|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#141
|
||||
|
||||
ประมาณสิบเอ็ดโมงห้าสิบนาที อาตมากลับไปยังมณฑลพิธีอีกครั้ง พระอาทิตย์ทรงกลดสาดรัศมีร้อนเปรี้ยงลงมา เป็นประโยชน์แก่การหล่อพระอย่างที่สุด เมื่อเห็นว่าใกล้ที่จะได้เวลาแล้ว ก็มอบหมายให้ท่านอาจารย์พระมหาเอจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย แล้วหลวงพ่อนิลทำหน้าที่ให้ศีลแก่ทุกคน...
เมื่อได้เวลาก็ให้สัญญาณทีมช่างหล่อ ทำการเททองหล่อพระพุทธลีลาประทานพร โดยเริ่มจากองค์เนื้อบรอนซ์ของท่านอาจารย์พระมหาเอก่อน แล้วต่อด้วยองค์เนื้อเงิน... พระอาจารย์ศิริชัย ชยธมฺโม (ท่านอาจารย์บ๊ะ) เคยกล่าวกับอาตมาว่า "ทุกอย่างที่หลวงตาเล็กทำนั้นผมทำได้หมด ยกเว้นตอนเททองหรือหย่อนทองลงเบ้า ที่สว่างไสวไปทั้งวัดนั้นผมทำไม่ได้"... ความจริงก็แค่กราบอาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ลงมาอนุเคราะห์สงเคราะห์ให้รูปพุทธนิมิตที่กำเนิดขึ้นมานี้ เป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายทุกภพทุกภูมิทุกหมู่ทุกเหล่า แล้วน้อมใจอัญเชิญพระฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ลงสู่พระพุทธนิมิตที่ช่างกำลังเททองหล่อกันอยู่เท่านั้นเอง... องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมในพระวรกายใหญ่โตเต็มจักรวาล แผ่พระรัศมีสว่างไสวหาประมาณไม่ได้ องค์สมเด็จพระพุทธกัสสปในปางพระพุทธลีลาประทานพรสีทองอร่าม แย้มพระโอษฐ์งามละมุนละไมจนบอกไม่ถูก... เมื่อเสร็จพิธีอาตมาน้อมจิตน้อมใจกราบลงแทบพระบาทของทุกพระองค์ "สมเด็จพ่อ" เมตตาตรัสว่า "เดี๋ยวตอนปลุกเสกรูปเหมือน "พ่อ" จะมาสงเคราะห์อีกครั้งหนึ่ง" สาธุ..สาธุ..สาธุ... เสร็จพิธีแล้วพระภิกษุสามเณรวัดท่าขนุน ช่วยกันเก็บกวาดสถานที่ ยังไม่ทันที่ทีมงานหล่อพระจะขนข้าวของขึ้นรถเสร็จ มณฑลพิธีก็หายวับไปกับตา สะอาดเอี่ยมเรียบร้อยเหมือนกับไม่ได้มีงานอะไรเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2020 เมื่อ 15:51 |
สมาชิก 265 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#142
|
||||
|
||||
ของจริง ของปลอมมาแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#143
|
||||
|
||||
มีผู้ส่งรูปพระสมเด็จองค์ปฐมพลิกชีวิตเนื้อชินซึ่งมีผู้ทำปลอมมาให้ดู จากรูปดูแล้วฝีมือหยาบมาก ประมาณว่า "เก๊ตาเปล่า" แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้สังเกตแล้ว ก็อาจจะเสียท่าให้กับเขาได้...
การปลอมวัตถุมงคลซึ่งสร้างโดยอาตมานั้นมีมานานแล้ว เริ่มจากพระกริ่งพิชัยสงคราม ที่ถอดแบบแล้วนำไปจำหน่ายในนามของวัดอดีตสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ โดยไม่เกรงกลัวบาปกรรม หรือยำเกรงต่อบารมีของพระองค์ท่านเลยแม้แต่น้อย... ลำดับต่อมาที่ปลอมได้น่าเกลียดมากคือพระองค์ที่ ๑๑ ขนาดบูชา เพราะว่าของที่อาตมาสร้างนั้นหน้าตัก ๑๐ นิ้วถ้วน ของที่ทำเลียนแบบหน้าตัก ๕ นิ้วและ ๙ นิ้ว ไม่ได้มีความคล้ายคลึงหรือใกล้เคียงเลย แต่วางจำหน่ายในนาม "วัดท่าขนุน สร้างโดยหลวงพ่อเล็ก" แบบหน้าตาเฉย..! ลำดับต่อมาคือตะกรุดมหาสะท้อน ที่อาตมาต้องเลิกสร้างไปเพราะว่าลูกศิษย์นำไปใช้ผิด ทำให้มีบุคคลถึงแก่ชีวิต ๒ รายติด ๆ กัน ในเมื่ออุปสงค์มีมากแต่อุปทานไม่มี จึงมีผู้ปลอมขึ้นมาจำหน่าย ถ้าใครไม่ได้ศึกษารูปแบบของตะกรุดมหาสะท้อนแต่ละรุ่น ก็จะโดนผู้อื่นหลอกได้โดยง่าย... สำหรับสมเด็จองค์ปฐมพลิกชีวิตเนื้อชินนั้นไม่น่าเป็นห่วงเท่าไรนัก เพราะว่าอาตมาให้ลงประกาศทั้งในเว็บไซต์วัดท่าขนุน ในเฟซบุ๊ก และเว็บเพจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัดท่าขนุน โดยลงภาพเปรียบเทียบให้ดูแล้ว ถ้าใครยังเสียท่าให้เขาอีก ก็ต้องบอกว่าสร้างเวรสร้างกรรมร่วมกับเขามาจริง ๆ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2020 เมื่อ 09:23 |
สมาชิก 231 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#144
|
||||
|
||||
ตอนแรกมีผู้กล่าวว่า "เป็นไปได้ไหมที่ปลอมมาจากโรงงานซึ่งเราสั่งทำ ?" อาตมาฟันธงว่า "เป็นไปไม่ได้" ประการแรก ถ้าปลอมโดยโรงงานจะต้องเหมือน เนื่องจากใช้แม่พิมพ์ตัวเดียวกัน แต่นี่หาความเหมือนไม่ได้เลย...
ประการที่สอง ช่วงที่สั่งทำวัตถุมงคลชุดนี้นั้น ตลาดวัตถุมงคลซบเซามาก ไม่มีใครตั้งความหวังไว้กับวัตถุมงคลชุดนี้ว่าจะขายได้แม้แต่รายเดียว จึงไม่ลงทุนมาปลอมให้เสียเวลา... คาดว่าเหรียญปลอมที่พบเห็นอยู่นี้ นำเอาเหรียญสมเด็จองค์ปฐมพลิกชีวิตเนื้อเงินไปถอดแบบ แต่เป็นการถอดแบบชนิดที่ไม่ยอมลงทุนเลย เพราะว่าแทนที่จะใช้เลเซอร์สแกนซึ่งทำให้องค์พระเล็กลงนิดเดียวแทบไม่เห็นความแตกต่างอย่างอื่น กลับไปถอดแบบโดย "บล็อกเหงือก" จึงทำให้ขาดรายละเอียดที่ควรจะมีไปมาก... มีผู้ถามว่าควรที่จะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร ? ทางวัดท่าขนุนก็แค่ประกาศลงสื่อโซเชียลให้ญาติโยมทั้งหลายได้รู้ทั่วกัน ส่วนที่เหลือก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามเวรตามกรรม ยกเว้นว่าท่านผู้เสียหายจะไปแจ้งความดำเนินคดีเสียเอง... ขอแจ้งให้กับญาติโยมที่ไม่มีพระสมเด็จองค์ปฐมพลิกชีวิตแม้แต่องค์เดียวว่า ทางวัดยังเหลือพระสมเด็จองค์ปฐมพลิกชีวิตอยู่อีก ๒ เนื้อ คือเนื้อทองแดงกับเนื้อทองทิพย์ อย่างละ ๓,๐๐๐ เหรียญ ที่รอให้ผู้เปิดกระทู้จัดการส่งของเก่าให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ค่อยหาวาระที่เหมาะสมมาลงให้บูชาต่อไป โปรดอดใจรอด้วยความระทึกในดวงหทัยพลัน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2020 เมื่อ 09:24 |
สมาชิก 249 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#145
|
||||
|
||||
(ก่อนบวงสรวงหล่อพระ) ที่เราเจอนี่คือหางพายุเท่านั้น ไม่ใช่หัว ถ้าพายุเกิดในทะเลจีนใต้ เรียกว่าไต้ฝุ่น เกิดทางทะเลอันดามัน อ่าวเบงกอล เรียกว่าไซโคลน เกิดทางด้านยุโรปคือเฮอริเคน เกิดทางด้านอเมริกาคือทอร์นาโด
คราวนี้พายุไต้ฝุ่น เป็นภาษาจีนเลย แต่เนื่องว่าภาษาจีนฮกเกี้ยนค่อนข้างจะอิทธิพล ก็เลยเป็นคำว่า “ไต้ฝุ่น” ภาษาฮกเกี้ยน “ไถ่ฟุ้ง” พอเขียนเป็นภาษาอังกฤษเลยอ่านว่า “ไต้ฝุ่น” ส่วนพายุไซโคลนอำพันเป็นชื่อไทย เพราะว่าแต่ละประเทศจะตั้งชื่อพายุ ๑๐ ชื่อ แล้วก็ส่งไป ถึงเวลาก็สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันคนละชื่อตามลำดับของพายุที่เกิดขึ้น กว่าจะวนมาถึงชื่อไทยอีกครั้งก็น่าจะนาน ปรากฏว่านี่เพิ่งจะต้นฤดูฝน พายุเกิดขึ้น ๒ ลูกแล้ว ลูกแรกทางทะเลจีนใต้ ถล่มฟิลิปปินส์ไป เป็นชื่อฮกเกี้ยนว่า “หว่องฟุ้ง” แปลเป็นไทยว่า “แมลงภู่คำ” แต่ของจีนเขาแปลว่าผึ้งเหลือง เขาว่าพิษของผึ้งเหลืองเป็นพิษที่รุนแรงที่สุด แล้วลูกที่ ๒ ก็ก่อตัวขึ้นในอ่าวเบงกอลก็คือไซโคลนอำพัน เขาบอกว่าเป็นลูกที่แรงที่สุดในรอบ ๑๐ ปีของอ่าวเบงกอล ความเร็วลมแรกเริ่ม ๒๗๐ กิโลเมตร พัดขึ้นฝั่งอินเดียและบังคลาเทศด้วยความเร็วลม ๑๘๕ กิโลเมตร ก็ได้ไปหลายศพอยู่..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2020 เมื่อ 10:37 |
สมาชิก 219 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#146
|
||||
|
||||
เรื่องของภัยธรรมชาติต่าง ๆ จะรุนแรงขึ้นไปเรื่อยตามสภาพอากาศที่ย่ำแย่ โลกร้อนเท่าไร ความแปรปรวนของภูมิอากาศก็ยิ่งมากเท่านั้น เพราะว่าอากาศร้อนลอยตัวขึ้นเร็ว อากาศที่ไหลเข้ามาแทนที่ก็ทั้งเร็วและแรง จึงกลายเป็นพายุ ก่อให้เกิดความเสียหายมาก เดือดร้อนกันมาก
ประเทศไทยเราจะว่าโชคดีก็ใช่ เพราะว่าพายุที่ก่อตัวในทะเลจีนใต้ กว่าจะเข้ามาก็จะต้องติดฟิลิปปินส์ ติดเวียดนาม ติดลาว ยิ่งก่อตัวขึ้นทางด้านเหนือมากเท่าไร กว่าจะผ่านมาถึงไทยก็แทบไม่มีผลกระทบแล้ว ถ้าก่อตัวขึ้นทางทะเลอันดามันก็ติดพม่า ติดส่วนหนึ่งของอินโดนีเซีย แต่คราวนี้ความที่พายุรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตามสภาพอากาศ สิ่งที่เคยกระทบน้อยก็เลยกระทบมากขึ้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2020 เมื่อ 10:38 |
สมาชิก 221 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#147
|
||||
|
||||
ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่าตั้งแต่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ สวรรคต ภัยธรรมชาติต่าง ๆ เหมือนกับปะทุขึ้นมาและรุนแรงเป็นพิเศษ ก็คือผู้มีบารมีที่เขาต้องเกรงใจไม่อยู่แล้ว จึงทำให้สิ่งทั้งหลายที่อั้นมานาน เพราะว่าท่านขอไว้ก็เริ่มอั้นไม่อยู่
ตอนนี้ประเทศของเราที่น่ากลัวมี ๓ อย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือภัยแล้ง อย่าคิดว่านี่เป็นหน้าฝนนะ บริเวณที่แล้งก็ยังประสบภัยพิบัติแล้งเป็นปกติ ประการที่สองคือปัญหาการเมือง ถ้าชวนคนลงถนนเมื่อไรก็เป็นเรื่องเมื่อนั้น ประการสุดท้ายคือภัยธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ อาตมาเองบอกมากกว่านี้ไม่ได้ พยายามพูดมากที่สุดเท่าที่จะมากได้แล้ว ไปตีความกันเอาเอง อย่างที่หลวงพ่อวัดระฆังท่านบอกว่ามีแต่จะร้ายแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2020 เมื่อ 10:39 |
สมาชิก 239 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#148
|
||||
|
||||
"รับพัสดุด้วยครับ" พนักงานจากรถสีส้มถือกล่องพัสดุมาส่งให้ถึงหน้ากุฏิ พลังงานที่แผ่ออกมาจากกล่องพัสดุรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง น้อมจิตกราบอัญเชิญท่านเข้ากุฏิพร้อมกับการเซ็นรับ...
เป็นพัสดุที่ส่งมาจากคุณกอบชัย มงคลทิพย์ เมื่อเปิดออกมาก็พบกับมีดหมอเทพศาสตราลายเพชรพญาธรเล่มใหญ่ ของหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม กับลิงแกะจากไม้ตับเต่า ของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ที่ค่อนข้างจะหายากจนถึงยากที่สุด... ทำการเจิมน้ำมันชาตรีรับขวัญมีดหมอ พลังงานที่แผ่ซ่านไปทั่วทำเอาขนลุกไปทั้งตัว ยังไม่ทันไรหลวงพ่อกวยก็ดึงอาตมาพรวด "ออกไปข้างนอก" แล้วชี้กลับไปยังร่างที่กำลังเช็ดถูมีดหมออยู่ "ดูเอาไว้..จะได้หายสงสัยเสียที"... ที่อาตมาสงสัยก็คือ พลังงานของวัตถุมงคลแต่ละครูบาอาจารย์ที่แตกต่างกันนั้น นอกจากสมาธิจิตและวิชาการที่ศึกษามาแล้ว ยังมีอย่างอื่นอีกหรือไม่ ? ในส่วนของสายหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้นอาตมาไม่สงสัย พลังงานที่ท่วมฟ้าท้นดินนั้นเป็นพุทธบารมี ธรรมะบารมี สังฆบารมี ตลอดจนพรหม เทวดา และครูบาอาจารย์ที่เมตตาช่วยสงเคราะห์ แล้วสายอื่น ๆ อย่างของหลวงปู่ทิม หลวงพ่อกวย นั้นเป็นอย่างไร ? ทำไมถึงทะลุทะลวงได้ดุดันถึงใจขนาดนี้ ? สิ่งที่เห็นก็คือร่างกายของอาตมาที่นั่งอยู่นั้น มีพลังงานหมุนวนอยู่รอบกายในแนวตั้ง เป็นรูปเหมือนกับปีกผีเสื้อสองข้าง ดูเหมือนกับว่าปีกทั้งสองนั้นเป็นอิสระต่อกัน แต่ก็หมุนวนผสมกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน... "เอ้า..คราวนี้มาดูตรงนี้" ท่านลากพรวดเดียวไกลออกไป จนกระทั่งเห็นโลกเราโตประมาณลูกฟุตบอลเท่านั้น ภาพที่เห็นก็คือพลังงานที่แผ่ออกมาจากโลกเป็นไปในลักษณะเดียวกัน "นั่นคือสิ่งที่พวกแกเรียกว่าแรงแม่เหล็กโลก วิชาการทางสายจีนเรียกว่าไท้เก๊กหรือไท่จี๋ ทางสายอินเดียเรียกว่าพลังจักรวาล"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 28-05-2020 เมื่อ 12:53 |
สมาชิก 245 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#149
|
||||
|
||||
"คราวนี้มาดูสิ่งที่แกเคยมองมานานแล้ว" อาตมาโดนลากออกไปไกลลิบ มองย้อนกลับมาเห็นหมู่ดาราจักร (Galaxy) มากมายเต็มไปหมด แต่ละดาราจักรต่างก็ประกอบด้วยพลังงานมหึมาหลากล้น ทั้งกระจายออกและรวมเข้า เพื่อจัดระเบียบแต่ละดาราจักรให้มีขอบเขตเฉพาะของตน...
"ตรงนั้นคือกลุ่มหมอกเพลิง (Nebula) ที่ยังจัดระเบียบตัวเองไม่เสร็จ ถ้าจัดระเบียบตัวเองเสร็จแล้วก็จะเกิดเป็นดาราจักรใหม่ขึ้นมา ส่วนดาราจักรที่หมดพลังงานแล้ว ก็ระเบิดสลายตัวเองกลับไปเป็นกลุ่มหมอกเพลิงใหม่" ไหนคนเขาบอกว่าหลวงพ่อเรียนหนังสือมานิดเดียว วันนี้ทั้งดาราศาสตร์ทั้งฟิสิกส์มาครบถ้วนเลย ? "ข้ามาเก่งตอนตายแล้วโว้ย..!" พูดจบพลังจิตของท่านก็แผ่ออกจากกายเป็นกลุ่มก้อน ครอบคลุมทั้งดาราจักร ดึงเอาพลังงานพุ่งเป็นลำมหึมาเชี่ยวกรากตรงไปยังโลกมนุษย์ หมุนวนจนกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพลังแม่เหล็กโลก แล้วควบแน่นเป็นลำเล็กประมาณบาตรพระ พุ่งลงตรงกระหม่อมร่างของอาตมาที่นั่งเช็ดมีดหมออยู่ ดึงเอาพลังงานประจำร่างกายทั้งหมด พุ่งเข้าสู่มีดหมอในมือจนสว่างเจิดจ้าดุจพระอาทิตย์ยามเที่ยง..! เหมือนกับร่างกายชาเห่อพองใหญ่ขึ้นหลายเท่า ขุมขนทุกเส้นตั้งชัน แผ่พลังงานออกมาเป็นระลอก...ระลอก ไม่ขาดสาย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2020 เมื่อ 19:26 |
สมาชิก 241 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#150
|
||||
|
||||
"หายสงสัยแล้วครับ..!" ถ้าไม่หายมีหวังตัวระเบิดตาย..! "คราวนี้แกดูนี่" พลังจิตของท่านพุ่งตรงไปเหมือนกับจะทะลุทะลวงฟ้า ผ่านครูบาอาจารย์หลายท่านเร็วจนมองแทบไม่ทัน ภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใหญ่มหึมาเต็มจักรวาลปรากฏอยู่ข้างหน้า...
เพียงหลวงพ่อท่านน้อมจิตกราบลงแทบพระบาท พลังงานประหนึ่งมหาสมุทรหลากล้นท้นท่วมก็ทะลักทลายกลบกลืนไปทั้งเอกภพ (Universe) หมู่ดาราจักร กลุ่มหมอกเพลิง และจักรวาลแห่งดวงดาวอื่น ๆ (Stars System) ถูกกลืนหายไปภายใต้พลังงานที่ยิ่งใหญ่จนประมาณไม่ได้..! "นี่คืออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยที่พวกแกอาศัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก ข้าเองก่อนหน้านี้ใช้แค่พลังสมาธิสมาบัติเฉพาะตัว วิธีดึงพลังจากจักรวาลมาใช้งาน เพิ่งจะมารู้เอาตอนที่ตายแล้ว ถือว่ายกให้แกเอาไปใช้ก็แล้วกัน แต่พอเทียบกับคุณพระศรีรัตนตรัยแล้ว คงหมดราคาจนแกอาจจะไม่สนใจเลยก็ได้" น้อมจิตกราบแทบพระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบแทบเท้าหลวงพ่อกวยที่เมตตาถ่ายทอดเพิ่มเติมความรู้ให้ "ผมเป็นคนงกครับหลวงพ่อ ต่อให้มีเงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน ถ้ามีคนให้อีกบาทหนึ่งสลึงหนึ่งผมก็ยังรับอยู่ดี ถึงตัวเองจะไม่ได้ใช้งาน แต่ก็ยังเป็นประโยชน์กับลูกศิษย์ของหลวงพ่ออีกจำนวนมาก กราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งครับ" สติกลับคืนมาอยู่กับเนื้อกับตัว มือยังถือมีดหมอค้างอยู่ เจิมน้ำหอมน้ำมันรับขวัญมีดหมออยู่แท้ ๆ ดันฝันกลางวันแสก ๆ อีกแล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 27-05-2020 เมื่อ 21:19 |
สมาชิก 284 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#151
|
||||
|
||||
(ก่อนหล่อพระ) แจ้งให้ญาติโยมทั้งหลายได้ทราบตรงนี้ว่า การหล่อพระพุทธลีลาประทานพรเนื้อทองคำนั้น ทางวัดกำลังเตรียมเงินที่จะซื้อทองคำมาหล่อ ซึ่งถ้าหากว่าทุ่มหมดตัวก็น่าจะพอ แต่ว่าระยะนี้ทองคำแพงมาก ประกอบกับญาติโยมทางบ้านอยากมีส่วนร่วมอนุโมทนาด้วย แต่เดือนหน้าของเรายังติด พ.ร.ก.ฉุกเฉินอยู่ จึงไม่สามารถอนุญาตให้โยมเข้าวัดได้เหมือนกับครั้งนี้ ก็จะเป็นที่น่าเสียดายมาก
จึงขอแจ้งให้กับทางคณะของท่านพระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม ซึ่งดูแลเรื่องของการปั้นหุ่น ปั้นแบบ ตลอดจนกระทั่งติดต่อช่างปั้นช่างหล่อทุกด้าน และเจ้าหน้าที่จากโรงหล่อได้ทราบว่า ขออนุญาตเลื่อนจากกำหนดเดิม ที่บอกว่าจะหล่อในวันที่ ๒๑ มิถุนายนออกไปก่อน ซึ่งตอนนี้ยังหาวันไม่ได้ เพราะว่าอย่างวันนี้ถือว่าเป็นฤกษ์หล่อพระที่ดีที่สุดในรอบปี ๒๕๖๓ ไม่มีฤกษ์ดีกว่านี้อีกแล้ว เสียดายว่าไม่ได้หล่อองค์ทองคำเท่านั้น พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม ท่านได้ขออนุญาตหล่อองค์เนื้อบรอนซ์ ความสูงความใหญ่เท่ากันกับองค์เนื้อเงินปิดทอง คือ ๑๕๕ เซนติเมตร ไว้เป็นที่ระลึก ๑ องค์ แล้วยังขออนุญาตพระท่านสร้างเป็นองค์เล็กสูงประมาณ ๑ ศอก อีก ๙๙๙ องค์ โดยจะมอบให้ทางวัดท่าขนุนไปจัดจำหน่าย เพื่อที่จะได้หาทุนซื้อทองคำเพิ่มเติมในส่วนที่ยังขาดอยู่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-05-2020 เมื่อ 02:38 |
สมาชิก 224 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#152
|
||||
|
||||
จึงขอให้ญาติโยมทั้งในวัดก็ดี บรรดาช่างหล่อพระก็ดี ตลอดจนกระทั่งญาติโยมทางบ้าน ได้ทราบว่าเรื่องของการหล่อพระพุทธลีลาประทานพรเนื้อทองคำนั้น เลื่อนกำหนดการไปจากเดิมที่ตั้งใจไว้ว่า จะหล่อสักเดือนละองค์ ก็คือเดือนพฤษภาคมหล่อเนื้อเงิน เดือนมิถุนายนหล่อเนื้อทองคำ ขอเลื่อนออกไปดูระยะเวลาที่เหมาะสมสักนิดหนึ่ง แล้วถ้าราคาทองคำสามารถที่จะลดลงมาได้ เราก็จะมีเงินเหลือบางส่วนสำหรับไปทำการทำงานอื่นบ้าง
เพราะว่าระยะนี้วัดต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่ลำบากในการที่จะหางบประมาณมาเลี้ยงดูตัวเอง ตั้งแต่เชื้อไวรัสโคโรน่า ๒๐๑๙ อาละวาดขึ้นมา แทบทุกวัดก็หาญาติโยมเข้าวัดไม่ได้ เข้าวัดไปต้องผ่านการคัดกรอง ผ่านขั้นตอนต่าง ๆ เขารู้สึกว่าไม่ใกล้ชิดเหมือนเดิม ก็ไม่อยากที่จะไปวัด อาตมาเองจัดโครงการบรรเทาทุกข์พระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิไปแล้ว ๒ รอบ ก็คือถวายปัจจัยให้ทั้ง ๕๒ วัด ๒๒ สำนักสงฆ์ และเลขานุการเจ้าคณะตำบลที่ไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสอีก ๘ ท่าน ท่านละ ๕,๐๐๐ บาท หมดไปครั้งหนึ่งประมาณสี่แสนถึงสี่แสนเศษนิดหน่อย แจ้งไปแล้วว่าช่วยได้แค่ ๒ เดือนเท่านั้น เดือนที่ ๓ ถ้าท่านช่วยตัวเองไม่ได้ ก็ขอให้พระเจ้าได้โปรดช่วยท่านด้วย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-05-2020 เมื่อ 02:41 |
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#153
|
||||
|
||||
ทางด้านสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าวัดสระแก้ว ของท่านอาจารย์ปู่พระครูปลัดสุวัฒนบัณฑิตคุณ (ดร.พระมหาไพเราะ ฐิตสีโล) ซึ่งเลี้ยงเด็กกำพร้าเอาไว้ประมาณ ๒,๗๐๐ คนเศษ เฉพาะค่าข้าวสารเลี้ยงเด็กอย่างเดียวตกเดือนละล้านกว่าบาท ท่านขอความช่วยเหลือมา อาตมาได้ทำโครงการเร่งด่วน ที่ญาติโยมทั้งหลายช่วยกันไปแล้ว ได้เงินประมาณเก้าแสนกว่าบาท อาตมาเติมให้ครบหนึ่งล้านบาท นำถวายท่านไปแล้ว
ทางด้านโรงเรียนหมู่บ้านเด็กของมูลนิธิเด็ก ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลวังด้ง อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ก็เลี้ยงเด็กไว้เป็นจำนวนมาก อาตมาเพิ่งจะมอบข้าวสารอาหารแห้งไปให้หนึ่งคันรถหกล้อ พร้อมกับงบประมาณในการสร้างอาคารงวดแรก ๓๐๐,๐๐๐ บาท ต้องบอกว่าขณะนี้รอบด้านในประเทศไทยล้วนแล้วแต่เดือดร้อน ญาติโยมทั้งหลายไม่เข้าวัด ทรัพย์สินหมุนเวียนที่มีอยู่ก็ร่อยหรอไปตามกาลเวลา ยกเว้นวัดท่าขนุนที่พอกพูนเพิ่มขึ้นขึ้นผิดชาวบ้านเขา เพราะว่ามีพระคาถาเงินล้านช่วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-05-2020 เมื่อ 02:43 |
สมาชิก 240 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#154
|
||||
|
||||
ในเมื่อทั่วทั้งประเทศไทยล้วนแต่เดือดร้อน ทางสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติจึงอนุมัติงบประมาณวัดช่วยวัด ถวายพระสงฆ์ที่เดือดร้อนประมาณ ๒๐,๐๐๐ รูป รูปละ ๔๐ บาทต่อวัน โอ้พระเจ้า...ให้พระฉันมื้อละ ๒๐ บาท..! แค่ซื้อขนมครกก็ไม่รู้ว่าจะพอหรือเปล่า ? แล้วเงินส่วนนี้ไม่ใช่เงินงบประมาณของทางราชการ แต่เป็นเงินของพระเอง
เนื่องจากว่าทางสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติเก็บเงินนิตยภัต หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าเงินเดือนพระ ซึ่งจะได้รับเดือนหนึ่งประมาณ ๑,๘๐๐ บาท สำหรับพระสังฆาธิการตั้งแต่เจ้าอาวาสขึ้นไป ก็แปลว่าพระสังฆาธิการหรือบุคลากรในระดับบริหารของคณะสงฆ์ไทยทุกรูป โดนหักนิตยภัตคือเงินเดือนไปอย่างน้อย ๑ เดือน ก่อนหน้านี้หัก ๒ เดือน เพราะว่าหักกองทุนวัดช่วยวัด ๑ เดือน กองทุนช่วยชาวพุทธ ๑ เดือน หักแล้วหายเงียบ ไม่มีการแจ้งผลการดำเนินงานใด ๆ ทั้งสิ้น เพิ่งจะมามีครั้งนี้ที่อนุมัติให้ช่วยเหลือพระ ประมาณ ๒๐,๐๐๐ รูป ก็แปลว่าช่วยได้ประมาณ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ของคณะสงฆ์ไทยเท่านั้น แล้วก็ไม่ทราบว่าเอาหลักเกณฑ์อะไรมาคัด ? ขณะเดียวกัน ข่าวที่ออกมาก็เหมือนกับว่ารัฐบาลอนุมัติงบประมาณมาช่วยเหลือพระภิกษุสามเณร แต่จริง ๆ แล้วก็คือเอาเงินพระมาให้พระ ก็แปลว่าในส่วนใดก็ตามที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับทางรัฐบาลได้เขาทำหมด ส่วนเงินจะเป็นของใครไม่ต้องสนใจ ดังนั้น ในส่วนที่อยากจะบอกกับญาติโยมตรงนี้ก็คือ ญาติโยมก็ได้เห็นแล้วว่าถ้าเราสามารถทำพระคาถาเงินล้านได้ขึ้นจริง ๆ เงินทองมีแต่จะไหลมาเทมา ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คืออาตมาเอง ส่วนเคล็ดลับในการทำพระคาถาเงินล้านนั้น ไปดูในเก็บตกจากบ้านเติมบุญประจำเดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ ที่ "ท่านย่า" บอกว่าต้องวางกำลังใจอย่างไร ๑๐ อย่าง ทำตามนั้นรับรองว่าประสบผลสำเร็จทุกคน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2020 เมื่อ 03:04 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#155
|
||||
|
||||
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้เกินความสามารถที่เราจะทำ เพียงแต่ว่าต้องอดทนพากเพียรพยายามอย่างสม่ำเสมออยู่ประมาณ ๒ เดือนขึ้นไป แล้วผลทั้งหลายก็จะเริ่มเกิดขึ้น และจะมากเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่ท่านได้กระทำ
เมื่อมีทางออกจากความเดือดร้อนที่ชัดเจนขนาดนี้แล้ว ถ้าท่านทั้งหลายยังไม่ทำ มัวแต่รอเงินช่วยเหลือบรรเทาทุกข์จากรัฐบาล อาตมาก็อยากจะใช้คำว่าสมควรตาย..! แม้กระทั่งฝรั่งเขายังบอกว่า “จงช่วยเหลือตัวเองก่อนที่พระเจ้าจะช่วยท่าน” ในเมื่อเป็นดังนั้น ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไม่ยอมช่วยเหลือตนเองเสียก่อนตามพระพุทธพจน์ที่ว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตนแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นคนอื่นช่วยเราเท่าไรถึงจะพอ ? แบบเดียวกับตู้ปันสุข ที่อาตมามาเอาของไปลงอยู่บ่อย ๆ บางคนก็เกรงใจเหลือเกิน หยิบไปแค่ชิ้นสองชิ้น ยกมือไหว้ตู้อีกต่างหาก บางคนมาถึงก็กวาดไปทีเป็นกระสอบเลย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้วัดกำลังใจได้อย่างชัดเจนว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร ? กำลังใจของเราอยู่ในระดับที่ดีเป็นที่พอใจหรือไม่ ? อย่างไร ? ก็สามารถพินิจพิจารณาได้ด้วยตนเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2020 เมื่อ 03:05 |
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#156
|
||||
|
||||
เนื้อหาในการถ่ายทอดสดทั้งของเมื่อวานเย็นและวันนี้ ก็ขอให้เจ้าหน้าที่ซึ่งคอยถอดเก็บตกจากวัดท่าขนุนก็ดี จากบ้านเติมบุญก็ดี นำไปถอดความแล้วลงเก็บตกฯ ให้ญาติโยมได้อ่านกันโดยทั่วถึงด้วย ไม่ใช่งอมืองอเท้ารอแต่พระอาจารย์ค่อย ๆ พิมพ์ให้ทีละหน้าสองหน้า อู้มา ๒ เดือนแล้ว ไปทำงานเสียบ้าง...!
ท้ายสุดนี้ก็ขออำนวยอวยพรให้ญาติโยมทั้งหลาย จงอยู่รอดปลอดภัยในทุกที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ แม้ว่าประสงค์จำนงหมายสิ่งหนึ่งประการใดที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมวินัยแล้วไซร้ ขอให้ความประสงค์ของท่าน จงสำเร็จสัมฤทธิ์ผล สมดังมโนรถปรารถนาทุกประการด้วยเทอญ...ขอเจริญพร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2020 เมื่อ 03:06 |
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#157
|
||||
|
||||
"คนเขาชมกันว่าพระอาจารย์ออกบิณฑบาตทุกวัน ไม่เหมือนกับวัด...ที่ไม่เคยออกบิณฑบาตเลย" แบบนี้ไม่ใช่ชมแล้วยายจ๋า..แบบนี้ฉันเรียกว่านินทา ท่านอาจจะมีธุระการงานมาก นอนดึก..ก็เลยตื่นบิณฑบาตไม่ทัน ฉันเองถ้ามีงานด่วนก็ไม่ได้ออกบิณฑบาตเหมือนกัน...
"คนเขาชมกันว่าวัดท่าขนุนสะอาดมาก ไม่เหมือนกับวัด...มีแต่ขยะเกลื่อนกลาดไปหมด" ยายต้องเข้าใจนะจ๊ะว่า วัดท่าขนุนอยู่ห่างจากชุมชน ทำความสะอาดแล้วก็จบ วัดที่อยู่กลางชุมชน แถมยังมีตลาดนัดด้วย จะให้สะอาดเหมือนกันย่อมเป็นไปไม่ได้... "งานวัดของท่านอาจารย์คนมากเหลือเกิน เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น" แบบนี้เขาเรียกว่าเห็นน้อยประหลาดมากจ้ะยาย จัดงานทีมีคนแค่ ๓ - ๔ พันคน ถ้ายายไปวัดท่าซุงหรือวัดพระธรรมกาย เห็นคนมากขนาดนั้นคงจะเป็นลมไปเลย..! "อ้าว..วันนี้ยายไม่มีเรื่องอะไรคุยหรือจ๊ะ ?" คุณยายทำหน้าเบ้ "วันนี้หกล้มในห้องน้ำ เจ็บเอวมาก ใส่บาตรเสร็จยายจะไปหาหมอแล้วจ้ะ" ขอให้หายไว ๆ นะยาย จะได้มาใส่บาตรอีก... เวลาบิณฑบาตคนแก่ชอบคุยด้วย อาตมาก็เออ ๆ คะ ๆ ไปตามเรื่อง อย่างน้อยก็ทำให้จิตใจของคนแก่เกิดความผูกพัน ถ้าใจของคนเราเกาะพระได้ อย่างน้อยเมื่อตายลงไปก็ยังได้ไปดี...
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2020 เมื่อ 03:07 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#158
|
||||
|
||||
มีเรื่องหนึ่งในระยะนี้ ที่ทั้งองค์สมเด็จพระสังฆราช สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาชุมชน ตลอดจนผู้ว่าราชการจังหวัดต่าง ๆ ออกคำสั่งสนับสนุนให้แต่ละวัดปลูกผักกินเอง ถ้ามีเหลือก็แบ่งปันให้กับชาวบ้าน และชักชวนชาวบ้านให้ร่วมกันปลูกผักกินเองด้วย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากการที่ไม่มีผู้ใส่บาตร เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙
องค์สมเด็จพระสังฆราชถึงกับประทานเมล็ดพันธุ์ผักให้กับวัดต่าง ๆ สื่อมวลชนหลายแขนงต่างก็ลงข่าวชื่นชม แต่ข่าวนี้กลับทำให้อาตมาไม่สบายใจเป็นอย่างมาก... เพราะว่าคำสั่งแรกของพระอุปัชฌายาจารย์ ซึ่งได้รับการถ่ายทอดรูปแบบมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกกับพระใหม่ในทันทีที่บวชเสร็จว่า "ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ นิสฺสายปพฺพชฺชา" แปลเป็นใจความว่า ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิตคือการเที่ยวบิณฑบาต... ซึ่งพระอุปัชฌายาจารย์จำนวนมาก อธิบายเพิ่มเติมว่า ไม่ใช่การทำมาหากินในรูปแบบอื่น ๆ กล่าวไปถึงความบริสุทธิ์ของศีลหลายประการ โดยเฉพาะอาชีวปาริสุทธิศีล ความบริสุทธิ์จากอาชีพการงาน โดยเฉพาะอาชีพของนักบวช..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2020 เมื่อ 03:08 |
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#159
|
||||
|
||||
ส่วนศีลพระข้ออื่น ๆ นั้นยังมี "ห้ามพรากของเขียวที่เกิดอยู่กับที่ให้เคลื่อนหลุดออกจากที่" และ "ห้ามขุดซึ่งแผ่นดิน" เป็นต้น การปลูกผักกินเอง ย่อมไม่ใช่อาชีวปาริสุทธิศีล ย่อมต้องพรากของเขียว ต้องขุดซึ่งแผ่นดิน แปลว่า พระภิกษุสามเณรของเราจะไม่เอาศีลกันแล้วหรือ ?
ส่วนการที่มีผักเหลือแล้วนำไปแบ่งปันให้กับชาวบ้าน ฟังดูแล้วเหมือนกับดีมีเมตตา แต่ว่าจะเป็นการผิดศีลข้อ "ประทุษร้ายตระกูลด้วยการประจบคฤหัสถ์" หรือเปล่า ? การตั้งตู้ปันสุขแล้วนำเอาสิ่งของที่บิณฑบาตได้ ซึ่งเป็นส่วนที่เหลือจากการกินการใช้แล้ว ไปใส่ตู้ไว้เพื่อให้ญาติโยมได้มาแบ่งปันไปกินไปใช้นั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้ ถือว่าเป็น "วิทาสาโท" คือสิ่งของที่เหลือจากการกินการใช้ของพระภิกษุสามเณรแล้ว ไม่เป็นการผิดศีลผิดธรรมแต่อย่างใด เมื่อทำไปแล้วย่อมได้รับการสรรเสริญจากบัณฑิตทั้งปวง...
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2020 เมื่อ 03:09 |
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#160
|
||||
|
||||
พระพุทธศาสนาของเรานั้นมีพระธรรมเป็นแก่น มีพระวินัยเป็นรากแก้ว ถ้าเราจะเอาแต่แก่นโดยไม่มีราก ต้นไม้นั้นย่อมอยู่ไม่ได้ ถึงไม่ตายก็ย่อมโดนแรงอื่นจากภายนอกโค่นล้มลงในเวลาอันไม่นาน แล้วเราจะตัดรากแก้วซึ่งค้ำยันพระพุทธศาสนาคือพระวินัยออกเองเลยหรือ ?
พระภิกษุสงฆ์สามเณรในพระพุทธศาสนาของประเทศไทยนั้นน่าสงสารมาก เพราะว่านอกจากพระธรรมวินัยแล้ว ยังโดนบีบบังคับด้วยคำสั่งต่าง ๆ จากทางราชการและผู้บังคับบัญชาเหนือตน ซึ่งบางคำสั่งก็ออกมาโดยขาดการพินิจพิจารณาให้รอบคอบ หรือว่าทางราชการผู้ออกคำสั่งไม่มีความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตนของพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนาเลย...
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2020 เมื่อ 03:10 |
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|