กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #41  
เก่า 04-02-2016, 20:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีคนโพสต์ว่า ผู้ทรงฌาน มารจะมองไม่เห็น จริงหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จริง...แต่อย่าให้หลุดนะ ถ้าหลุดเมื่อไรก็เห็น ที่มารมองไม่เห็นเพราะว่าเสนามารไม่สามารถที่จะรุกรานได้ บุคคลที่ทรงฌาน รัก โลภ โกรธ หลง นิ่งสนิทหมด กิเลสไม่เกิดแล้วมารจะหาเจอได้อย่างไร ? ประโยคนี้เป็นพุทธพจน์เลยนะ พระพุทธเจ้าตรัสเองเลย

ถาม : เดี๋ยวนี้โพสต์กันง่ายครับ ?
ตอบ : โพสต์กันง่าย แต่คราวนี้ต้องเข้าใจด้วยว่ามีที่มาอย่างไร คนที่ทรงฌานกิเลสเกิดไม่ได้อยู่แล้ว พอกิเลสเกิดไม่ได้มารก็หาไม่เจอ แต่อย่าหลุดเชียวนะ ถ้าหลุดเมื่อไรมารเขาก็หาเจอเมื่อนั้นแหละ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-02-2016 เมื่อ 03:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 214 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #42  
เก่า 04-02-2016, 20:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระโสดาบันทรงฌานตลอดเวลาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ตลอดจะตัดกิเลสไม่ได้ ฌานเท่ากับเป็นสมบัติเฉพาะตัวของท่านไปแล้ว

ถาม : ถึงว่าทำไมกรรมเก่าตามไม่ทัน ?
ตอบ : ตามทัน เพียงแต่ว่าเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ถ้าไม่ใช่กรรมที่หนักจริง ๆ ไม่ได้กินท่านหรอก

ถาม : ของผมกำลังใจได้อยู่แค่ช่วงเช้า แป๊บ ๆ ก็ไปแล้ว ?
ตอบ : ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำให้มากหน่อย ไม่ใช่ถึงเวลาแป๊บ ๆ แล้วเราก็ปล่อยแป๊บต่อไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-02-2016 เมื่อ 03:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #43  
เก่า 04-02-2016, 20:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผมตั้งใจว่า ผมจะรักษาศีลแปดตลอดชีวิต คิดได้แป๊บหนึ่ง เอ๊ะ..เดี๋ยวจะหนักไป พระโสดาบันยังศีลห้า เราเอาแค่ศีลห้าดีกว่า อย่างนี้เราตั้งกำลังใจผิดไหม ?
ตอบ : จะเรียกว่าผิดไหม ? ก็ไม่ผิด แต่ถ้าถามว่าถูกไหม..? ก็ไม่ถูก เป็นเฉพาะในเหตุการณ์ช่วงนั้น เราก็ตั้งเป้าไว้ว่าเราจะปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบัน แต่ถ้าเข้าพระนิพพานชาตินี้ได้ก็จะเอาเลย หมดเรื่องไป

ถาม : ไม่ต้องไปตั้งใจว่าศีลอะไรหรือครับ ?
ตอบ : จะศีลอะไรก็ช่าง อย่างน้อยก็ต้องศีล ๕ บริสุทธิ์อยู่แล้ว ศีลจะเป็นศีลหรือไม่อยู่ที่การลงมือทำ มีโอกาสละเมิดก็ตัดใจงดเว้น ไม่ใช่เสียเวลาไปว่าทีละข้อ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-02-2016 เมื่อ 03:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #44  
เก่า 04-02-2016, 21:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่สุขภาพไม่ค่อยดีว่า "เขายังให้เราไปไหนได้ก็เอาเถอะ เขาให้แค่ไหนเราก็เอาแค่นั้น เขาขวางการสร้างบุญของเราไม่ได้หรอก ถ้าไปไหนไม่ได้เลยก็นั่งภาวนาเอา อย่างน้อยก็ได้บุญเหมือนกัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-02-2016 เมื่อ 04:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 221 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #45  
เก่า 04-02-2016, 21:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผมเปิดเทปที่ท่านสอนกรรมฐาน ฟังแล้วก็ชอบ ทำเลย ฟังแล้วฟังอีก ก็มีความรู้สึกว่าทำไมเราไม่ฟังทั้งวัน คือเราควรจะฟังจากวันนี้ไปเลย ?
ตอบ : ถ้ายังเหมาะกับกำลังใจเราก็ใช้ไปเรื่อยก่อน จนกระทั่งรู้สึกว่าหาประโยชน์อะไรเพิ่มเติมไม่ได้นอกจากอนุสติ แล้วค่อยขยับไปเนื้อหาเรื่องอื่น เพราะว่าถ้าตรงกับกำลังใจของเราตอนนั้น เราก็จะรู้สึกชอบ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-02-2016 เมื่อ 04:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 219 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #46  
เก่า 04-02-2016, 21:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผมว่าพวกเดินข้ามแม่น้ำเอง เป็นนักมายากลประหลาด ?
ตอบ : เดี๋ยวนี้เขาทำกันได้เป็นปกติแล้ว เพียงแต่ถ้าใช้คำว่ามายากล คนเขาจะได้ไม่สงสัย

ถาม : เขาเดินข้ามระหว่างตึกได้ ?
ตอบ : ให้สังเกตด้วยว่าก่อนที่เขาจะทำอย่างนั้น เขาต้องรวบรวมสมาธิอยู่พักหนึ่ง เคยสังเกตไหม ? นั่นเขาไม่ใช่ทำท่านะ เขาตั้งสมาธิจริง ๆ เขาไม่ได้ทำท่าหลอกชาวบ้าน คือเขาเองไม่มีความเข้าใจที่จะเข้าออกสมาธิให้คล่องตัวถึงขนาดแค่นึกก็เป็น จึงต้องรวบรวมกำลังใจให้ได้ว่า ถ้าระดับนี้แหละ...กูจะทำได้ พอกำลังใจทรงตัวระดับนั้นเขาถึงจะทำ

ถาม : แต่เขาก็เก่งกว่าเรานะ ?
ตอบ : เขาเก่งกว่าคุณ ...(หัวเราะ)...

ถาม : ทำไมเราทำแบบนั้นไม่ได้ ที่จริงพื้นฐานของเรามีมากกว่าตั้งเยอะ ?
ตอบ : เพราะเราเองไม่ยอมรับกฎของกรรม ฝรั่งเขาไม่รู้คำว่ากฎของกรรมก็จริง แต่ จะเห็นว่าการเล่นของเขาเล่นกันในขอบเขต คำว่าเล่นในขอบเขตก็คืออยู่ในลักษณะของมายากล ส่วนเราถ้าทำได้ เดี๋ยวคอยดู เราจะไปยุ่งเรื่องของกฎของกรรมให้ยุ่งไปหมด กูจะแก้ไขตรงนั้น กูจะเปลี่ยนแปลงตรงนี้ ก็บรรลัยสิครับ เพราะฉะนั้น...ตราบใดที่เรายังยอมรับกฎของกรรมไม่ได้ ต่อให้คุณทำอภิญญาได้ ก็ขึ้นไม่เต็มที่หรอก เพราะจะไปทำให้กฎของกรรมเขาบรรลัยหมด

ถาม : ผมอ่านดูคำสอนของหลวงพ่อ คนที่ยอมรับกฎแห่งกรรมมีแต่พระอรหันต์นะครับ ?
ตอบ : นั่นท่านยอมรับทั้งหมด อย่างน้อย ๆ ให้ยอมรับสักบางส่วน เช่น เราจะไม่ไปยุ่งกับกฎของกรรมอะไรอย่างนี้

ถาม : ยากนะครับ ?
ตอบ : เพราะยาก เราถึงทำไม่ได้สักที ทำกำลังใจแค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปเอาอภิญญา..!

ถาม : เห็นเขาร้องไห้แค่นี้ก็อยากช่วยเขาแล้ว ?
ตอบ : ถึงได้บอกว่าสมัยก่อนถึงเขาไม่ได้ขอร้อง อาตมาก็วิ่งไปช่วยเขา ตอนนี้ถ้าไม่ล้มทับตีนอยู่ หนีไม่ได้แล้วละก็ ไม่มีทางช่วยหรอก ตัวใครตัวมันเถอะ..!

ต้นเดือนที่ผ่านมามีผู้หญิงคนหนึ่ง บอกว่าโดนไสยศาสตร์ทำมา ก็ช่วยบรรเทาให้เขาไปแค่นั้น สามีก็ถามว่าจะไม่ช่วยให้มากกว่านี้หรือ ? เขาบอกว่าถ้ารองานเป่ายันต์ฯ ผู้หญิงจะตายเสียก่อน อาตมาบอกไปว่า “นั่นเป็นปัญหาของคุณ” ต้องทำใจให้ได้อย่างนั้น คือเราจะไม่ไปยุ่งเรื่องกฎของกรรมมากจนเกินไป บรรเทาได้ก็บรรเทาไป ถ้าไม่ถึงตายคุณก็ทนเอาบ้างสิวะ..!

ถาม : ถ้าเขามาขอช่วยให้ท่านช่วยต่อหน้า ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าถ้าไม่ได้ล้มทับตีนอยู่ เดินได้ก็เดินหนีไปก่อน

ถาม : พรหมวิหารสี่ไม่ขาดหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ขาด...อยู่พรหมวิหารสี่เป๊ะเลย แต่เป็นอุเบกขา แหม...จะเอาแต่เมตตาอย่างเดียว โง่ตายห่าเลย..!

ถาม : เขาไม่สมควรโดนหรือเปล่าครับ อยู่ ๆ ก็มีคนทำคุณไสยใส่ให้ ?
ตอบ : ถ้าหากไม่มีวาระกรรม เขาจะใส่มาได้อย่างไร ? คุณต้องสร้างเหตุไว้ ผลถึงได้มาอย่างนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 05-02-2016 เมื่อ 11:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #47  
เก่า 05-02-2016, 15:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาเราพิจารณาธาตุสี่ ธาตุสี่ในตัวเราและธาตุสี่ที่ไม่ใช่ในตัวเรา จะสามารถมีปฏิกิริยารวมกันหรือนำมาใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ตอนแรกนี่คุณพูดถึงการพิจารณานะ แต่ตอนหลังที่คุณพูดถึงนั่นคือการใช้งาน

ธาตุภายในกับธาตุภายนอกจะใช้งานร่วมกัน ขึ้นอยู่กับคุณว่ามีความสามารถพอไหม ? ถ้ามีความสามารถพอก็ดึงเอามาใช้งานร่วมกันได้ แต่ถ้าการพิจารณา เขาพิจารณาให้เห็นว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ให้ใจของเรายอมรับ แล้วก็ไม่ไปฝืน ก็คือเห็นว่าเป็นธรรมดาเช่นนั้น อะไรที่เกิดขึ้นเราก็ต้องยอมรับว่า ในเมื่อมีสภาพร่างกายที่เป็นธาตุ ๔ เช่นนี้ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดา จิตใจของเราจะไม่ไปหวั่นไหว ไม่ไปดิ้นรน เป็นคนละเรื่องกันเลยนะ


ถาม : ถ้าทำถึงที่สุดแล้วก็ทำได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าคุณทำถึงที่สุดได้ ก็ไม่มีอารมณ์ที่จะไปคิดใช้อะไรรวมกันแล้ว เพราะมีแต่โทษ ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ตกลงญาติโยมด้านหลังตามกันทันไหม ? ออกนอกทางไกลไปหน่อย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-02-2016 เมื่อ 15:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #48  
เก่า 05-02-2016, 15:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเรานึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเรา เราติดหนี้บุญคุณท่านไหมครับ เราต้องทดแทนคุณท่านไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเหตุที่รองรับไม่พอ ท่านก็ไม่สามารถที่จะช่วยเราได้ หมายความว่าเราต้องสร้างเหตุก็คือความดี หรือบารมีที่เพียงพอ ท่านถึงจะช่วยสงเคราะห์เราได้

การสงเคราะห์เราจะด้วยเหตุที่เราทำมาพอหรือไม่พอก็ตาม การสงเคราะห์นั้นจะมากหรือน้อยก็ตาม ก็ถือว่าท่านมีบุญคุณที่ช่วยเราอยู่ เพราะฉะนั้น..ถ้ามีโอกาสก็ระลึกถึงบุญคุณของท่าน สร้างบุญสร้างกุศลอะไร ก็อุทิศไปให้กับท่านบ้าง อย่างน้อย ๆ จะได้รู้สึกว่ามีการตอบแทนให้กับท่านไปบ้าง ให้สมกับที่ท่านช่วยเรามา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-02-2016 เมื่อ 15:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #49  
เก่า 05-02-2016, 15:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำไมพระคาถา เขาสวดกันหลายจบ ?
ตอบ : สมาธิทรงตัวมากเท่าไรพระคาถาก็มีผลมากเท่านั้น คุณคิดว่าสวดจบเดียวกับ ๑๐๘ จบ อย่างไหนสมาธิจะทรงตัวมากกว่ากัน ?

ถาม : แต่ว่าบางทีสวดมากไปก็ไม่มีสมาธิ หรือถ้าสวดจบเดียวแล้วมีสมาธิ สวดจบเดียวดีกว่า ?
ตอบ : ถ้าคุณมั่นใจว่าสมาธิคุณดี คุณก็สวดไปจบเดียว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-02-2016 เมื่อ 15:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #50  
เก่า 05-02-2016, 15:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การสวดพระคาถาเงินล้านเพื่อฝึกทิพจักขุญาณ เวลาเราจะภาวนา นึกคาถาโดยนึกถึงภาพก็จะเกิดเสียงและภาพพร้อมกัน ต้องเกิดเสียงและภาพพร้อมกัน หรือต้องเกิดภาพอย่างเดียว เกิดเสียงอย่างเดียว ?
ตอบ : ต้องเกิดพร้อมกันอยู่แล้ว เพียงแต่คุณเพิ่มในส่วนของภาพให้ได้เท่ากับเสียง หรือให้ได้มากกว่าเสียงได้ยิ่งดี ไม่อย่างนั้นถ้าคุณไปเน้นที่เสียงมากกว่า ผลของภาพก็น้อยกว่า ทิพจักขุญาณก็จะไม่ชัดเจน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 05-02-2016 เมื่อ 16:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #51  
เก่า 05-02-2016, 15:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เขาได้ยินว่าเรานั่งสมาธิหรือสวดพระคาถาเงินล้าน ถ้าเขาโมทนา เขาก็ได้บุญร่วมกับเราได้ แต่ถ้าเราภาวนาแล้วใจไม่ได้เป็นสมาธิตาม คนอื่นก็จะไม่ได้บุญตาม ?
ตอบ : ถ้าเขาโง่เกินไป เขาก็ไม่ได้ ถ้าฉลาดหน่อย เขาเห็นเรานั่งสมาธิก็โมทนาตาม เรานั่งได้เท่าไรเขาก็ได้เท่านั้นแหละ

การโมทนา คือการยินดีในความดีของคนอื่น เมื่อเราทำบุญแล้วเขายินดีด้วย ส่วนของเราก็ได้อยู่แล้ว คนส่วนใหญ่เห็นเขาดีมักจะอิจฉา โอกาสที่จะเห็นเขาดีแล้วเรายินดีด้วยมีน้อย การที่เราสามารถละทิ้งความอิจฉาริษยา นำเอาความมุทิตาเข้ามาแทน ในส่วนที่รักษากำลังใจของเราให้ผ่องใสอย่างนี้แหละ ที่เป็นบุญเป็นกุศลกับตัวเราเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-02-2016 เมื่อ 15:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #52  
เก่า 05-02-2016, 16:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผมนึกถึงภาพ ถ้ามีคนหนึ่งกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเล กำลังเกาะท่อนไม้อยู่ โดยเกาะด้วยสองมือ มีทางเลือกสองทาง คือ ปล่อยท่อนไม้ไปด้วยสองมือ แล้วพยายามว่ายไป แต่ก็ยังมองไม่เห็นฝั่ง กับเราตื๊อเกาะท่อนไม้ด้วยสองมือไปเรื่อย ๆ แต่เรารู้ว่าแบบนี้ช้ามากกว่าจะถึงฝั่ง ผมกำลังเปรียบว่าเรากำลังเคว้งคว้างอยู่ในวิบาก ท่อนไม้เป็นกรรมที่เราแต่ง การที่ว่ายน้ำออกไป ปล่อยท่อนไม้ออกไป แปลว่าเราห่างจากกรรม แล้วไปเริ่มต้นใหม่ ผมไม่รู้ว่า...?
ตอบ : คุณเปรียบเทียบผิด

ถาม : อย่างไรครับ ?
ตอบ : ทันทีที่คุณนั่งสมาธิ แปลว่าคุณวางทุกอย่าง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ถ้าจิตไม่มีคุณภาพ คุณก็วางกายกรรม วจีกรรมได้ เหลือแต่มโนกรรมอย่างเดียว เพราะยังคิดชั่วอยู่ คุณก็ได้กำไรไป ๒ ส่วนแล้ว แต่ถ้าคุณสามารถวางมโนกรรมด้วย ก็คือสมาธิทรงตัวตั้งมั่น แปลว่าตอนนั้นกรรมใหม่ไม่สามารถที่จะเกิดได้ ในเมื่อกรรมใหม่ไม่สามารถที่จะเกิดได้ แล้วคุณสร้างความดีไปเรื่อย ๆ ก็เหมือนกับเติมน้ำจืดลงในน้ำเค็ม ถ้าคุณเติมได้มากพอ น้ำเค็มไม่ได้หายไปไหน แต่รสเค็มไม่มี แปลว่ากรรมนั้นไม่สามารถที่จะให้ผลแก่เราได้

การที่คุณไปสร้างภาพเปรียบเทียบลักษณะนั้น ผิดตั้งแต่เปรียบแล้ว เพราะคุณไม่เข้าใจว่าการทำสมาธิจะมี
อะไรเกิดขึ้น แปลว่าคำถามทั้งหมดที่คุณถามมา คุณยังไม่ได้ทำเลย แต่คุณไปฟุ้งซ่าน คิดว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ไปก่อน

ถาม : ผมยอมรับครับ ว่ายังไม่ได้ปฏิบัติเลย แต่ก็อยากถามครับ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-02-2016 เมื่อ 19:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #53  
เก่า 06-02-2016, 20:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าคนที่ทำธุรกิจผิดกฎหมาย ถือว่าเป็นการผิดศีล ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระก็โดนอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระไปเรียบร้อยแล้ว..!

ถาม : ถ้าเป็นฆราวาสละครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นฆราวาสก็ต้องดูว่าโทษเขามีเท่าไร แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ ผิดทั้งทางโลกทางธรรม ผิดทางโลกก็คือเรารู้ว่าเราไม่ตรงไปตรงมา ต้องละอายต่อมโนธรรมของตนเอง โดนมโนธรรมติเตียนอยู่ตลอดเวลา ยกเว้นว่าเป็นพวกใจด้าน หน้าด้าน รู้อยู่ว่าเราทำอย่างนี้ แล้วเกิดผลดีผลสุขแก่เราเพียงชั่วคราวเฉพาะหน้า แล้วเราก็ไปทำ อีกส่วนหนึ่งก็คือโทษทางโลก เขาระบุเอาไว้ชัดเจนอยู่แล้ว ก็แปลว่าผิดทั้งทางโลกทางธรรม ผิดครบ ๒ ด้าน ไม่มีทางให้เลี่ยงได้เลย

ถาม : สมมติว่าเราขายก๋วยเตี๋ยวได้วันละสามร้อยชาม แต่เฉลี่ยแล้วได้ไม่เท่านี้ทุกวัน เราจะเฉลี่ยให้ขายได้น้อยลงเพื่อเสียภาษี อย่างนี้บาปไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าคุณประเมินการขั้นต่ำสุดได้ ก็ควรที่จะใช้การประเมินการขั้นต่ำสุด ก็คืออยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยว่าได้ประมาณวันละเท่าไร ไม่ใช่เฉลี่ยเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณก็ยังไปทำให้ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยอีก เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงภาษี อันนี้ก็มีโทษอยู่แล้ว เพราะเรารู้อยู่ว่าไม่ถูกต้องแต่ก็ยังทำ สำคัญอยู่ตรงที่รู้แล้วยังขืนทำ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-02-2016 เมื่อ 20:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #54  
เก่า 06-02-2016, 20:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การที่เราดูหนังฟรี ฟังเพลงฟรี บาปไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าเราสามารถที่จะทำได้แค่ไหน ถ้าคนเขาเอามา และเราเองก็สามารถที่จะเข้าถึงได้โดยที่ไม่มีการหวงห้าม ไม่มีการที่ให้เราโอนเงินก่อน ไม่มีการที่ต้องลงทะเบียนเป็นสมาชิกก่อน อะไรลักษณะนั้น ก็เท่ากับเป็นของสาธารณะ ก็จะเกิดแค่โทษทางธรรมเท่านั้น ก็คือไปหลงยึดติดอยู่กับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้

ถาม : แต่ถ้าเราตั้งใจจะดาวน์โหลดเพลงฟรี ไปหาตามแหล่งที่เขาให้โหลดไว้ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเรารู้ว่ามีลิขสิทธิ์ แม้กระทั่งทางโลกก็ผิด ทางธรรมจึงผิดแน่ ๆ อยู่แล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-02-2016 เมื่อ 20:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #55  
เก่า 06-02-2016, 20:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การที่เราลักขโมย กับสิ่งที่เขาไม่ได้ให้เรา แต่เราไปหยิบฉวยมาเอง ความหนักขึ้นอยู่กับ...?
ตอบ : เอาอย่างนี้นะ ลัก ฉ้อโกง ปล้น วิ่งราว กฎหมายจะบอกอาการแต่ละอย่างเอาไว้ ว่าแต่ละอย่างมีลักษณะอย่างไร ? มีโทษเป็นอย่างไร ?

มีการให้คำจำกัดความในการตัดสินของกฎหมายว่า การวิ่งราวก็คือการที่บุคคลหนึ่ง นำเอาทรัพย์สินของอีกบุคคลหนึ่ง เคลื่อนที่ออกจากจุดนั้นไป เรียกว่าวิ่งราว แต่เขาตั้งโจทย์ขึ้นมาว่า รถไฟ ๒ ขบวนวิ่งสวนกัน บุคคลที่อยู่รถไฟขบวนหนึ่ง เอื้อมมือไปดึงปากกาจากบุคคลที่อยู่บนรถไฟอีกขบวนหนึ่ง โดยที่ตัวเขาไม่ได้ไปไหน เขาก็ยืนอยู่กับที่ แต่รถไฟนำเขาเคลื่อนจากไปเอง อันนั้นถือว่าเป็นคดีวิ่งราวหรือเปล่า ?

ศาลตัดสินว่าเป็นการวิ่งราว เพราะว่าสมบัติก็ไปอยู่กับอีกคนหนึ่งเหมือนกัน เขาไม่ได้ดูตรงจุดที่ว่า คุณวิ่งหรือคุณยืนเฉย ๆ แล้วพาหนะพาวิ่ง แต่ว่าเขาดูเจตนาว่าคุณตั้งใจเอาของเขาหรือเปล่า ? เพราะฉะนั้น...เรื่องพวกนี้ก็อยู่แค่ว่า เราแค่มาใช้คำพูดเพื่อที่จะให้ดูหนักหรือเบา ต้องถามว่าผิดหรือเปล่า ? ไม่ใช่ว่าโทษนั้นหนักหรือเบา


การที่เราทำสิ่งที่เป็นโทษเบาหลาย ๆ ครั้ง โดยที่คิดว่าโทษไม่หนัก แต่จริง ๆ แล้วกำลังเป็นการตอกย้ำกรรมของตัวเอง คนที่ทำกรรมเบา ๆ หลาย ๆ ครั้งรวมกัน เดี๋ยวท้ายสุดก็จะทำกรรมหนักจนได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 07-02-2016 เมื่อ 17:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #56  
เก่า 06-02-2016, 20:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การที่เราไม่ได้ใช้ธาตุสี่ในการละกิเลส ใช้เพื่ออย่างอื่น เป็นโทษหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าคุณคิดว่าการมีชีวิตอยู่ในกองทุกข์นี้ไม่มีโทษ ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่บุคคลที่เห็นว่าการมีชีวิตอยู่นี้แม้แต่วันเดียวก็เต็มไปด้วยโทษ เพราะอาจจะพาเราลงอบายภูมิลึกกว่านี้ ลงต่ำไปมากกว่านี้ก็ได้ ฉะนั้น...ในเรื่องของธรรมะท่านก็จะปล่อยวาง ยอมรับ เพื่อปลดสภาพจิตของตนเองจากบ่วงที่ร้อยรัดอยู่นี้ แต่ถ้าหากว่าคุณไม่เห็นว่าตรงนี้เป็นโทษ ก็ต้องทนอยู่ต่อไป

ถาม : เขาพูดถึงเรื่องอวิชชา ?
ตอบ : ทำให้ถึงก็รู้ ถ้าทำไม่ถึง อธิบายไปก็เหนื่อยเปล่า เอาเต่าไปเล่าเรื่องบนบกให้ปลาในน้ำฟัง เล่าให้ตายปลาที่ไม่เคยขึ้นบก ก็นึกไม่ออกว่าบนบกเป็นอย่างไร ได้แต่เดาผิดเดาถูกไปเรื่อย จนกว่าจะได้ขึ้นบกไปแบบเต่า จึงจะรู้จริง ๆ ว่าที่เต่าบอกมานั้นเป็นอย่างไร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2016 เมื่อ 02:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #57  
เก่า 06-02-2016, 20:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จริง ๆ แล้วการที่เราละกิเลสได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ คือกิเลสไม่เกิดขึ้นเลย หรือกิเลสเกิดขึ้นไม่ได้เพราะเราเข้าใจทุกอย่างแล้ว จึงไม่เกิด ?
ตอบ : จิตเราไม่ไปข้องแวะ ในเมื่อจิตไม่ไปข้องแวะ โอกาสที่กิเลสจะเกิดก็ไม่มี ท่านทั้งหลายเหล่านี้เมื่อทำไปจนถึงจุดนั้นแล้ว ความว่องไวของ สติ สมาธิ ปัญญา จะมีมากกว่ากิเลส ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ท่านจะเห็นว่าการนึกคิดปรุงแต่งลักษณะไหนเป็นคุณ การนึกคิดปรุงแต่งลักษณะไหนเป็นโทษ แล้วก็ละเว้นในสิ่งที่เป็นโทษเสีย ในเมื่อเราไม่ไปสร้างเหตุที่ไม่ดี ผลกรรมก็ไม่เกิด ก็เท่ากับว่าในสายตาของท่านคือกิเลสไม่มี แต่ถ้าพูดกันจริง ๆ แล้วก็คือว่า กิเลสนั้นยังมีอยู่ แต่ว่าท่านไม่ไปยุ่งด้วย กิเลสก็เลยทำอะไรท่านไม่ได้ เหมือนกับมีฟืน มีถ่าน มีน้ำมัน แต่ไม่มีเชื้อไฟ แล้วเปลวไฟที่ไหนจะมาติดได้

ถาม : อย่างนี้หลายคนที่สั่งสมบุญ... ?
ตอบ : ของท่านอยู่ในระดับน้ำเต็มแก้วแล้ว สิ่งที่ท่านทำไปไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร นอกจากเติมไปแล้วก็ล้นเปล่า ๆ แต่ส่วนที่ท่านทำนั้นคือเป็นเนติ คือเป็นแบบอย่างให้ผู้คนเขาได้เห็นว่า สิ่งนี้เป็นความดี ถึงเวลาจะได้ยึดถือและปฏิบัติตามเพื่อความพ้นทุกข์ของตนเอง ท่านจึงยังคงทำบุญกุศลเป็นปกติ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 07-02-2016 เมื่อ 16:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #58  
เก่า 06-02-2016, 21:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผลบุญเวลาเราใช้ก็หมด ต้องเติมใหม่อีก ใช้ก็หมด เติมใหม่อีก บุญหมดอย่างไรครับ ?
ตอบ : บุญไม่ได้หมด แต่ความต้องการของคุณมากขึ้น จำเป็นต้องหามาให้มากขึ้น ตอนแรกคุณขึ้นรถเมล์มีเงิน ๘.๕๐ บาท คุณก็ขึ้นได้ พอคุณขยับมาขึ้นรถไฟฟ้าก็ต้องมี ๒๕ บาทเป็นอย่างต่ำ พอขยับมาขึ้นแท็กซี่ก็ต้อง ๓๕ บาทขึ้นไป ครั้นมาซื้อรถส่วนตัวก็ต้องดาวน์ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าซื้อรถญี่ปุ่นราคาประมาณ ๗-๘ แสน ไม่เกินล้านเศษ ๆ ไปซื้อรถเยอรมันก็ ๓ ล้านกว่า ในเมื่อสิ่งที่เราต้องการประณีต ละเอียดมากขึ้น กำลังที่ต้องการใช้นั้นสูงกว่า ก็ต้องสั่งสมบารมีให้ได้ใกล้เคียงกัน

ถาม : ก็คือบุญยังไม่หมด ?
ตอบ : บุญไม่หมด แต่ไม่เพียงพอกับสิ่งที่คุณต้องการ เพราะฉะนั้น...สิ่งที่เราทำไม่ได้ไปไหน ยังสั่งสมตัวอยู่ ขังตัวอยู่ ถ้าหากว่าคุณสร้างเหตุจนเพียงพอต่อระดับบุญของตนเอง ผลก็จะเกิด

ถาม : อย่างนี้กรรมก็ไม่หมด กรรมอยู่ด้วย เราก็รับกรรมไป ?
ตอบ : ก็รับกรรมไป ในส่วนของกรรม ถ้าเราชดใช้ไปจนเป็นที่พออกพอใจของเขา เขาก็อโหสิกรรมให้ แต่ถ้าหากไม่ใช่ในส่วนที่เขาพออกพอใจ เพราะว่าตัวเจ้ากรรมนายเวรก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนแล้ว ผลกรรมที่ตอบแทนอยู่นั้น ก็เพราะการกระทำของเราตอบแทนเราเอง เหมือนอย่างกับเตะฟุตบอลใส่ผนัง ก็เด้งกลับมาใส่เราเอง แต่ถ้าหากว่าคุณสามารถที่จะเอาตัวของคุณออกพ้นไปจากตรงจุดนั้น ลูกบอลก็ไม่รู้ว่าจะไปเด้งใส่ใคร ก็เท่ากับหมดเรื่องกันไป ฉะนั้น...สำคัญอยู่ตรงที่คุณปลดใจของคุณออกจากกรรมนั้น หรือเจ้ากรรมนายเวรเขาอโหสิกรรมให้ เรื่องก็จบ

ฟังให้ดี ๆ นะ...เจ้ากรรมนายเวรมีทั้งที่เขาตามจองเวร เพราะเขายังไม่ได้ไปไหน กับที่เขาไปเกิดตามบุญตามกรรมของเขาแล้ว แต่การกระทำของเราเองเป็นโทษแก่ตัวเราเอง ถ้าแยกตรงนี้ไม่ออกเดี๋ยวก็มั่วอีก เพราะฉะนั้น...ในส่วนที่เจ้ากรรมนายเวรยังไม่ไปเกิด เขายังจองเวรอยู่ ถ้าเราชดเชยให้จนเป็นที่พอใจ เขาอโหสิกรรมให้ แค่นี้ก็จบ แต่ถ้าหากว่าเป็นแรงกรรมที่เราทำเอง ส่งผลต่อเราเอง เราสามารถปลดตัวเราเองออกจากตรงจุดนั้นได้ ก็จบ


คราวนี้การปลดตัวเราเองจากจุดนั้นได้ ส่วนใหญ่ก็คือสร้างความดีและอุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวรไป ถ้าเจ้ากรรมนายเวรไม่มีตัวตน เราอุทิศไปเขาเองก็ไม่รู้จะรับอย่างไร แต่ตัวเราเองต่างหาก ที่เรารู้สึกว่าเราได้ทำความดีให้แก่เขาแล้ว ใจเรารู้สึกว่าเราได้ชดเชยแล้ว เราก็ไม่ไปยึดไปเกาะตรงนั้น กลายเป็นว่าเรายกตัวเราเองออกมาจากตรงจุดนั้น แรงกรรมที่จะสนองเราก็หมดไป

ฟังแล้วเครียดไหม ? เดี๋ยวก็ได้บ้ากันบ้าง ต้องมาทำความเข้าใจกับสิ่งที่เรามองไม่เห็นนี่ยุ่งนะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2016 เมื่อ 02:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #59  
เก่า 06-02-2016, 21:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อย่างพระกริ่งเนปาลเนื้อเงิน ผมเห็นเขียนในเว็บว่า เป็นรุ่นพระโพธิสัตว์มาช่วย หมายความว่าอย่างไรครับ ?
ตอบ : มีบุคคลประเภทหนึ่ง ที่ท่านมาสร้างบุญสร้างบารมี เห็นว่าการช่วยเหลือคนอื่นเป็นความสุขของตัวเอง แม้ตัวเองจะต้องรับเคราะห์รับกรรมแทนเท่าไรท่านก็ยินดี ท่านทั้งหลายเหล่านี้เรียกว่าพระโพธิสัตว์

ส่วนบุคคลอีกประเภทหนึ่งเป็นพระอริยเจ้า ยอมรับกฎของกรรม เพื่อปลดตัวเองออกจากการเวียนว่ายตายเกิดทั้งหลายเหล่านี้ ในเมื่อท่านยอมรับกฎของกรรม ท่านก็ไม่ไปยุ่งไปเกี่ยวด้วย

สมมติว่าเราโดนลงโทษอยู่ แล้วบุคคลที่แสดงตัวเข้าไปห้ามปราม โดยที่ไม่ได้กลัวว่าสังคมจะรังเกียจเขา นั่นก็คือพระกริ่งนี้ แต่ถ้าหากบุคคลอีกประเภทหนึ่ง ก็คือท่านที่เห็นว่า การที่เราโดนลงโทษนั้นเหมาะสม สมควรแล้ว สังคมส่วนใหญ่เห็นว่าสิ่งนั้นผิด ท่านก็ไม่ไปยุ่งไปเกี่ยว จึงไม่ได้มาช่วยเราแบบนั้น นั่นก็คือส่วนของความเป็นพระอริยเจ้า


ถาม : สิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาจะช่วยเราตามสัญญาไหมครับ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าคุณต้องสร้างเหตุให้พอ ถ้าสร้างเหตุไม่พอ ต่อให้สัญญาขนาดไหนท่านก็ช่วยไม่ได้ เขาจะพาไปซื้อรถ เขารู้จักกับบริษัท สามารถอำนวยความสะดวกบางส่วนให้ คราวนี้เราจะเอารถเบนซ์ แต่ดันมีเงินแค่แสนเดียว ยังไม่พอวางดาวน์หรอก อย่าว่าแต่ซื้อเลย แล้วเขาจะช่วยได้อย่างไร ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-02-2016 เมื่อ 19:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #60  
เก่า 06-02-2016, 21:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าคน ๆ หนึ่ง เขาเข้าใจว่าทุกอย่างเกิดมาเป็นทุกข์ เขาภาวนาและสามารถลดความทุกข์ลงได้ระดับหนึ่ง แล้วเป็นกำลังใจอยู่ต่อไปเพื่อคนอื่น อย่างนี้จะเป็นมิจฉาทิฐิไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจเกิดเพื่อช่วยคนอื่นก็เป็นกำลังใจของพระโพธิสัตว์ แต่คราวนี้คำว่าทุกข์ที่คุณว่ามา คุณต้องเข้าใจว่าทุกข์มีหลายอย่าง ทุกข์โดยสภาพก็คือเกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ทุกข์เนืองนิตย์ อย่างเช่น เจ็บป่วย หนาวร้อน หิวกระหาย ทุกข์ที่เป็นไปตามสภาวะของร่างกาย หรือว่าทุกข์ที่มาบีบคั้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นคนละอย่างคนละสภาพกัน

ที่คุณบอกว่าผู้ที่ปฏิบัติธรรมสามารถลดความทุกข์ได้ ส่วนใหญ่ก็คือความทุกข์ทางใจ เพราะว่าตนเองสามารถปล่อยวางได้ ส่วนความทุกข์ทางกาย ทุกข์ตามสภาพ ทุกข์เนืองนิตย์ ท่านก็ไม่ไปดิ้นรนกับทุกข์นั้น คนที่อยู่ในกรงขังถ้าไม่ดิ้นรนมาก ก็ไม่ถลอกปอกเปิกเหมือนกับไปคนที่ดิ้นมากหรอก ทั้งที่ดิ้นไปก็ไม่พ้น ในเมื่อเห็นอยู่แล้วว่าต้องรอจนประตูกรงเปิดให้ถึงจะพ้น ก็ไม่ไปเสียเวลาดิ้นหรอก นั่งรอเวลาไป ก็คือตายพ้นไปเมื่อไร ตูก็ไม่ไปยุ่งกับเรื่องแบบนี้อีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2016 เมื่อ 02:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:53



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว