กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 29-01-2019, 18:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,151 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๒

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญ มีความชอบใจมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ วันนี้จะขอกล่าวถึงกรรมฐานกองหนึ่ง ซึ่งควรอย่างยิ่งที่เราจะต้องกระทำ เพื่อทำให้สภาพจิตใจของเรานั้นประกอบไปด้วยความอ่อนโยน เยือกเย็น สามารถทรงอารมณ์กรรมฐานกองอื่น ๆ ได้ง่าย นั่นก็คือ พรหมวิหาร ๔

พรหมวิหาร ๔ นี่มีหลายชื่อ คำว่า พรหมวิหาร คือที่อยู่ของพรหมหรือของผู้ใหญ่ แปลว่า บุคคลที่เป็นใหญ่จะต้องประกอบไปด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นปกติอย่างหนึ่ง

อีกอย่างหนึ่งเรียกว่า สัพพัตถกกรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่ประกอบไปด้วยสารพัดประโยชน์ หนุนเสริมในการปฏิบัติของเราในทุก ๆ ด้าน อีกชื่อหนึ่งเรียกว่า อารักขกรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่ช่วยรักษาตนจากอันตรายต่าง ๆ ที่จะพึงมีพึงเกิด

ในเรื่องของพรหมวิหารนั้น ส่วนใหญ่แล้วเราเองมีความเข้าใจแต่ไม่ชัดเจน พรหมวิหารจะว่าไปแล้วเป็นกรรมฐาน ๔ กองด้วยกัน

กองแรก คือ เมตตาพรหมวิหาร มีความรักเขาเสมอด้วยตัวเรา ก็แปลว่าเราชอบอะไร เราก็ทำแบบนั้นกับคนอื่น เราไม่ชอบอะไร เราก็อย่าทำแบบนั้นกับคนอื่น

กรุณาพรหมวิหาร มีความสงสาร อยากให้คนอื่นเขาพ้นจากความทุกข์ความลำบากที่เป็นอยู่

มุทิตาพรหมวิหาร มีความยินดีเมื่อเห็นคนอื่นอยู่ดีมีสุข ไม่อิจฉาริษยาใคร และ

อุเบกขาพรหมวิหาร รู้จักปล่อยวางเมื่อเกินกำลัง ก็หมายความว่าเราจะรักจะสงสารขนาดไหน ถ้าช่วยไม่ไหวก็ต้องวางเฉยไว้ก่อน มีโอกาสแล้วเราค่อยช่วยเหลือใหม่

คราวนี้ในส่วนที่เราควรจะทำก็คือการแผ่เมตตา คือการส่งกำลังใจที่เต็มไปด้วยความหวังดี ปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย อยากจะให้เขาพ้นจากกองทุกข์ อยากจะให้เขาอยู่ดีมีสุข ใครที่มีความสุขอยู่แล้วก็ขอให้มีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2019 เมื่อ 02:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 29-01-2019, 19:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,151 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากว่าเรามีการแผ่เมตตาเป็นปกติ สภาพจิตของเราจะเยือกเย็นทรงตัว ศีลทุกข้อจะรักษาได้โดยง่าย กรรมฐานทุกกองก็จะไม่แห้งแล้ง มีความชุ่มชื่น กระปรี้กระเปร่า อยากจะปฏิบัติแบบไม่เบื่อไม่หน่าย เป็นต้น

คราวนี้การแผ่เมตตานั้น ถ้าหากว่าเรากำหนดกำลังใจคิดว่า เราหวังดีปรารถนาดีต่อผู้อื่นอย่างไร กำลังใจของเราก็ทรงตัวยาก และไม่สามารถที่จะแผ่ออกไปกว้างไกลอย่างที่ต้องการ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องควบกับลมหายใจเข้าออก ก็คืออาศัยกำลังฌาณสมาบัติจากอานาปานสติในการแผ่เมตตา เพื่ออาศัยความกว้างไกล ไร้ขอบเขต ไม่มีประมาณของสมาธิที่จะเกิดขึ้น

ดังนั้น..ในการที่เรากำหนดภาวนาในแต่ละวัน เมื่ออารมณ์ใจทรงตัวเต็มที่แล้ว ก็ขอให้ทุกคนตั้งใจกำหนดแผ่เมตตา ถ้าเอาแบบที่อาตมาเคยสอนก็คือกำหนดภาพพระขึ้นมา ให้สว่างไสวที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ แล้วตั้งใจกำหนดให้รัศมีความสว่างนั้น แทนพระเมตตาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่แผ่ออกไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพทุกภูมิทุกหมู่ทุกเหล่า บุคคลใดตกอยู่ในห้วงทุกข์ ขอให้พ้นจากกองทุกข์ บุคคลใดมีความสุข ขอให้มีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป

แรก ๆ ก็กำหนดแผ่ออกมาแค่รอบตัวเรา ถ้าสมาธิทรงตัวมากก็แผ่กว้างไปทั้งห้องที่เราอยู่ ถ้ามีกำลังสูงกว่านั้นก็กว้างออกไปทั้งบ้าน กว้างออกไปทั้งหมู่บ้าน ทั้งตำบล ทั้งอำเภอ ทั้งจังหวัด ทั้งประเทศ ทั้งโลก เป็นต้น ถ้าแผ่เมตตาถึงที่สุด จะรู้สึกเหมือนตัวเราโตเต็มแผ่นดินแผ่นฟ้า โลกเราเป็นแค่วัสดุเล็ก ๆ ที่อยู่ภายใต้ร่างกายของเรา สามารถกำหนดจิตครอบคลุมให้ทั่วถึงได้โดยง่าย จักรวาลที่ประกอบไปด้วยดวงดาวต่าง ๆ นับไม่ถ้วน สามารถแผ่กำลังใจครอบคลุมให้ทั่วถึงได้โดยง่าย

ถ้าลักษณะอย่างนี้ก็แปลว่า ท่านสามารถใช้กำลังของพรหมวิหาร ประกอบกับอานาปานสติในการแผ่เมตตา ก็ขอให้กระทำทุกครั้งที่ภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัว

ถ้าอย่างหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต องค์ปรมาจารย์แห่งพระสายวัดป่า ท่านบอกว่าท่านกำหนดแผ่เมตตาใหญ่ ๆ วันหนึ่งอย่างน้อย ๓ ครั้ง แล้วแผ่เมตตาเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกนับครั้งไม่ถ้วน เพราะเหตุนี้เอง กำลังใจของท่านจึงได้ทรงตัว เยือกเย็น สามารถกำหนดกองกรรมฐานต่าง ๆ ได้ง่าย

ดังนั้น..ในเรื่องของเมตตาพรหมวิหารจึงเป็นกรรมฐานที่ต้องแสวงหา ต้องกระทำให้ได้ เพราะว่าเป็นกรรมฐานสารพัดประโยชน์ มีแต่จะหนุนเสริมการปฏิบัติของเราให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป



ลำดับต่อไป ขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม,ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันอาทิตย์ที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๒

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2019 เมื่อ 02:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:02



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว