กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #141  
เก่า 24-10-2014, 17:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ตอนเด็ก ๆ ที่โดนฉีดยาบ่อยจนกลัวเข็ม เพราะว่าเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นประจำ มารู้ตอนโตแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “แกเป็นทหารมาทุกชาติ ฆ่าเขามาทุกชาติ เศษกรรมปาณาติบาตจะทำให้ป่วยบ่อย ให้ไปปล่อยสัตว์ที่เขาจะฆ่า อย่างเช่นปลาในตลาด เดือนละตัวสองตัว ให้ทำเป็นประจำแล้วจะบรรเทากรรมตรงนี้ได้”

อาตมาทำครั้งแรกวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๙ แล้วก็ปล่อยติดต่อกันมาทุกเดือนจนบัดนี้ เพิ่งจะมีปีนี้ที่รู้สึกว่าอาการป่วยห่างไป คำว่าห่างคือมีเวลาให้หายใจบ้าง ก็น่าดูเหมือนกันนะ เกือบ ๓๐ ปีกว่ากรรมจะยอมถอยให้หน่อย ตอนแรกก็ไม่ยอมปล่อย เพราะว่าการปล่อยชีวิตสัตว์เป็นการต่ออายุ อาตมาไม่ต้องการจะอยู่ แล้วจะปล่อยไปทำไม ? หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ”แกอย่าเพิ่งเข้าใจผิด การปล่อยชีวิตสัตว์จะเป็นการต่ออายุต่อเมื่อเรามีอุปฆาตกรรม”

อุปฆาตกรรม คือ กรรมเก่าที่เคยฆ่าคน ฆ่าสัตว์ใหญ่ในอดีตตามมาทัน อาจจะทำให้เราถึงแก่ชีวิต ถ้าอย่างนั้นจะเป็นการต่อชีวิตของเรา แต่ถ้าไม่มีกรรมเก่าเข้ามา การปล่อยชีวิตเขาให้รอด ให้ได้รับความสุข ความสะดวกสบาย ต่อไปทำอะไรก็จะสะดวกสบายไปด้วย อาตมารู้สึกว่าระยะหลังทำอะไรก็สะดวกขึ้น มีคนช่วยงานมากขึ้น งานบางอย่างไม่น่าจะมีคนช่วย อยู่ ๆ ก็มีมาพอดี สรุปว่าปล่อยชีวิตสัตว์มาจนนับจำนวนไม่ถ้วน เพราะถ้าจะไปปล่อยทีละตัวสองตัว ก็เห็นตัวอื่นรอชะตากรรมเดียวกันอยู่ พอไปจึงมักจะเหมาหมดตลาดเลย

ถ้าเอาคำของหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นเกณฑ์ว่าเป็นทหารมาทุกชาติ ก็น่าจะใช่ เพราะว่าชาตินี้จริง ๆ ไม่ได้คิดจะไปเป็นทหารก็ยังต้องไปเป็น เป็นไปทำไมวะ ? เคยดูย้อนหลังไปก็สารพัด แต่ละชาติ ทำดีแค่ไหนก็เสมอตัว พลาดเมื่อไรก็หิ้วหัวมาได้เลย ความจริงน่าจะลองเกิดอีกสักชาติ ว่าตัวเองจะต้องเป็นทหารอีกหรือเปล่า ? จะได้หายสงสัย

ความหมายของคำว่าทหารคือคนหนุ่ม ดังนั้น..จะอ่อนแอไม่ได้ ต้องแข็งแรงอยู่เสมอ ไปนึกถึงพลเอกอิสรพงศ์ หนุนภักดี ท่านว่า “ไอ้น้องโว้ย..พี่เหนื่อยฉิบหา..เลย ขอนอนหน่อยเถอะ” อยู่ต่อหน้าลูกน้องทำเป็นเก่ง ลับหลังเข้าที่พักนายทหารได้ แผ่หลาสี่สลึงเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2014 เมื่อ 19:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #142  
เก่า 24-10-2014, 17:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาเราไปทำบุญที่วัด แล้วเราพยายามชำระหนี้สงฆ์ตลอดเวลา ?
ตอบ : ถ้าคิดจะให้หมดเลย ต้องร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์กับเขา ไม่อย่างนั้นต้องชดใช้ตามราคาปัจจุบัน ถ้าไปเอาของแพงมาก็ใช้ไม่หมดสักที เพราะเขาคิดตามราคาปัจจุบัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2014 เมื่อ 19:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #143  
เก่า 24-10-2014, 17:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวสอนโยมที่เป็นพ่อแม่ว่า "ถ้าเด็ก ๆ เขาสงสัยต้องตอบเขานะจ๊ะ เป็นช่วงที่เขาพัฒนาตัวเอง ไม่ใช่ว่าเขาถามมาก ๆ แล้วไปดุเขา จะทำให้เขาหยุดการพัฒนา ช่วงอายุนี้เด็ก ๆ จะเป็น "เจ้าหนูจำไม" ทุกคน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2014 เมื่อ 19:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #144  
เก่า 24-10-2014, 17:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ระหว่างการที่เราทำบุญกับวัดในประเทศไทยกับวัดในต่างประเทศ โดยส่งเงินไปเพื่อช่วยเหลือพระพุทธศาสนา จะมีข้อดีข้อเสียต่างอย่างไรครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ความตั้งใจ ถ้าตั้งเจตนาถูกอย่างไรก็ได้บุญ อย่างเช่นว่าตั้งใจทำเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เราตั้งกำลังใจถูก ไม่อย่างนั้นแล้วก็ต้องเลือกเนื้อนาบุญ ในเมื่อตั้งกำลังใจถูก เนื้อนาบุญก็ไม่จำเป็น เพราะผู้รับเป็นเพียงตัวแทนเท่านั้น แต่ถ้าวางกำลังใจไม่ถูก ก็ต้องดูว่าผู้รับมีความสะอาดของใจเท่าไร

ดังนั้น..จะทำที่ไหนไม่สำคัญ อยู่ที่วางกำลังใจถูกหรือไม่ ? ถ้าทำด้วยเจตนาต้องการลด ละ เลิก ความโลภ ทำด้วยเจตนาเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา จะทำที่ไหนก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2014 เมื่อ 19:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #145  
เก่า 24-10-2014, 18:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาทำงาน เราต้องพิจารณาคนให้ถูก บางคนเราต้องส่งเสริมเขาเพราะเขาทำงานดี ส่วนบางคนมีความรู้ความสามารถ แต่ไม่ได้ทำงานเพื่อให้ผลงานสำเร็จ แล้วเราไปกีดกันเขา อย่างนี้ถือว่าเป็นกรรมไหมครับ ที่เราไปดึงอีกคนขึ้นมาทำงาน ?
ตอบ : การทำทุกอย่างถือว่าเป็นกรรมอยู่แล้ว แต่ว่าจะเป็นกุศลกรรม..การกระทำที่ประกอบด้วยความฉลาด อกุศลกรรม..การกระทำที่ประกอบด้วยความไม่ฉลาด ในเรื่องของการเป็นผู้ใหญ่ ถ้าพิจารณาความดีความชอบ พิจารณาเรื่องหน้าที่การงาน ต้องไม่ประกอบไปด้วยอคติ ๔ คือ ไม่ลำเอียงเพราะรัก เห็นแก่พวกแก่พ้อง ไม่ลำเอียงเพราะกลัว ไอ้นี่เส้นใหญ่เดี๋ยวนายจะเล่นงานเรา ไม่ลำเอียงเพราะหลง เข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2014 เมื่อ 19:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #146  
เก่า 28-10-2014, 11:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ลูกไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วขาดสารอาหารจนเจ็บป่วย จะทำอย่างไรให้เขากิน เพราะป่วยตลอดเลยค่ะ ?
ตอบ : เรื่องป่วยเป็นเรื่องปกติจ้ะ ถ้ามีโอกาสก็ให้เขาปล่อยพวกสัตว์ที่เขาจะฆ่า อย่างปลาหรืออะไรก็ได้ เดือนละตัวสองตัว ก็จะบรรเทาตรงนี้ได้

ถาม : ปล่อยปลาหรือคะ ?
ตอบ : เอาที่เขาฆ่าจริง ๆ นะ ไปในตลาดเลย อย่าไปเอาตามที่เขาเอามาให้เราปล่อย เรียกว่าแลกชีวิตกัน ปล่อยไปเรื่อย ๆ ถ้าลูกป่วยเราก็ไปปล่อยแทนลูก ส่วนเรื่องจะไม่กินเนื้อสัตว์อะไร เรื่องปกติ ปล่อยเขาเถอะ หาพวกโปรตีนเกษตรหรือไม่ก็ถั่วให้เขากินแทน

ถาม : เขาไม่ยอมให้เข้าปากเลยค่ะ ?
ตอบ : ให้กินพวกนมถั่วเหลืองแทนก็ได้ เรียกว่าไปกังวลแทนลูก ไม่เป็นไร..ถ้าลูกเขารู้ว่าร่างกายขาด เดี๋ยวเขาก็ตะกายหาเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2014 เมื่อ 12:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #147  
เก่า 28-10-2014, 12:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : นิยามคำว่าพระนิพพาน ?
ตอบ : พูดไม่ได้ เกิดจากใจ

ถาม : อย่างนี้พระนิพพานก็ไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้สิคะ ?
ตอบ : เกิดจากปัญญา ถ้าปัญญารู้แจ้งเมื่อไรก็จะเห็น ถึงได้บอกว่า ต่อให้บุคคลที่เป็นสุกขวิปัสสโกก็จะรู้ว่ามีพระนิพพานจริง

ถาม : ทั้งหลายทั้งมวลที่เราติดอยู่เพื่ออาศัยเข้าพระนิพพาน ก็เพื่อให้เราเข้าใจว่าเราติดอยู่ตรงนี้ ?
ตอบ : อาศัยสมมติเป็นทางเพื่อเดินไปสู่วิมุตติ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า

รูปสดับสุรศัพท์พร้อม......................คำขาน
พอกล่าวว่าพระนิพพาน..................สุขแท้
เป็นศิวาลัยสถาน.............................เลอเลิศ
หายากหากเปรียบแม้....................ว่าด้าว แดนใด

สรุปแค่นั้นแหละ ไม่รู้ว่าจะเปรียบอย่างไร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2014 เมื่อ 15:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #148  
เก่า 28-10-2014, 12:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สงสัยว่าทำไมโบราณจึงชอบเปรียบพระนิพพานกับศิวาลัย ?
ตอบ : สมัยก่อนคนคิดว่าเป็นเทวดาดีที่สุด ไม่สามารถที่จะหาที่เปรียบได้ยิ่งกว่านั้น แต่ความจริงพระนิพพานเป็นอนาลัย อนาลโย ไม่มีซึ่งความอาลัย ก็คงเหมือนกับหลวงปู่บุดดา ในชีวิตหลวงปู่บุดดาเห็นโบสถ์วัดพระแก้วใหญ่ที่สุด พอท่านไปเจอศาลา ๑๒ ไร่ "อู้หู..ใหญ่กว่าโบสถ์วัดพระแก้วอีกน้อ.." ท่านไม่รู้ว่าจะเปรียบกับอะไร ท่านเห็นโบสถ์วัดพระแก้วใหญ่ที่สุด ท่านก็เอาโบสถ์วัดพระแก้วมาเปรียบ

เปรียบกับที่สุดที่เรารู้จัก ถึงได้บอกว่ามนุษย์เรามักจะยึดติดกับสมมติ รูป ๑ ใบ ถ้าให้เด็กดู เด็กจะคิดอย่างหนึ่ง แต่ถ้าผู้ใหญ่ดูจะคิดอีกอย่างหนึ่ง เพราะผ่านสมมติมาเยอะแล้ว


ถาม : ที่โบราณเขาเรียกพระนิพพานว่าเมืองแก้ว แสดงว่าการรู้เห็นเป็นสาธารณะมีมาแต่โบราณแล้ว ?
ตอบ : แต่ไหน ๆ มาเขาก็รู้ มีรุ่นเรานี่แหละที่ค่อนข้างจะหูหนวกตาบอด..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 31-10-2014 เมื่อ 13:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #149  
เก่า 28-10-2014, 12:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ความรู้ของพระพุทธองค์ไม่เหมือนกับความรู้ทางโลก ?
ตอบ : เป็นความรู้ทางโลกกับรู้ทางธรรม

ถาม : จริง ๆ แล้วรู้ทางโลกก็เป็นสัญญาล้วน ๆ นี่คะ แม้แต่ที่เราเรียกว่าเข้าใจก็ไม่ได้เข้าใจ ?
ตอบ : ท่านจัดเป็นปัญญาเหมือนกัน แต่เป็นปัญญาทางโลก ความรู้ลักษณะสัญชาตญาณที่ติดตามข้ามชาติข้ามภพมา ท่านเรียก สหชาติกปัญญา ปัญญาที่มาพร้อมกับการเกิด ที่เรามาเรียนรู้เพิ่มเติมศึกษาเพิ่มเติมในปัจจุบัน เขาเรียก ปาริหาริกปัญญา ส่วนปัญญาในการหาทางพ้นทุกข์ เขาเรียก เนปักกปัญญา เป็นปัญญาเหมือนกัน แต่เป็นปัญญาระดับไหนก็เท่านั้น

ถาม : บางทีเวลาเราเข้าห้องน้ำห้องส้วม เราก็นั่งนึกภาพว่าไอ้ตัวนี้ก็ถุงขี้นะ แต่ความเข้าใจก็เหมือนไม่ได้เข้าใจจริง เพียงแต่ว่าตอนนี้เรานึกออกเท่านั้นเอง ?
ตอบ : ค่อย ๆ สะสมไป ถ้าวันไหนยอมรับจริงจะสว่างไปสามโลกเลย เวลาเรายอมรับจริง ๆ จะไม่กลับกลอกอีก จะไม่ย้อนมาเบื่อ ๆ อยาก ๆ ขาดแล้วขาดเลย ยอมรับอย่างแท้จริง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2014 เมื่อ 15:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #150  
เก่า 28-10-2014, 16:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สอุปาทิเสสนิพพาน ยังมีลมหายใจอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : เขาบอกว่าบรรลุแล้วยังทรงสังขารอยู่ได้ ส่วนอนุปาทิเสสนิพพาน บรรลุแล้วไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2014 เมื่อ 17:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #151  
เก่า 28-10-2014, 16:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "สำหรับแม่ชี ใช้คำว่า "ทนไปวัน ๆ" ถ้าเราคิดทีละวันก็ไม่นาน เดี๋ยวก็หมดวันแล้ว แต่ถ้าช่วงไหนที่ใจอยากสึกนะ วันหนึ่งเหมือนเป็นปีเลย หลวงพ่อโดนมาเองแล้ว

ตอนบวชไม่ได้คิดจะบวชนาน ไม่ได้ตั้งใจบวชด้วยซ้ำไป ด้วยความที่ไปฝึกมโนมยิทธิได้ตั้งแต่อายุเพิ่งจะ ๑๙ ปี กลัวมาก เพราะไปดูนรกแล้วเห็นบรรดานักบวชตกนรก มากมายมหาศาลจนประมาณไม่ถูก พอแม่บอกจะให้บวช เป็นตายก็ไม่บวช กลัวจะลงนรก ท่านขอมาปีแล้วปีเล่าก็ไม่บวช พูดถึงเรื่องบวชเมื่อไรก็ "ไม่เอาหรอกแม่ กลัวตกนรก"

ปีที่บวชนั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ท่านต้องการพระบวชแก้บนสามรูป จะบวชให้ท่านได้ไหม โดยปกติของหลวงพ่อวัดท่าซุง
แล้ว ถ้าได้ก็คือได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ต้องตอบให้ชัดไปเลย แต่ปรากฏว่าวันนั้นไม่ชัด กราบเรียนท่านไปว่า "ขอผมคิดดูก่อนครับ" ปกติถ้าตอบอย่างนี้โดนแน่ ๆ เลย แต่วันนั้นไม่โดน ท่านบอกว่า "ไม่เป็นไรลูก..รอหลวงพ่อกลับจากนิวซีแลนด์ก่อนก็ได้"

ตอนไปนิวซีแลนด์ก็ไปส่งท่าน รู้กำหนดกลับแน่นอนว่าวันไหน ช่วงนั้นก็มาคิดว่า ความจริงเราเองอยากบวชมานาน แต่กลัวนรก แม่ก็อยากจะให้บวช แต่ไม่ได้บวชให้ท่านสักทีหนึ่ง มานึกดูว่าสมัยนี้ศีลพระมีไม่ถึง ๒๒๗ ข้อตามพระปาฏิโมกข์แล้ว เพราะว่าศีลเกี่ยวกับภิกษุณีก็ดี ศีลเกี่ยวกับการที่พระต้องทำสิ่งของเครื่องใช้ก็ดี สมัยนี้ไม่มีแล้ว ภิกษุณีไม่มีแล้ว การทำสิ่งของเครื่องใช้ โยมก็ซื้อมาถวายเอง ก็ในเมื่อมีกำไรตั้งเยอะแยะอย่างนี้แล้ว ถ้าบวชแล้วยังไม่รอดนรกก็ให้ลงไปเลย..!

เมื่อตัดสินใจได้ วันที่หลวงพ่อท่านกลับ ก็ไปรับท่านที่สนามบินดอนเมือง พอท่านลงมาในห้องพักก็มากราบเท้าท่าน เรียนว่า "กระผมเต็มใจบวช แต่หลวงพ่อจะเอากี่วัน
ครับ ?" ท่านก็หัวเราะ "บวชแก้บนใครเขาเอานานกัน แค่ ๗ วันก็พอลูก" กราบเรียนว่า "ถ้าอย่างนั้นผมยินดีบวช แล้วจะให้ผมไปอยู่วัดวันไหนครับ ?" ท่านบอกว่า "ถ้าพร้อมก็ไปได้เลย" อาตมาโดดขึ้นรถไปกับหลวงพ่อตอนนั้นเลย ไปอยู่วัดท่าซุง

ตามปกติแล้วก่อนหน้านี้ไปวัดก็ไม่เคยเกิน ๔ วัน ก็คือจะไปก่อนงาน ๒ วัน เพื่อไปช่วยเตรียมงาน วันงาน ๑ วัน เก็บงาน ๑ วัน ค่อยกลับบ้าน ทุกครั้งไปไม่เกิน ๔ วัน งวดนี้พอเกิน ๔ วัน แม่ตามไปถึงวัด หอบเครื่องบวชไปครบชุดเลย แม่เขารู้ ไปถึงก็ไปถวายหลวงพ่อวัดท่าซุง บอกว่า "ดิฉันขอบวชลูกชายเจ้าค่ะ" หลวงพ่อบอกว่า "โยมตั้งใจเสียใหม่ นาคเขาสมัครบวชมาตั้งสามสิบกว่าคน อย่าไปตั้งใจบวชลูกชายคนเดียว เพราะได้บุญน้อย ให้ตั้งใจว่าเราเป็นเจ้าภาพบวชทุกคนเลย" แม่ก็ตั้งใจอธิษฐานใหม่ ขอบวชพระทุกรูปในงานนี้ อาตมาคิดว่าบวชแค่ ๗ วันก็สึก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2014 เมื่อ 17:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #152  
เก่า 28-10-2014, 17:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ด้วยความที่ไม่อยากให้มีกังวล ก่อนที่จะไปรับหลวงพ่อที่สนามบินดอนเมือง ก็จัดการเบื้องหลังเรียบร้อยแล้ว เงินเก็บโอนให้น้องสาวคนละครึ่งแบ่งกัน เพราะส่งเขาเรียนปีสุดท้ายอยู่ ข้าวของทุกอย่างก็บอกกับพี่สุรกานต์ว่า จะใช้อะไรเอาไปได้เลย ถ้าบวชแล้วสึกออกมาก็จะหาใหม่เอง

ไปกราบลาญาติผู้ใหญ่ บรรดาน้า ๆ เขาบอกว่า "เอ็งแน่ใจแล้วนะว่าจะบวช พระอรหันต์มีเมียไปคนหนึ่งแล้ว" ก่อนหน้านี้พี่ประสิทธิ์เขาตั้งใจอยู่อย่างเดียวว่า ชีวิตนี้ต้องบวชพระแล้วเป็นพระอรหันต์ให้ได้ ทีนี้พอพี่ประสิทธิ์ไปถามหลวงพ่อวัดท่าซุง ดันไปถามจังหวะอยู่กลางบ้านสายลมที่คนเป็นร้อยเป็นพันเลย ไปถึงก็ถามว่า "หลวงพ่อครับ..ถ้าผมบวชจะได้เป็นพระอรหันต์ไหม ?" เวลาหลวงพ่อวัดท่าซุงตั้งใจจะเฉ่งใคร ท่านใส่ไม่เลี้ยงอยู่แล้ว ท่านว่า "โคตรแม่มึงบวชเอง แล้วกูจะรู้ได้อย่างไร..!"

ความจริงท่านตอบตรงเป๊ะเลยนะ เพราะเรื่องการพยากรณ์ขึ้นอยู่กับกำลังใจตอนนั้น ถ้ากำลังใจเปลี่ยน คำพยากรณ์ก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย แต่พี่ประสิทธิ์เขาไปตีความว่า ถึงบวชไปก็ไม่ได้อะไร ก็เลยไปแต่งงานมีลูกมีเมีย พออาตมาไปลาบวช บรรดาน้า ๆ ทั้งหลายเขาถึงได้ว่าเอา โดยเฉพาะเพื่อน ไม่มีใครเชื่อแม้แต่คนเดียว เพราะสมัยนั้นเวลาไปวัดท่าซุงก็จะพาบรรดาน้อง ๆ ผู้หญิงไปด้วย ๗-๘ คนเป็นประจำ

ครั้งที่ไปด้วยกันมากที่สุด จำได้ว่าไปเชียงใหม่ เหมารถทัวร์คุณสมชาย เย็นทรวง ครึ่งคัน อาตมาเป็นหัวหน้าคณะ พาเขาไปทำบุญกัน เพราะช่วงนั้นบรรดาน้อง ๆ เพิ่งเรียนจบ ยังไม่มีงานทำบ้าง กำลังเรียนอยู่บ้าง จะไปวัดแล้วไม่มีใครพาไป เขาก็ไม่สามารถจะไปได้ อาตมาคิดแค่ว่าสงเคราะห์ให้เขาได้ทำบุญ แต่พอเพื่อนเห็นแบบนั้นก็ตีราคาว่า ไอ้หน้าอย่างนี้บวชไม่ได้หรอก

พอไปกราบลาหลวงปู่มหาอำพัน หลวงปู่ท่านให้กำลังใจ ท่านบอกว่า "ถ้าบวชน้อยก็เอาให้ถึงพระโสดาบัน ถ้าบวชนานเอาให้เป็นพระอรหันต์ไปเลยนะคุณ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2014 เมื่อ 17:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #153  
เก่า 28-10-2014, 18:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พอไปเป็นนาคอยู่วัดก็มีเรื่องตลกที่หัวเราะไม่ออก อาตมาเข้าใจว่าวัดท่าซุงเป็นมหานิกาย ก็เลยท่องคำขอบรรพชาอุปสมบทแบบอุกาสะสำหรับมหานิกายไป พอไปสมัครเป็นนาค หลวงพี่บัญชาที่เป็นเจ้าหน้าที่รับสมัคร บอกว่า "เฮ้ย...วัดเราบวชแบบเอสาหัง" อาตมาก็เลยต้องยืมหนังสือมนต์พิธีไปท่องวิธีบวชแบบเอสาหัง สองวันท่องได้เสร็จสรรพ มีคนมาสมัครมากขึ้น ๆ จากไม่มีเลยกลายเป็น ๓๖ รูป ท่านก็บอกใหม่ว่า "บวชนาคหมู่ ให้ใช้เอเต มะยัง ภันเต" สรุปว่าอาตมาท่องขานนาคได้ทุกรูปแบบเลย

ด้วยความที่เป็นคนความจำแม่น แล้วดันไปอยู่วัดเสียตั้งแต่แรก ท่องขานนาคสองวันก็ได้หมดแล้ว ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยท่องบทสวดมนต์เจ็ดตำนาน-สิบสองตำนาน ความจริงในเจ็ดตำนานและสิบสองตำนานมีพระอภิธรรม ๗ บท ที่อาตมาสามารถสวดได้ตั้งแต่ตอนงานศพพ่อแล้ว ตอนนั้นอาตมาอายุ ๑๖ ปี งานศพพ่อเขาสวดพระอภิธรรม ๗ วัน วันละ ๓ จบ อาตมาฟังแค่วันที่ ๓-๔ ก็จำได้หมดแล้ว เพราะฉะนั้นวันที่ ๕-๖-๗ ก็เท่ากับว่าทวนซ้ำ

เวลาพระสวด ด้วยความที่เป็นเด็กวัยรุ่น ปากคันก็สวดตาม หลวงตาท่านก็ถาม "ไอ้หนู..เคยบวชหรือ ?" "ไม่เคยหรอกครับ" "แล้วไปหัดที่ไหนมา หลวงตาสอนให้อีก..เอาไหม ?" เพราะว่าสนิทกับหลวงตาเจ้าอาวาส บางคนเรียกหลวงพ่อ แต่คนทั้งตลาดเรียกหลวงตากันหมด เพราะว่าท่านบวชตอนอายุมาก ประมาณ ๔๐ ปีแล้วถึงบวช ท่านชื่อแหวน พวกเราเรียกว่าหลวงตาแหวน

หลานของหลวงตาที่เป็นผู้หญิงชื่อ ขวัญตา อ่ำเย็น เป็นคู่แข่งเรื่องเรียนมาตั้งแต่ชั้น ป.๒-ป.๗ เป็นผู้หญิงเก่ง คะแนนจะไล่บี้กันมาตลอด จนกระทั่งมาอยู่ชั้น ป.๕-๖ ของเขาคะแนนรูดไปเลย พอขึ้นมัธยมก็ออกทะเลหายไปเลย อาจจะเป็นเพราะว่าเริ่มโตเป็นสาว มีอะไรที่น่าสนใจมากกว่าการเรียน

พอมาท่องสวดมนต์ ควรจะไล่สวดตั้งแต่นะโมฯ แต่อาตมาชอบใจมังคลสูตร ที่ขึ้น อเสวนา จ พาลานังฯ ก็เลยตั้งใจท่องบทนี้ก่อน วิธีท่องจะมีเคล็ดลับก็คือ เขียนเลขกำกับไว้ อย่างเช่น บรรทัดที่ ๑ และ ๒ ก็เขียนกำกับเลข ๑ บรรทัดที่ ๓ และ ๔ ก็เขียนกำกับเลข ๒ ไล่ไปเรื่อย แบ่งเป็นช่วง ๆ พอตั้งใจท่องบรรทัดที่ ๑,๒ ก็จะอ่านบรรทัด ๓,๔ ไปด้วย พอถึงเวลาจำบรรทัดที่ ๑ และ ๒ ได้ บรรทัด ๓,๔ ก็ได้เกือบหมดแล้ว ๕,๖ ก็เริ่มคล่องปากแล้ว ท่องลักษณะนี้จะได้เร็วมาก

ตกลงว่าอาตมาเป็นนาคอยู่วัด ๓๗ วัน ว่าเสียจนไม่มีเหลือ ท่องจนหมดเล่มเลย พระสูตรยาว ๆ อย่าง อาทิตตปริยายสูตร ธัมมจักกัปปวัตนสูตร อนัตตลักขณสูตร ท่องได้หมดเลย เพราะฉะนั้น..บวชพระไม่ทันจะ ๗ วัน เขามีกิจนิมนต์ อาตมาเป็นพระใหม่ ไปนั่งห้อยท้ายอยู่ พอหัวแถวขึ้นอะไรมาก็รับได้หมด จนกระทั่งหลวงน้ามีชัยหันมามองท้ายแถว สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร พระเพิ่งบวชแต่ท่องได้หมด แม่นอีกด้วย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2014 เมื่อ 01:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #154  
เก่า 28-10-2014, 19:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อาตมาจะสึกตามที่ตั้งใจไว้ คือ บวช ๗ วัน ถือเป็นการสร้างชีวิตใหม่ของตัวเอง แต่ว่าในช่วงนั้นอาตมาขึ้นไปช่วยงานหลวงตาวัชรชัยที่ศาลานวราชบพิตร หลวงตามีหน้าที่รับคนเข้าพักและจำหน่ายวัตถุมงคล บางทีคนมาขอที่พักด้วย มาบูชาวัตถุมงคลด้วย ท่านแบ่งภาคไม่ได้ก็ขึ้นไปช่วยกัน จะมีโอกาสพบหลวงพ่อวัดท่าซุงเฉพาะช่วงบ่ายที่ท่านขึ้นไปรับสังฆทาน

วันนั้นหลวงพ่อท่านก็บอกว่า "พระเว้ย...ไปช่วยจัดที่ด้านหลังโบสถ์ เยื้อง ๆ ตึกธัมมวิโมกข์หน่อย" กราบเรียนถามว่า "เพื่ออะไรครับ ?" ท่านบอกว่า "จัดที่บูชาสักที่หนึ่ง จัดเป็นโต๊ะหมู่ เอากระถางธูปเชิงเทียนอะไรให้พร้อม หลวงพ่อขนมจีนท่านเป็นเจ้าอาวาสรูปที่ ๒ ของวัดท่าซุง ท่านมีหน้าที่ดูแลพวกแกอยู่ ท่านบอกว่าช่วยตั้งที่บูชาให้เป็นทางการ ท่านจะได้ทำหน้าที่ได้เต็มที่หน่อย"

ก็เลยไปหาโต๊ะหมู่ได้ชุดหนึ่ง กระถางธูปเชิงเทียนเก่ามากสนิมขึ้นดำปี๋
เลย ก็ต้องไปเอาบรัสโซจากป้าศุมาค่อย ๆ ขัด ขัดไปขัดมา ไม่เงาสักที อาตมาปากคันเลยออกปากว่า "ถ้าวันนี้ผมขัดขึ้นครบ ๗ ตัวจะว่าอย่างไร ?" สมัยนั้นสลากกินแบ่งเป็นเลข ๗ ตัวนะ ไม่ใช่ ๖ ตัวอย่างตอนนี้ หลวงตาวัชรชัยอยู่ใกล้ ๆ รู้ว่าไม่เหมาะไม่ควรก็ดุว่า "ไอ้นี่ทะลึ่งละ..!"

ด้วยความที่ปฏิบัติมา ความรู้สึกตัวเองจะไวมาก จึงสังเกตเห็นว่า มีความรู้สึกหนึ่งผุดขึ้นว่า "เราไม่ควรที่จะอยู่วัดนี้แล้ว" ความรู้สึกบอกตัวเองอย่างนั้น ตอนทำงานอยู่ก็ไม่กระไรนะ พอตั้งที่บูชาอะไรเสร็จสรรพ กราบไหว้แล้วกลับกุฏิ ความรู้สึกยิ่งมากขึ้น ๆ ทุกที จนกระทั่งเหมือนกับจะรับไม่ไหว พอทำวัตรค่ำเสร็จ อยากจะออกไปจากวัดเดี๋ยวนั้นเลย ไปที่ไหนก็ได้ ไปให้ไกล ๆ เลย เพราะรู้สึกว่าวัดนี้เราไม่สมควรที่จะอยู่แล้ว

จนกระทั่งท้ายสุดภาวนาก็ไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ ไม่รู้ว่าทำอย่างไรก็วิ่งในกุฏิ วิ่งภาวนา เรื่องวิ่งภาวนานี่ถนัดตั้งแต่ตอนเป็นทหารแล้ว วิ่งภาวนาไปเรื่อย ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านไปกี่ชั่วโมง รู้แต่ว่าหมดแรงพับไปเลย พอตื่นเช้าขึ้นมา ความรู้สึกก็เกิดขึ้นมาใหม่อีก เดินบิณฑบาตก็รู้สึกอีก ความรู้สึกก็คือวันนี้ต้องไปให้พ้นจากวัดให้ได้

ที่วัดท่าซุงทำวัตรกันสาย คือ ทำวัตร ๘ โมงครึ่ง หลังฉันเช้าเสร็จ หลวงตาวัชรชัยเห็นเดินหน้าดำคร่ำเครียดมาก็ถาม "เฮ้ย...เป็นไรวะ ?" ก็เล่าให้ฟังว่าความรู้สึกเป็นตั้งแต่เมื่อวานตอนนั้น หลวงตาบอกว่า "สงสัยหลวงปู่จะเล่นงานแกแล้ว เดี๋ยวทำวัตรเสร็จให้ไปขอพานดอกไม้ธูปเทียนจากป้าศุ รีบไปกราบขอขมาหลวงปู่เสียก่อน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2014 เมื่อ 02:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #155  
เก่า 29-10-2014, 09:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ในเมื่อรุ่นพี่แนะนำ อาตมาก็ทำตาม พอทำวัตรเช้าเสร็จก็ไปที่ตึกเป๊ปซี่ บ้านป้าศุสมัยก่อนมีป้ายเป๊ปซี่ติดอยู่ เขาก็เลยเรียกแบบนั้น ป้าศุทำพานธูปเทียนแพให้ พอไปกราบขอขมาเสร็จ ความรู้สึกที่เหมือนจะอกระเบิดตาย อย่างไรก็จะต้องออกจากวัดให้ได้หายวับไปเลย เหมือนกับว่าของอะไรหนัก ๆ ที่แบกอยู่หล่นหายไปเลย เกิดความรู้สึกทึ่งว่าเป็นไปได้ขนาดนี้เลยหรือ ?

จึงน้อมใจนึกถึงหลวงปู่ขนมจีนว่า "หลวงปู่เล่นงานผมเป็นคนแรก ผมก็ถือว่าผมเป็นลูกคนโตก็แล้วกัน หลวงปู่สามารถแสดงให้ผมรู้ได้ไหมว่า อารมณ์พระอรหันต์จริง ๆ นั้นเป็นอย่างไร ? ถ้าผมทำไปถึงเมื่อไร ผมจะได้รู้ว่าตัวเองทำมาถึงแล้ว" ท่านบอกว่า "ได้..แกจะเอากี่วัน ?" กราบเรียนไปว่า "ถ้าหลวงปู่ทำได้ ผมขอสักสามเดือนเลยครับ จะได้บวชเอาพรรษาไปเลย" ท่านก็ตกลง

ทันทีที่ท่านตกลง ตอนนั้นอาตมานึกว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ความรู้ตัวทั่วพร้อม มีสติทุกอิริยาบถ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจจะหยุดอยู่แค่นั้น เพราะรู้เลยว่าคิดอย่างนี้จะดี ถ้าคิดอย่างนี้จะไม่ดี ถ้าคิดแบบนี้กิเลสจะเกิดได้ ก็ตัดไปตั้งแต่ต้นเหตุเลย กิเลสจึงไม่สามารถที่จะเกิดได้ โอ้โห...มีความสุขอย่าบอกใครเลย ตลอดระยะเวลาสามเดือนคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว พอวันที่ ๙๑ ก็เป็นหมาเหมือนเดิม จึงเหมือนกับว่าได้ไปกินอาหารของสุดยอดพ่อครัวมาแล้ว อย่างไรเสียชาตินี้ก็ต้องทำกินเองให้ได้ ก็เลยกัดฟันอยู่ต่อ

พออยู่ต่อมา อารมณ์ใจอยากสึกก็มีมาบ้างเป็นระยะ ๆ ตอนนั้นไม่ทราบว่าพรรษาที่สามหรือพรรษาที่สี่ หลวงพี่วิรัชมาคุยด้วย หลวงพี่วิรัชเป็นพระที่แปลกมาก ท่านไม่เรียกหลวงพี่ ไม่เรียกท่านเหมือนคนอื่น ท่านจะขึ้นต้นด้วยคำว่า "พระ" เช่น พระตี๋ พระชลอ เป็นต้น ท่านบอกว่า "พระเล็ก..ขอลายมือให้ผมหน่อยได้ไหม ?" "หลวงพี่จะเอาไปทำอะไรครับ ?" "ผมเคยหัดดูลายมือมา เก็บสถิติเอาไว้เยอะ จึงอยากได้" ก็เลยให้ท่านพิมพ์ลายมือไป

หลวงพี่วิรัชไปดูลายมือให้คืนนั้น พอรุ่งขึ้นท่านมาบอกว่า วันนั้นเดือนนั้นปีนั้น พระเล็กจะต้องสึก "จริงหรือหลวงพี่ ?" "ผมดูมาแล้ว
เป็นพันเลย ยังไม่เคยพลาดสักคน" พร้อมเปิดสถิติให้ดู ท่านดูหมอตั้งแต่ยังอยู่อเมริกา "ถ้าพลาดล่ะ ?" "ผมยอมเผาตำราทิ้ง..!" อาตมาเป็นคนรั้น อะไรที่ใครบอกว่าทำไม่ได้ก็จะทำให้ได้ ก็เลยดื้ออยู่ เพราะดื้ออยู่ก็เลยทำให้อยู่ได้ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นอยากจะสึกใจจะขาด คิดอยู่อย่างเดียวว่าอย่างไรก็ต้องอยู่ให้ได้ จะต้องดูหลวงพี่วิรัชเผาตำราให้ได้ ดื้อสู้จนพ้น แล้วก็แปลก..เหมือนวาระกรรมจะอยู่แค่ตรงนั้น พอพ้นมาแล้วก็ไม่มีอะไร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 29-10-2014 เมื่อ 11:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #156  
เก่า 29-10-2014, 09:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อาตมาเองตั้งกำลังใจเอาไว้อยู่แล้วว่า ถ้าอยู่ไม่ได้ก็สึก เป็นคนที่พร้อมจะไปได้ทุกเวลา เนื่องจากว่าไม่กลัวลำบาก คนเคยลำบากมาก่อน ไปไหนก็ไม่ลำบากไปกว่านั้นหรอก

ช่วงที่อยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านก็ถามว่าจะเรียนหนังสือไหม ? กราบเรียนหลวงพ่อไปว่า "จะเรียนไปทำไมละครับ ? เสียเวลาปฏิบัติเปล่า ๆ" ท่านบอกว่า "เรียนเอาไว้เป็นไม้กันหมาก็ดี พระปริยัติมักจะดูถูกว่าพระปฏิบัตินั้นโง่" อาตมาได้ยินก็คิดว่า "เรียนก็เรียน" ก็ไปถามรุ่นพี่ว่าพระท่านเรียนอะไรกันบ้าง ท่านบอกว่าต้องสอบนัก
ธรรมชั้นนวกภูมิ ต้องสอบนักธรรมชั้นตรี นักธรรมชั้นโท นักธรรมชั้นเอก มีหนังสืออะไรบ้างก็ไปค้นหนังสือมาอ่านเอง แล้วก็ไปลงชื่อสอบร่วมกับเขาในจังหวัด

ปีแรกสอบนวกะและนักธรรมชั้นตรีได้ เพราะว่านวกะสอบในพรรษา นักธรรมตรีสอบหลังลอยกระทง ได้ประกาศนียบัตรมาสองใบ ปีที่สองว่าจะสอบนักธรรมชั้นโท พอดีหลวงปู่มหาอำพันท่านป่วย ก็ลามาดูแลหลวงปู่มหาอำพัน ลาอย่างชนิดที่ลาบ่อยจนเกินเหตุ

ปกติแล้วสำหรับวัดท่าซุง หลวงพ่อท่านอนุญาตว่า ให้ลาได้เดือนละไม่เกิน ๑๐ วัน ถ้าไม่ได้ลา ๒ เดือนขึ้นไป ให้ลาได้ ๑๕ วัน อาตมากลับมาถึงก็ลาใหม่ กลับมาถึงก็ลาใหม่ ไม่รู้หรอกว่าคณะกรรมการสงฆ์เขาจ้องเล่นงานอยู่ ปรากฏว่าวันหนึ่งเขียนใบลาทีเดียว ๑๕ วันเลย กะจะลักไก่ เพราะที่วัดท่าซุงต้องบอกขออนุญาตลาด้วยวาจาพร้อมกับส่งใบลา แล้วต้องไปลงสมุดลาด้วยว่าไปวันไหน..กลับวันไหน

ทันทีที่ส่งใบลา หลวงพ่อท่านฉีกแคว่ก..! ส่งคืนให้ ท่านบอกว่า "ไปเขียนมาใหม่ให้ถูกต้อง" อาตมานี่เหงื่อหยดติ๋งเลย ท่านไม่ได้อ่านสักตัวแต่บอกให้เขียนใหม่ให้ถูกต้อง เพราะท่านอนุญาตให้ลาได้ครั้งละไม่เกิน ๑๐ วัน อาตมาตะบันไป ๑๕ วัน ต้องวิ่งไปหายางลบ ลบเสร็จแก้ตัวเลขใหม่ พอกลับมาก็โดนกรรมการสงฆ์เรียกสอบเลย เพราะลาเกินกำหนด แล้วลงมติว่าผิดระเบียบของวัด ให้ขับออกจากวัดไป

หลังจากทำเรื่องรายงานขึ้นไป ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านแทงลงมาว่า "การไปดูแลครูบาอาจารย์ถือว่าเป็นความกตัญญู ไม่ใช่ความผิด เนื่องจากลามากเกินไปให้ตัดวันลาเสีย จากที่ลาได้เดือนละ ๑๐ วัน ให้ลาแค่เดือนละ ๗ วันก็พอ" อาตมาก็เลยเป็นคนเดียวในวัด ที่ลาได้แค่เดือนละ ๗ วัน ไม่เหมือนคนอื่นเขา"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 29-10-2014 เมื่อ 11:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #157  
เก่า 29-10-2014, 10:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พรรษาที่ ๒ อาตมาไม่ได้สอบนักธรรมชั้นโท อาจจะเป็นเพราะว่ากรรมการสงฆ์ตั้งใจจะไล่ออกอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้ส่งชื่อไปสอบ จึงไปลงชื่อสอบเอาพรรษาที่ ๓ และ ๔ ได้นักธรรมชั้นโทและนักธรรมชั้นเอก เวลาสอบทำข้อสอบแค่พักเดียว ไม่เคยเกิน ๑๕ นาที

ตอนนั้นสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) วัดพิชยญาติการาม ท่านเพิ่งจะเป็นเจ้าคุณราชปริยัติโมลี ท่านแอบไปดูสถิติการสอบของแต่ละจังหวัดมา เพื่อหาคนเก่ง ๆ มาเข้าโรงเรียน อาตมาก็ไม่รู้ว่าท่านแอบไปดูผลสอบของอาตมา แล้วท่านก็มาชวนไปเรียน นั่งเกลี้ยกล่อมอยู่เป็นครึ่งวัน จะให้ไปให้ได้ พอหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านออกมาฉันเพล ก็กราบเรียนหลวงพ่อว่า "เจ้าคุณสมศักดิ์ท่านมาชวนให้ไปเรียนครับหลวงพ่อ" "แกอยากเรียนไหม ? ถ้าไม่ชอบวัดพิชัยญาติก็ให้บอก จะส่งไปให้วัดพรรคพวกที่กรุงเทพฯ ก็ได้ มีอีกหลายที่" กราบเรียนหลวงพ่อว่า "ผมรู้ตัวว่าถ้าผมห่างหลวงพ่อ ผมเลวแน่ ๆ ขออนุญาตไม่ไปครับ" รู้ว่าคุมตัวเองไม่อยู่ เดี๋ยวเตลิดเปิดเปิง

ก่อนหน้านี้ท่านที่วิ่งเต้นเป็นมือเป็นเท้าให้หลวงพ่อวัดท่าซุงก็จะมี มหาชุบ มหาวิจิตร มหาดำ (ท่านเจ้าคุณมหาสันติ) หลวงพี่ชุบท่านเป็นเจ้าคุณก่อนใครเพื่อนเลย พวกเราก็แซวท่านเล่น "หลวงพี่...ทำไมติดนายพลก่อนคนอื่นในรุ่น ?" ท่านบอกว่า "มันเสือกมาวิ่งเต้นกันกูไม่ให้เป็น กูก็เลยทำให้พวกมันรู้ว่า คนอย่างกูถ้าจะเอาแล้วกูต้องได้..!" นี่..นิสัยลูกหลวงพ่อขนานแท้เลย ทุกวันนี้ท่านก็เป็นแค่เจ้าคุณศรี น่าจะถึง ๓๐ ปีแล้วนะ ไม่เคยขยับเลย เพราะว่าท่านไม่ได้อยากได้ แต่คนดันไปกีดกันท่าน ท่านก็เลยทำให้เขารู้ว่า ถ้าท่านจะเอาแล้วต้องได้ อาตมาเองก็นิสัยแบบนี้แหละ ถ้าไปเรียนต่อ เดี๋ยวก็ต้องไปฆ่าแกงกับเขา เพราะฉะนั้น..ไม่ไปดีกว่า

หลังจากไปเป็นเจ้าคณะตำบลที่ทองผาภูมิแล้ว มีหลักสูตร ปปส. ขึ้นมา ซึ่งก็คือหลักสูตรของท่านเจ้าคุณสมศักดิ์ หรือท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุทธชินวงศ์ปัจจุบันนี่แหละ วันเปิดหลักสูตรท่านไป พอเห็นหน้าอาตมาท่านหัวเราะ กล่าวว่า "ท้ายสุดต้องมาเป็นลูกศิษย์ผมจนได้" พอจบนักธรรมเอกพรรษาที่ ๔ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเมตตาบอกว่า "ความรู้พอคุ้มตัวได้แล้ว ถ้าจะออกธุดงค์ก็ได้นะ"

อาตมาเองตั้งใจว่า จะเอาตามแบบโบราณ คือ อยู่กับครูบาอาจารย์ ศึกษาความรู้ให้ครบ ๕ พรรษาก่อน จึงจะออกจากวัดไปที่อื่น ช่วงก่อน ๕ พรรษานั้น อาตมาไม่เคยไปที่ไหนเลย นอกจากงานของหลวงปู่มหาอำพันและงานของหลวงปู่ครูบาธรรมชัย ที่ถือท่านเป็นครูบาอาจารย์มาตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว ไปอยู่สองที่เพราะคุ้นเคยกัน ที่อื่นก็ไม่กล้าไป กลัวไปทำผิดทำพลาดแล้วขายหน้าครูบาอาจารย์"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2014 เมื่อ 13:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #158  
เก่า 29-10-2014, 12:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พอหลวงพ่อวัดท่าซุงเปิดทางให้ จำได้ว่าจะออกธุดงค์ครั้งแรก บรรดาพระพี่พระน้องขอตามไป ๘-๑๐ รูป แต่พอท่านรู้ว่าจะไปป่าแม่สาน ก็ถอนตัวกันเกลี้ยงเลย เหลืออาตมาอยู่คนเดียว อาตมาเองก็นิสัยไม่เหมือนใคร มีคติประจำใจว่า ขึ้นหน้าไปตายอย่างคนกล้า ดีกว่าถอยหลังมาตายอย่างคนขลาด เหลือคนเดียวก็ไป

ทุกครั้งที่ไปธุดงค์ หลวงพ่อก็จะสะกิดตรงนั้นตรงนี้ให้รู้ว่า ท่านก็รู้ว่าเราไปที่ไหนมา การไปไหนแล้วลาครูบาอาจารย์ดีตรงที่ว่า เมื่อเวลามีอะไรเกิดขึ้นท่านจะได้ช่วยสงเคราะห์ได้ อย่างที่หลวงพ่อท่านเคยเล่าให้ฟังว่า เวลาพระที่อยุธยาออกธุดงค์ ต้องไปขึ้นครูกรรมฐานกับหลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ ท่านบอกว่าหลวงพ่อขันเก่งแค่ไหนท่านก็ไม่รู้ รู้ว่าวันหนึ่งกำลังนั่งคุยกับท่าน อยู่ ๆ หลวงพ่อขันก็หยุดคุยเฉย ๆ แล้วก็กลั้นใจเอามือตบกระดานศาลา

หลวงพ่อถามว่าทำอะไร ? หลวงพ่อขันบอกว่า ลูกศิษย์ที่ธุดงค์ในป่าจะโดนควายป่าขวิด จึงต้องช่วยหน่อย ตัวหลวงพ่อขันอยู่ที่วัดในอยุธยา ส่วนลูกศิษย์อยู่ในป่า ท่านรู้ว่าลูกศิษย์จะโดนควายป่าขวิด หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็รอ จนกระทั่งพระที่ออกธุดงค์ท่านกลับมา พอได้ข่าวว่าพระท่านกลับวัดแล้ว หลวงพ่อท่านก็ไปถาม เพราะว่าท่านจดวันเดือนปีเอาไว้ ไปถามว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น พระที่ไป
ธุดงค์ท่านบอกว่าไปเจอควายป่า มันตั้งท่าวิ่งใส่แล้ว ตอนนั้นไม่รู้จะทำอย่างไร นึกอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าครูบาอาจารย์ไม่ช่วยก็ตายแน่ อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงลงมากลางวง ควายป่าตกใจ หนีเตลิดหมดเลย ท่านตบกระดานศาลาที่วัดนกกระจาบ แล้วฟ้าไปผ่าในป่า ฉะนั้น..เวลาไปไหนควรที่จะบอกลาครูบาอาจารย์ เพื่อที่ท่านจะได้รู้ว่าเราไปอยู่ที่ไหน ถ้าเกิดอันตรายขึ้น ท่านจะได้ช่วยปกป้องคุ้มครองรักษา

เวลาอาตมาไปธุดงค์มักจะไปสถานที่ซึ่งหลวงพ่อท่านพูดถึง เพราะอาตมาเกิดความสงสัย อย่างท่านบอกว่าตรงนั้นมีภูเขาทอง ตรงนี้มีแร่ยูเรเนียม ไปดูมาหมด ตอนที่ไปดูแร่ยูเรเนียมมากลับมา ถึงช่วงเช้าเตรียมรับหลวงพ่อขึ้นตึก ท่านบอกว่า "เดี๋ยว..ยืนคุยกันก่อน แกไปดูยูเรเนียมมาใช่ไหม ?" "ครับ" "อยู่ตรงไหนวะ ?" ก็อธิบายให้ท่านฟัง ท่านก็ "เอ้อ..ใช่ ข้าก็กลัวเหมือนกันว่าจะรู้ผิด แกไปดูก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง แกไปไหนแกพกกล้องถ่ายรูปไปด้วย แกมีหลักฐาน ข้าเองบอกแต่ปากเปล่า ๆ ไม่มีหลักฐาน บางทีคนเขาไม่เชื่อหรอก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-10-2014 เมื่อ 00:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #159  
เก่า 29-10-2014, 16:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เวลาอยู่วัดอาตมาก็ทุ่มเทให้กับวัดจริง ๆ เลิกงานก็เอาแต่ภาวนา ที่วัดท่าซุงมีธรรมเนียมบางอย่าง ก็คือพระใหม่ที่บวชเข้าไป จะต้องหาพระเก่าเป็นหลัก และเกาะกันเป็นกลุ่ม ๆ เหมือนกับว่าชอบใจพระเก่ารูปไหนก็เกาะรูปนั้น อาตมาเองเอาแต่ภาวนา ไม่เกาะใครเสียที แถมก็ยังเอาแต่ลา ไม่รู้ว่าโดนหมั่นไส้เอาท่าไหน คงจะโดนปูนหมายหัวไว้ ยังไม่ทันจะขึ้นพรรษาที่สองเลย ก็มีคำสั่งจากคณะกรรมการสงฆ์ให้ไปเป็นหน้าห้องของหลวงพ่อวัดท่าซุง

ท่านตั้งใจจะส่งอาตมาไปตาย..! เพราะบรรดาพระเก่าที่อยู่หน้าห้องหลวงพ่อ ส่วนใหญ่กระเด็นหมด ไม่มีใครอยู่ได้ ไล่มาตั้งแต่หลวงพี่โอ หลวงน้ามีชัย หลวงน้าอมร หลวงพี่ชัยวัฒน์ กระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง เหมือนอย่างกับว่าในเมื่อคุณไม่เกาะใคร ก็ไปให้หลวงพ่อฟันหัวซะ..! แต่บังเอิญอาตมาทำงานตรงไปตรงมา แล้วหลวงพ่อท่านชอบใจ

อีกอย่างหนึ่งก็คือ อาตมาเป็นคนที่โดนด่าแล้วไม่ยุบ หน้าค่อนข้างจะด้าน คิดอยู่อย่างเดียวว่า หลวงพ่อด่าเพราะเราทำผิด ถ้าเราแก้ไขเราจะไม่ผิดอีก เป็นคนประเภทนี้ก็เลยกำลังใจไม่ตก ไม่เหมือนคนอื่น ถ้าโดนหลวงพ่อด่า เขาอยู่ไม่ได้แล้ว เขาจะต้องขอลาไปอยู่ที่อื่นเลย แล้วหาคนใหม่มาแทน

โดยเฉพาะที่เห็นคาตาเลย คือหลวงพี่บัญชา ตอนนั้นปี ๒๕๒๘ หลวงพ่อบอกให้ญาติโยมสี่คนจัดกระทงรับพระเคราะห์ ท่านบอกว่าเคราะห์ไม่ดีให้ไปจัดกระทงมา วันแรกก็ ๔ กระทง วันที่สอง ๑๑ กระทง วันที่สาม ๑๒๘ กระทง เร็วจริง ๆ นะ คนที่ท่านไม่ได้บอกก็อยากมาลอยเคราะห์ด้วย พอจำนวนเยอะก็จดชื่อไม่ทัน หลวงพ่อจะออกรับแขกตอนบ่ายโมงแล้ว หลวงพี่บัญชาก็ถามรายชื่อแล้วเขี่ยเอาเลย

พอตอนทำสะเดาะเคราะห์ ท้าวมหาราชจะมาอยู่ในพิธีด้วย ท่านก็จะชี้บอกหลวงพ่อว่า หมายเลขที่เท่านั้น ชื่อนั้น ต้องทำอะไรพิเศษต่างหาก หลวงพ่อท่านบอกว่า ท้าวมหาราชบอกว่ามีสี่คนที่ต้องสะเดาะเคราะห์พิเศษ ให้ไปปล่อยไก่คนละสองตัว แล้วก็อ่านหมายเลขที่ ๑ ชื่อนี้ หมายเลขที่ ๒๐ ชื่อนี้ พอไปถึง "หมายเลข... โคตรแม่งใครเขียนวะ..! อ่านไม่ออกเลย" หลวงพี่บัญชาหน้าซีดจนเขียว จะขาดใจตายตรงนั้น นั่น..โดนด่าแค่นั้นนะ

พอเลิกรับแขกสี่โมงเย็น หลวงพ่อท่านเดินผ่านเพื่อลงไปขึ้นรถกลับที่พัก ท่านก็แวะมาคุยด้วย "เออ..บัญชา วันนี้วัตถุมงคลจำหน่ายเป็นอย่างไรบ้างวะ ?" "จำหน่ายดีครับ คนบูชากันเยอะ" "เออ..ดีแล้วลูก ทำหน้าที่ให้ดี" แล้วท่านก็ไป ถ้าไม่พูดประโยคนั้น คืนนั้นหลวงพี่บัญชาผูกคอตายแน่นอน แต่อาตมาไม่ใช่ อาตมาหน้าด้าน คิดอยู่อย่างเดียวว่า ไม่มีพ่อที่ไหนฆ่าลูกหรอก ถ้าท่านด่าแปลว่าเราผิด ถ้าอยากได้ดีต้องรีบแก้ไข ก็เลยทนอยู่มา กลายเป็นคนที่อยู่หน้าห้องหลวงพ่อได้นานที่สุด ก็คืออยู่ตั้งแต่ไม่เข้าพรรษาที่สอง จนกระทั่งหลวงพ่อมรณภาพ ไม่ได้เปลี่ยนเลย ทั้ง ๆ ที่เขาตั้งใจส่งให้ไปตายแท้ ๆ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2014 เมื่อ 17:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #160  
เก่า 29-10-2014, 17:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พอสิ้นหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้ว ในวัดเขาเกาะกันเป็นกลุ่ม ๆ อยู่ ก็เลยมีคนคิดว่าตัวเองเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าอาวาส จึงมีการประลองกำลังกันขึ้นมา อาตมาต้องกางปีกป้องหลวงพี่อนันต์ ซึ่งปัจจุบันก็คือ หลวงพ่อท่านเจ้าคุณอนันต์เอาไว้

พอออกจากโบสถ์มานี่ อาตมาโดนเขาทุบหลัง แถมด่าใส่หูมาว่า "ไอ้ห่..มึงชกผิดฟอร์มนี่หว่า" ปกติอาตมาเป็นคนฟัดหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ประจำ แต่งานนั้นไปปกป้องท่านไว้ ปกติแล้วคนผิดอาตมาไม่คบ งานนั้นที่ต้องรักษาเอาไว้ ต้อง ให้เหตุผลท่านไปว่า "พวกเราจะเตะตูดกันเองในระหว่างลูกพ่อดี หรือจะให้คนอื่นมาขี่คอดี ?" หลวงพี่ท่านนั้นก็บอกว่า "ก็เตะตูดกันเองสิวะ" "นั่นแหละ..ผมถึงได้ต้องรักษาหลวงพี่อนันต์เอาไว้ เพราะถ้าพวกเราเอาท่านออก ไม่ให้เป็นเจ้าอาวาส ในจังหวัดเขาจ้องอยากได้วัดท่าซุงอยู่แล้ว เพราะเป็นวัดใหญ่ มีผลประโยชน์มาก เขาจะอ้างว่าพวกเราทะเลาะเบาะแว้ง ปกครองกันเองไม่ได้ แล้วส่งคนของเขาเข้ามา ถ้าคนของเขาเข้ามา ก็มาขี่คอพวกเรา"

คืนนั้นยังมีการล่ารายชื่อกันอีก จะปลดหลวงพี่อนันต์ออกจากเจ้าอาวาส แต่ปรากฏว่าบัญชีรายชื่อเขาจะให้อาตมาเซ็นเป็นคนแรก เพราะช่วงสี่พรรษาสุดท้าย อาตมาทำงานแบบไม่กลัวเปลืองตัว ชนกับบรรดาทุจริตจนกระทั่งเขาพังไป ๓-๔ ราย หลวงพ่อก็เลยเรียกใช้อยู่คนเดียว ทำให้บรรดาพี่ ๆ น้อง ๆ จำนวนหนึ่งเขาเห็นดีเห็นงามด้วย กลายเป็นว่าถ้าอาตมาบอกซ้ายหันขวาหัน พระเกือบทั้งวัดจะหันมาหมด

บุคคลที่มาล่ารายชื่อคือท่านตี๋ ซึ่งบวชพรรษาเดียวกันแต่คนละรุ่น ถือรายชื่อมาถึง "หลวงเฮีย..เซ็นหน่อยสิ เขาจะเอาพี่นันต์ออกจากตำแหน่งว่ะ" อาตมาดูรายชื่อยังไม่มีใครเซ็นสักคน ก็มองทะลุตั้งแต่ต้นยันปลายเลย ด้วยความสนิทกันมาตั้งแต่ฆราวาส จึงบอกท่านว่า "ไอ้ตี๋..มึงรู้หรือเปล่าว่าเขาหลอกใช้มึง งานนี้ถ้ามึงทำสำเร็จ มึงก็แค่เสมอตัว แต่ถ้ามึงทำไม่สำเร็จ มึงเป็นหมาอยู่คนเดียว เพราะเขาถือว่ามึงเป็นคนนำ มึงเชื่อไหมว่าถ้ากูไม่เซ็นเสียคน ในวัดจะไม่มีพระรูปไหนเซ็นเลย" อาตี๋ก็นั่งตาปริบ ๆ "มึงไปลองได้เลย"

แกหายไปประมาณชั่วโมงกว่า กลับมา ขยำกระดาษขว้างลงพื้น "ไอ้ห่..พระมันหลอกกันขนาดนี้เลยหรือวะ ?" "มึงเชื่อกูหรือยัง ?" อาตมาโทรหาหลวงพี่อนันต์ตอนนั้นเลย "ผมอยู่ไม่ได้แล้วครับ ตราบใดที่ผมอยู่ เขาต้องการผมไปเป็นพวก เขาก็จะเล่นหลวงพี่ไม่เลิก วัดจะไม่สงบ ถ้าผมไปเสีย กำลังของสองฝ่ายใกล้เคียงกัน ทำอะไรกันไม่ได้ ก็จะจบลงไปเอง"

อาตมาก็เลยออกจากวัดตั้งแต่วันนั้นเลย ตอนแรกท่านไม่อนุญาตให้ออกไป ท่านบอกว่า "คุณไปสักเดือนหนึ่งก็แล้วกัน ค่อยกลับมา" "ไม่หรอกครับ ผมไปแล้วไปเลย ไม่ค่อยชอบเดินย้อนรอยเดิม" ท่านบอกว่า "คุณไปแล้วใครจะช่วยผม ?" "พรรคพวกมีตั้งเยอะตั้งแยะครับ ผมไปสักคนเขาไม่มีความหวัง เขาก็เลิกไปเอง" "แล้วจะให้ผมแจ้งกับคณะสงฆ์อย่างไร ?" "บอกไปว่า ผมทำผิดอะไรก็ได้ ใส่ข้อหาให้หนัก ๆ ไปเลย บอกว่าขับผมออกจากวัดไปแล้ว" พอวางหูเสร็จ อาตมาก็ไปเลย จากวันนั้นถึงวันนี้ นอกจากไปกราบหลวงพ่อแล้ว ก็ไม่ได้ไปสุงสิงหรือเสวนากับใครเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2014 เมื่อ 17:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:06



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว