทนาจะเกิดขึ้นมาใหม่

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-10-2012 เมื่อ 11:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #127  
เก่า 16-10-2012, 10:56
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

นี่ได้หลักเกณฑ์ที่นี่และแน่ใจ เกิดความเข้าใจว่า ได้หลักในการต่อสู้กับเวทนาว่า

“อ๋อ...เป็นอย่างนี้เอง ทุกข์มันเป็นอันหนึ่งต่างหากแท้ ๆ กายเป็นอันหนึ่ง จิตเป็นอันหนึ่งต่างหาก แต่เพราะความลุ่มหลงอย่างเดียว จึงได้รวมทั้งสามอย่างมาเป็นอันเดียวกัน จิตเลยกลายเป็นความหลงทั้งดวง จิตก็เป็นผู้หลงทั้งดวง แม้ทุกขเวทนาจะเกิดตามธรรมชาติของมันก็ตาม แต่เมื่อยึดเอามาเผาเรา.. มันก็ร้อน เพราะความสำคัญนี้เองพาให้ร้อน


เมื่อนานพอสมควรแล้ว ทุกขเวทนาก็เกิดขึ้นอีก ‘เอาอีก ต่อสู้กันอีก ไม่ถอย’

ขุดค้นลงไปอีก อย่างที่เคยขุดค้นมาแล้วแต่หนก่อน แต่เราจะเอาอุบายที่เคยพิจารณาแก้ไขในระยะก่อน มาใช้ในปัจจุบันนี้ไม่ได้ มันต้องเป็นอุบายสติปัญญาคิดขึ้นมาใหม่ ผลิตขึ้นมาใหม่ ให้ทันกับเหตุการณ์ซึ่งเป็นเวทนาเหมือนกัน แต่อุบายวิธีก็ต้องให้เหมาะสมกันในขณะนั้นเท่านั้น เราจะไปยึดเอาอุบายวิธีที่เราเคยพิจารณารู้ครั้งนั้น ๆ มาแก้ไม่ได้ มันต้องเป็นอุบายสด ๆ ร้อน ๆ เกิดขึ้นในปัจจุบัน แก้กันในปัจจุบัน ใจก็สงบลงได้อีกอย่างแนบสนิทเช่นเคย ในคืนแรกนั้น ลงได้ถึง ๓ หน แต่สู้กันแบบตะลุมบอนถึง ๓ หน พอดีสว่าง

‘โอ๊ย...เวลาต่อสู้กันแบบใครดีใครอยู่ ใครไม่ดีใครไป ด้วยเหตุผลทางสติปัญญาจริง ๆ’


ใจเกิดความอาจหาญรื่นเริง ไม่กลัวตาย ทุกข์จะมีมากมีน้อยเพียงไร ก็เป็นเรื่องของมัน..ธรรมดา เราไม่เข้าไปแบกหามมันเสียอย่างเดียว ทุกข์มันก็ไม่เห็นมีความหมายอะไรในจิตเรา จิตมันรู้ชัด กายมันก็ไม่มีความหมายอะไรในตัวของมัน และมันก็ไม่มีความหมายในตัวเวทนา และมันก็ไม่มีความหมายในตัวของเราอีก นอกจากจิตไปให้ความหมายมัน แล้วก็กอบโกยทุกข์เข้ามาเผาตนเองเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นใดเข้ามาทำให้ใจเป็นทุกข์...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-10-2012 เมื่อ 11:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #128  
เก่า 18-10-2012, 11:49
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

การพิจารณาทุกขเวทนาใหญ่ในครั้งนั้น ทำให้ท่านทราบชัดเจนว่า จิตคนเราแม้ไม่เคยพิจารณา.. ปัญญายังไม่เคยออกแบบนั้น แต่เวลามันจนตรอกจนมุมจริง ๆ แล้ว.. ปัญญามันไหวตัวทันเหตุการณ์ทุกแง่ทุกมุม จนกระทั่งรู้เท่าทุกขเวทนา รู้เท่ากาย รู้เรื่องจิต ต่างอันต่างจริง มันพรากกันลงอย่างหายเงียบเลย ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เคยเป็นอย่างนั้นมาก่อน ปรากฏว่า.. กายหายในความรู้สึก ทุกขเวทนาดับหมด เหลือแต่ความรู้สึกที่สักแต่ว่ารู้ ไม่ใช่รู้เด่น ๆ ชนิดคาด ๆ หมาย ๆ ได้ คือสักแต่ว่ารู้เท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนที่สุดอัศจรรย์ที่สุดในขณะนั้น

ท่านเล่าว่า “พอถอนขึ้นมาก็พิจารณาอีก แต่การพิจารณา เราจะเอาอุบายต่าง ๆ ที่เคยพิจารณาแล้วมาใช้ขณะนั้น ..ไม่ได้ผล มันเป็นสัญญาอดีตไปเลย ต้องผลิตขึ้นมาใหม่ให้ทันกับเหตุการณ์ในขณะนั้น.. จิตก็ลงได้อีก คืนนั้นลงได้ถึง ๓ ครั้งก็สว่าง โอ๋ย...อัศจรรย์เจ้าของละซิ ..!!!”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-10-2012 เมื่อ 12:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #129  
เก่า 22-10-2012, 10:48
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ในคืนที่นั่งสมาธิตลอดรุ่งนั้น ท่านจะไม่ยอมให้มีการพลิกเปลี่ยนหรือขยับแข้งขาใด ๆ ทั้งสิ้นเลย ท่านเล่าถึงความเจ็บปวดที่ได้รับจากการนั่งตลอดคืนเช่นนั้นให้ฟังว่า

เหมือนกับก้นมันพองหมด กระดูกเหมือนจะแตกทุกข้อทุกท่อน กระดูกมันต่อกันตรงไหน หรือแม้แต่ข้อมือเหมือนมันจะขาดออกจากกัน ทุกขเวทนาความเจ็บปวดเวลาขึ้น มันขึ้นหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกแง่ทุกมุมในร่างกายเลย


การโหมความเพียรหลายต่อหลายครั้งเข้าเช่นนี้ ทำให้ก้นของท่านถึงกับพองและแตกเลอะเปื้อนใส่สบงเลยทีเดียว ดังนี้

“...หากวันไหนที่หักโหมกันเต็มที่แล้ว จิตไม่สามารถลงได้ง่าย ๆ วันนั้นมันแพ้ทางร่างกายมาก บอบช้ำมาก คือในเวลานั่ง จะแสบก้นเหมือนถูกไฟเผา ถึงขนาดต้องได้นั่งพับเพียบฉันจังหันเลยทีเดียว


แต่ถ้าวันไหนที่พิจารณาทุกขเวทนาติดปั๊บ ๆ เกาะติดปั๊บ ๆ วันนั้นแม้จะนั่งสมาธิภาวนาตลอดรุ่งเหมือนกันก็ตาม แต่กลับไม่มีอะไรชอกช้ำภายในร่างกายเลย พอลุกขึ้นก็ไปเลยธรรมดา ๆ เหมือนกับว่าเรานั่งแค่ ๓ - ๔ ชั่วโมงเป็นประจำตามความเคยชินนั้นเอง

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-10-2012 เมื่อ 12:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #130  
เก่า 25-10-2012, 11:05
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

รู้ทันเวทนาชัดประจักษ์ “ตาย”

พอถึงรุ่งเช้าเมื่อได้โอกาสอันเหมาะสม ท่านก็ขึ้นกราบเรียนหลวงปู่มั่น ซึ่งตามปกติ ท่านเองมีความเกรงกลัวหลวงปู่มั่นมาก แต่วันนั้นกลับไม่รู้สึกกลัวเลย เป็นเพราะอยากจะกราบเรียนเรื่องความจริงของท่านให้หลวงปู่มั่นได้รับทราบ และให้ท่านเห็นผลแห่งความจริงว่า ปฏิบัติมาอย่างไรจึงได้ปรากฏผลเช่นนี้ ท่านจึงพูดขึ้นมาอย่างอาจหาญแบบที่ไม่เคยพูดกับหลวงปู่มั่นอย่างนั้นมาก่อน ดังนี้

“...ทั้ง ๆ ที่เราพูดขึงขังตึงตังใส่เปรี้ยง ๆ ท่านก็คงจับได้เลยว่า


‘โหย..ทีนี้แหละ กำลังบ้ามันขึ้นแล้ว’

ท่านคง ‘ว่างั้น’ .. ‘มันรู้จริง ๆ’

ความหมายว่ามันรู้จริง ๆ เพราะเราพูดแบบไม่สะทกสะท้าน เล่าอะไร ๆ ให้ฟัง ท่านจะค้านเราตรงไหน ท่านก็ไม่ได้ค้าน มีแต่ ‘เออ..เอา’ พอเราจบลงแล้วก็หมอบลง ฟังท่านจะว่า ‘ยังไง’ ? ... ท่านก็ขึ้นเต็มเหนี่ยวเหมือนกันนะ ท่านรู้นิสัยบ้า ‘ว่างั้น’ นะ

มันต้องอย่างนี้ ‘เอ้า’ ทีนี้ได้หลักแล้ว ‘เอ้า’ ‘เอ้า’.. มันให้เต็มเหนี่ยว อัตภาพเดียวนี้มันไม่ได้ตายถึง ๕ หนนะ มันตายหนเดียวเท่านั้นนะ ทีนี้ได้หลักแล้ว เอาให้เต็มเหนี่ยวนะ’...

ว่าอย่างนั้นเลยเชียว ท่านเอาหนัก อธิบายให้ฟังจนเป็นที่พอใจ เราก็เป็นเหมือนหมาตัวหนึ่ง พอท่านยอบ้างยุบ้าง หมาเราตัวโง่นี้ก็ทั้งจะกัด ทั้งจะเห่า... มันพอใจ มันมีกำลังใจ ที่นี้จึงฟัดกันใหญ่...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-10-2012 เมื่อ 14:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #131  
เก่า 29-10-2012, 10:53
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เมื่อได้กำลังใจจากหลวงปู่มั่นเช่นนี้ ท่านก็ยิ่งจริงจังเพิ่มขึ้นไปอีก คือพอเว้นคืนหนึ่งสองคืน ท่านก็นั่งตลอดรุ่งอีก และก็เว้น ๒-๓ คืนก็นั่งตลอดรุ่งอีก จนกระทั่งจิตเกิดอัศจรรย์เข้าใจชัดเจนเรื่องความตาย ดังนี้
“...เวลามันรู้จริง ๆ แล้ว แยกธาตุแยกขันธ์ดูความเป็นความตาย ธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ...สลายตัวลงไปแล้วก็เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟตามเดิม อากาศธาตุก็เป็นอากาศธาตุตามเดิม ใจที่กลัวตายก็ยิ่งเด่น มันเอาอะไรมาตาย รู้เด่นขนาดนี้มันตายได้ ‘ยังไง’ ใจก็ไม่ตายแล้วมันกลัวอะไร ? มันโกหกกัน โลกกิเลสมันโกหกกันต่างหาก หมายถึงกิเลสโกหกสัตว์โลกให้กลัวตาย ทั้งที่ความจริงไม่มีอะไรตาย


พิจารณาวันหนึ่งได้อุบายแบบหนึ่งขึ้นมา พิจารณาอีกวันหนึ่งได้อุบายแบบหนึ่งขึ้นมา แต่มันมีอุบายแบบเผ็ด ๆ ร้อน ๆ แบบอัศจรรย์ทั้งนั้น จิตก็ยิ่งอัศจรรย์และกล้าหาญจนถึงขนาดที่ว่า
‘เวลาจะตายจริง ๆ มันจะเวทนาหน้าไหนมาหลอกเรา ‘วะ’ ทุกขเวทนาทุกแง่ทุกมุมที่แสดงในวันนี้ เป็นเวทนาที่สมบูรณ์แล้วเลยจากนี้ก็ตายเท่านั้น ทุกขเวทนาเหล่านี้เราเห็นหน้ามันหมด เข้าใจกันหมด แก้ไขมันได้หมด แล้วเวลาจะตาย มันจะเอาเวทนาหน้าไหนมาหลอกเราให้หลงอีก ‘วะ’ หลงไปไม่ได้ เวทนาต้องเวทนาหน้านี้เอง


พูดถึงเรื่องความตายก็ไม่มีอะไรตาย กลัวอะไรกัน นอกจากกิเลสมันโกหกเรา ให้หลงไปตามกลอุบายอันจอมปลอมของมันเท่านั้น แต่บัดนี้ เราไม่หลงกลของมันอีกแล้ว’

นั่นละ จิตเวลามันรู้ และมันรู้ชัดตั้งแต่คืนแรกนะ ที่ว่าจิตเจริญแล้วเสื่อม ๆ ก่อนมาภาวนาจนนั่งตลอดรุ่งคืนแรกมันก็ไม่เสื่อม ตั้งแต่เดือนเมษายนมาก็ไม่เสื่อม แต่มันก็ยังไม่ชัด พอมาถึงคืนวันนั้นแล้วมันชัดเจน
‘เอ้อ มันต้องอย่างนี้ไม่เสื่อม’


เหมือนกับว่า มันปีนขึ้นไปแล้วก็ตกลง ขึ้นไปแล้วก็ตกลง ๆ แต่คราวนี้พอปีนขึ้นไปแล้วเกาะติดปั๊บ ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่เสื่อม มันรู้แล้วจึงได้เร่งเต็มที่เต็มฐาน...”
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #132  
เก่า 30-10-2012, 14:15
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

หลวงปู่มั่นขอใส่บาตร อุบายสอนศิษย์..

ตลอดพรรษาที่บ้านนามนแห่งนี้ ท่านยังคงสมาทานธุดงค์อย่างเคร่งครัด ในข้อฉันอาหารที่ได้มาในบาตรเท่านั้น เหมือนเมื่อครั้งไปอยู่กับหลวงปู่มั่นใหม่ ๆ ในปีแรกดังนี้

“... อยู่ที่ไหนก็ตามเรื่องธุดงควัตรนี้ เราจะต้องเอาหัวชนอย่างไม่ถอยเลย ยืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมให้ขาดได้เลย บิณฑบาตมาแล้วก็รีบจัด ‘ปุ๊บปั๊บ’ จะเอาอะไรก็เอาเสียนิด ๆ หน่อย ๆ เพราะการฉันไม่เคยฉันให้อิ่ม ในพรรษาไม่เคยให้อิ่มเลย โดยกำหนดให้ตัวเองว่าเอาเพียงเท่านั้น ๆ สัก ๖๐% หรือ ๗๐ % ... ซึ่งคิดว่าพอดี เพราะอยู่กับหมู่เพื่อนหลายองค์ด้วยกัน


ถ้าจะอดก็ไม่สะดวก เพราะการงานในวงหมู่คณะเกี่ยวข้องกันอยู่เสมอ เราเองก็เหมือนเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งอย่างลับ ๆ ทั้งที่ไม่แสดงตัว ทั้งนี้เกี่ยวกับการคอยดูแลความสงบเรียบร้อยของหมู่คณะภายในวัด พรรษาก็ไม่มาก สิบกว่าพรรษาเท่านั้นแหละ แต่รู้สึกว่าท่านอาจารย์มั่น ท่านเมตตา ไว้ใจในการช่วยดูแลพระเณรอย่างลับ ๆ เช่นกัน...

พอบิณฑบาตกลับมาแล้ว มีอะไรก็รีบจัด ๆ ใส่บาตร เสร็จแล้วก็รีบไปจัดอาหารเพื่อใส่บาตรท่านอาจารย์มั่น ห่อนั้นหรือห่อนี้ที่เห็นว่าเคยถูกกับธาตุขันธ์ท่าน เรารู้และเข้าใจก็รีบจัด ๆ อันไหนควรแยกออก อันไหนควรใส่ก็จัด ๆ เสร็จแล้วถึงจะมานั่งของตน ตาคอยดู หูคอยฟัง สังเกต .. ฟังท่านจะว่าอะไรบ้างขณะก่อนลงมือฉัน

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-10-2012 เมื่อ 14:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #133  
เก่า 01-11-2012, 09:32
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

บาตรเราพอจัดเสร็จแล้ว ก็เอาตั้งไว้ลับ ๆ ทางด้านข้างฝาติดกับต้นเสา เอาฝาปิดไว้อย่างดีด้วย เอาผ้าอาบน้ำปิดอีกชั้นหนึ่งด้วย เพื่อไม่ให้ใครไปยุ่งไปใส่บาตรเรา เวลานั้นใครจะมาใส่บาตรเราไม่ได้ กำชับกำชาไว้อย่างเด็ดขาด แต่เวลาท่านจะใส่บาตรเรา ท่านก็มีอุบายของท่าน เวลาเราจัดอะไรของท่านเสร็จเรียบร้อยแล้วมานั่งประจำที่ ให้พรเสร็จ

ตอนทำความสงบพิจารณาปัจจเวกขณะนั้นแล ท่านจะเอาตอนเริ่มจะฉัน ท่านเตรียมของใส่บาตรไว้แต่เมื่อไรก็ไม่รู้แหละ แต่ท่านไม่ใส่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ นี่ ท่านก็รู้เหมือนกัน ท่านเห็นใจเรา บทเวลาท่านจะใส่ ท่านพูดว่า
ท่านมหาขอใส่บาตรหน่อย ๆ ศรัทธามาสาย ๆ’ ท่านว่าอย่างนั้น


พอว่าอย่างนั้น.. มือท่านถึงบาตรเราเลยนะ ตอนเราเอาบาตรมาวางข้างหน้าแล้ว กำลังพิจารณาอาหารนี่แหละ เราเองก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร เพราะความเคารพ จำต้องปล่อยตามความเมตตาของท่าน เราให้ใส่เฉพาะท่านเท่านั้น นาน ๆ ท่านจะใส่ทีหนึ่ง ในพรรษาหนึ่ง ๆ จะมีเพียง ๓ ครั้งหรือ ๔ ครั้งเป็นอย่างมาก ท่านไม่ใส่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ เพราะท่านฉลาดมาก คำว่ามัชฌิมาในทุกด้านจึงยกให้ท่านโดยหาที่ติไม่ได้...”

แม้หลวงปู่มั่นจะทราบดี ถึงความเคร่งครัดของท่านเกี่ยวกับการสมาทานธุดงค์ แต่ด้วยความเมตตาของครูบาอาจารย์ที่ต้องการหาอุบายสอนศิษย์ ทำให้บางครั้งหลวงปู่มั่นก็ได้นำอาหารมาใส่บาตรท่านพร้อมกับพูดว่า
“ขอใส่บาตรหน่อยท่านมหา นี่เป็นสมณบริโภค” หรือบางครั้งก็ว่า “นี่เป็นเครื่องบริโภคของสมณะ ขอนิมนต์รับเถอะ” เหตุการณ์ในตอนนั้น ท่านเคยเล่าไว้ดังนี้


“... บางครั้งก็มีคณะศรัทธาทางจังหวัดหนองคายบ้าง และที่สกลนครบ้าง ที่อื่น ๆ บ้าง ไปใส่บาตรท่านและพระในวัดบ้านนามน คนในเมืองสกลนครนาน ๆ มีไปทีหนึ่ง เพราะแต่ก่อนรถราไม่มี ต้องเดินด้วยเท้า แต่เขาไปด้วยเกวียน จ้างล้อจ้างเกวียนไป

เขาไปพักเพียงคืนสองคืน และไม่ได้พักอยู่ในวัดกับพระท่าน แต่พากันไปพักอยู่กระท่อมนาของชาวบ้านนามน ตอนเช้าทำอาหารบิณฑบาตเสร็จแล้วก็มาถวายพระในวัดนั้น เขาไม่ได้ไปดักใส่บาตรนอกวัด เราก็ไม่กล้ารับ.. กลัวธุดงค์ขาด เดินผ่านหนีมาเลย สำหรับท่านก็รับให้เพราะสงสารเขา เท่าที่สังเกตดู

อาหารก็เหลือจากใส่บาตรมากมายก็ได้นำขึ้นมาบนศาลา เป็นหมกเป็นห่อและผลไม้ต่าง ๆ นะ เราก็ไม่รับ ส่งไปไหนก็หายเงียบ หายเงียบ ไม่มีใครรับ จะมีรับบ้างเพียงองค์สององค์ ผิดสังเกต ศรัทธาเขาไม่น้อย ส่วนเราไม่กล้ารับเพราะกลัวธุดงค์ข้อนี้ขาด หลายวันต่อมาท่านก็ขอใส่บาตรเรา โดยบอกว่า
‘นี้เป็นสมณบริโภค ขอใส่บาตรหน่อย’


แล้วท่านก็ใส่บาตรเรา ท่านใส่เองนะ ถ้าธรรมดาแล้ว โถ...ใครจะมาใส่เราได้วะ สำหรับเราเองกลัวธุดงค์จะขาด หรืออย่างน้อยไม่สมบูรณ์... นอกจากท่านอาจารย์มั่นผู้ที่เราเคารพเลื่อมใสเต็มหัวใจเท่านั้น จึงยอมลงและยอมให้ใส่บาตรตามกาลอันควรของท่านเอง...

ความจริงท่านคงเห็นว่า นี่...มันเป็นทิฐิแฝงอยู่กับธุดงค์ที่ตนสมาทานนั้น ท่านจึงช่วยดัดเสียบ้าง เพื่อให้เป็นข้อคิดหลายแง่หลายกระทง ไม่เป็นลักษณะเถรตรงไปถ่ายเดียว ท่านจึงหาอุบายต่าง ๆ สอนเราทั้งทางอ้อมและทางตรง

แต่เพราะความเคารพเลื่อมใสท่าน ความรักท่าน ทั้ง ๆ ที่ไม่สบายใจก็ยอมรับ นี่แล...ที่ว่าหลักใจกับหลักปฏิบัติ ต้องยอมรับว่าถูกในความจริงจังที่ปฏิบัตินี่ แต่มันก็ไม่ถูกสำหรับธรรมที่สูงและละเอียดกว่านั้น เล็งดูเราเล็งดูท่าน มองเราและมองท่านนั้น ผิดกันอยู่มาก

อย่างพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ท่านมองอะไร ? ท่านมองตลอดทั่วถึง และพอเหมาะพอสมทุกอย่างภายในใจ ไม่เหมือนพวกเราที่มองหน้าเดียว แง่เดียวแบบโง่ ๆ...! ไม่มองด้วยปัญญาเหมือนท่าน เราจึงยอมรับตรงนั้น...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-11-2012 เมื่อ 09:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #134  
เก่า 02-11-2012, 09:33
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

อุบายฝึกม้าพยศ เตือนศิษย์

จากการที่โหมนั่งภาวนาตลอดรุ่งถึง ๙ - ๑๐ คืน แม้จะไม่ทำติดต่อกัน คือเว้น ๒ คืนบ้าง ๓ คืนบ้าง หรือบางทีก็เว้น ๖ - ๗ คืนก็มี ท่านทำเช่นนี้ตลอดพรรษา จนถึงกับเป็นที่แน่ใจในเรื่องทุกขเวทนาหนักเบามากน้อย เข้าใจวิธีปฏิบัติต่อกัน สามารถหลบหลีกปลีกตัวแก้ไขกันได้อย่างทันท่วงที จึงไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน แม้จะตายก็ไม่กลัว เพราะได้พิจารณาด้วยอุบายอันแยบคายเต็มที่แล้ว สติปัญญาจึงเท่าทันต่อความตายทุกอย่าง

การที่ท่านหักโหมร่างกาย ด้วยการนั่งตลอดรุ่งเช้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ ทำให้ผิวหนังในบริเวณก้นได้รับความกระทบกระเทือนอยู่บ่อยครั้ง จนถึงขั้นช้ำระบม พุพอง แตก น้ำเหลืองไหลเยิ้มในที่สุด พอนานวันเข้า หลวงปู่มั่นก็เมตตาเตือนแย็บออกมาว่า

“กิเลสมันไม่ได้อยู่กับร่างกายนะ มันอยู่กับจิต เหมือนสารถีฝึกม้า”

จากนั้นก็พูดต่อว่า “ม้าที่เวลามันกำลังคึกคะนอง มันไม่ยอมฟังเสียงเจ้าของเลย ต้องทรมานมันอย่างเต็มที่ ไม่ควรให้กินหญ้าก็ไม่ให้มันกินเลย ทรมานมันอย่างหนัก เอาจนมันกระดิกไม่ได้


ทีนี้.. พอมันยอมลดพยศลงก็ผ่อนการทรมาน เมื่อมันผ่อนความพยศลงมาก การฝึกทรมานก็ผ่อนกันลงไป ให้กินหญ้ากินอะไรบ้าง

ถ้าม้ามันเป็นการเป็นงานแล้ว เราก็ไม่ทรมานมัน ให้การรักษา การระมัดระวัง การบำรุงมันไป เวลาต้องการจะใช้ประโยชน์อะไรก็ใช้มันฉันใด จิตเวลามันกำลังคึกคะนองผาดโผนโลดเต้น ก็เอามันอย่างหนักฉันนั้นเหมือนกัน”

หลวงปู่มั่นเตือนท่านเพียงเท่านี้ก็เข้าใจได้ทันที เพราะเคยร่ำเรียนเรื่องนี้สมัยเรียนปริยัติมาก่อนแล้วจึงลงใจ และยอมรับในคำเตือนของครูบาอาจารย์ทันที ท่านเปรียบการแย็บเตือนครั้งนี้ เหมือนกับว่าหลวงปู่มั่นเอาไม้ทั้งท่อน โยนตูมให้ไปเลื่อย ไปไสกบลบเหลี่ยม เจียระไนเอาเอง โดยไม่มีการแจกแจงอะไรให้

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-11-2012 เมื่อ 19:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #135  
เก่า 05-11-2012, 11:37
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

แอบสนทนากับหลวงปู่พรหม

พอออกพรรษาแล้ว หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ * ศิษย์องค์สำคัญของหลวงปู่มั่นอีกรูปหนึ่ง ได้เข้ามาพักที่วัดป่าบ้านนามนกับหลวงปู่มั่น จึงเป็นโอกาสอันดี ให้ท่านมีโอกาสแอบเข้าพบและสนทนากับหลวงปู่พรหมเป็นประจำ ดังนี้

“...หลวงปู่พรหมนี้.. เป็น
(บรรลุธรรม)อยู่ข้าง ๆ ทางดอยแม่ปั๋ง มันมีแต่ป่าแต่เขาทั้งนั้น นี่นะ..คือได้เคยคุยธรรมะกันแล้ว ตั้งแต่ท่านยังไม่ตายจะ ‘ว่าไง’

ที่ได้คุยกันเป็นเวลานาน ๆ ก็คือท่านอยู่ที่บ้านนามน คือเราอยู่บ้านนามนกับหลวงปู่มั่น ท่านอาจารย์พรหมท่านเคยพูดให้ฟังตั้งแต่อยู่บ้านนามน เวลาเงียบ ๆ วันไหน ไม่ได้ขึ้นหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น ก็แอบไปหาท่าน คุยกันสองต่อสองทุกคืน คุยสนุกสนาน ท่านพูดให้ฟังทุกแง่ทุกมุมในการปฏิบัติธรรมของท่าน นี่ท่านก็ผ่านที่เชียงใหม่ ท่านผ่านมานานแล้วนี่.. ก็รู้ได้อย่างชัดเจนละซี ท่านเล่าให้ฟัง ถึงเรายังไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรทางปริยัติ ทางอะไรมันก็เข้ากันได้ ลงใจทันที...


หลวงปู่พรหมกับเราสนิทสนมกันมาเป็นเวลานาน นี่วัดของท่าน คือแต่ก่อนท่านอยู่วัดนี้ (วัดผดุงธรรม) แล้วท่านย้ายจากนี้ออกไปตะวันตก แต่ก่อนตะวันตกนี้เป็นดงใหญ่นะ ดงทั้งหมด ดงสัตว์ ดงเนื้อ ดงเสือเต็ม วัดท่านก็อยู่ในดง (วัดประสิทธิธรรม) เราไปพักกับท่านอยู่นั้น กับเรารู้สึกท่านเมตตามากนะ นิสัยท่านน่าเกรงขามมาก นิสัยจริงจัง เด็ดเดี่ยวทุกอย่าง ฉลาดรอบคอบ ไม่ใช่เล่นนะ พอเห็นเราไปแล้ว ‘หา!’ ขึ้นเลย ก็สนิทกันมาเท่าไรแล้ว

พอมองเห็นเรา เรากำลังสะพายบาตรเข้าไป ‘หา ท่านมหามาหรือ ?’

‘โอ๊ย...มาแล้ว คิดถึงครูบาอาจารย์มาก ต้องมาแหละ’

‘เออ.. เอ้า .. มาเวลานี้กำลังหนาว’

เราไปเดือนธันวาคม มันก็หนาวละซี แล้วบ้านดงเย็นเป็นบ้านที่หนาวมากด้วย ไปคุยธรรมะธัมโมกับท่าน โอ๊ย...สนิทกันมากตั้งแต่อยู่บ้านนามน พอออกพรรษาแล้วท่านก็ไปหา

ทีแรกจวนจะเข้าพรรษา ท่านไปหาหลวงปู่มั่นก่อน พอดีทางสกลนคร วัดสุทธาวาสไม่มีหัวหน้าวัด เขาก็ไปขอพ่อแม่ครูจารย์มั่น ก็พอดีท่านอาจารย์พรหมไปถึงนั้น ท่านมาจากเชียงใหม่ ท่านบึ่งเข้าไปหาพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น

พอเขาพูดจบคำเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่มั่นท่านพูดเป็นลักษณะเผดียง ๆ จะสั่งจริง ๆ ก็ไม่ใช่นะ ท่านก็รู้อัธยาศัยเหมือนกัน คือพระไม่มี .. เขาก็มาขอจากท่าน ‘นี่จะทำ ‘ยังไง’ ท่านพรหม เขาก็มาหาหัวหน้าจะ ‘ทำไง’ ถ้าว่าท่านไปอยู่ที่นั้นได้ก็จะดี’


บริษัทโยมนุ่มมาขอ เพราะวัดนี้เป็นวัดบริษัทโยมนุ่มสร้างขึ้นมา มีหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ เป็นประธานการสร้างวัดสุทธาวาสนี่นะ เขาก็เลยถือเป็นวัดของเขาไปเลย ทีนี้พระไม่มี เขาก็ไปติดต่อบ้านนามน ‘โอ๋ย... จะให้ไปอยู่ยังไง...’ ท่านก็ว่าอย่างนั้น คือมาขอพระไป ‘พระในเมืองสกลฯ อดอยากที่ไหน’ ท่านพูดเล่นกับเขา หากเฉยนะ พูดลักษณะเล่นอยู่ภายใน

‘ทำไม! มาหาไกลนักหนา เมืองสกลฯ มีมากขนาดไหน ไม่ได้แหละ พระนี่.. ท่านมาหาภาวนา ก็ต้องมาตามอัธยาศัยของท่านซี

ท่านว่า เขาก็เลยกลับไป ท่านบอกไม่ได้ จากนั้นไม่นานสักสี่ห้าวัน‘หรือไง’ พอดีท่านอาจารย์พรหมมาวัดสุทธาวาส แล้วพุ่งใส่พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเราเลย นั่นละ ท่านถึงพูดเป็นเชิงเล่าเรื่องนี้ละ ‘เขามาขอพระอะไร ๆ ถ้าท่านพรหมพอจะอยู่พัก อบรมสั่งสอนให้เขาร่มเย็นบ้างก็จะดีนะ’

ท่านพูดกลาง ๆ ท่านก็รู้อัธยาศัยเหมือนกันนะ ท่านไม่บังคับนะ ‘ถ้าท่านอยู่ที่นั่นเป็นหัวหน้าให้เขาบ้างก็จะดี ท่านว่าอย่างนั้น ออกพรรษาเราอยากมาค่อยมา’


..........................................................................
* ต่อมาเป็นเจ้าอาวาสวัดประสิทธิธรรม บ้านดงเย็น อำเภอบ้านตุง จังหวัดอุดรธานี

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-11-2012 เมื่อ 16:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #136  
เก่า 08-11-2012, 09:30
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พอออกจากนั้นปั๊บ ท่านก็กลับคืนไปจำพรรษาอยู่ที่วัดสุทธาวาส พอทีนี้ออกพรรษาแล้วท่านก็มาอีก พอออกพรรษาแล้วท่านมาเลย มาอยู่นั้นนานกับเรา พอตกกลางคืนเราจะแอบไปหาท่านทุกคืนเลย ถ้าวันไหนไม่ได้ขึ้นไปหาท่านต้องเข้าไปนั้นละ คุยธรรมะกัน ถึงได้รู้เรื่องรู้ราวภายในของท่านนั้นแหละ ได้คุยกันตลอดสนิทสนมกันมา...

หลวงปู่พรหม นี่ท่านประกาศ ๗ วัน เพราะท่านเป็นพ่อค้า แล้วไม่มีลูกมีเต้า ถ้าพูดถึงฐานะบ้านนอกก็เรียกว่า ท่านเป็นที่หนึ่งของบ้านนี้ เพราะการค้าการขายท่านเป็นพ่อค้า ทีนี้เวลามาปรึกษาหารือกับแม่บ้าน เพราะไม่มีลูกด้วยกันนี้ทำ ‘ยังไง’ นี่เห็นไหม.. คนมีอุปนิสัยมันเป็นนะ เราก็อยู่ด้วยกันมา ไม่มีลูกมีเต้าที่จะสืบหน่อต่อแขนงมรดก

‘เหล่านี้จะ ‘ทำไง’ แล้วตายแล้วใครจะสืบต่อก็ไม่ได้ทั้งนั้น สืบต่อกันเป็นระยะ ๆ อันนี้เรายังมีชีวิตอยู่ สิ่งเหล่านี้เราครองมานานแล้ว ก็ไม่เห็นเป็นประโยชน์อะไร ก็อยู่อย่างนี้แหละ เราออกบวชจะไม่ดีหรือ ต่างคนออกเสาะแสวงหาสมบัติภายใน สมบัติภายนอกเราเห็นอยู่นี้แหละ’

ท่านเล่าให้ฟังนะ แม่บ้านก็พอใจทันทีเลย ถ้าเราออกบวชแล้ว อันนี้เราก็ประกาศให้ทานไปหมดเลย เสร็จแล้วออกเลย ทางนั้นก็พร้อมเลยไม่ว่า ท่านบอกว่าประกาศอยู่ ๗ วัน ของให้ทานหมดเลย ให้ทาน ๗ วัน แล้วแม่บ้านออกทางหนึ่ง ท่านก็ออกทางหนึ่งไปเรื่อย ท่านเล่าให้ฟัง

ท่านเป็นคนศักดิ์ศรีดีงาม มีอำนาจวาสนาน่าเกรงขามมาก เด็ดเดี่ยวแน่นอนมาตั้งแต่คุยกันอยู่บ้านนามน อย่างนี้แหละ เห็นไหมล่ะ ไม่ต้องเอาอะไรมายันกัน เพราะท่านคุยให้เราฟังอย่างถึงใจเมื่ออยู่บ้านนามน ท่านผ่านมาตั้งแต่อยู่เชียงใหม่โน้น ... แต่ก่อนท่านเล่าให้ฟัง เราก็ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร ท่านเล่าให้ฟังจนกระทั่งถึงท่านผ่านได้เลย เราก็ฟังแบบหูหนวกตาบอด

ครั้นเวลามาปฏิบัติ.. ปฏิบัติไม่ถอยมันก็รู้ตามกันไป ๆ สุดท้ายยอมกราบท่านราบ ... ท่านเล่าให้ฟังแล้ว ทางนี้ตามอีกด้วยข้อปฏิบัติ ด้วยความรู้ความเห็นมันตามเข้าไปหาที่แย้งกันไม่ได้ ยอมรับเลย นี่องค์หนึ่ง...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-11-2012 เมื่อ 12:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #137  
เก่า 09-11-2012, 08:54
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต (วัดอุดมคงคาคีรีเขต อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น) เป็นพระองค์สำคัญอีกรูปหนึ่งที่เดินทางมาขอศึกษาอุบายธรรมจากหลวงปู่มั่น ที่วัดป่าบ้านนามนแห่งนี้ ท่านกล่าวถึงเหตุการณ์ในตอนนี้ ดังนี้

“...พอพูดถึงเรื่องพญานาค หลวงพ่อผางสำคัญอยู่นะ กับพวกงูพวกพญานาค นี่ละอำนาจวาสนาของคน มีฤทธาศักดานุภาพ ปัจจุบันนี่หลวงพ่อผาง ขอนแก่น นั่นน่ะ.. ท่านบวชทีหลังเรา ตอนท่านไปเราก็อยู่ที่นั่น วัดนามน ที่ท่านศึกษาปรารภกับหลวงปู่มั่น ท่านก็เทศน์อย่างเด็ดทีเดียว นั่นล่ะ.. ท่านได้ธรรมะนั่นล่ะมา ใส่เปรี้ยง ๆ ลง ท่านคงเล็งดูแล้วเหมาะแล้ว ธรรมะจึงไม่มีอ่อนข้อเลย..เด็ดตลอดจนจบ


ใส่เปรี้ยง ๆ เหมือนคนโกรธแค้นกันมาได้ห้ากัปห้ากัลป์ พอมาก็ปรี่ใส่กันเลย ‘ว่างั้น’ เถอะนะ นั่นล่ะ.. ผู้ท่านได้อันนั้นมา มาพิจารณาก็ได้คติตั้งแต่นั้นมา เอาจนทะลุไป นี่ละองค์นี้หลวงพ่อผาง แล้วก็เล่าถึงเรื่องของเรา ท่านบอกว่า ท่านเคยพบกับเราอยู่ที่นั่น.. นามน เล่าให้พระทั้งหลายฟัง เพราะตอนนี้เราก็มาขั้นครูขั้นอาจารย์ไปแล้ว หลวงพ่อผางก็เป็นครูเป็นอาจารย์ไปแล้ว เลยเล่าเรื่องถึงกันเฉย ๆ ทีนี้เวลาท่านออกมาแล้วนี้...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-11-2012 เมื่อ 19:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #138  
เก่า 15-11-2012, 10:14
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

หลงป่า

เดือนพฤศจิกายนปีนั้น ท่านกราบลาหลวงปู่มั่นออกจากวัดป่าบ้านนามนไปเที่ยวกรรมฐาน มีอยู่คราวหนึ่ง ระหว่างที่ท่านพร้อมหมู่คณะกำลังเที่ยววิเวก หาสถานที่ภาวนาในป่าในภูอยู่นั้น เมื่อยิ่งเดินหน้าไปเรื่อยก็ยิ่งพลัดหลงทางไปเรื่อย เข้าไปในหุบเขาเล็ก ๆ ยิ่งเข้าป่าลึกขึ้น ๆ จนไม่พบบ้านผู้คนเลย เหตุการณ์คราวนั้น ท่านกล่าวว่า รอดมาได้ด้วยอำนาจของบุญของทาน ดังนี้

“...ออกจากบ้านโคกนามน จากพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นไปก็เข้าเขาเลย เพราะภูเขามันติดกันกับบ้านห้วยหีบ เข้าไปนั่นไปภูเขา เข้าไปกลางเขาเลยหลง หลงอยู่กลางเขาเลย... ไปเที่ยวในภูเขาจากระหว่างสกลนครกับกาฬสินธุ์ เข้าไปในเขาไปหลงป่าละซี เข้าไปในหุบเขาเลยนะ เขาไม่รู้กี่ลูกกี่ชั้น เข้าไปจมอยู่ในเขาเลย พอดีไปเจอพวกเขาไปทำไร่อยู่ในเขามี ๔ - ๕ หลังคา เขาไปทำไร่อยู่ในหุบ หลงเข้าไปตรงนั้น เขา.. จนงงเลย ‘โห .. ท่านมาได้ ‘ยังไง’ ?’

คือตอนกลางคืนนั้นมีนิมิตเสียก่อนนะ หลงป่าไปด้วยกัน ๓ องค์ ยังไม่ได้แยกจากกัน ตามธรรมดาออกจากวัดแล้วก็ไปทีละ ๒ องค์ ๓ องค์ แล้วก็ไปแยกกันข้างหน้า ไปวันนั้นยังไม่ได้แยกเลย ไปก็ไปหลงป่ากลางคืน งมเงาไป

‘เอ้า นอนในป่านี่แหละ งมไปไหน แล้วตั้งสัจอธิษฐานนะ ..จะออกทางภาวนาก็ได้ ..ออกทางความฝันก็เอา แล้วบ้านอยู่ทางไหน มันหลงถนัดแล้ว เข้าในหุบเขา บ้านอยู่ทางไหนให้ตั้งสัจอธิษฐานนะ

องค์นั้นก็ตั้ง องค์นี้ก็ตั้ง เราก็ตั้ง ตั้งสัจอธิษฐาน จะออกทางภาวนาก็ได้ ออกทางไหนก็ได้ พอดีกลางคืนมานิมิตแล้ว ... ทีนี้พอกลางคืนมาก็ฝันละที่นี่ องค์นั้นก็ฝัน องค์นี้ก็ฝัน ฝันด้วยกันทั้ง ๓ องค์ด้วยนะ แปลกอยู่

องค์หนึ่งฝัน ‘บ้านอยู่ทางไหน ?’
‘บ้านอยู่ทางนี้’ ชี้ไปทางทิศใต้ ‘รู้ได้ยังไงว่าบ้านอยู่ทางนี้ ?’


‘มีแต่ผู้หญิงหาบอะไรต่ออะไร หลั่งไหลผ่านมานี่ ไปทางนี้แหละ ไปทางทิศใต้นี้’

‘แล้วองค์นี้ล่ะ ฝันว่ายังไง..’

‘บ้านอยู่ทางนี้อีก’ ‘รู้ได้ยังไง..’

‘มีแต่ผู้หญิงหาบสิ่งหาบของพะรุงพะรังไปนี้’ แล้วว่า ‘วันนี้เราจะพบผู้หญิงก่อนนะ’

‘เอ้า...อยู่ในกลางเขาจะพบผู้หญิงก่อนนะ’

‘เอ้า...อยู่ในกลางเขาจะพบผู้หญิงได้ยังไง..’

‘หากจะพบก็เพราะความฝันบอก อย่างนั้น’

เราก็อีกเหมือนกัน หมู่เพื่อนมาถามเราว่า ‘เป็นยังไง ?’

‘บ้านอยู่ทางนี้จริง แต่ไม่ใช่บ้านนะ เป็นทับ เขามาตั้งทับอยู่ทางด้านนี้ เมื่อคืนเห็นโยมแม่มาหา มีเด็กสองสามคนติดตามโยมแม่มา โยมแม่มาหามาถางนั้นถางนี้ปุบปับ ๆ แล้วก็พาเด็กขนของไป ไปทางนี้แหละ บ้านอยู่ทางนี้หรือทับอยู่ทางนี้แหละ เอ้า...ไปทางนี้’

นั่นละ พอตื่นแล้วก็บุกตามทิศเลย ไปอยู่ในหุบเขาลึก ๆ นะ มีบ้านอยู่ ๔ หลังคาเรือน เขามาทำไร่อยู่ในหุบเขา ไปเขางงเลย ‘โอ๊ย... ท่านมาได้ยังไงนี่ โถ... ตาย ๆ ๆ’

ไปได้พบผู้หญิงก่อนจริง ๆ มีแต่ผู้หญิงตำข้าวกันตุบตับ ๆ ผู้ชายไม่มีสักคนเดียว มีเด็กเล่นอยู่อีกสองสามคน เด็กก็ลักษณะที่ว่านั่นแหละ เขาว่าญาครูเป็นความเคารพ ญาครู ญาชา หลวงตา นี่เป็นความเคารพของเขา

‘มาได้ยังไง ? เมื่อคืนนี้ก็ฝันกัน มาเล่าสู่กันฟังอยู่นี่ ฝันว่าพระท่านมาโปรด ๓ องค์ เมื่อคืนนี้ บ้านนั้นก็ฝัน บ้านนี้ก็ฝัน ก็แปลกอยู่นะ


ฝันว่าญาครู (คือพระ) ท่านมาโปรด ๓ องค์เมื่อคืนนี้ พูดกันจบเดียวนี้ พวกผู้ชายเขาไปไร่นอกบริเวณนั้น เพิ่งไปตะกี้นี้ ว่าพระมาโปรด ๓ องค์’

พอดีไปพวกนั้นเขาก็งง เขาว่า ‘ถ้าไม่พบบ้านนี้ต้องตาย ไม่มีทางอื่นทางใด นอกจากจะไปพบพวกนายพรานเขานะ ถ้าผู้มีแก่ใจเขาก็จะพาย้อนกลับหลังไป ย้อนทางไปสู่บ้านมานี้มันลึกพอแล้วนี่ ข้ามเขาแต่เพียงลูกเดียวสองลูกเท่านั้นตายเลย เพราะแถวนี้ไม่มีบ้านเลย อยู่ในหุบเขา

เราก็เลยได้กินข้าวกับเขา แล้วบอกเพื่อนฝูงด้วยว่า ‘วันนี้เราอย่าพูดอะไรนะ จะมีคนตามส่งเรานะวันนี้ เพราะมีเด็กมาเอาของบริขารผมไป เราไม่ได้บอกเด็ก เด็กมาขนบริขารไปเลย วันนี้คอยดู จะมีคนไปส่งเรา

พอกินข้าวแล้วเขาบอกว่า ‘พวกผมต้องไปส่งท่าน ถ้าไม่ไปส่ง ท่านก็ตายอีก’ เขาตามส่งย้อนหลัง ไปส่งใส่ทางเข้าหมู่บ้าน

นี่เรามันอัศจรรย์ที่ว่าอยู่ในหุบเขาลึก ๆ มันหลงไปได้ ‘ยังไง’ หลงไปในหุบเขาเท่ากำปั้นนี่นะ ภูเขานี่กว้างเท่าท้องฟ้ามหาสมุทร แล้วมันหลงไปได้ ‘ยังไง’ นี่..อัศจรรย์อยู่เหมือนกันนะ เวลาจะตายไม่ตายนะ ที่ว่าจะตาย ๆ ก็เพราะปีนเขา เขาพูดว่า
‘ไม่ใช่อะไรหรอกท่าน ปีนเขาลูกนี้ลงลูกนี้ ขึ้นลูกนั้น กว่าจะถึงบ้านคนมันกี่สิบเขา ท่านไปได้เพียง ๒-๓ วัน ท่านก็แย่แล้ว ตายแล้ว นี่มาเจอพวกผมดีแล้ว ท่านไม่ตายแหละคราวนี้’


นี่เราเชื่อเวลาจำเป็น.. เป็นอย่างนั้นจริง ๆ นะ มันหากบันดลบันดาล มิหนำซ้ำเทวบุตรเทวดายังบันดลบันดาลให้เขาฝันทางโน้นว่าพระท่านมาโปรด ๓ องค์ ทางนี้ก็ฝันว่าไปหาโยม โยมตามส่ง เราเลยฝังใจจนกระทั่งทุกวันนี้…

ภายในใจนี้เราเชื่อ เชื่อในหัวใจเจ้าของเองว่าเปิดโล่งอยู่ตลอด... นี่แหละ อำนาจแห่งการทำบุญให้ทานไม่อดอยาก ถึงเวลาจำเป็น หากมีผู้มาช่วยจนได้นั่นแหละ หากมี..ฟังแต่ว่า “มี” เถอะ อำนาจทานบันดลบันดาลให้มีผู้ใดผู้หนึ่งมีใจบุญเข้ามาช่วยสงเคราะห์สงหา เพราะอำนาจแห่งบุญของเรามีเป็นเครื่องดึงดูดกัน...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2012 เมื่อ 12:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #139  
เก่า 19-11-2012, 09:58
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ธุดงค์หลงป่าถูกหลอก


ครั้งหนึ่งท่านไปเที่ยวธุดงค์กรรมฐาน ท่านหลงทางหลงป่าไปเจอไร่ข้าวของ “ทิดสาย” ซึ่งไปทำนาทำไร่อยู่บนเขา ทิดสายมีลูกชายชื่อหอม อยู่บ้านนาขาม ท่านเล่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า
“... บ้านนาขามอยู่ไกล เราก็เลยไม่ลืม


เราถามเขาว่า ‘บ้านหนองสะไนไปอีกไกลไหมโยม ?’

เขาชี้มือบอกว่า ‘โอ๋ย! จะไกลอะไร นี่ นี่.. อยู่ฟากเขาลูกนี้ เขาลูกเล็ก ๆ นี้ อยู่ใกล้ ๆ แค่นี้

‘ถ้าอาตมาเดินไปจะถึงค่ำขนาดไหน ?’ เราถาม

เขาบอกว่า ‘อย่างมากตีโปง ตำโปง เวลาโพล้เพล้จวนมืด ก็ถึงแล้ว(ตีโปง ลักษณะคล้ายระฆัง แต่ทำด้วยไม้ ใช้ตีเวลาประมาณ ๕-๖ โมงเย็น)

เราก็ไป.. ที่ไหนได้เกือบตาย ๓-๔ ทุ่มจึงถึงบ้านนั้น ที่เขาโกหกเรา เพราะเขากลัวว่าเราจะไปอาศัยกินข้าวกับเขา เขาขนข้าวไปพอดีกิน ๓-๔ วัน พอกินหมดเขาก็กลับลงมาเอาอีก สาเหตุที่รู้ว่าเขาโกหก เพราะหลังจากนั้น ๒-๓ วันให้หลัง โยมคนหนึ่งไปจากบ้านนามน ที่พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นจำพรรษาอยู่ไปถึงที่นั่น (ที่ที่เขาโกหกเรา)

เขาก็บอกว่า ‘ไปนี้ ดูรอยพระไปทางนี้หน่อยนะ เมื่อวานนี้ได้โกหกพระให้ไปทางนี้ จ้างมันก็ไปไม่ถึง นอนซมอยู่กลางป่าล่ะวันนี้’

เราไม่ได้นอนกลางป่าเหมือนเขาคิดล่ะซี เดินกลางป่าเหมือนขาขาดไปเลยน่ะ สมมุติว่าเดินสะดุดอย่างนี้ ไม้ไม่ขาดขาก็ต้องขาด เพราะความรวดเร็วแห่งการเดินบุกไปป่ากลางคืนนี้ เราโดนเขาหลอก อันนี้ก็แปลกอยู่นะ มันน่าคิดอยู่มากนะ เรื่องกรรมบันดลบันดาลนะ คนที่โกหกเรานี้

อีก ๓ ปีต่อมา... เราก็เที่ยวธุดงค์ย้อนกลับมาทางเดิมนั้นอีก ไปก็พอดีมีโยมบ้านนาขาม เขาเข้ามาพักอยู่ที่บ้านหนองสาน แกมาส่งบาตรเรา แกก็บอกว่า แกอยู่บ้านนาขาม เราก็เลยถามถึง ‘โยมชื่อทิดสาย ลูกชายชื่อหอม เป็นอย่างไรบ้าง ?’

‘โอ้ย !!..ผู้เฒ่าตายได้ ๓ ปีแล้ว’ ‘ว่างั้น’ ‘เป็นอะไรตาย’

ลงท้องตายแบบปัจจุบัน

คำนวณเวลาพอดีกับที่เราจากตรงนั้นไป ๓ ปี พอดี..นี่..ก็บันดลบันดาลน่าคิดอยู่มาก ถ้าจะคิดถึงเรื่องแบบนี้มีอยู่หลายเรื่อง ไม่ใช่พูดอวดตัวนะ พูดถึงเรื่องบุญกรรมมีประจำโลก ประจำสงสาร ประจำสัตว์ทุกประเภท เราหมายความว่าอย่างนั้น...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2015 เมื่อ 16:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #140  
เก่า 20-11-2012, 08:37
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ถือ “ความทุกข์” เป็นครู เป็นหินลับสติปัญญา

ความเป็นนักต่อสู้ของท่าน แม้อุบายวิธีบางอย่างจะทำให้ต้องพบกับความทุกข์แสนทุกข์ แต่หากผลปรากฏเป็นความเจริญทางด้านจิตใจมากขึ้น ท่านก็จะพยายามอดทน ต่อสู้ให้ผ่านไปให้จงได้ เห็นได้จากคำกล่าวตอนหนึ่งของท่านกับพระเณร ดังนี้

“... นิสัยของผมเองนั้น เป็นนิสัยที่หยาบ จะว่าคนหยาบก็ได้ ไปอยู่ในสถานที่ธรรมดาความเพียรไม่ค่อยดี ผลที่จะพึงได้ก็ไม่ค่อยปรากฏนัก... แต่หากเป็นบางสถานที่แล้ว กลับทำให้ธรรมภายในใจเจริญขึ้น ๆ ...


จึงมักแสวงหาในที่กลัว ๆ เสมอ ทั้ง ๆ ที่เราก็กลัว แต่ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากความกลัวนั้น เป็นผลประโยชน์อัศจรรย์มหาศาล เราจึงจำเป็นต้องได้สละเป็นสละตายเข้าอยู่บำเพ็ญเพื่อธรรม...”

ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงนิยมให้อุบายฝึกจิตด้วยการเข้าป่าช้าเผาหรือฝังคนตายบ้าง ในถ้ำเงื้อมผาป่าดงบ้าง ในดงที่เป็นที่อยู่ของช้าง หมี เสือ หรือสัตว์ร้ายต่าง ๆ บ้าง อาศัยสัตว์เหล่านั้นเป็นครู ท่านออกวิเวกบางสถานที่ เป็นที่ที่เสือมักชอบผ่านมา หรือเป็นที่อาศัยของมันในบริเวณใกล้ ๆ กันนั้น แม้ว่าจะเดินหรือนั่งตรงไหน ? อย่างไร ? ก็คิดกลัวอยู่ตลอดว่ามันคงจะอยู่ใกล้ ๆ หรือกลัวว่ามันจะมากัดกิน ท่านเคยเล่าถึงสถานที่เช่นนี้ว่า

“น่ากลัวจริง ๆ กลางวันก็กลัว เวลาไหนก็กลัว ยิ่งกลางคืนด้วยแล้ว จิตยิ่งมีแต่ตั้งหน้าตั้งตาที่จะกลัว นั่งก็กลัว เดินจงกรมกลางค่ำกลางคืนดึกดื่นก็เดินทั้ง ๆ ที่กลัว ๆ นั้นเอง”


ท่านเล่าถึงคราวเข้าไปดัดตัวเองที่ป่าเสือแห่งหนึ่ง ดังนี้
“...อยู่ในป่าในเขามันตื่นเต้น .. แต่ก่อนเป็นป่า พวกสัตว์ พวกเสือ เนื้อร้ายเต็มไปหมดจริง ๆ ... ก้าวเข้าทางนี้ปั๊บเป็นป่าแล้ว มีสัตว์แล้ว พวกสัตว์ พวกเนื้อ พวกเก้ง พวกหมู พอลึกเข้าไปก็พวกกวาง พวกช้าง พวกเสือ เสือมีอยู่ทั่วไป สัตว์มีอยู่ที่ไหน เสือมีอยู่ที่นั่น มีอยู่ทั่วไป..


บางทีก็เสียงเสืออาว ๆ ขึ้นแล้ว อาว ๆ ขึ้น ข้างทางจงกรม โถ...เสียงเสือมันไม่เหมือนเสียงเพลงลูกทุ่งละซี มันจะงับหัวเอา ประมาทได้หรือ เสียงอาว ๆ ขึ้นข้าง ๆ ไม่รู้มันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนมันหยุดเสียงคำราม มันอาวตามภาษาของมันแล้ว นั่นละ มันน่ากลัวตอนนั้น ไม่ทราบมันจะมาแบบไหนซิ ได้ยินเสียงมันอยู่ มันอยู่ตรงนั้นก็ค่อยยังชั่วนะ พอเงียบเสียงไปแล้ว ไม่ทราบจะมาแบบไหน...

เราไปอยู่ในที่ดัดสันดานจริง ๆ นะ ไม่ใช่ธรรมดานะ มีแต่ที่ดัดสันดานทั้งนั้นแหละ ป่าก็ป่าเสือ กลางคืนเวลาเราเดินจงกรม มันไม่ใช่ธรรมดานะ แล้วยิ่งเสียงเสือด้วยนะ เราไปอยู่แคร่ ตอนตื่นเช้ามาเห็นรอยมันผ่านไปทางนี้แล้วฉากออกไป เพราะเราปัดกวาดไว้เรียบร้อย มันเดินผ่านไปผ่านมา มันก็เห็น โอ้...เสือมา มาเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจกับเรา เขาเดินฉากไปเฉย ๆ แสดงว่าเขาไม่ได้สนใจกับเรา เขาไปตามประสาของเขา เราก็รู้

ถ้ามันเดินวกเวียน นี่..สนใจนะ มันสนใจ ถ้าพอทำ (หมายถึงเสือกัดกิน) มันก็อาจจะทำอย่างว่านะ นี่..ไม่มี ไม่เคยปรากฏ เราเองก็ไม่เคยปรากฏ เสือจริง ๆ ก็ไม่เคยเห็นในป่า แต่เสียงมันมีอยู่ทั่วไป กระหึ่ม กระหึ่ม

โอ้...ขนนี้ไม่ทราบว่ามันลุกซู่ผึงเหมือนจรวดดาวเทียม มันเป็นเองนะ ไม่ทราบว่ากลัวไม่กลัว มันลุกซู่ จิตหดเข้ามา หันเข้ามา สมมุติว่าอยู่ในขั้นบริกรรมพุทโธ ก็ติดกับพุทโธ ไม่ให้ออกไปหาเสือ ความคิดนี้จะไปคว้าเอาพิษเอาภัย เอาอารมณ์ไม่ดีงาม เช่น อย่างกลัวอย่างนี้ มันก็เป็นอันตรายอันหนึ่ง ต้องคิดอย่างนั้น.. ไม่ให้ออก หมุนติ้วนั่น มันเป็นอย่างนั้น...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-11-2012 เมื่อ 17:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 5 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 5 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:18



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว