|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#141
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “เดือนหน้าปลายเดือนก็จะเข้าพรรษาอีกแล้ว ที่วัดจะมีบวชหมู่ก่อนเข้าพรรษา สมัครได้ตั้งแต่ตอนนี้ถึงวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ บวชวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑
วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ นาคทั้งหมดต้องเข้าวัด ไปซ้อมขานนาค ใครไม่ผ่านก็ไม่ได้บวช ถ้าใครผ่านบวชวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑ คือ วันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๘ หลัง มีเวลา ๗ วัน ให้ตัดสินใจ ถ้าอยู่ไม่ได้จะได้มีเวลาให้สึกก่อน ถ้าอยู่เข้าพรรษาได้ ก็ต้องไปสึกหลังรับกฐินแล้ว ที่บวชวันขึ้น ๘ ค่ำเพื่อให้คนที่ไม่ไหวเขาจะได้มีเวลาสึก”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2018 เมื่อ 03:24 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#142
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่า ไท ความหมายแต่เดิม แปลว่า คน ความหมายต่อมาคือเป็นอิสระ เป็นใหญ่ในตัว ถ้าหากว่าใส่ ย.ยักษ์ ตามไป ไทย แปลว่า ให้ทาน ก็แปลว่า ไทย คำสุดท้าย คือประเทศไทยในปัจจุบัน มีความหมายว่าเป็นผู้ให้
ฉะนั้น...ปัจจุบัน ของถวายพระ เขาเรียก ไทยธรรม ไม่ใช่ ไทยทาน เพราะว่าทานก็แปลว่าให้ กลายเป็นว่าให้ซ้อนให้ ไทยธรรมคือของที่ควรแก่การให้ต่อพระภิกษุสงฆ์ คำว่า ไท ที่ในภาษาโบราณแปลว่า คน อย่างเช่นว่า ถ้าเราไปที่เสฉวนหรือกว่างสี ซึ่งมีคนจ้วงซึ่งเป็นไทโบราณอยู่เยอะ ๆ ถามว่า "มึงเป็นไทบ้านใด๋ ?" ก็คือ "มึงเป็นคนบ้านไหน ?" ความหมายของคำว่าไท จึงหมายถึงคนก็ได้ แต่ว่าพวกจ้วงนี่น่าขำที่สุด เขาคิดว่าเขามีคนของเขาอยู่แค่ในเขตกว่างสี พอถึงเวลาบอกว่ามีประเทศไทย มีคนตั้งหลายสิบล้านคน เขาไม่เชื่อหรอก เขาไม่เคยเห็น พูดภาษาเก่า ๆ พวกเราฟังรู้เรื่อง แต่เขาฟังเราไม่รู้เรื่อง เพราะว่าภาษาเราไปไกล พัฒนาไปเยอะ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2018 เมื่อ 03:26 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#143
|
||||
|
||||
"ประเทศจีนมีนโยบายการปกครองหลายอย่างด้วยกัน อย่างพวกชนกลุ่มน้อย เขาแบ่งเป็นเขตปกครองตนเอง อย่างเช่นเขตปกครองตนเองซินเจียง - อุยกูร์ เขตปกครองตนเองกว่างสี - จ้วง พวกนี้จะเป็นเผ่าต่างหากที่มีคนค่อนข้างมาก แยกเป็นเขตปกครองตนเอง เขตปกครองตนเองทิเบต - ชิงไห่ ก็จะมีแต่พวกเชื้อสายทิเบตเยอะแยะ แล้วก็มีเขตเศรษฐกิจพิเศษ อย่างเขตเศรษฐกิจพิเศษซ่างไห่ หรือที่เราเรียกว่าเซี่ยงไฮ้ ยังมีฮ่องกง มาเก๊า เกาลูน
กฎหมายจีนนี่ขึ้นอยู่กับว่าใช้ในพื้นที่ไหน ไม่ได้ตีกวาดทีเดียวหมด กฎหมายหลักมีอยู่ แต่ว่าในแต่ละเขตจะมีความพิเศษต่าง ๆ กันไป คล้าย ๆ กับบ้านเราที่มีกรุงเทพมหานครกับเทศบาลเมืองพัทยา สองที่นี้แทบจะเป็นเขตปกครองตนเองไปแล้ว มีอีกที่หนึ่งซึ่งอาตมาอยากให้ทำเป็นเขตพิเศษเลย ก็คือทางด้านป่าตอง ภูเก็ต หลุดเข้าไปนี่เหมือนอยู่ต่างประเทศเลย แม้กระทั่งรถก็ต้องขับชิดขวา ขับชิดซ้ายไปอยู่ดี ๆ เลี้ยวเข้าตรงนั้นต้องชิดขวาเลย เพราะว่ามีชาวต่างชาติมาก เขาเคยชินกับการขับรถชิดขวา ประเทศที่ขับรถชิดซ้าย มีแค่ไม่กี่ประเทศ มีไทยเราเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2018 เมื่อ 03:28 |
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#144
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "คาดว่าจะมีกระทู้คนมีเงิน ฯ ได้อีกไม่เกิน ๑ ครั้ง ก็ต้องหลีกทางให้กระทู้กฐินปลดหนี้แล้ว แปลว่าอีกประมาณเดือนหนึ่งจะมีผ้ายันต์กับเหรียญท้าวเวสสุวรรณไปอยู่ในกฐินปลดหนี้ มีโยมถวายมาเยอะแล้ว ๓ วันนั่งรับอยู่ตรงนี้ได้มาเยอะเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2018 เมื่อ 03:28 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#145
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมถวายเงินและทองคำ ต้องบอกว่าเป็นของมีค่าที่หาได้ยาก เพื่อร่วมหล่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่คราวนี้ของที่มีราคาขึ้นอยู่กับสถานที่และเวลาด้วย คือต้องขึ้นอยู่กับกาลเทศะ อย่างเช่นถ้าอยู่กลางป่าลึก ระหว่างทอง ๑๐ กิโลกรัมกับข้าวสาร ๑๐ กิโลกรัมจะเลือกอะไรดี ? หรือไม่ก็อยู่กลางทะเลทราย ทอง ๑๐ กิโลกรัมกับน้ำ ๑๐ ลิตรจะเลือกอะไร ? ของบางอย่างจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่ออยู่ในกาลเทศะที่เหมาะสมเท่านั้น อาตมาเองไปธุดงค์ใหม่ ๆ ก็ราว ๆ ๓๐ ปีก่อน บ้านกะเหรี่ยงหลายบ้านไม่รู้จักเงิน เวลาไปขอซื้อของ เขาให้ฟรี ๆ เลย คนที่รู้จักเงินก็บอกว่าไม่ต้องหรอก ที่นี่ไม่มีที่ให้ใช้ บ้านเขาไม่มีที่ใช้ บ้านกะเหรี่ยงลึก ๆ ที่เข้าไปนั่น สิ่งที่มีค่าที่สุดของเขาคือข้าว แต่ละปีปลูกข้าวให้พอกิน ส่วนเรื่องผักเรื่องเนื้อนี่หาเก็บเอาในป่า หาล่าเอาในป่าได้ ส่วนที่สำคัญที่สุดของเขาก็คือข้าว ต้องให้มีพอกินเท่านั้น ถึงเวลาอยากได้อะไร ก็เอาข้าวไปแลกเอา"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2018 เมื่อ 03:30 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#146
|
||||
|
||||
"อาตมาเคยเดินธุดงค์อดน้ำอยู่เป็นวัน เพราะว่าสถานที่ซึ่งเคยมีน้ำแห้งหมด พวกช้างพวกวัวพวกหมูลงไปเกลือกจนกลายเป็นขี้โคลนไปหมด ไม่มีน้ำเหลือ ต้องอดน้ำกันเป็นวัน บางแห่งมีน้ำเหลือก็กลายเป็นขี้โคลน แล้วพวกสัตว์ก็ขี้เยี่ยวลงไปด้วย จะทำอย่างไร ? หาน้ำไม่ได้
ในเมื่อหาไม่ได้ก็เอาผ้าอาบซึ่งก็คือลักษณะเหมือนผ้าขาวม้า แต่เป็นของพระ เอาผ้าอาบพาดปากบาตรไว้ แล้วก็ใช้ฝาบาตรตักน้ำ เทลงไปเพื่อกรอง ก็ได้น้ำที่พอจะสะอาดขึ้นมานิดหนึ่ง แล้วก็เอาไปต้ม แต่ต้มอย่างไรกลิ่นฉี่ก็ไม่หมด ก็ต้องกินทั้งอย่างนั้น ไม่กินก็ไม่ได้เพราะว่าไม่มี ดังนั้น...พอเวลาอยู่ในที่ลำบากแบบนั้น ทำให้เห็นว่าสิ่งที่มีคุณค่าในชีวิตจริง ๆ ไม่ใช่เงินทอง หากแต่เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยในการยังชีพของเรา ตอนที่เรียนวิชาทหารอยู่ เขามีการบังคับอด ๗๒ ชั่วโมงคือ ๓ วัน ไม่มีอาหาร มีพื้นที่หนึ่งก็คือวัดสมอระบัง อยู่ริมทะเลเพชรบุรี เป็นภาคที่ลุ่มของทหารที่ไปฝึกกัน ระยะทางแค่ประมาณ ๒๐๐-๓๐๐ เมตร เขาปล่อยเราลงจากเรือแล้วก็ให้ขึ้นฝั่งให้ได้ ปล่อยไปตอนหนึ่งทุ่ม ต้องขึ้นฝั่งให้ได้ก่อนตี ๕ ขอยืนยันว่าฟังไม่ผิด ระยะทางไม่เกิน ๓๐๐ เมตร พอลงจากเรือไปก็ฮวบ...! เกือบถึงไหล่ ขี้โคลนล้วน ๆ ยกขาซ้าย ขาขวาก็ติด ยกขาขวา ขาซ้ายก็ติด หวังจะอาศัยต้นโกงกางดึงตัวเองไป พอดึงเข้าแทนที่ตัวเองจะไป ต้นไม้ดันลอยมาหา ระยะทางแค่นั้นเขาให้เวลาตั้งแต่ทุ่มหนึ่งจนถึงตี ๕ ต้องขึ้นฝั่งให้ได้ หลุดขึ้นไปก็หมดสภาพ ไม่มีข้าวปลาอาหารให้กินนะจะบอกให้ เป็นช่วงปัญหาอด บางทีก็ ๓ วัน บางทีก็ ๕ วัน แต่ส่วนที่น่าทึ่งที่สุดก็คือเด็ก ๆ แถวนั้น...สุดยอดมาก ทหารเขาวางเวรยามป้องกันไว้หมด แต่มีเด็กเล็ดลอดเข้าไปเอาของไปขายให้พวกเราได้ เขาเก่งกว่าทหารอีก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2018 เมื่อ 03:33 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#147
|
||||
|
||||
"มีเด็กคนหนึ่งอายุน่าจะประมาณ ๘ ขวบ หรือ ๑๐ ขวบ เอาน้ำดำอัดลมเข้าไป สมัยก่อนเป็นขวดแก้ว เอาเข้าไป ๖ ขวด ไม่มีเสียงสักแก๊ก...! ใช้ผ้าขาวม้าพันมา พันเสร็จแล้วก็มัดติดหลัง คลานเข้าไป ถึงเวลาเขาสะกิดทีละเต็นท์เลยนะว่าใครจะเอา พวกเราก็ไม่มีเงินติดตัว ก็ต้องประเภทคนเมืองเข้าป่าหรือคนป่าเข้าเมืองอะไรประมาณนั้น มีสร้อย มีแหวน มีนาฬิกา ก็ถอดไปแลกกับเขา
บางคนเข้าไปนี่ข้าวผัดทั้งตะกร้าเลย น่าทึ่งมากว่าเขาเอาเข้าไปได้อย่างไร แสดงว่ารู้พื้นที่ทุกตารางนิ้วดีกว่าเรามาก แล้วพวกนี้รับผิดชอบมาก ขายข้าวผัดให้เรา กินเสร็จสรรพเรียบร้อยเก็บขยะคืนด้วย เก็บขยะคืนไม่พอ ยัดขยุกขยิกใส่มือ อะไรวะ ? ยอดฝรั่ง ให้เคี้ยวก่อน บอกว่าเดี๋ยวเจ้านายจะได้กลิ่น พอเจอสถานการณ์อย่างนั้นถึงได้เห็นว่าของที่มีราคาที่สุด ไม่ใช่แก้วแหวนเงินทอง ไม่ใช่เครื่องประดับแพง ๆ ที่ติดตัว ถึงเวลาหิวไส้ขาดขึ้นมานี่ต้องถอดแลกกัน นาฬิกาเรือนหนึ่ง ตอนนั้นราคาประมาณ ๒,๐๐๐ กว่าบาท แลกข้าวผัดห่อหนึ่ง ๒,๐๐๐ กว่าบาทสมัยนั้นซื้อทองได้ตั้งบาทหนึ่ง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2018 เมื่อ 03:35 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#148
|
||||
|
||||
"ตอนที่อยู่ชายแดนตาพระยาซึ่งช่วงนั้น ทหารญวนเฮง สัมริน กำลังเข่นฆ่าคนเขมรด้วยกัน เขาก็ต้องหนีข้ามมาฝั่งไทย เป็นอะไรที่เห็นแล้วน่าสงสารสุด ๆ เพราะความเอารัดเอาเปรียบของคนไทยที่น่าตายมาก พลอยดิบกระป๋องนมหนึ่งแลกข้าวสารได้กระป๋องนมหนึ่ง โห...พลอยดิบราคาถูกก็จริงแหละ แต่คิดราคาแล้วให้ข้าวไปสักกระสอบหนึ่งก็ได้ พลอยดิบตั้งกระป๋องนม มาถึงบ้านเราเอามาเผาแล้วกลายเป็นพลอยเกรดดี ราคาแพงหูดับ
ถึงเวลาส่วนใหญ่จะมีทองติดตัวมา ไม่ใช่ประเภทสร้อยทองอะไร ส่วนใหญ่ก็เป็นทองแท่งทองก้อนมา ก็ต้องแลกทั้งอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่มีกิน ส่วนใหญ่คนเป็นพ่อเป็นแม่ยอมอดได้ แต่ถ้ามีลูกเล็กมาด้วย อย่างไรก็ต้องตัดใจแลกเพื่อให้ลูกมีอาหารกิน ไปเจอสถานการณ์แบบนั้น ถึงได้เห็นว่าเรื่องของเงินทองนี่ไม่มีราคาเลย อาตมาถึงมาคิด ๆ ว่า ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ดี เราเองมีทองแท่ง ชิ้นละหนึ่งกรัม..ใช่ไหม ? ถึงเวลาก็แลกทีละชิ้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2018 เมื่อ 03:37 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#149
|
||||
|
||||
"สมัยนี้พลอยราคาแพงหูดับ ไทยเราใช้เทคนิคการเผาเพื่อให้สีเข้มขึ้น เนื้อหาจัดขึ้น แล้วก็เอามาเจียระไน กลายเป็นของแพง ฉะนั้น..เรื่องของพลอยทั่วโลกต้องยกให้ไทยเรา พวกแอฟริกันที่มีพลอยอยู่ในเกรดต่ำ พอถึงเวลาไทยเราไปกว้านซื้อมา เผาแล้วกลายเป็นพลอยเกรดสูงได้"
ถาม : ทำไมถึงเป็นการหุง ? ตอบ : คำว่า หุง เป็นการที่เราทำพลอยเทียม เขาเรียกว่าพลอยหุง ก็คือการเอาพวกซิลิกามาเข้าอุณหภูมิสูง ๆ มาใส่วัสดุอย่างเช่นว่าออกไซด์ของเหล็กลงไป ถึงเวลาก็จะเปลี่ยนสี แต่ว่าพวกนี้ไม่ใช่ธรรมชาติ เนื้อหาจะแน่นแล้วก็ไม่มีร่องรอยธรรมชาติ อย่างพวกฟองอากาศ พวกรอยแตกรอยร้าวอะไร แต่ว่าเนื้อระดับเพชรรัสเซีย เพชรรัสเซียจริง ๆ ก็คือเพชร แต่เนื่องจากว่าเป็นเพชรที่สังเคราะห์ขึ้นมาโดยห้องทดลอง ไม่ใช่เพชรธรรมชาติเท่านั้นเอง เขาให้ทอง ๑ กิโลกรัม กับให้ข้าวสาร ๑ กิโลกรัม ถ้าเป็นในสถานะอย่างนั้นแล้วเลือกข้าวสารไว้เถอะ ทองกินไม่ได้ กินแล้วตาย เวลาอยู่ชายแดนนาน ๆ เพื่อนฝูงส่วนใหญ่อยู่นิ่งกันไม่เป็น เพราะว่าภาวนาไม่เป็น ในเมื่ออยู่นิ่งไม่เป็น ก็ต้องหากิจกรรมทำกัน กิจกรรมที่รุ่งเรืองที่สุดคือการพนัน ไม่ว่าจะเล่นไพ่ ไม่ว่าจะไฮโลว์ พอใครเสียหมดตัวก็ขโมยเงินเพื่อน อาตมาเองเบิกเงินเดือนกับเบี้ยเลี้ยงสนามมา ๘,๐๐๐ บาท ใส่ไว้ในกระเป๋าเครื่องแบบ ถอดเสื้อไปอาบน้ำพักเดียว กลับมาหายไปแล้ว ก็ปล่อยไปเถอะ ใครอยากขโมยก็ขโมยไป เพราะว่าล้วงดูแล้วธงมหาพิชัยสงครามยังอยู่ ถ้าเอ็งขโมยธงไปแล้วไม่เอาเงิน ข้าจะตามล่าสุดหล้าฟ้าเขียวเลย...!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 04-07-2018 เมื่อ 09:36 |
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#150
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "บรรดาเพื่อนพระสังฆาธิการเขาบอกว่า พระอาจารย์เล็กไปเอาวัยรุ่นเข้าวัดเยอะแยะได้อย่างไร ? ก็เลยสงสัยว่าขนาดพวกเรานี่นับเป็นวัยรุ่นใช่ไหม ? เขาบอกว่าวัดเขามีแต่คนแก่ ๆ ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น...ญาติโยมก็สบายใจได้ เพื่อนของอาตมายังเห็นว่าพวกโยมเป็นวัยรุ่นกันอยู่ ถึงแม้ว่าจะเป็นรุ่นแรก ๆ ก็เถอะ...!
ที่เห็นชัดที่สุดก็ตอนไปวัดสามชุก วัดสามชุกเป็นสำนักปฏิบัติธรรมที่ได้รับรางวัลดีเด่น อาตมาต้องไปเก็บข้อมูลตอนทำวิทยานิพนธ์ โผล่เข้าไปนี่ ที่กำลังเดินจงกรมอยู่ แต่ละคนน่าจะเกิน ๖๐ ปีทั้งนั้น บางคนก็หน้าแทบจะติดดินเลยเพราะว่าหลังค่อม"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2018 เมื่อ 03:49 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#151
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตะกรุดหนังหน้าผากเสือของหลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ บางคนอาจจะงง ๆ ว่าทำไมไม่เหมือนหน้าผากเสือ ก็เพราะว่ายุคแรกท่านเอาหนังหน้าผากเสือมาทำแล้วม้วน ปรากฏว่าไปโดนเหงื่อบ้าง ไปโดนน้ำบ้าง เปื่อยหมด ท่านก็เลยปรับปรุงด้วยการทำตะกรุดด้วยเนื้อโลหะทองแดง ทองเหลืองก่อน หลังจากนั้น เอาหนังหน้าผากเสือมาขูดจนบาง จารเป็นตะกรุดแล้วก็พันซ้อนเอาไว้ ให้ตะกรุดโลหะเป็นแกนอยู่ด้านใน จากนั้นก็ให้ลูกศิษย์ถักเชือกลงรัก
ก็เลยกลายเป็นว่า พอเห็นตะกรุดแล้วสงสัยเป็นหนังเสือตรงไหน เกิดจากประสบการณ์เอาไปใช้งานแล้วเละไม่เป็นท่า ก็เลยต้องปรับปรุงใหม่ ถ้าใครเจอตะกรุดหนังเสือหลวงพ่อสว่าง วัดเทียนถวาย ก็เหมือนกัน บางอันนี่บิดงอ จนกระทั่งบอกไม่ถูกว่าจะงอจนสภาพเป็นเลขอะไร ของหลวงพ่อนอถือว่าท่านปรับปรุงเร็วมาก พอมีปัญหารุ่นหนึ่ง รุ่นต่อไปท่านทำใหม่เลย เอาตะกรุดโลหะเป็นแกนกลางอยู่ข้างใน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2018 เมื่อ 03:50 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#152
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนตอนที่บวชใหม่ ๆ ไม่เคยคิดว่าจะต้องมานั่งรับสังฆทานอย่างนี้ ในความรู้สึกตอนนั้น การที่ต้องมานั่งรับสังฆทานอย่างนี้ เป็นเรื่องไกลสุดหล้าฟ้าเขียวเลย ปรากฏว่าประมาณปี ๒๕๓๐ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านลงรับแขกวันวิสาขบูชา โดยปกติแล้วพวกเรา เมื่อถึงเวลาฉันเช้าเสร็จ ก็คือญาติโยมทำบุญเช้า ถวายอาหารเช้า ฉันเช้าเสร็จก็กราบลา ต่างคนต่างไป เหลือหลวงพ่อท่านรับสังฆทานไปเรื่อยยันบ่าย ยันเย็น เพราะว่าญาติโยมมาทำบุญทั้งวัน
ปรากฏว่าวันนั้นหลวงพ่อท่านบอกว่า "พระเอ๊ย...เวลาญาติโยมเขามาวัด เขาอยากเห็นพระสงฆ์เยอะ ๆ เห็นแล้วชื่นใจ เพราะฉะนั้น...วันนี้ฉันเช้าเสร็จแล้วห้ามไปไหน นั่งอยู่จนกว่าข้าจะบอกให้เลิก" เจ้าประคุณเอ๊ย...เพิ่งจะรู้ว่าหัวเข่าของเรามีไว้ปวด นั่งไปเถอะ นั่งยันเพล ฉันเพลเสร็จก็นั่งต่อไป นั่งยันเย็น เหมือนกับขาจะหลุดเป็นชิ้น ๆ หลังจากนั้นมา ทุกงานท่านก็ให้นั่งอยู่อย่างนั้น พระทุกรูปก็เลยขยัน มีงานประจำกัน ถึงเวลาต่างคนต่างกราบลาขอไปทำงานประจำ...!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2018 เมื่อ 01:59 |
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#153
|
||||
|
||||
"คราวนี้อาตมาจะทำอย่างไร ? งานประจำของตัวเองก็คือเฝ้าหน้าห้องให้หลวงพ่อ แล้วหลวงพ่อท่านนั่งอยู่ตรงนี้ อาตมาจะไปเฝ้าที่ไหน ? ก็ต้องนั่งอยู่ตรงนั้น สรุปว่าเหลืออาตมากับพระแก่ ๆ ไม่กี่รูป อย่างหลวงตาเจริญ หลวงตาสมชาย หลวงปู่ทองเทศ นั่งกันไปเถอะ
แล้วก็ไม่คิดว่าสิ่งที่ท่านฝึกเอาไว้ตั้งแต่ตอนนั้น จะได้มาใช้ประโยชน์ในตอนนี้ เพราะว่าพอมานั่งแล้วเพิ่งจะรู้ว่า ที่ตัวเรานั่งแล้วบอกว่าปวดเข่าจะตาย หลวงพ่อท่านไม่ได้นั่งเฉย ๆ ท่านนั่งคุยกับโยมด้วย แจกของให้โยมด้วย โยกหน้าโยกหลังอยู่ทั้งวัน ก็เลยไม่ทราบว่าเป็นเจตนาของหลวงพ่อที่ท่านจะฝึกเอาไว้นั้น เพื่อให้นั่งรับสังฆทานอย่างนี้หรือเปล่า ? ถึงได้โดนมาขนาดนั้น แต่ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นสามารถพูดได้ว่า ไม่มีคำว่าบังเอิญ มีเหตุมีปัจจัยมาตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่เราจะเห็นเหตุนั้นหรือเปล่าเท่านั้นเอง หลวงปู่ทองเทศเป็นพระที่น่าสงสารที่สุด เพราะว่าอายุกาลพรรษา ๙๐ กว่า ถ้าหากว่าเป็นปี ๓๐ อาตมาก็เพิ่งจะ ๒๘ แล้วหลวงปู่ท่าน ๘๐ กว่า เกือบ ๙๐ ก็ต้องมานั่งกับพระลูกพระหลาน...ทนไป เพราะว่าพระแก่ ๆ ส่วนใหญ่ก็ไม่มีงานประจำ ในเมื่อไม่มีงานก็ต้องนั่งเป็นเพื่อนหลวงพ่อท่านไป"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2018 เมื่อ 02:01 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#154
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "พระทางด้านทองผาภูมิเขาบอกว่า ม้า ไม้ มอญ เอาออกจากวัดให้หมด ไม่อย่างนั้นติดคุกแน่นอน
ม้าที่ว่าคือยาบ้า อย่าให้มีในวัดเป็นอันขาด แต่ว่าวัดของอาตมาไปอยู่ในโครงการวัดสีขาวมานานแล้ว...ปลอดภัย ไม้ก็คือบรรดาไม้เถื่อน ไม้แปรรูป ต่อให้เป็นต้นไม้ที่ล้มขอนนอนไพรอยู่ในวัด ถ้าไปแปรรูปแล้วทิ้งไว้เป็นแผ่น ๆ นี่โดนแน่ คำว่า มอญ นี่หมายถึงคนต่างด้าว แต่ที่เขาใช้คำว่ามอญคำเดียว เพื่อให้คล้องจองกับม้าแล้วก็ไม้ ถ้าหากว่ามีคนต่างด้าวอยู่ในวัด ปรับเดี๋ยวนั้นเลย ๑๕๐,๐๐๐ บาทต่อคน ดำเนินคดีต่างหาก เพราะฉะนั้น...ถ้าเป็นไปได้นี่ วัดไหนมีต่างด้าวอยู่ในวัด ให้รีบเชิญออกไปก่อน อะไรที่ผิดกฎหมายและศีลธรรม พยายามกำจัดจุดอ่อนให้เรียบร้อย หาไม่แล้วจะมีปัญหาทีหลัง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2018 เมื่อ 02:03 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#155
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “ตะกรุดพอกครั่งของหลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง จริง ๆ แล้วเป็นของที่คนในพื้นที่หวงสุด ๆ แต่ว่าเป็นเครื่องรางที่ในตำนานที่มีราคาถูกที่สุดในกระบวนทั้ง ๙ อย่าง เพราะว่าท่านทำเอาไว้มาก ท่านรักลูกศิษย์ วัน ๆ นั่งจารนั่งเขียนยันต์แล้วพอกครั่งอยู่นั่นแหละ”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2018 เมื่อ 02:04 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#156
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “วันนี้อาตมานั่งขดหลังแข็ง แกะซองเม็ดเงินซองละบาท ๆ รวมกันได้ ๔๐ กว่ากิโลกรัม นั่งตั้งแต่ตีสอง ที่อยากได้จริง ๆ ก็อยากได้ในลักษณะอย่างนี้แหละ ที่โยมตั้งใจสละทรัพย์กันคนละเล็กคนละน้อยร่วมใจกันทำขึ้นมา
วัดอื่นไม่กล้าทำอย่างนี้ อาตมาขอยืนยัน ถ้าเอาไม่ไกลก็เอาแค่ในทองผาภูมิ ๕๒ วัดกับอีก ๑๙ สำนักสงฆ์ ไม่มีใครกล้าทำอย่างนี้ ประเภทโยมร่วมกันทำบุญคนละ ๒๐ บาท ๕๐ บาท ๑๐๐ บาท ส่วนใหญ่เขาจะหาเจ้าภาพให้ได้ก่อน สมมติว่าเขาจะทำงานชิ้นนี้ อย่างเช่นศาลาหลังหนึ่ง มีเสา ๒๐ ต้น เจ้าภาพเสาต้นละ ๕๐,๐๐๐ บาท ต้องหาได้ครบก่อน เจ้าภาพปูพื้น เจ้าภาพหลังคา เจ้าภาพประตู เจ้าภาพหน้าต่าง ถ้าหาไม่ครบเขาไม่กล้าทำกัน เพราะว่างานจะไม่เสร็จ แต่ของวัดท่าขนุนประเภทโยมทำบุญบาทหนึ่งก็ได้ ไม่ได้ว่าอะไร"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 05-07-2018 เมื่อ 07:14 |
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#157
|
||||
|
||||
"อาตมามั่นใจอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าสิ่งที่ทำเป็นประโยชน์ต่อพุทธศาสนาแล้ว อย่างไรเรื่องของพระ เรื่องของพรหมเทวดา ท่านต้องสนับสนุน อาตมาก็กล้าที่จะนั่งอย่างนี้ รับทีละนิดทีละหน่อย
บางท่านเขาบอกว่าวัดท่าขนุนไม่คบคนรวย...คบเหมือนกัน แต่คนรวยไปวัดท่าขนุนแล้วมักจะอยู่ไม่ค่อยได้ เพราะว่าต้องนั่งกับพื้น วันก่อนไปนี่ไม่ว่าจะนายอำเภอ ผู้พิพากษา ผู้บังคับการสถานีตำรวจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ก็นั่งพื้นเหมือนกันหมด แล้วญาติโยมที่ทำบุญกับอาตมา ก็ไม่ได้สนใจว่านี่นายอำเภอหรือเปล่า เขาก็เบียดไปเบียดมา ท่านก็หลบซ้ายหลบขวาไปเรื่อย นับเป็นความยุติธรรมอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ ไม่มีใครได้รับการปฏิบัติแบบพิเศษ ราคาเดียวกันหมด นายอำเภอท่านจะเกษียณอายุสิ้นเดือนกันยายนนี้ ท่านก็ต้องเร่งงาน แต่ว่าตอนเปิดรอยพระพุทธบาทท่านบอกว่า “พระอาจารย์เล็กมาสร้างความเจริญให้กับท้องถิ่นมาก จุดที่เห็นชัดที่สุดคือเวลาวัดจัดงาน ไม่ว่าจะรีสอร์ท บังกะโล โรงแรม จะเต็มหมดทุกแห่ง แน่นจนไม่มีเหลือเลย ” มีโยมหลายคณะที่วันเป่ายันต์ฯ ต้องไปนอนถึงสังขละบุรี ไม่มีที่ให้นอน แล้วสังขละบุรีต้องขึ้นเขาไป ๘๐ กิโลเมตร ถึงเวลาตีสามก็ต้องรีบมาวัด กลัวว่าจะไม่ทันงาน ไปนอนไกล ๘๐ กิโลเมตร ไปกลับก็ ๑๖๐ กิโลเมตร นอนไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็ต้องวิ่งกลับมาเข้างาน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2018 เมื่อ 02:08 |
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#158
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมส่วนใหญ่ติดสบาย แล้วลำบากกันไม่เป็น เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง แต่ขณะเดียวกันก็น่าชื่นชมว่าทำบุญมาดี ถ้าบุญดีระดับพระอนุรุทธเถระนี่เจ้าประคุณเอ๊ย...เกิดมาเห็นแต่ข้าวในจาน
พระอนุรุทธ พระกิมพิละ พระภัททิยะ ตอนที่ยังเป็นราชกุมารก็นั่งคุยกัน ต่างคนต่างถามอีกฝ่ายว่า "ภัตเกิดที่ไหน ?" ภัตก็คืออาหาร พระอนุรุทธบอกว่าเกิดในจาน ก็ข้าวอยู่ในจานทุกครั้ง ท่านได้เห็นแค่นั้นจริง ๆ นะ พระกิมพิละบอกว่าเกิดในหม้อ เพราะท่านเคยเห็นแม่ครัวหุงข้าวอยู่ในหม้อ ส่วนพระภัททิยะบอกว่าภัตเกิดในยุ้งฉาง พูดง่าย ๆ ก็คือเคยเห็นข้าวเปลือกอยู่ในยุ้ง ตายละวา...กระทั่งนายังไม่เคยเห็นเลย นี่บุญท่านขนาดไหน ? ประเภทเห็นแต่ในจานนี่ โอ๊ย..จะเป็นลม..! กษัตริย์สมัยก่อนต้องทำนานะ หลักฐานชัดเจน ๒ อย่าง อย่างแรกคืองานแรกวัปปมงคลนาขวัญ งานแรกนาขวัญนี่เป็นงานของกษัตริย์ไถนาครั้งแรก ประการที่ ๒ ก็คือตระกูลของพระพุทธเจ้า พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดา พระเจ้าอมิโตทนะ พระเจ้าโธโตทนะ มีคำว่าโอทนะที่แปลว่าข้าวอยู่ในชื่อทุกองค์เลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2018 เมื่อ 01:36 |
สมาชิก 143 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#159
|
||||
|
||||
"ข้าวในสมัยก่อนเป็นสิ่งสำคัญ ถือว่าเป็นทรัพย์อย่างหนึ่ง เราจะเห็นได้จากมาตราโบราณที่ว่า ๔ เมล็ดข้าวเปลือกเป็น ๑ กุญชา ๒ กุญชาเป็น ๑ มาสก เปรียบด้วยเมล็ดข้าวเปลือก พระภิกษุห้ามจับรวงข้าวที่ยังติดอยู่กับต้น ถือว่าเป็นทรัพย์อย่างหนึ่ง เดี๋ยวมีไถยจิตคิดจะขโมย ดึงออกจากฐานแค่เศษหนึ่งส่วนสิบหกของเส้นผม ก็ขาดความเป็นพระไปเลย
เรื่องของข้าว เรื่องของแม่โพสพจึงสำคัญสุด ๆ เกิดมาแล้วไม่มีแม่โพสพ ไม่มีแม่คงคา ไม่มีแม่พระเพลิง ไม่มีแม่พระพาย ไม่มีแม่พระธรณีสนับสนุนนี่...ตาย เอาชีวิตไม่รอด แม่ธรณีเป็นแม่ธาตุ ธาตุดินก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา โดยเฉพาะโครงกระดูกที่เป็นแก่นของร่างกาย แม่คงคาก็เป็นเลือดเนื้อหล่อเลี้ยงอยู่ข้างใน ต้องเติมลงไปอยู่บ่อย ๆ แม่พระเพลิงหรือแม่อัคนีก็คือความอบอุ่นของธาตุไฟในร่างกาย ถ้าไม่มีร่างกายนี้คงชีวิตอยู่ไม่ได้เพราะขาดไออุ่น แม่พระพายก็คือธาตุลม ทำให้เคลื่อนไหวได้ โดยเฉพาะหายใจหล่อเลี้ยงร่างกายนี้อยู่ แม่โพสพนี่อาหาร ฉะนั้น...โบราณถึงได้เคารพแม่ทั้งหลายเหล่านี้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2018 เมื่อ 01:34 |
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#160
|
||||
|
||||
ถาม : มีคาถาที่ทำให้ความจำดีบ้างไหมครับ ?
ตอบ : ทั่ว ๆ ไปเขาก็ใช้คาถามุนินทะฯ คาถานางฟ้าพิทักษ์พระไตรปิฎกหรือคาถาพระสุนทรีวาณี แต่ทางสายเราก็ใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์ มุนินทะ วะทะนัมพุชะ คัพภะสัมภวะ สุนทะรี ปาณีนัง สะระณัง วาณี มัยหัง ปิณะยะตัง มะนัง หลวงพ่อพระเทพสาครมุนีหรือหลวงพ่อสมบูรณ์ ท่านท่องให้ฟังรอบหนึ่งเลยจำได้ ที่ฟังแล้วสะดุด ๆ นี่คือ เคยฟังมาครั้งหนึ่งเลยยังนึกไม่ค่อยออก ถ้าของที่เคยใช้จะลื่นกว่านี้ ถาม : ทำข้อสอบถ้าจำแม่นเกินเขาจะหาว่าลอก ? ตอบ : ที่วัดใต้ของกาญจนบุรีโดนไปท่านหนึ่ง ท่านเก่งจริง ๆ ลายมือสวยมากเลยด้วย เขียนบาลีไม่มีผิดแม้แต่ตัวเดียว เหมือนแบบเป๊ะเลย โดนเขาปรับตก ท่านคิดมากจนกระทั่งเสียสติไปเลย ท่านสอบด้วยความสามารถตัวเองแท้ ๆ แต่คราวนี้ว่าท่านไม่กล้า ถ้าเป็นผม ผมจะบอกว่า "ถ้าอาจารย์จะปรับผมตก ให้เอาข้อสอบใหม่มา ผมจะทำให้ดูตรงนี้เลย" ฝีมือระดับนั้นไม่ต้องกลัว ออกเดี๋ยวนั้นทำเดี๋ยวนั้นก็ได้ แต่คราวนี้ท่านไม่กล้า พอเขาปรับตกท่านก็ไปนั่งคิดมากจนเบลอ แบบเดียวกับเณรติมสอบนักธรรมตรีที่วัดสามพระยา เขียนกระทู้ไป ๗ หน้า เขาปรับตกครับ เขาบอกว่าเกินภูมิ คือ ๗ หน้านี่เป็นภูมินักธรรมเอก ไม่ใช่นักธรรมตรี แล้วเขาเป็นสามเณรทะลึ่งเขียนไป ๗ หน้า โดนเขาปรับตก สรุปว่าเขาสอบประโยค ๑-๒ ได้ แต่สอบตกนักธรรมตรี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2018 เมื่อ 21:04 |
สมาชิก 143 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|