กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 19-02-2010, 09:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓

พยายามนั่งในท่าที่สบายของเรา ที่สำคัญก็คือตัวตรง แต่ว่าอย่าไปเกร็งร่างกาย ตั้งตัวให้ตรง ทำกำลังใจสบาย ๆ นึกถึงลมหายใจเข้าออกของเราตามปกติ ไม่ต้องไปบังคับให้แรง ให้เบา ให้ยาว ให้สั้น เราแค่กำหนดความรู้สึกไหลตามลงไป หายใจออกก็ไหลตามขึ้นมา

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๓ เป็นวันแรกของการปฏิบัติภาวนาของเราในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ตั้งแต่ช่วงปีใหม่ที่เราปฏิบัติมา ระยะเวลาหนึ่งเดือนผ่านไปเร็วเหลือเกิน

การปฏิบัตินั้นทุกท่านก็ล้วนแต่หวังความก้าวหน้า แต่มักจะมีปัญหาที่มาถามอยู่เสมอว่า ปฏิบัติแล้วไม่ก้าวหน้าจะต้องทำอย่างไร ? การปฏิบัติแล้วไม่ก้าวหน้านั้นมีสาเหตุหลัก ๆ อยู่ไม่กี่ประการเท่านั้น ก็คือ ๑. ทำเกิน ๒. ทำขาด ๓. ทำแล้วรักษาอารมณ์ใจไว้ไม่เป็น เหล่านี้เป็นต้น

ในเรื่องของการปฏิบัติเกินนั้น ก็คือ การที่เราทุ่มเทกำลังกายกำลังใจ เพื่อที่จะปฏิบัติให้สำเร็จอย่างที่ต้องการ แต่ว่าเป็นการทุ่มเทเกินไป ซึ่งในปัจจุบันนี้ไม่น่าจะมี ถ้ามีในอดีตก็มีอยู่ท่านเดียวที่กล่าวถึงในพระไตรปิฎก ก็คือพระโสณโกฬิวิสะเถระ

พระโสณโกฬิวิสะเถระ เป็นลูกมหาเศรษฐี มีฝ่าเท้าอ่อนนุ่มมาก แต่ก็มีความเพียรมากเช่นกัน ท่านเดินจงกรมจนเท้าแตก ในบาลีอธิบายว่า เลือดนองบนทางจงกรม เหมือนอย่างกับใครมาเชือดวัวเอาไว้ เมื่อเดินจนเท้าแตก ไม่สามารถจะเดินต่อได้ ก็ใช้วิธีคลานไป ก็ยังไม่บรรลุมรรคผลที่ต้องการ มานึกท้อใจว่า "ดูท่าเราจะปฏิบัติไม่สำเร็จเป็นแน่แท้" พระพุทธเจ้าทราบความคิด ก็เปล่งฉัพพรรณรังสีไปปรากฏอยู่เฉพาะหน้า แสดงธรรมถึงพิณ ๓ สาย ที่ตึงเกินไป หย่อนเกินไป และที่พอดี แล้วตรัสว่า "ดูก่อน..โสณะ สิ่งที่เธอทำนั้น กำลังใจล้นเกินให้ลดกำลังใจลงมา" นับว่าเป็นรายเดียวในประวัติศาสตร์จริง ๆ ที่มีการปฏิบัติเกินกว่าที่ครูบาอาจารย์ต้องการ และมีหลักฐานบันทึกไว้อย่างชัดเจน

เมื่อพระโสณโกฬิวิสะลดกำลังใจลงมา ก็ตรงร่องพอดี บรรลุมรรคผลกลายเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าแต่งตั้งให้เป็นเอตทัคคะ คือผู้ที่เลิศกว่าผู้อื่นในด้านการปรารภความเพียร ดังนั้น..การปฏิบัติที่ไม่ก้าวหน้า ที่บอกว่าทำเกินนั้น ปัจจุบันนี้ไม่น่าจะมี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-02-2010 เมื่อ 11:54
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 19-02-2010, 09:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนอย่างต่อไปก็คือ ทำขาด นี่ถือว่าเป็นเรื่องปกติของพวกเรา เพราะว่าเรายังเป็นปุถุชนอยู่ กำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญายังมีน้อย ไม่สามารถจะควบคุมสมาธิให้ตั้งมั่นอยู่เฉพาะหน้าได้นาน ๆ ใน ๒๔ ชั่วโมง เรามักจะโดนนิวรณ์ ๕ บ้าง รัก โลภ โกรธ หลงบ้าง เบียดเบียนเข้ามาช่วงชิงพื้นที่ของกำลังใจที่ดีเสียเกือบหมด พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ๒๔ ชั่วโมงจะเอาดีสักชั่วโมงก็แสนยาก

แต่ว่าความดีนั้นไม่ได้ไปไหน สมมติว่า ๒๔ ชั่วโมง เราทำดีได้หนึ่งชั่วโมง ความดีนั้นก็ทรงตัวอยู่ รุ่งขึ้นทำได้อีกชั่วโมงหนึ่ง ความดีก็ทรงตัวรวมเป็นสองชั่วโมง ค่อย ๆ สะสมไปทีละเล็กละน้อยดังนี้ ถ้าหากว่าเราใช้ความเพียรที่พยายามสม่ำเสมอ ทำทุกวัน ไม่มีการทิ้ง กำลังใจนี้จะค่อย ๆ สะสมมากขึ้น ๆ จนท้ายสุดก็พอใช้งานในการตัดกิเลสได้

ส่วนข้อสุดท้ายที่ว่า ทำแล้วรักษาอารมณ์ใจเอาไว้ไม่ได้ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเราไม่รู้ ปฏิบัติไปแล้วเมื่อเลิกจากการปฏิบัติก็ทิ้ง ไม่ได้ประคับประคองรักษาอารมณ์นั้นเอาไว้ได้อย่างตอนที่ปฏิบัติอยู่ เมื่อเป็นดังนั้น กำลังใจของเราก็จะไหลตามกิเลสไป กว่าจะทวนกระแสขึ้นมาใหม่ก็ยาก จึงเป็นเหตุให้ไม่มีความก้าวหน้าเกิดขึ้น

วิธีที่จะแก้ก็คือ ต้องใช้กำลังใจจดจ่ออยู่เฉพาะหน้า ประคองรักษาอารมณ์ที่เราทำได้ ให้ทรงตัวตั้งมั่นเหมือนอย่างกับเวลาที่เรานั่งนิ่ง ๆ อยู่ แต่ว่าตอนนี้เราจะยืน จะเดิน จะนอน จะนั่งอย่างไรก็ตาม กำลังใจต้องทรงตัวให้ได้เท่ากับตอนที่นั่งสมาธิ


ถ้าถามว่าแล้วมีข้อสังเกตอย่างไรว่ากำลังใจทรงตัว ? บุคคลที่กำลังใจทรงตัวนั้น นิวรณ์ ๕ ก็คือ กามฉันทะ ความยินดีในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย และสัมผัสระหว่างเพศ ไม่สามารถจะกินใจได้ พยาบาท ความโกรธเกลียดอาฆาตแค้นคนอื่น ไม่สามารถจะกินใจของเราได้ ถีนมิทธะ ความห่วงเหงาหาวนอน ความขี้เกียจปฏิบัติ ไม่สามารถจะเข้ามายึดครองจิตใจของเราได้ อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน ไม่สามารถจะเข้ามายึดครองใจของเราได้ และวิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในการปฏิบัติ ไม่สามารถจะยึดครองใจของเราได้

ถ้าเป็นดังนี้ก็แปลว่ากำลังใจของเราทรงตัว เราก็ประคับประคองกำลังใจที่ทรงตัวนี้ไว้ อย่าให้หลุดไปไหน เคยเปรียบไว้ว่าเหมือนเราเลี้ยงลูกแก้วไว้บนปลายเข็ม ระมัดระวังลูกแก้วไม่ให้หล่นไปแตกเสียก่อน ถ้าสามารถรักษากำลังใจให้อยู่กับเราได้นานเท่าไร สภาพจิตใจของเราก็จะมีความผ่องใสมากขึ้นเท่านั้น ปัญญาก็จะเกิดได้มากเท่านั้น ท้ายสุดก็จะเห็นช่องทางว่าจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะเกิดความก้าวหน้าขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-02-2010 เมื่อ 11:56
สมาชิก 64 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 19-02-2010, 10:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนอีกข้อหนึ่งที่จะแถมให้ว่าปฏิบัติแล้วไม่ก้าวหน้านั้น เกิดจากสาเหตุที่ว่าอยากดีจนเกินไป ในเมื่อเราอยากดีจนเกินไป เราก็พยายามเร่งรัดการปฏิบัติ เอาใจจดจ่ออยู่ ตามจี้อยู่ตลอดเวลา แต่กลายเป็นว่า สิ่งนี้กลับเป็นความฟุ้งซ่านในใจของเราเอง ก็คือฟุ้งอยากได้ดีจนเกินไป กลายเป็นส่วนของอุทธัจจกุกกุจจะ เพราะอารามอยากได้ดี ก็เลยตามรู้ตามจี้ติดทุกสถานการณ์ ถ้าหากเปรียบกับบุคคลทั่ว ๆ ไป ก็คือ ไปตามตอแยเขาจนเขารำคาญ ก็ต้องหลีกหนีไปเสีย กำลังใจของเราก็เช่นกัน ถ้าอยากดีจนเกินไป ตามจี้อยู่ตลอดเวลา กำลังใจก็จะไม่ทรงตัว เพราะว่าแทนที่จะเป็นสมาธิ ก็กลายเป็นความฟุ้งซ่านอยากได้ดี

สิ่งทั้งหลายที่กล่าวมานี้ทั้ง ๔ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติเกินก็ดี ปฏิบัติขาดก็ดี ปฏิบัติแล้วไม่ได้รักษากำลังใจไว้ก็ดี หรืออยากได้ดีจนเกินไปก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นตัวขวางให้เราทำการภาวนาแล้ว ได้ผลน้อย ได้ผลช้า หรือว่าไม่ได้ผลเลย จัดเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งในการปฏิบัติของพวกเรา เมื่อเรารู้แล้วก็พยายามแก้ไข ละเสียในสิ่งที่ควรจะละ ถ้าหากว่าเราทั้งหลายพยายามทำดังนั้นได้ ความก้าวหน้าก็จะค่อย ๆ มี

ความดีของเรานั้นขอยืนยันว่าไม่ได้ไปไหน แม้ว่าจะได้วันละเล็กวันละน้อยก็ตาม ก็จะสั่งสมตัวอยู่ เมื่อมากเข้าก็เพียงพอแก่การใช้งาน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพอใช้งาน ก็ต้องเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น อย่างเสียงระเบิดเมื่อครู่นี้ ถ้ากำลังใจของเราทรงตัว ก็จะมั่นคงเฉพาะอยู่ข้างหน้า ไม่ได้ไปใส่ใจ แต่ถ้ากำลังใจไม่ทรงตัว ก็จะเกิดอาการสะดุ้งตกใจ และไปสนใจว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนี้เป็นต้น

วิธีที่จะทำให้กำลังใจทรงตัวดีที่สุดก็คือ กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก หายใจเข้าจะแรง..จะเบา..จะยาว..จะสั้น รู้อยู่ หายใจออกจะแรง..จะเบา..จะยาว..จะสั้น รู้อยู่ พร้อมกับคำภาวนาที่เราชอบใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าหากท่านที่มีความคล่องตัว จะกำหนดภาพพระควบไปด้วยก็ได้ ให้พวกเราพยายามปฏิบัติอย่างนี้ สะสมอย่างนี้ไปทุกวัน ๆ เพื่อที่ความดีของเราจะได้มีมากขึ้น ๆ และท้ายสุดเมื่อพอใช้งานก็มีกำลังในการตัดกิเลสได้

ตอนนี้ก็ขอให้ทุกท่านรู้กำหนดลมหายใจเข้าออก กำหนดรู้คำภาวนาของแต่ละคน กำหนดภาพพระของแต่ละคนไป รักษาอารมณ์ใจให้ปักมั่นอยู่เฉพาะหน้า จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันศุกร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-12-2010 เมื่อ 02:57
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:48



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว