#141
|
|||
|
|||
แต่น่าแปลกก็คือคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าตัวเล็กมาก ขนาดความสูงไม่เกิน ๑๐ นิ้ว ทั้งหญิงทั้งชาย มีหน้าตาเหมือนเรา มีอาการครบ ๓๒ ทุกประการ มีผิวพรรณสวยงาม ใบหน้าได้สัดส่วน มีรอยยิ้มที่สง่างาม เพียบพร้อมด้วยจรรยากริยาอันสุภาพ
มองพวกเขาแล้วสุขใจ พวกเขามองข้าพเจ้าพร้อมก้มลงกราบ เมื่อเห็นข้าพเจ้าลืมตาขึ้นแล้วพูดว่า “ดีใจที่ท่านได้มา หลวงปู่ให้มาคอยดูแล ให้มาสนทนากับท่าน" ข้าพเจ้าจึงถามว่า “พวกท่านเป็นใครกัน ทำไมตัวถึงเล็กแค่นี้” พวกเขาตอบว่า “พวกเขาเป็นคนธรรพ์อยู่ที่นี่ อยู่ภายในถ้ำข้างใน อยู่รับใช้หลวงปู่” "พรุ่งนี้ขอเชิญท่านเข้าไปชม ให้เดินเข้าไปในถ้ำ ถ้าไม่สังเกตจะไม่เห็น สุดถ้ำนี้ทางซ้ายมือจะมีทางเดินเข้า มันมีแผ่นหินบังอยู่ ให้เข้าไปในซอกของแผ่นหิน เมื่อผ่านเข้าไปท่านต้องจำให้ดี จะมีแผ่นหินบังทางเอาไว้อีกแผ่นหนึ่ง มีทางเดินสองทาง ให้เดินไปทางซ้ายมือ อย่าไปทางขวามือจะตกลงเหวลึก ไปทางซ้ายมือให้เดินไปให้สุดแล้วเดินเข้าไป ให้เดินชิดทางซ้ายไว้ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดอันตรายได้เพราะเป็นทางลาดลงเหว เข้าไปกันได้ทุกคนแต่ให้ทุกคนระวังตามที่บอก อย่าประมาท ข้างในถ้ำจะมืดให้นำลำแสงไปด้วย (หมายถึงไฟฉาย) มีพวกงูอยู่มากแต่ไม่ทำอันตรายท่าน ก่อนเข้าไปให้บอกเสียก่อน ไปนั่งปฏิบัติในถ้ำจะได้ดวงตาเห็นธรรม เลยออกไปทะลุปล่องเป็นแดนทิพย์ ท่านไปชมก็ได้ แต่อย่าให้ใครเอาอะไรออกมา มันเป็นของหวงห้าม เอาไปก็ไม่เกิดประโยชน์ สำหรับตัวท่านหลวงปู่ก็ให้ไว้แล้ว" ผู้เป็นเหมือนหัวหน้าพูด |
สมาชิก 89 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#142
|
|||
|
|||
ข้าพเจ้าจึงถามว่า หลวงปู่อยู่ที่ไหน? เขาบอก หลวงปู่ไม่อยู่ ให้ปฏิบัติไป ให้พวกข้าพเจ้าคอยดูแลท่านและคณะ ขอให้อยู่ดี อย่ากลัว ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ ได้ธรรมก็ช่วยบอกกล่าวให้พวกข้าพเจ้ารับรู้บ้าง
จึงซักต่อไปว่า แล้วพวกท่านอยู่กันอย่างไร? อยู่กันมากไหม? เขาตอบว่า อยู่เป็นทิพย์ อยู่กันมาก อยู่บำเพ็ญศีลกันทุกคน รับใช้หลวงปู่ หลวงปู่ท่านไป ๆ มา ๆ ตลอดเวลา แต่ก็ติดต่อกับท่านทางกระแสจิต ทางมโนจิต ท่านสั่งผ่านกระแสจิตถึงพวกเราได้ทุกขณะ เรื่องของท่านเป็นอย่างไร ต้องการอะไร พวกเรารู้หลวงปู่บอกไว้ จะมีงูตัวหนึ่งที่ท่านเห็นคอยเฝ้าท่านอยู่ อย่ากลัว เขามาคุ้มครอง" จริง ๆ ก็มีงูอยู่ตัวหนึ่งเป็นงูจงอาง คอยติดตามเวลาลงไปขับถ่ายก็จะตามไปด้วย ถ้าสังเกตก็จะเห็น เราเห็นกันทุกคน เราไม่กลัวกันเพราะเขาดูเชื่อง แต่ก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้ ได้สนทนากันหลายเรื่องจนเข้าใจ รู้อะไรมากมาย คณะที่ร่วมทางมองเห็นเป็นแต่งูตัวเล็ก ๆ ที่แท้คือ งูจงอาง แต่จะไม่เขียนอธิบายไว้เพราะเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ต่อไป เพียงแต่จะบอกกับคนทั้งหลายว่า ในโลกใบนี้มีอะไรลึกลับอยู่มากมาย ถ้าหากเราได้เข้าไปศึกษาแล้วจะรู้ว่า การได้ท่องโลกใบนี้จะไม่เสียใจที่ได้เกิด แต่อย่าให้คนอื่นที่เขาได้ไปเที่ยวแล้ว เรารับฟัง แล้วเอาไปพูดต่อ มันไม่ได้อรรถรส ไม่สนุกเหมือนได้ไปท่องเที่ยวเอง พบเองทุกอย่าง ได้ทั้งอารมณ์ ได้รสชาติของชีวิตที่เรียกว่าได้เกินที่คิด หากเรารับฟังที่เขาพูด ถ้าเขาพูดจริงเราได้ครึ่งเดียว หากเขาพูดไม่จริงเราได้แค่ลุ่มหลงเท่านั้น |
สมาชิก 85 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#143
|
|||
|
|||
เข้าสำรวจถ้ำวัวแดง วันรุ่งขึ้นทำกิจตามปกติ พวกที่ร่วมปฏิบัติได้ถามถึงเหตุการณ์ตอนกลางคืน (ผู้ร่วมปฏิบัติทั้งสามคนเป็นลูกศิษย์ทางธรรม) พวกเขาเรียกข้าพเจ้าว่า “พ่อ” ทุกคำ ได้ถามว่า "เมื่อคืนได้คุยกับใคร? รูปร่างเล็กนิดเดียว" จึงได้ตอบพรรคพวกไปว่า “คุยกับคนธรรพ์ พวกเราเห็นหรือ?” คนหนึ่งตอบว่า “เห็น นอนดูกันอยู่ในกลด แต่ฟังไม่ชัดนัก” จึงบอกกับทุกคนว่า “วันนี้จะไปสำรวจถ้ำชั้นใน แต่ทุกคนต้องปฏิบัติตามที่คนตัวเล็กบอกโดยเคร่งครัด หลวงปู่ท่านให้มาดูแลพวกเรา” และได้บอกรายละเอียดทั้งหมดให้ทุกคนเข้าใจ เพื่อไม่ให้เกิดอันตราย ทั้งกำหนดกฎเกณฑ์ข้อตกลงกัน “ให้ทุกคนเดินตามหลังข้าพเจ้า ให้เดินตามกันไป ห้ามเดินเรียงสอง ให้เดินเรียงหนึ่งเท่านั้น เห็นอะไรห้ามหยิบเอาออกมา พบอะไรอย่ากลัวหรือตกใจ ห้ามวิ่งหนี มีอะไรให้เกาะกลุ่มกันไว้ ห้ามพูดในสิ่งที่ไม่เหมาะสม ห้ามส่งเสียงดัง ให้มีสติสงบตลอดเวลา คุยกันแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์ในสารธรรม” เมื่อตกลงทำความเข้าใจในเงื่อนไขแล้ว ได้ทบทวนกันอีกครั้ง เมื่อทุกคนเข้าใจตามข้อตกลงจึงให้ทุกคนเตรียมตัว เตรียมไฟฉาย เทียนไข ไม้ขีดไฟและน้ำ เมื่อพร้อมแล้วจึงเดินเข้าไปสุดถ้ำ เดินไปตามที่คนตัวเล็กบอก เห็นแผ่นหินบังอยู่เดินอ้อมแผ่นหินไป พบแผ่นหินอีกแผ่นหนึ่งเป็นลักษณะแผ่นหินแบน ๆ เหมือนผ้าม่าน เดินอ้อมไปทางซ้าย เดินชิดผนังถ้ำด้านซ้าย ทุกคนเดินตามเข้าไปในถ้ำชั้นใน เป็นถ้ำมืดสนิท มองไปทางขวามือเป็นทางลาดชันลงเหวลึก ส่องไฟลงไปดู สุดแสงไฟฉายยังมองไม่เห็นพื้นด้านล่าง ได้โยนหินลงไปไม่ได้ยินเสียงหินตกถึงพื้น คงลึกมาก คิดว่าด้านล่างอาจเป็นถ้ำใหญ่ก็ได้ เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น ถ้าหากเดินเลี้ยวไปทางขวา เมื่อเดินพ้นแผ่นหินจะตกไปในเหว มันเหมือนหลุมพราง เข้าผิดทางโดยไม่รู้ก็ตกเหวตายเท่านั้น นับว่าพวกเราโชคดีที่คนตัวเล็กได้บอกไว้ก่อน แต่ถ้าไม่บอก พวกเราก็ไม่รู้ว่ามีถ้ำชั้นในอีก เพราะมองไม่รู้เลยว่าจะมีถ้ำอยู่ข้างในอีกชั้นหนึ่ง ทั้งมีหลุมพรางหลอกเอาไว้อีก คิดว่าน่าจะมีอะไรสำคัญอยู่ในนั้น เดินเข้าไปพื้นถ้ำนุ่มมาก ส่องไฟดูเป็นมูลค้างคาวทั้งนั้น แต่ไม่มีกลิ่นเลย ส่องไฟสำรวจไปรอบ ๆ เป็นถ้ำใหญ่มาก *สวยงามเหมือนเทพเนรมิตที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์เอาไว้* แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-10-2010 เมื่อ 15:22 |
สมาชิก 86 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#144
|
|||
|
|||
เดินไปเหมือนเดินอยู่บนพรม เป็นทางเดินยาวลึกเข้าไปข้างใน *แบ่งเป็นห้อง ๆ แต่ละห้องมีความสวยวิจิตรพิสดารแตกต่างกันไป มีรูปแบบต่าง ๆ แปลก ๆ ทั้งผนังด้านข้าง ด้านบน มีลวดลายเหมือนภาพเขียนจิตรกรรม*
เดินเข้าไปเรื่อย ๆ นานพอสมควร มองไปข้างหน้าเห็นลำแสงมีแสงสว่างจึงเดินเข้าไป มองขึ้นไปด้านบนสูงพอสมควร ข้างบนมีต้นไม้ใหญ่พวกเราปีนขึ้นไป ข้างบนเป็นลานกว้าง ล้อมรอบด้วยผนังหิน บนนั้นพวกเราเหมือนอยู่ในปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่ มีต้นไม้พันธุ์ไม้หลากหลาย ทั้งต้นใหญ่ ต้นเล็กและต้นที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อากาศสดชื่นเย็นสบาย เมื่อเดินสำรวจดูกันจนทั่วแล้วจึงกลับลงมาในถ้ำ เดินกลับไป *เลี้ยวไปทางซ้ายมือมีทางเดินลึกเข้าไปอีกหาที่เหมาะสมแล้ว จึงร่วมกันสวดมนต์ เจริญกรรมฐานอยู่เป็นเวลานานพอสมควร ขณะที่ข้าพเจ้านั่งสมาธิอยู่นั้น บางคนก็ออกจากสมาธิแล้ว ก็นั่งเล่นกันอยู่ ได้ยินเสียงคนหนึ่งพูดขึ้นและชี้ให้เพื่อนดู บอกว่า มีเรือหงส์มา !!!* ทุกคนมองตาม ข้าพเจ้าลืมตาขึ้น ภาพที่เห็นช่างน่ากลัวจริง ๆ เป็นงูตัวใหญ่ลำตัวประมาณว่าเท่าต้นมะพร้าว ดวงตาสีแดงก่ำ กำลังเลื้อยมา ข้าพเจ้าจึงบอกทุกคนว่า ลุกขึ้น เก็บที่นั่งแล้วให้รีบเดินทางออกจากถ้ำ ออกมาจากถ้ำเวลาประมาณบ่ายสามโมงพอดี ก็จัดเตรียมอาหารเย็น ทุกคนก็มาวิจารณ์สิ่งที่เห็นเป็นเรือหงส์ว่าเป็นอะไร? จึงได้บอกพวกเขาว่า เป็นงูตัวใหญ่กำลังเลื้อยมาตามทางที่เรานั่งอยู่ เกรงว่าพวกเราจะกลัว ทำให้งูตัวนั้นตกใจ จะเกิดอันตรายได้จึงให้รีบออกจากถ้ำ |
สมาชิก 88 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#145
|
|||
|
|||
ผจญวิญญาณมาทดสอบ พลบค่ำพวกเรานั่งคุยกันอยู่บนลานหินตามปกติ (หลังอาหารค่ำ) ขณะที่นั่งกันอยู่นั้น มีดวงวิญญาณได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเรา เป็นผู้ชายรูปร่างใหญ่มากนุ่งผ้าปั้นเตี่ยวสีแดง ในมือถือกระบองอันใหญ่ ดวงตาแดงก่ำแสดงกิริยากราดเกรี้ยวใส่พวกเรา ทุกคนรีบถอยไปนั่งข้างหลังข้าพเจ้า ลมพัดแรงเหมือนพายุทำให้ใบไม้ฝุ่นละอองปลิวว่อนไปหมด ได้บอกให้ทุกคนอย่าตกใจ คุมสติไว้ให้ภาวนา “พุทโธ” เอาไว้ในจิต ข้าพเจ้ากำหนดจิตขอพระพุทธานุภาพ พระธรรมานุภาพ พระสังฆานุภาพ หลวงปู่ ตลอดจนครูบาอาจารย์ช่วยคุ้มครอง อย่าให้เกิดอันตรายใด ๆ จากดวงวิญญาณดวงนี้ *แล้วกำหนดจิตให้สงบในมือถือไม้เท้าของหลวงพ่อริม รัตนมุนี* ที่ท่านใช้ในการออกธุดงค์ที่ได้มอบให้ เมื่อลมพายุสงบลง นั่งดูกิริยาของวิญญาณที่กำลังแสดงอาการ โกรธ ดุร้าย ขุ่นแค้น ใช้มือชี้หน้าพวกเรา แล้วถามว่า *“ขึ้นมาทำไม? สถานที่แห่งนี้ไม่อนุญาตให้ใครขึ้นมารบกวน ไม่มีใครกล้าขึ้นมา พวกเจ้าบังอาจไม่เกรงกลัว ถือดีอย่างไรรุกล้ำที่หวงห้ามเป็นที่อยู่ของข้าพเจ้ากับพรรคพวก อย่าถือว่ามีดี มีวิชาแล้วจะมาก้ำเกินสถานที่นี้ ให้รีบลงไปเดี๋ยวนี้ไม่เช่นนั้นจะเอาชีวิตให้ถึงตาย ถ้ารีบเก็บข้าวของลงไปจะไม่ทำอะไร ไม่เช่นนั้นจะตีให้ตาย" พวกเราจะได้ยินกันทุกคนหรือไม่ อย่างไร? ไม่ทราบ!!!* แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-10-2010 เมื่อ 12:04 |
สมาชิก 88 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#146
|
|||
|
|||
ข้าพเจ้าเฉยอยู่ เขาจึงพูดต่อ "จะไปหรือไม่ไป ถ้าไม่ไปจะได้เห็นดีกัน" ข้าพเจ้าหันไปดูพรรคพวกเห็นนั่งเฉยกันอยู่ ไม่มีอาการตกใจกลัว ใจค่อยชื้นขึ้นมา มองดูกิริยาอาการของวิญญาณต่ออย่างใจเย็น
เมื่อพวกเราไม่ตอบแถมยังไม่แสดงอาการกลัว ทำให้เขาโกรธมากขึ้น เขาตวาดพวกเราด้วยเสียงดังพร้อมกระทืบเท้าอันใหญ่ลงบนพื้น "ถามก็ไม่พูด นั่งเฉยเหมือนท่อนไม้" พูดไปพร้อมยกกระบองทำท่าจะตีพวกเรา แต่ก็แสดงท่าทางให้พวกเรากลัวเท่านั้น ข้าพเจ้าจึงพูดกับวิญญาณตนนั้น "สงบอารมณ์ได้แล้วหรือยัง? จะได้คุยด้วย กำลังโกรธอยู่คุยไปก็ไม่รู้เรื่อง เพราะในใจของท่านมีแต่ดุร้าย จะใช้อำนาจบาตรใหญ่ทำลายพวกเราตลอดเวลา พูดไปก็แค่นั้น จะทำอะไรก็ทำมา เราไม่สู้อยู่แล้ว ไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้กับท่าน ตัวก็ใหญ่ใจก็หยาบ จะพูดด้วยทำไม? มาถึงก็จะเอาให้ตายเสียแล้ว พูดไปก็ต้องตายกันหมดด้วยไม้กระบองอันใหญ่ของท่าน ที่มานี่ก็เตรียมกายเตรียมใจไว้แล้ว ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ท่านไม่ฆ่าพวกเราก็ต้องตายอยู่ดี หนีไม่พ้น ท่านฆ่าเราวันนี้ก็ตายเร็วหน่อย มันจะต้องกลัวอะไร? มันไม่ต่างกัน ตายก็คือตาย ลดจริตความโกรธลงมาเสียก่อน แล้วค่อยฆ่าก็ได้ ไม่ได้หนีไปไหน เหาะก็ไม่ได้ บินก็ไม่ได้เพราะไม่มีปีก หายตัวก็ทำไม่เป็น วิชาอาคมก็ไม่มี จะสู้อะไรกับผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่านได้ มีทั้งความเก่ง มีทั้งวิชาอาคม ตัวก็โต กระบองก็ใหญ่" |
สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#147
|
|||
|
|||
ตัวของข้าพเจ้าเล็กนิดเดียวไม่พอมือท่านหรอก ที่ไม่กลัวเพราะถึงกลัวไปก็ไม่มีทางรอดจากน้ำมือของท่าน จึงได้ข่มความกลัวมาเป็นความกล้า กล้าผจญกับความจริง ท่านสิไม่กล้า เพราะเอาความโกรธ ความดุร้าย มาปิดบังความขลาดเอาไว้
พวกเรามีในสิ่งที่ท่านไม่มีคือความสงบ ความสะอาด ความเมตตา กรุณาต่อสัตว์โลก ไม่โกรธ ไม่ข่มขู่ผู้อื่น มีแต่ความสงบให้อภัยเป็นอภัยทาน มีหลักธรรมของพระพุทธองค์สถิตอยู่ในใจตลอดเวลา พวกเราเป็นศิษย์ของพระตถาคต มีพระองค์ท่านสถิตแนบอยู่กับใจ จึงไม่กลัวท่าน กลัวแต่พระพุทธองค์จะทรงตำหนิพวกเราว่า หายใจเข้าไม่มี พุธ หายใจออกไม่มี โธ พระพุทโธไม่อยู่ในจิต จิตจึงหยาบกระด้าง พวกเรามาแสวงหาโมกขธรรมตามรอยพระองค์ท่าน ไม่ได้มาแสวงหาความโกรธ เรามาเพื่อระงับความโกรธ ระงับความดุร้ายเยี่ยงเดรัจฉาน ให้พ้นไปจากจิตที่ต่ำทราม มาพัฒนาจิตด้วยการเจริญภาวนา อบรมตัวเองไม่ต้องให้ใครมาอบรมพวกเรา จึงมาเรียนรู้ความทุกข์ยากลำบาก มาบำเพ็ญความเพียรและบารมีธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่ตนเองและผู้อื่น ท่านจะทำอะไรก็เชิญ พวกเราอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน พวกเราไม่ว่า ไม่โกรธท่านและให้อภัยท่าน เรามาบุกรุกที่อันหวงห้ามของท่านเอง เราสำนึกผิดอยู่จึงสมควรถูกท่านลงโทษ ท่านเป็นใหญ่ที่นี่พวกเราเข้าใจท่านดี ถ้าพวกเราจะต้องตายด้วยไม้กระบองอันใหญ่ของท่าน แล้วท่านจะมีความสุข มีความยิ่งใหญ่ ท่านจะได้มีอำนาจเพิ่มขึ้น ท่านจะได้รับการเคารพนบนอบจากบริวารของท่านมากขึ้น พวกเราพร้อมจะสละชีวิตเพื่อความยิ่งใหญ่ของท่าน เชิญเถิดพวกเราพร้อมแล้ว เมื่อจบคำพูดของข้าพเจ้า วิญญาณตนนั้นคลายความโกรธลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาอ่อนลง กระบองลดลง *ตัวที่เคยสูงใหญ่มีขนาดเล็กลงเท่ากับพวกเรา* ทรุดลงนั่งคุกเข่าพนมมือก้มกราบ ๓ ครั้ง แล้วกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ จริงอย่างที่ท่านกล่าวทุกประการ ข้าพเจ้าไม่มีในสิ่งที่พวกท่านมี ธรรมที่ท่านกล่าวจะจดจำเอาไว้ ขอท่านทุกคนจงอยู่ปฏิบัติที่นี่ตามความพอใจ ข้าพเจ้าต้องขออภัยด้วย เอาแต่ความโกรธมาอยู่ในจิต เป็นมิตรกับสิ่งไม่ดีไม่งาม จิตถึงได้หยาบ ดุร้ายมาตลอด ข้าพเจ้าอยู่ในถ้ำด้านล่างที่ท่านผ่านขึ้นมา ถูกกักขังอยู่กับบริวาร ข้าพเจ้าต้องคอยตรวจตราคนที่มาแสวงหาทรัพย์ด้วยความโลภ พวกที่มาตัดเหล็กไหล พวกที่ไม่รู้ถูกรู้ผิด คิดแต่จะเอา คิดว่าพวกท่านก็คงจะเหมือนกันจึงคิดจะทำร้าย ต้องขอขมาท่านด้วย" เขากราบ ๓ ครั้ง แล้วก็หายไป |
สมาชิก 87 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#148
|
|||
|
|||
เดินหลงป่า เกือบเอาชีวิตไม่รอด เหมือนปัจฉิมโอวาทของพระพุทธองค์ ได้ตรัสสอนพระภิกษุก่อนเสด็จปรินิพพานว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลใดได้ถึงซึ่งความประมาทแล้ว บุคคลนั้นได้ชื่อว่าตายแล้ว พวกเธอจงอยู่ให้ถึงซึ่งความไม่ประมาทเถิด” เป็นสัจจะอันเที่ยงแท้ จากคืนนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเราปฏิบัติกันอย่างสงบ จิตใจปลอดโปร่งสบาย คืนวันที่ห้า คนตัวเล็กได้มาหาแล้วกล่าว “สาธุ ขอสรรเสริญที่ปราบมิจฉาทิฏฐิดวงวิญญาณตนนั้น ให้ลดความดุร้ายลงและไม่ได้ทำร้ายพวกท่าน” คนตัวเล็กบอกว่า “เขากลัวแต่หลวงปู่ หลวงปู่บอกเขายังมีวิบากอยู่ จะโปรดให้พ้นทุกข์ก็ยังไม่พ้น เขาจะเฝ้าทรัพย์อยู่ในบริเวณเขาลูกนี้ จะไม่ค่อยขึ้นมาบนนี้ ยกเว้นคนจะมาเอาทรัพย์คือ เหล็กไหล เขาหวงมาก เขามีฤทธิ์มากถ้าเกิดสู้กัน ท่านคงแย่แน่ ดีที่ใช้หลักธรรมโปรด แต่คงไม่เป็นไร หลวงปู่เฝ้าดูอยู่ พรุ่งนี้จะกลับกันแล้ว ก็ขออวยพรให้ท่านประสบสุข” พูดเสร็จคนตัวเล็กก็ลากลับไป รุ่งขึ้นเตรียมตัวกลับ ให้ทิ้งข้าวของเครื่องครัวเก็บซ่อนไว้ที่นี่ อาจต้องขึ้นมาอีกจะได้ไม่ต้องแบกหามให้หนัก เอาแต่ของใช้ส่วนตัวกลับ กินอาหารเช้าเสร็จยังมีน้ำต้มเหลือพอที่จะกินกันตอนเดินทางกลับ เมื่อกล่าวลาคนตัวเล็ก เจ้าถ้ำ เทวดาที่ปกปักรักษาถ้ำแล้ว จึงพากันเดินลงจากถ้ำ เดินทางย้อนกลับมาจนถึงทางแยก จำกันไม่ได้ว่าต้องไปซ้ายหรือไปขวา มีคนหนึ่งบอกว่า จำได้ว่าไปทางขวาให้เชื่อเขา หากผิดให้ตีเขาให้ตาย พูดเสร็จเขาออกวิ่งไปข้างหน้าพวกเราจึงต้องเดินตาม แต่เดินไปมันไกลไปเรื่อย ๆ ไม่มีวี่แววจะพบทางลงไปยังถ้ำประทุน แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2010 เมื่อ 16:21 |
สมาชิก 81 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#149
|
|||
|
|||
*เดินขึ้นเขาลงเขาไปไกลก็ยังไม่พบทาง มันมืดแปดด้าน เดินไปร่วมสามชั่วโมงก็ยังไม่พบทาง นึกเอะใจ !!! จึงปรึกษากันว่าผิดทางแน่แล้ว น้ำก็จะหมด แข้งขาอ่อนกำลัง มีน้ำอยู่น้อยนิดต้องกินกันสี่คน การเดินทางย้อนกลับต้องขึ้นและลงเขาทางก็สูงชัน เข่าก็เจ็บ เท้าก็เจ็บ แข็งใจเดินกัน ในที่สุดน้ำหยดสุดท้ายก็หมด ไม่มีน้ำ !! เดินก็เหนื่อยเหงื่อก็ออกมาก น้ำในร่างกายเริ่มน้อย เลือดเริ่มข้น เพราะน้ำในเลือดถูกนำมาใช้เป็นเหงื่อในการควบคุมอุณหภูมิร่างกาย กล้ามเนื้อเริ่มเกร็งหมดแรงจะเดิน
ข้าพเจ้าเดินไม่ไหวอีกแล้ว จะเป็นลม กล้ามเนื้อกระตุกตลอดเวลา จะหาน้ำก็ไม่มี ตัดต้นกล้วยป่าก็ไม่มีน้ำ ซ้ำร้ายขมเหมือนยาดำ ตัดเถาวัลย์ตามที่เคยรู้มา ตัดแล้วตัดอีกก็ไม่มีน้ำ เราไม่ชำนาญจึงไม่รู้จัก สุดท้ายข้าพเจ้านั่งลงหันหลังพิงต้นไม้ บอกพรรคพวกทั้งสามคนว่าไม่ไหวแล้ว จะอยู่ตรงนี้ ขืนเดินอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง ตายแน่ ใครพอมีกำลังก็ลองสำรวจดู พบแล้วมารับด้วย แต่ทุกคนก็ไม่ไหวเช่นกัน เลยนั่งรวมอยู่ด้วยกัน ทั้งสามคนเริ่มคุมอารมณ์ไม่อยู่โทษคนที่บอกว่าจำทางได้ ข้าพเจ้าจึงบอกว่าอย่าโทษกัน เรามีกรรมร่วมวาระ หากจะตายก็ต้องตายด้วยกันเพราะต่างคนต่างไม่เจตนา ตอนนี้ไปไหนก็ไม่ถูก ไปถูกก็ไปไม่ไหว จริงอย่างที่เขาว่าหลงป่าตายได้ แต่ก่อนก็ไม่เชื่อ มองไม่ออก ไม่รู้ทิศทางไป ประสบกับตัวเองแล้วจึงรู้ว่าเข้าป่าไม่รู้จักป่า อย่าเข้าไป จิตตอนนั้นไม่อยากพูดใด ๆ ทั้งนั้น อยากหลับตา อยากได้น้ำ อยากได้อาหาร แต่มันไม่มีอะไรเลย ดูทุกคนเริ่มกลัว เริ่มกังวลใจ แม้แต่ตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? จึงใช้ศีรษะพิงต้นไม้ที่นั่งอยู่เหยียดขาออก ในจิตไม่นึกถึงอะไร? นอกจากคิดถึงแม่ ร้องเรียกแม่ให้ช่วย* แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 01-11-2010 เมื่อ 09:09 |
สมาชิก 81 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#150
|
|||
|
|||
อยู่สักพักพอจะหายเหนื่อย พระแม่อทิตเทพมาดรก็ปรากฏกายขึ้น!!! ท่านยิ้มให้ด้วยความเมตตา ท่านเอามืออันเรียวสวยขาวนวลมีกลิ่นหอมเหมือนน้ำมันหอมมาลูบศีรษะของข้าพเจ้า ท่านบอกว่า "ดีแล้ว อย่าเสียกำลังใจ มีสติตั้งมั่นไว้" ขณะที่มือของท่านลูบศีรษะนั้นช่างแปลกประหลาด!!! อาการอ่อนเพลีย หิวโหยหายไปเกือบสิ้น มีพละกำลังกลับมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ท่านจึงสอนธรรม "ชีวิตนั้นมีจริง ดับสูญจริงเมื่อถึงเวลา หากไม่ถึงเวลาก็จะไม่ดับสูญ สิ่งที่พบคือธรรมโดยธรรมชาติ ให้เราเห็น ให้เรารู้จริงด้วยตนเอง พระอรหันต์ท่านผจญมากกว่านี้กว่าจะสำเร็จ ท่านต้องเรียนรู้แก่นแท้ของธรรม บางรูปปฏิบัติไม่ทันจะมีดวงตามองเห็นธรรมก็หลงป่าออกไม่ได้เช่นนี้ แล้วมรณภาพไปเสียก่อนก็มีมากมาย จึงอย่าประมาทในทุกสิ่งทุกอย่าง ในทุกสถานการณ์ ทุกเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก ต้องมีสติพร้อมอยู่เสมอ มีความระลึกได้ รู้สึกตลอดเวลา มีปัญหาก็ไม่ต้องตกใจ ปัญหานั่นแหละที่สร้างคนเก่ง ๆ ทั้งหลายมาเป็นผู้นำทางโลกและทางธรรมเมื่อสามารถเอาชนะธรรมชาติได้ ฉะนั้นธรรมชาตินั่นแหละคือตัวปัญญา ธรรมชาตินั่นแหละคือชีวิต ชีวิตนั่นแหละคือธรรมชาติคือจิตของเรานั่นเอง พระพุทธองค์ก็เอาชนะปัญหาภายในจิต ปราบจิตให้สงบได้ กำกับให้สะอาดบริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา สลัดตัดกิเลสตัณหา ตัดกามได้สำเร็จถึงบรรลุธรรมอันวิเศษเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นครูของสัตว์โลกทั้งมวล ทางโลกก็เช่นกัน" |
สมาชิก 85 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#151
|
|||
|
|||
ข้าพเจ้าจึงถามท่านว่า แล้วจะออกจากป่านี้ได้อย่างไร? ท่านบอก "ไม่ต้องกลัวหรอก เหตุการณ์นี้ถูกกำหนดขึ้นโดยหลวงปู่ ท่านต้องการจะสอน ต้องการจะให้รับบทเรียนโดยตรง ให้เข้าใจจิตเมื่อพบวิกฤตจิตมันจะเปลี่ยนแปลง จะได้รู้เข้าใจจริง ๆ จะบอกกล่าวอย่างไรก็ไม่เข้าใจเหมือนได้พบเหตุการณ์ด้วยตนเอง พบชีวิตจริงจึงจะเข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงของจิต จะได้รู้ว่าทุกอย่างเราต้องทำเอง เราจึงจะเข้าใจ เราต้องปฏิบัติเองจึงจะเข้าใจหลักธรรม"
ไม่ใช่ให้คนอื่นปฏิบัติ แล้วจะให้เราเข้าใจอะไรด้วยคำบอกเล่าของผู้อื่น เราไม่อาจรู้จริง เราต้องพบเอง ประสบเองเท่านั้น จะได้ไม่ต้องอธิบายให้ยุ่งยากเสียเวลา ให้ย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาจิตมันเป็นอย่างไร? มีอารมณ์อะไรเกิดขึ้นมาบ้าง แล้วจำไว้เพื่อจะได้รู้วิธีระงับยับยั้งให้ได้ในที่สุด สามารถบังคับจิต รู้เข้าใจในการเข้าออกของอารมณ์ เมื่อรู้การเข้าออกก็รู้ระงับ รู้หยุด รู้พิจารณา รู้เอาออก รู้เอาเข้า รู้วิธีการจะเอาอารมณ์ที่ไม่ต้องการออกจากจิต รู้วิธีสถิตสิ่งที่ต้องการไว้ในจิต จากนั้นท่านก็เขียนเส้นทางเดินทางกลับ ให้ดูในอากาศเป็นเส้นสีขาว ๆ เหมือนเราเขียนแผนที่ในการเดินทางไปสถานที่ต่าง ๆ ท่านบอกว่า ให้เดินทางย้อนกลับไปอีกไม่ไกล ประมาณสองกิโลเมตรจะมองเห็นต้นกระท้อนป่า ให้เลี้ยวขวาไปที่ต้นกระท้อนก็จะพบทางลงไปถึงลำธาร เมื่อถึงต้นกระท้อนให้เอาผลของมันกินเสีย มันตกอยู่มากมายใต้ต้น" แล้วท่านก็กลับ ข้าพเจ้าจึงถามทุกคนว่าหายเหนื่อยหรือยัง จะเดินกันต่อไหวไหม? ต้องอดทนนะ ถ้าเดินไหว เดินจากนี้ไปสองกิโลเมตรก็จะพบทางลงไปข้างล่างตามทางที่เราขึ้นมา พวกเขาถามว่า รู้ได้อย่างไร!!! จึงบอกให้ทุกคนตัดสินใจ ใครจะอยู่ตรงนี้ ใครจะตามไป หรือใครจะหาทางกลับเอง แล้วพบกันที่ถ้ำประทุนก็แล้วกัน ตกลงตามนี้นะ!!! ข้าพเจ้าลุกขึ้นยืนแล้วออกเดินทางทันที ทุกคนหัวเราะ แล้วเดินตามทั้งสามคน ทุกคนเดินด้วยความอ่อนเพลียจนถึงต้นกระท้อน จึงบอก ให้ทุกคนเก็บลูกกระท้อนที่ตกอยู่ที่พื้นกิน ข้าพเจ้าเก็บมากินหนึ่งลูก พอกัดเข้าปากเท่านั้น อาการหิวหายไปหมดสิ้น !!! ทุกคนก็เป็นเช่นนั้น ต่างประหลาดใจทั่วกัน !!! จึงถามพวกเขาว่าจำได้ไหม ตอนขึ้นมาเราพบต้นกระท้อนนี้ ทางลงก็ต้องตรงที่เห็นอยู่นี่ ขอให้ทุกคนลงตามช่องนี้ ก็จะถึงลำธารน้ำที่เราเดินมา เป็นไปตามที่เสด็จแม่อทิติเขียนเส้นทางบอกให้ทุกประการ กลับลงไปถึงวัดถ้ำประทุนเวลาตอนประมาณบ่ายสามโมง |
สมาชิก 86 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#152
|
|||
|
|||
พบพญานาค เมื่อถึงวัดถ้ำประทุนทุกคนต่างรีบทำกิจส่วนตัว ต่างคนต่างไป บ้างไปหาอาหารในห้องครัว บ้างไปห้องน้ำเตรียมอาบน้ำ แปรงฟัน ส่วนข้าพเจ้าเข้าวัดถ้ำประทุนหลังสุด เหมือนอะไรดลใจหรือมีแม่เหล็กดึงดูด ทำให้ข้าพเจ้าเลี้ยวซ้ายไปยังถ้ำน้ำ จิตมันอยากลงไปดูอีกครั้ง จึงลงไปถ้ำน้ำโดยไม่ชวนใครไปด้วย ลงไปคนเดียวพอถึงพื้น ข้าพเจ้าก็เดินไปที่ชายน้ำ ขณะที่นั่งจะวักน้ำใสสะอาดมาล้างหน้าอยู่นั้น ไม่เคยคิดว่าจะมีอะไร? แต่บังเกิดน้ำพุ่งมาเป็นฟองกระจาย!!! มีงูใหญ่ตัวหนึ่งกำลังโผล่ขึ้นพ้นน้ำ ข้าพเจ้าตกใจถอยไปจนชนผนังถ้ำ เมื่อหายตกใจก็มองดูงูตัวนั้น ลำตัวใหญ่กว่าคนเล็กน้อย ส่องไฟไปกระทบลำตัวส่วนที่พ้นน้ำนั้น ลำตัวเป็นเกล็ดสีเขียวหัวเป็ด กระทบไฟฉายส่องประกายเหมือนประดับด้วยพลอย ตาสีแดง มีดวงตาโตเม็ดกลมเหมือนทับทิม บนหัวมีหงอน ข้าพเจ้ามองดูด้วยความพรั่นพรึง มีกลิ่นคาวคล้ายปลา หัวส่ายไปมา ลมหายใจดังฟู่ ๆ ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้แสดงความดุร้ายอะไร ไม่นานนักก็จมลงไปในน้ำ ข้าพเจ้าจึงกลับ จะเห็นได้ว่าบนโลกใบนี้ มีอะไรที่ท้าทายต่อการเข้าไปรู้อีกมากมาย มีความเร้นลับ มีความซ่อนเร้นปิดบัง ก่อนหน้านั้นเรื่องของพญานาคเข้าใจกันว่า เป็นจินตนาการของพวกจิตรกรหรือเป็นนิยายเท่านั้น มาพบด้วยตัวเองทำให้ความคิดเปลี่ยนทันที อาจมีผู้สงสัยว่าทำไมไม่ชวนใครคนหนึ่งลงไปด้วย เพื่อจะได้มีบุคคลอื่นพบเห็นด้วย ตอนนั้นไม่มีใคร ทุกคนต่างแยกย้ายทำภาระของตัวเอง ไม่มีใครสนใจใคร เมื่อกลับมาทุกคนกำลังตามหาอยู่เหมือนกัน ทุกคนถามว่าไปไหนมา ตอบเพียงว่าไปถ้ำน้ำ แล้วบอกให้รีบกลับลงไปตีนเขาเพราะมีพวกมารอรับอยู่ ผิดเวลานัดไปมากจากการเดินหลงป่า ทุกคนขอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็บอกพรรคพวกว่าไม่ต้องอาบ ลงข้างล่างก็จะได้อาบ เดี๋ยวฝนจะตกมาให้อาบ ในจิตมันรู้อย่างนี้ เมื่อลงถึงตีนเขาฝนตกลงมาได้อาบจริง ๆ อย่างที่พูดไว้ เหมือนเทวดาท่านอนุโมทนา อวยพรให้พวกเราที่ได้ขึ้นไปปฏิบัติธรรมลงมา แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-11-2010 เมื่อ 18:26 |
สมาชิก 87 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#153
|
|||
|
|||
พระกายสิทธิ์สำแดงอานุภาพ บังเกิดดวงทิพย์
พระกายสิทธิ์สำแดงอานุภาพ บังเกิดดวงทิพย์ *จากนั้นมาก็ได้ขึ้นไปบำเพ็ญบารมีที่ถ้ำวัวแดงอีกสี่ครั้ง ทุกครั้งจะมีผู้ร่วมเดินทางประมาณ ๑๐ - ๒๐ คน ในครั้งที่สองได้นำกล้องถ่ายรูปขึ้นไปด้วย ไปถ่ายตามผนังถ้ำ ตามหินย้อย หินที่ปากถ้ำชั้นในก็ถ่ายรูปเก็บเป็นอนุสรณ์กัน เมื่อล้างออกมาแล้ว จึงได้เห็นภาพอัศจรรย์เกือบทุกภาพ หินหน้าปากถ้ำ ล้างมาแล้วเป็นภาพวัวกระทิงเป็นที่ยืนยันว่า นี่คือถ้ำวัวแดง !!! ไม่ใช่ถ้ำอื่น ตามผนังถ้ำรูปที่ถ่ายออกมาก็เป็นภาพพระโพธิสัตว์กวนอิมยืนบนมังกร!!! ภาพพระพุทธรูป !!! ภาพพระฤๅษีบำเพ็ญ!!! ได้เข้าไปถ่ายในถ้ำชั้นในพระกายสิทธิ์แสดงอานุภาพ ภาพที่ถ่ายบังเกิดมีดวงทิพย์ติดเป็นดวงกลม ๆ อยู่ในภาพ มีแสงสว่างเหมือนโคมไฟกลม ๆ ติดอยู่กับเพดานบ้านอย่างไรก็อย่างนั้น!!! มีนับสิบ ๆ ดวง แม้แต่ภาพของข้าพเจ้าที่ไปนั่งบนหิน แล้วให้ลูกศิษย์ถ่ายก็มีดวงทิพย์พระกายสิทธิ์ติดอยู่ที่หน้าผาก ทั้งมีอยู่รอบ ๆ กาย หินที่นั่งอยู่ก็เป็นภาพเสือโคร่งนอนหมอบอยู่ !!! คำว่าพระกายสิทธิ์หรือกายทิพย์ เป็นดวงจิตของผู้เจริญภาวนาปฏิบัติกรรมฐานที่มีฤทธิ์แปลงรูปได้เมื่อเจริญฌานได้ถึงฌานสี่ ที่เรียกว่าได้รูปฌานสี่ ก็จะบังเกิดรูปทิพย์ กายละเอียดสามารถออกจากร่างไปท่องเที่ยว ไปรู้ไปเห็น เมื่อกลับเข้ากายก็จะรู้ว่าไปไหนมา? ได้ไปพบใคร? เขาทำอะไรอยู่? ได้พูดกันเรื่องอะไร?* แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-11-2010 เมื่อ 14:39 |
สมาชิก 85 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#154
|
|||
|
|||
นี่สำหรับผู้มีฌานด้วยกัน ทรงฌานระดับเดียวกันที่เรียกว่าติดต่อกันทางจิต แต่จริง ๆ แล้วเขาถอดกายทิพย์ไปสนทนากัน ไปบอกกัน แต่สำหรับผู้ไม่มีองค์ฌานกับผู้มีองค์ฌานไม่สามารถสื่อกันได้ อาจเรียกอำนาจนั้นว่าอำนาจจิตก็ได้ จิตอย่างนี้มีพลังอำนาจจะกระทำอิทธิฤทธิ์ สำแดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ นานา ดังในพุทธประวัติพระพุทธองค์ พระอรหันต์ได้เคยแสดงปราบพยศของบุคคลไว้หลายครั้ง ขอท่านที่สงสัยได้ศึกษาหาอ่านเอง แล้วลองเร่งปฏิบัติ ไปพบครูอาจารย์ เพื่อขอคำแนะนำเมื่อเกิดปัญหาไม่เข้าใจอารมณ์ต่าง ๆ ในขณะปฏิบัติอยู่ ใครทำคนนั้นได้ รู้ได้ เห็นได้ หากปฏิบัติไม่หยุดกลางคัน ต้องเดินทางไปให้ถึงจุดหมายปลายทางจึงจะรู้ในองค์อภิญญานั้น จิตจะถูกพัฒนาให้ละเอียดบริสุทธิ์ จนสามารถขจัดซึ่งสิ่งกีดขวาง ที่ทำให้คุณภาพของจิตที่เสื่อมออกไป ก็จะปรากฏเป็นรูปกายละเอียดออกท่องเที่ยวไปได้ทั่ว ปกติทำได้ยาก แต่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ !!! ทำได้ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทั้งพระภิกษุ ฆราวาสก็สามารถทำได้ ไม่มีข้อห้าม อย่างพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ได้เคยแสดงพลังอำนาจจิตให้ปรากฏมาแล้วในอดีต ในปัจจุบันก็ยังมีผู้ได้แสดงอำนาจจิตให้เห็นอยู่ แสดงว่าอดีตกับปัจจุบันไม่ต่างกันในเรื่องอภิญญาพลังจิต หากท่านผู้รู้บางท่านอาจคัดค้าน ข้าพเจ้าไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น ได้เขียนตามที่รู้เห็นประสบมาเท่านั้น อาจไปไม่ถึงจุดของความเป็นจริง ตามที่ท่านผู้รู้ท่านใดที่ได้มีความรู้ ความเข้าใจกระทำศักยภาพทางจิตได้พิสดารลึกกว่าที่ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้ายอมรับว่ายังมีความรู้น้อย หรือท่านใดได้อ่านแล้วบอกว่าเกินความเป็นจริงก็จะไม่ตอบโต้ถกเถียงอีกเช่นกัน เพราะอาจเดินทางรู้ใกล้ไกลต่างกัน ไม่ถูก ไม่ผิด แต่ขอให้ท่านผู้รู้ทั้งหลายได้ช่วยกัน ค้นหาทำการเรียนรู้ แล้วมาช่วยกันแก้ไข มาชี้แนะกัน มาบอกกล่าวกัน อย่ามัวมาตำหนิกัน เมื่อท่านได้ค้นพบความจริงที่สูงกว่าด้วยตัวของท่านเอง อย่าใช้ความคิดเห็นส่วนตัวที่ไม่ผ่านกระบวนการทดลอง แต่เรียนรู้จากตำราที่เราได้รู้กันทั่ว ๆ ไปว่ามาแล้ว แล้วมานั่งเทียนพูด ข้าพเจ้าขอน้อมรับฟังท่านผู้รู้ทุกท่านที่ได้เจริญจิตภาวนา ที่ได้ประสบภาวะต่าง ๆ มาบอกกล่าว มาแก้ไขความถูกต้องทุกเมื่อ ข้าพเจ้าเขียนเท่าที่รู้ อาจมีอีกที่ยังไปไม่ถึง |
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#155
|
|||
|
|||
เข้าแดนทิพย์มิติเร้นลับ เขาพนมฉัตร คนเราเมื่อพบความสุขอย่าลืมความทุกข์ เหตุเพราะทุกข์มันดับชั่วขณะจึงพบสุขอยู่ชั่วขณะ อย่าหลงระเริงอยู่กับความสุขที่ชั่วขณะนั้น อย่าให้เข้าตำราที่ว่า “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา แกงไม่จืด ไม่รู้คุณเกลือ” อย่าละทิ้งการสร้างบารมีกุศล มันเป็นหนทางในการตัดวิบากกรรมอันเป็นการตัดอกุศลวิบาก เมื่อมันยังมาไม่ถึง อย่าคิดว่าไม่มี อย่ามัวยืนรอมันอยู่ เมื่อมาถึงก็ทำอะไรไม่ทัน แก้ไขอะไรไม่ได้ ต้องประสบความยุ่งยากในชีวิต ทำไมเราต้องไปยืนอยู่บนถนนทั้งที่รู้ว่ารถมาก็จะถูกชนเอา ทำไมไม่หลบให้พ้นทางรถจะได้ไม่ถูกชน ถ้าชนเบาก็บาดเจ็บ ถ้าชนแรงก็เสียชีวิต เช่นเดียวกับอกุศลกรรมที่จะมาชนเรา เมื่อมันจะมาทำไมไม่หาทางหลบ เราจะได้บอกใคร ๆ ว่า เราไม่ใช่คนโชคร้าย เรามีแต่โชคดีตลอดชีวิต *แดนทิพย์เป็นดินแดนเร้นลับที่ทุกคนอยากรู้ อยากเห็น อยากไป ภูเขาที่เรียกว่าเขาพนมฉัตร นักปฏิบัติ พระภิกษุสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่างแสวงหาดินแดนเร้นลับนี้ เพื่อออกธุดงค์ในที่ต่าง ๆ ส่วนหนึ่งหวังว่าจะได้พบ จะได้เข้าไปศึกษาโมกขธรรมในดินแดนแห่งนี้ บางรูปเข้าไปแล้วได้กลับออกมาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวต่อ ๆ กันมา ได้ไปพบสิ่งแปลก ๆ ได้พบหลวงปู่เทพโลกอุดร ได้ศึกษาธรรมและคำแนะนำจากหลวงปู่ จึงทำให้นักปฏิบัติต่าง ๆ พากันไปแสวงหาท่าน บ้างก็มีลายแทงบอกเล่าเอาไว้ บ้างก็ไปเสี่ยงโชคเอา เพื่อหวังจะมีบุญวาสนาได้เข้าไป พระอริยสงฆ์หลายรูปได้เข้าไปดินแดนเร้นลับแห่งนี้ จึงเป็นที่ปรารถนาของพระผู้ปฏิบัติจะได้เข้าไปแสวงบุญ แสวงหาหลักธรรมกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน? ไปอย่างไร? ทำอย่างไรจะได้พบ? จะได้เข้าไปในสถานที่อันทรงศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ !!!* แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-11-2010 เมื่อ 12:45 |
สมาชิก 80 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#156
|
|||
|
|||
หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ลงจากถ้ำวัวแดงครั้งสุดท้าย หลวงปู่มาบอกทางกระแสจิต ไม่ต้องขึ้นไปอีกแล้ว ระลึกได้ว่าหลวงปู่บอกว่าจะให้เข้าเขาพนมฉัตร ท่านบอกจะได้ไปถ้ำวัวแดงก็ได้ไปมาแล้ว จึงคิดว่าคงได้เข้าไปปฏิบัติในเขาพนมฉัตรเป็นแน่ แต่ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน? ไปอย่างไร? ใครจะแนะนำและพาเข้าไป ถามใครก็ไม่รู้จัก บางคนบอกเป็นเพียงเรื่องเล่าสนุก ๆ เท่านั้น
ข้าพเจ้าได้พบพระธุดงค์ ท่านบอกท่านได้ยินแต่ชื่อ มีหรือไม่ไม่รู้ ท่านก็กำลังค้นหาอยู่เหมือนกัน บางองค์ก็บอกท่านทราบมาว่า ถ้าจะได้เข้าไปจะต้องพบลำธารที่มีหอยขมที่ถูกตัดก้นไว้แล้ว หอยขมทั้งลำธารจะถูกตัดก้นแล้วทุกตัว หินที่อยู่ในลำธารนั้นจะเป็นสีดำเหมือนเหล็กไหล หากได้พบก็เชื่อว่าได้เข้าไปถึงเขตเขาพนมฉัตรแล้ว ถือเป็นประตูชั้นนอกของเขาแห่งนี้ และยังต้องเดินผ่านทุ่ง ผ่านป่าเข้าไปอีกไกล จะอยู่ตรงไหนไม่รู้ได้ ให้แสวงหาเอา มีบุญคงได้พบ !!! ท่านเคยได้รับคำบอกเล่า จากครูบาอาจารย์ที่ท่านไปศึกษา ติดตามไปปฏิบัติธรรมกับท่านอาจารย์ตามป่าเกือบทั่วประเทศ ทั้งในลาว พม่า ก็ยังไม่พบลำธารที่ว่านี้ คงสิ้นหวัง เดินธุดงค์จากหนุ่มจนแก่ยังไม่มีวี่แววจะได้พบ แม้จะตั้งจิตเอาไว้อย่างดี บวงสรวงบอกกล่าวก็ยังไม่เห็น ข้าพเจ้าได้ฟังแล้วก็สิ้นหวังไม่คิดอีก พระธุดงค์ท่านมีเวลาเดินกรรมฐานเป็นเวลาหลายปี อยู่แต่ในป่ายังไม่เจอ เราเวลาน้อยต้องมีหน้าที่การงาน จะเอาเวลาจากไหนไปแสวงหา นอกจากลาออกจากราชการแล้วไปบวชเรียน ไปเดินป่าค้นหาแต่ก็ใช่ว่าจะพบ จะเจอหรือไม่ ก็ยากที่จะเดาได้จึงเลิกคิด ปฏิบัติที่ไหนก็ได้ หากมีความเพียรไม่ย่อท้อเอาจริงเอาจัง สำเร็จก็สำเร็จที่ใจ มันอยู่ที่ตัวเรา ใจเรา ไม่ใช่คนอื่น สถานที่เป็นเพียงองค์ประกอบอย่างหนึ่งเท่านั้น เป็นที่ ๆ จะช่วยให้เกิดความสงบได้รวดเร็ว ได้ธรรมอันวิเศษง่ายขึ้นเท่านั้น |
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#157
|
|||
|
|||
แรงดลใจ พรรคพวกได้ไปเที่ยวในถ้ำพระธรรมาสน์ อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก ได้มาเล่าความสวยงามวิจิตรพิสดารให้ฟัง อยากชวนไปเที่ยว ไปปฏิบัติธรรมกัน ซึ่งตรงกับใจที่ได้รับฟังเรื่องราวก็มีความอยากรู้ อยากเห็น อยากไปดู ไปแสวงหาแนวทางวิถีในการชำระอบรมจิต “คนเรานั้นมักจะฝึกแต่การเอาทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปสู่จิต ไม่ฝึกในการเอาออกและไม่ฝึกในการสกัดกั้น การเข้าของกิเลสตัณหาราคะอันเป็นหนทางแห่งความทุกข์ของสัตว์โลก เราเอาอารมณ์ต่าง ๆ เข้าสู่จิตโดยไม่กลั่นกรอง ไม่แยกแยะ จิตรับหมดทั้งดี ทั้งไม่ดีจึงเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้าย สมควรฝึกเอาสิ่งไม่ดีออกจากจิต สกัดกั้นสิ่งไม่ดีไม่ให้เข้าไปสู่จิต และฝึกการรักษาสิ่งที่ดีให้สถิตอยู่ในจิต สกัดกั้นไม่ให้ออกจากจิต แล้วกลั่นกรองแต่สิ่งที่ดีเข้าสู่จิต จิตก็จักเป็นสุขมีความสบายสดชื่นอยู่ตลอดเวลา เครื่องมือในการกลั่นกรองก็คือ องค์กรรมฐานทำหน้าที่เสมือนเครื่องกรองน้ำ จะกรองน้ำที่สกปรกให้กลายเป็นน้ำดี นำน้ำที่กรองแล้วมาใช้ เครื่องสกัดกั้นการเข้าออกของจิตคือ สติ เครื่องแยกแยะอะไรดี ไม่ดีคือ ปัญญา ที่เรียกว่าสัมปชัญญะหรือมีธรรมจักษุ คือ มีปัญญารู้เห็นความจริง เห็นถูก เห็นผิด” จึงเป็นแรงดลใจให้อยากไปดู ไปเห็น มีเวลาจึงได้ชวนพรรคพวกนักปฏิบัติที่เคยไปปฏิบัติร่วมกันในที่ต่าง ๆ ไปปฏิบัติธรรมที่ถ้ำพระธรรมาสน์ตามที่ตั้งใจไว้ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-11-2010 เมื่อ 09:08 |
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#158
|
|||
|
|||
ถ้ำพระธรรมาสน์ *ไปถึงได้พบพระภิกษุรูปหนึ่งอายุไม่มากนัก ประมาณ ๓๐ เศษ ๆ ท่านอาสานำพวกเราเข้าไปในถ้ำ ท่านบอกว่า "จะเข้าไปเองคงไม่ได้ ข้างในมีแต่ความมืด เป็นถ้ำใหญ่สลับซับซ้อนมีอยู่หลายถ้ำภายในนั้น เดินเที่ยว ๗ วันก็ไม่จบ อาจพลัดหลง อันตราย !!!" แรก ๆ ก็ไม่ค่อยเชื่อ ถ้ำอะไรอะไรเดิน ๗ วันไม่จบ!!! แต่ก็ไม่ขัดเพราะท่านมีไมตรีจิต มีเจตนาจะนำทางไป นึกขอบคุณท่านอยู่ในใจ ท่านบอกว่า ท่านไม่เคยพาใครเข้าไป ได้พบพวกข้าพเจ้าเกิดความเมตตา อยากนำทางเข้าไปด้วยตนเอง ท่านชื่อพระทองสุก ท่านได้เตรียมธูป เทียน ไฟฉายให้พวกเรา แล้วพาพวกเราไปที่ปากถ้ำ มองเข้าไปก็เป็นถ้ำธรรมดาทั่วไป บอกท่านว่า “ขอสวดพระพุทธมนต์เพื่อขออนุญาต” ท่านก็ว่า “ไม่เป็นไร” เสร็จแล้วท่านก็ชี้ให้ดูหินก้อนหนึ่งเป็นรูปเต่า ในอดีตชาติท่านได้มามรณภาพที่นี่ หินก้อนนี้ทับอยู่ ก็รับฟังเฉย ๆ ไม่ได้คิดอะไร ท่านเล่าต่อว่า “ในชาตินี้ก็จะถูกหินทับอีก ไม่รู้เมื่อไหร่?" พร้อมแล้วท่านก็นำลงไปในถ้ำ ครั้งแรกคิดว่าเป็นถ้ำที่เห็น แต่ไม่ใช่ ต้องเดินลึกลงไปข้างล่าง พบลำธารน้ำไหล ข้างในมีหลายถ้ำอยู่ในถ้ำเดียวกันบ้าง ต้องปีนขึ้นไปบ้าง ต้องไต่ลงไปบ้าง ในแต่ละถ้ำสวยงามแปลกตา ยากจะได้พบ เดินเข้าไปเป็นชั่วโมง ๆ ดูไม่สิ้นสุด ข้างในมีถ้ำ น้ำตก มีสระ มีปลาตัวใหญ่ ๆ มากมาย มีทั้งหินย้อยรูปลักษณ์ต่าง ๆ กัน เหมือนเมือง ๆ หนึ่ง บางครั้งต้องปีนขึ้นไปสูง ๆ พบถ้ำอยู่บนนั้น เป็นถ้ำกว้างใหญ่ เดินจนเหนื่อยก็ไม่จบถ้ำแรก ท่านบอก "ให้กลับไปก่อน เดินไม่จบหรอก พรุ่งนี้ค่อยไปดูอีกถ้ำหนึ่งที่แยกไปทางขวามือ ใหญ่กว่าถ้ำที่เรากำลังดูกันอยู่ เดิน ๗ วันก็ไม่จบเช่นกัน!!! ในถ้ำด้านนั้นมีพระปฏิบัติกันอยู่มาก"* แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-11-2010 เมื่อ 09:08 |
สมาชิก 80 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#159
|
|||
|
|||
เช้าวันรุ่งขึ้นกินอาหารเช้าแล้ว เตรียมอาหารติดตัวอาจต้องเข้าไปทั้งวัน เมื่อเข้าไปในถ้ำทางขวามือ จริงอย่างที่ว่ากว้างและมีถ้ำอยู่ในนั้นหลายถ้ำ* แบ่งออกเป็นช่วง ๆ ขึ้นบน ลงล่าง อากาศดี ข้างในถ้ำมีธารน้ำ มีแต่ความมืด ได้พบพระปฏิบัติ ท่านปฏิบัติกันอยู่เป็นจำนวนมาก ปลีกวิเวก อยู่ปฏิบัติกันเป็นช่วง ๆ แต่ไม่ได้ถามไถ่อะไร ดูพระทุกองค์มุ่งมั่นการนั่งสมาธิกันอยู่* เดินท่องอยู่ในนั้นนานมาก แต่ไม่ใช่เขาพนมฉัตร
กลับออกมาก็เย็นมากแล้ว หลวงพี่ทองสุกท่านบอกว่า “มีอีกถ้ำหนึ่งเดินไปไกลมาก ภายในถ้ำนั้นจะต้องเดินท่องไปตามธารน้ำ เดินลึกลงไปใต้ดินจะพบรอยพระพุทธบาท จะไปกันไหม? หากจะไป พรุ่งนี้จะพาไป ไปกลับประมาณ ๑๐ ชั่วโมง มีอะไรมากมาย หากจะไปก่อนลงไปต้องขอทางก่อน หากมีบุญจะได้ไปกราบรอยพระพุทธบาท ถ้าจะลงไปต้องเอาเทียนไปมาก ๆ ป้องกันถ่านไฟฉายหมด จะกลับไม่ถูกทาง” จึงถามท่านว่า “ขอทางจากใคร?” ท่านบอกว่า “พญานาค!!! จะลงเมืองบาดาล พวกเราจะเชื่อไหม?” ข้าพเจ้าไม่ตอบ เพียงบอกว่า “อยากไปกราบ” ถามพรรคพวกทุกคนก็อยากไป ได้พูดคุยเรื่องต่าง ๆ นานาที่หลวงพี่ท่านพบมาจากการธุดงค์ ดึกมากจึงพักผ่อนกัน แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 12-11-2010 เมื่อ 15:38 |
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#160
|
|||
|
|||
ตอนเช้าลงไปในถ้ำพระธรรมาสน์อีก ครั้งนี้ไปที่ถ้ำด้านบนไม่ได้เดินลงไป พวกเราเดินอ้อมถ้ำ เข้าไปพบลานกว้างใหญ่มีธรรมชาติน่ารื่นรมย์เป็นที่น่าพักผ่อน เดินเลยไปที่เหลื่อมหิน มีทางเดินเข้าไปในถ้ำอีกถ้ำหนึ่ง เข้าไปเป็นถ้ำมืดเช่นเดิมไปถึงทางลงข้างล่าง มองลงไปลึกมาก * หลวงพี่จึงบอก “ให้ขออนุญาตเพื่อลงไปให้ถึงธารน้ำ หากท่านไม่ให้ลงไป ก็จะมีงูตัวใหญ่พาดขวางทางไม่ยอมให้ไป”* ท่านว่า “งูตัวนั้นคือ พญานาคตัวเท่าต้นตาล” ท่านเคยเห็นพาดขวางลำธารอยู่
จึงจุดธูปเทียนขอทางแล้วบอกว่าพวกเรามาแสวงบุญ จะไปไหว้พระพุทธบาทในเมืองของท่าน ขอให้อนุญาตด้วย ถ้าไม่อนุญาตก็ขอให้มาขวางทางเอาไว้ก็จะไม่ลงไป ถ้าไม่ขวางแสดงว่าอนุญาตก็จะไป สักพักหนึ่งมีเสียงดังอย่างกับท่อนซุงล้มตกไปในน้ำดังสนั่น สะเทือนทั้งถ้ำ!!! น่าสยองพองขน จึงถามทุกคนว่า “จะไปไหม? กลัวกันไหม ถ้ากลัวก็ต้องกลับกัน” ทุกคนบอกว่าแล้วแต่ข้าพเจ้าตัดสินใจ เอาอย่างไรก็เอากัน แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 16-11-2010 เมื่อ 08:21 |
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|