กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านเติมบุญ

Notices

เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #41  
เก่า 09-08-2018, 22:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,147 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์เราต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง เพราะว่าเป็นของสูงควรค่าแก่การเคารพ ถ้าเราไม่เคารพแล้วใครจะเคารพ ? เพราะฉะนั้นเราถึงต้องมีตัวบทกฎหมายที่ชาวโลกเขารับกันไม่ได้ ที่ชาวโลกเขารับไม่ได้เพราะเขาคิดว่า ก็ในเมื่อเป็นคนเหมือนกัน แล้วทำไมถึงต้องไปให้ความเคารพลักษณะอย่างนั้น ทั้งที่สิทธิมนุษยชนก็เท่ากัน ฯลฯ

เรื่องนั้นก็จริง เพียงแต่ว่าเขาเองไม่ได้เข้าใจตรงจุดนี้ เพราะว่าผ่านพ้นไปแล้ว ช่วงที่เขาต้องมีกษัตริย์เป็นเครื่องยึดโยงประชากร เขาไม่มีแล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2018 เมื่อ 02:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #42  
เก่า 09-08-2018, 22:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,147 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีโยมใช้ผ้าปิดปากมา พระอาจารย์จึงกล่าวถามว่า "ปิดปากทำไมจ๊ะ ? เป็นอะไรหรือ ? ถ้าหากว่าเป็นหวัดเขาให้ปิดจมูกไปด้วย เพราะว่าถึงเราปิดปากเชื้อโรคก็ออกทางจมูก ไปปิดแต่ปากแล้วจะมีประโยชน์อะไร ? ยกเว้นเราตั้งใจว่าจะไม่คุยกับใคร แล้วก็ปิดปากไปเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2018 เมื่อ 02:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #43  
เก่า 09-08-2018, 22:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,147 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนในงานอบรมเขาถามว่า ถ้าหากว่ามีคนเข้ามาบวช เรารู้ว่าเขาเป็นพวกติดยา ทางคณะสงฆ์มีวิธีการจัดการอย่างไรบ้าง ? ก็บอกเลยว่า อันดับแรกก็คือ เจ้าอาวาสต้องพิจารณาก่อน ถ้าหากเราคิดว่าเอาอยู่ ก็เอาไปรายงานตัวกับพระอุปัชฌาย์ จับตาดูแลอย่างใกล้ชิด อย่าสร้างสิ่งแวดล้อมเดิม ๆ ให้เขาหวนกลับไปหามันอีก อย่างของวัดท่าขนุนสวดมนต์ทำวัตรวันละ ๓ รอบ เจริญกรรมฐาน บิณฑบาต มีงานทำความสะอาดส่วนกลาง เช้าเรียน บ่ายเรียน เขาไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นหรอก ก็ฟุ้งไม่ได้

ตอนนี้เขาก็ถามว่า “ถ้าวัดอื่นจะเอาโมเดลนี้ไปใช้ หลวงพ่อหวงไหมครับ ?” จะไปหวงอะไรเล่า ? ใครอยากได้ ถ้าไม่มีมาขอพระไปช่วย ยังยกให้เลย “ถ้าเกิดเขาเข้าไปในวัดแล้วตรวจเจอฉี่สีม่วงละครับ ?” ก็มีวิธีการดำเนิน ๒ วิธีด้วยกัน ถ้าเจ้าอาวาสรักลูกศิษย์พอ มีความกล้าหาญ ขอทางการว่า นี่เป็นเพียงผู้เสพ ขอตัวเอาไว้เพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยเราเป็นคนรับรองความประพฤติ ส่วนใหญ่ตำรวจจะอะลุ้มอล่วยให้ เพราะว่าเกรงใจพระ แต่ถ้าเป็นผู้ขายนี่ผิดกฎหมายชัดเจน แก้ไขอะไรไม่ได้หรอก ก็ต้องปล่อยเป็นไปตามกรรม ถ้าหากว่าเจ้าอาวาสไม่ยอมร้องขอเอาไว้ ว่าจะเป็นผู้ดูแลเองในฐานะเจ้าพนักงาน อย่างนี้เขาก็ไม่สามารถที่จะจัดการอย่างอื่นได้ นอกจากดำเนินคดีตามกฎหมาย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2018 เมื่อ 02:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #44  
เก่า 09-08-2018, 23:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,147 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เขาก็บอกว่า "ผมก็เพิ่งจะชัดเจนว่าขั้นตอนมีอย่างนี้ ส่วนเรื่องที่จะบุกเข้าไปตรวจฉี่พระจริง ๆ นี่ทำไม่ได้นะครับ" เขาว่าอย่างนั้น อาตมาก็บอกว่า "เอาอย่างนี้ เรื่องนี้ทางคณะสงฆ์เรามีหลักการปฏิบัติที่ชัดเจนก็คือ ถ้าคุณมีหลักฐานชัดเจนว่าที่วัดนี้มียาเสพติด อันดับแรกเลยไปหาเจ้าคณะตำบลหรือเจ้าคณะอำเภอที่เขาดูแลวัดนั้น ขอหนังสือร่วมมือในระหว่างหน่วยงานให้เข้าไปตรวจ ถ้ามีหนังสือร่วมมือแบบนี้เราก็สามารถเข้าไปตรวจได้

วิธีการที่สองก็คือ มีคำสั่งมาจากหน่วยงานเบื้องสูง อย่างเช่น สำนักพุทธฯ มาถึงทางด้านตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นกองกำกับการจังหวัด หรือว่าสถานีตำรวจอำเภอไหนก็ตาม เราก็สามารถถือหนังสือนี้เข้าไป แต่ถ้าจะให้ดีจริงก็คือ ขอหนังสือจากเจ้าคณะตำบลหรือเจ้าคณะอำเภอด้วยเพื่อความแน่นอน

ประการที่สาม ถ้าทำผิดซึ่งหน้าแล้วคุณบอกว่าไม่มีอำนาจ ถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ครับ ตำรวจซวยไปด้วย คือบางทีเขาก็ลืม คิดอยู่อย่างเดียวว่าเกรงใจพระ ไม่กล้าทำ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2018 เมื่อ 02:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #45  
เก่า 10-08-2018, 09:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,147 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานหล่อพระพุทธเจ้าน้อยที่วัดสามง่าม อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีธีรวงศ์ ท่านกำหนดเป็นวันที่ ๒๖ สิงหาคม ซึ่งจริง ๆ แล้วตรงกับงานหล่อพระของวัดสระพัง ปรากฏว่าหลวงพ่อพระครูไพโรจน์ภัทรคุณ วัดสระพัง ยอมถอยให้ท่านอาจารย์ เลื่อนไปเป็นต้นเดือนกันยายน พอท่านโทรมาบอก อาตมาก็บอกว่าต้นเดือนกันยายนอยู่บ้านเติมบุญ ไม่ไปสักปีหนึ่งคงจะไม่เป็นไรนะ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2018 เมื่อ 15:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #46  
เก่า 10-08-2018, 09:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,147 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๑๒ งานทำบุญวันแม่ ที่วัดท่าขนุนจัดปฏิบัติธรรมวันแม่ วันเสาร์ที่ ๑๑ วันอาทิตย์ที่ ๑๒ วันจันทร์หยุดชดเชย กำลังดูว่าทางด้านข้าราชการเขาว่างไหม ? ถ้าว่างสักบ่าย ๓ โมง ก็จะมีการจัดเจริญพระพุทธมนต์ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ ๙ ด้วย

ในชุมชนของเราต้องรักใคร่สามัคคีกัน สวดมนต์แต่ละทีมากัน ๓๐๐-๕๐๐ คน ครั้งก่อนมาต่อว่าเสียไม่มี “อาจารย์ไม่เห็นมีบทสวดมนต์ให้ผมเลย” บอกไปว่า “อาตมาทำมาตั้ง ๓๐๐ ชุด แต่โยมตะบันมา ๕๐๐ กว่า ก็ต้องหมดแหละ” เขาบอกว่า “แล้วทำไมไม่พิมพ์ไว้เยอะ ๆ แค่ชุดละไม่กี่สตางค์เอง” พระเจ้า...ถ้าพิมพ์ไว้เยอะ ๆ แล้วถ้าโยมไม่มาล่ะ ? อาตมาจะเอาไปชั่งกิโลขายคืนก็ไม่ได้ราคานั้น

บางคนปล่อยไม่ได้ วางไม่ลง “ไม่ได้นะ..เรื่องนี้ท่านต้องแก้ไขนะ” “ครับ..เดี๋ยวจะแก้ให้ครับ” ให้โยมเขาสบายใจขึ้นหน่อยว่าสั่งพระได้ บางเรื่องถ้าโยมเขาขาดสติ เราเป็นพระที่มีสติอยู่ก็ต้องบ้าตามกันไปเลย ทำให้โยมเขาพอใจหน่อยจะได้ไม่มาโกรธกัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2018 เมื่อ 15:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #47  
เก่า 10-08-2018, 10:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,147 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default


พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครต้องการหนังสือบันทึกประเทศไทย ฉบับวัดท่าขนุน ลองดูที่ตู้จำหน่ายวัตถุมงคล สี่สีทั้งเล่ม คิดเล่มละร้อยเดียว"
รูป
ชนิดของไฟล์: jpg หนังสือ.jpg (97.6 KB, 1212 views)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2018 เมื่อ 15:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #48  
เก่า 10-08-2018, 19:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,147 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เมื่อวานตอนสาย ๆ เดินไปอยู่ ๆ ก็มีความรู้สึกว่า เมื่อละบาปได้แล้วให้ละบุญด้วย ก็พิจารณาว่า เอ๊ะ...เป็นอย่างไร ? พิจารณากลับไปกลับมาก็มาลงที่ว่า ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ พระสงฆ์ที่เป็นขีณาสพต่าง ๆ ท่านไม่เอาทั้งบุญทั้งบาป แล้วท่านดำรงได้อย่างไร ก็ได้เห็นว่าเพราะมีวิหารธรรม คือ ธรรมที่เป็นเครื่องอยู่ ก็ไปค้นในกูเกิ้ล พบว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ในเสนาสนสูตร ว่าวิหารธรรมมีอานาปานสติ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ จาคานุสติ เทวตานุสติ และสีลานุสติ ก็เลยมาเข้าใจว่า ท่านละต่าง ๆ แล้ว ท่านก็อยู่ด้วยวิหารธรรมสิ่งนี้นั่นเอง ?

ตอบ : จริง ๆ แล้วก็คือตัวปัญญา เป็นปัญญาในอุเบกขา เกิดจากการหยุดปรุงแต่งทั้งปวงแล้ว รู้ว่าดีเราก็ทำ รู้ว่าชั่วเราก็ละ ทำดีเพื่อความไม่ประมาท และเป็นแบบอย่างกับคนอื่น ละชั่วเพื่อความไม่ประมาท และเป็นแบบอย่างกับคนอื่น ประคับประคองกาย วาจา ใจ ของตัวเราเอาไว้เฉพาะหน้าเท่านั้น

พูดง่าย ๆ ก็คือตอนนี้ทำเพราะดี ละเพราะชั่ว แต่ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว เป็นตัวปัญญา แล้วก็ต้องบอกว่าตัวอุเบกขาที่ว่านั้นเป็นสังขารุเปกขาญาณ คือปล่อยวางในสิ่งทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ถึงเวลาก็ไปอย่างสง่างามที่สุด สำคัญตรงที่ว่าสิ่งที่ท่านทำจะเป็นแบบอย่างแก่คนรุ่นหลัง แล้วที่แน่ ๆ ก็คือ ท่านทรงความไม่ประมาทเป็นปกติ ต่อให้รู้ว่าพ้นปากเหวแล้วก็ยังคงไปให้ไกลที่สุด ไม่ใช่ไปยืนเอ้อระเหยอยู่แถวนั้น

ถึงได้บอกว่าตอนนี้เชื่ออย่างเดียว สงสัยแล้วค่อยมาถาม เพราะว่าอารมณ์ที่เราวางนั้นใช่แล้ว แต่ก็ประมาทไม่ได้ จะต้องคอยคิดอยู่เสมอว่าเราอาจจะโดนหลอก เพราะฉะนั้น..อะไรว่ามาพยายามพิจารณาดู แล้วถ้าหากว่าติดขัดตรงไหนก็มาถาม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2018 เมื่อ 19:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #49  
เก่า 10-08-2018, 19:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,147 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ก็ใช่ แต่คราวนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ เพราะ รัก โลภ โกรธ หลง ยิ่งสาวจะยิ่งลึก ยิ่งเล็ก ยิ่งละเอียดไปเรื่อย ถ้าปัญญารู้ไม่เท่าทันก็ลำบาก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเปรียบว่าใหม่ ๆ เหมือนเรายิงช้าง ตัวใหญ่ยิงง่าย แต่พอถึงเวลาก็เล็กลงไปเรื่อย ๆ เป็นเสือ เป็นกวาง เป็นเก้ง เป็นหนู ท้ายที่สุดดันเป็นยุง...!

เรื่องของปัญญาต้องเท่าทันจริง ๆ ถ้าปัญญาเท่าทันจะเห็นชัดเจนว่า นั่นคือสิ่งที่ใหญ่และจัดการได้ง่าย แต่ถ้าปัญญาไม่เท่าทัน อนุสัยกิเลสนี่เราควานไม่ถึงหรอก การปฏิบัติใหม่ ๆ ท่านเปรียบเหมือนกับตัดต้นไม้ เราตัดต้นไม้ใหญ่หลายคนโอบ ล้มลง ฟ้าสะท้านดินสะเทือนเลย แต่ปรากฏว่าพอขุดลงไปรากเยอะกว่ากิ่งข้างบนอีก แล้วยิ่งลึกลงไปก็ยิ่งเล็กลง ๆ ๆ ถ้าหากว่าตัดหมดได้จริง ๆ นั่นก็คือหลุดพ้นเลย


ถาม : จะละอนุสัยกิเลสได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็สติ สมาธิ ปัญญา สร้างสติด้วยอานาปานสติให้มั่นคง จนกระทั่งทรงเป็นฌาน พยายามสร้างฌานให้มีความคล่องตัว ชนิดเข้าเมื่อไรออกเมื่อไรก็ได้ แล้วใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษว่า ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ แต่ละอย่างเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไร พอเห็นทุกข์โทษชัดเจน จิตจะเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ค่อย ๆ ถอนห่างออกมา ถ้าห่างขาดกันไปเลยก็จบ

ถาม : จริง ๆ แล้วเกิดจากการที่เราปล่อยให้เกิด ?
ตอบ : ก็คือถ้าหยุดการปรุงแต่งก็จะจบ แต่ถ้าหยุดไม่ได้ ตาเห็นรูปคิด หูได้ยินเสียงคิด จมูกได้กลิ่นคิด ลิ้นได้รสคิด กายสัมผัสคิด คิดชอบก็กลายเป็นราคะ เป็นโลภะ คิดไม่ชอบก็เป็นโทสะ เป็นโมหะ กินเราทั้งขึ้นทั้งล่อง แล้วทำอย่างไร ? เราก็ต้องหยุดอยู่กับปัจจุบันนี้ ยังไม่สามารถจัดการกับกิเลสได้ก็อย่าไปทำเพิ่ม

เมื่อหยุดอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา สั่งสมกำลังสมาธิจนพอ ค่อยหันไปฟัดกับกิเลส ใช้ตัวปัญญาเป็นเครื่องประกอบว่า เราจะไปมุมไหนแง่ไหนเราถึงจะชนะ แล้วก็ค่อย ๆ ตัด ค่อย ๆ ละไปทีละเล็กทีละน้อยตามกำลังของเรา จนกระทั่งถ้ากำลังเพียงพอ สติสมาธิเต็มที่แล้ว ก็ตัดละกันไปทีเดียว ถึงเวลานั้นญาณคือเครื่องรู้จะเกิดขึ้น ท่านบอกว่า ญาณัง โหติ ขีณา ชาติวุสิตัง ญาณปรากฏขึ้น รู้ว่าสิ้นกิเลสแล้ว
การเกิดไม่มีอีกแล้ว พรัหมะจะริยัง กะตัง กะระณียัง จบพรหมจรรย์ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มอีกแล้ว

ถาม : ถ้าเป็นฆราวาสละครับ ?
ตอบ : ก็ไม่มีอะไร ก็ทำไป ถ้าหากว่าจบจริง ๆ ก็หมดธุระก็ตายภายในไม่เกิน ๗ วัน ไม่มีอะไรต้องห่วงต้องกังวล ถึงเวลาเราตายจริง ๆ ก็ไม่มีใครเขามาอยู่ดูหรอก ว่าใครจะจัดการอะไรให้เรา เพราะว่าไปแล้ว

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : จะทุ่มเทอย่างนั้นก็ได้ แต่ถ้าทำอย่างนั้นก็ควรจะไปบวชเลย แต่ถ้าหากว่าไม่ขนาดนั้น อยู่ในระหว่างนี้ ก็คงได้แต่ประคับประคองรักษาอารมณ์ไว้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2018 เมื่อ 20:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #50  
เก่า 10-08-2018, 19:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,147 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ที่วัดมีสอนมโนมยิทธิไหมครับ ?
ตอบ : ของวัดท่าขนุนไม่ได้เน้นมโนมยิทธิ ของเราเน้นว่าแต่ละคนถนัดแบบไหนมาให้ทำอย่างนั้น ถ้าติดขัดแล้วค่อยมาถาม เพียงแต่ว่าทำวัตรเช้าเย็น ๓ รอบ แต่ว่าช่วงเช้ามืดเจริญกรรมฐาน ตอนตี ๔ ก็เปิดเสียงหลวงพ่อวัดท่าซุง ที่เหลือก็กิจกรรมอื่น ๆ

ถาม : ตอนนี้วัดท่าซุงยังสอนมโนมยิทธิไหมครับ ?
ตอบ : ก็ยังสอนของเขาอยู่

ถาม : มีอะไรแนะนำไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มี จะทำอะไรก็ให้รอบคอบแล้วค่อยตัดสินใจ เพราะว่าเป็นอนาคตของเราเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2018 เมื่อ 20:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #51  
เก่า 10-08-2018, 19:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,147 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไม่เคยมีเงินติดบัญชีน้อยขนาดนี้มา ๒๕ ปีแล้ว เหลือติดบัญชีอยู่แค่หมื่นกว่าบาท เพราะว่างานประดังเข้ามาพร้อม ๆ กัน แม้กระทั่งหน่วยไตเทียมเขาก็มาเบิกเงินประกันผลงาน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2018 เมื่อ 20:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #52  
เก่า 10-08-2018, 20:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,147 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีโยมเอาผ้าไตรมาถวาย "ต่อไปมาแต่สีพระราชนิยมนะ ไม่ว่าจะเป็นสบง จีวร อะไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าพระทั้งประเทศต้องใช้สีนี้ แนวโน้มว่าจะไม่ให้พระใส่สีอื่น แบบที่หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า "พระเจ้าชู้" ใส่สีเหลืองสดมาเชียว ความจริงแล้วเป็นลักษณะของการตำหนิแบบครูบาอาจารย์ ก็คือวัดท่านห่มสีอย่างนี้ ท่านก็ต้องห่มตาม ไม่อย่างนั้นเจ้าอาวาสก็ไม่ให้อยู่ด้วย คราวนี้พอไปวัดป่าก็ต้องไปย้อมใหม่ให้เป็นสีแบบวัดป่า

จีวรสีนี้เขาเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สีพระราชนิยม บางคนเรียกว่า สีกรักทอง เป็นสีที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ ๑๙ ท่านศึกษาค้นคว้า แล้วก็นำถวายให้ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทอดพระเนตร เป็นที่ชอบพระทัย เวลาเข้าวังก็เลยห่มสีนี้ จึงเรียกกันว่าเป็นสีพระราชนิยม ก็คือเป็นสีที่พระราชานิยมชมชอบ แต่ก็ยังมีห่มสีแดง
ห่มสีเหลือง ห่มสีกรักออกดำแบบพระวัดป่า

ในเมื่อมีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนเป็นสีเดียวกันทั้งประเทศ หนเหนือจะเป็นหนที่ลำบากที่สุด เพราะว่าหนเหนือส่วนใหญ่จะห่มสีเหลืองกับสีแดงแบบพระพม่า แต่ครูบาบุญชุ่มยังต้องเปลี่ยนสีเลย เพราะฉะนั้น...คนอื่นก็จงเปลี่ยนเสียดี ๆ เถอะ ในวงการสงฆ์ตอนนี้ถ้าเจอใครห่มเหลืองมาก็บอก “เฮ้ย...ยังตีโจทย์ไม่แตกใช่ไหม ? เดี๋ยวจะช่วยทำให้” เจอโจทย์ยากไปหน่อย ทำไม่ค่อยจะถูก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2018 เมื่อ 20:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #53  
เก่า 10-08-2018, 20:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,147 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันก่อนปลัดตั้ม (พระปลัดอาทิตย์ ชุตินฺธโร) สอนวิชาธรรมวิภาคกับพระใหม่ ท่านบอกว่า “ผมสอนไม่เหมือนคนอื่นนะ ผมจะถามเขาว่าเรื่องนี้คิดอย่างไร ? ถ้าหากว่าประสบปัญหาแบบนี้จัดการอย่างไร ?” อาตมาบอกว่า “ฟังดูเข้าท่าดีนะ แต่ใช้ไม่ได้หรอก” ท่านถามว่าทำไม ? “ที่คุณว่ามานั้น เหมาะสำหรับบุคคลที่มีพื้นฐานการปฏิบัติในระดับสูงมากแล้ว ถ้าไม่มีพื้นฐานการปฏิบัติมาก่อนเขาจะไม่รู้เรื่อง โดยเฉพาะพระใหม่บวชเข้ามา เราต้องคิดอยู่เสมอว่าเขาไม่รู้อะไรเลย แล้วพยายามทำอย่างไรให้เขารู้ให้มากที่สุด ไม่ใช่ว่าเรารู้อย่างนี้แล้ว ผมก็ถามว่าคุณรู้แบบผมไหม ? ก็บรรลัยสิครับ”

อาตมาถึงได้บอกว่า หลายคนซึ่งอาตมาเจอมาตั้งแต่สมัยก่อนเรียนปริญญาเอก จบด็อกเตอร์มาแล้วพูดกับชาวบ้านไม่รู้เรื่อง เพราะว่า “ขึ้นได้ ลงไม่ได้” ก็กูรู้แล้วกูก็พูดอย่างนี้ มึงจะรู้หรือเปล่าก็เรื่องของมึงเถอะ..!

ชาวบ้านทั่วไปแถว ๆ นั้น เวลาเข้าอบรม ภาษาไทยยังไม่ค่อยได้เลย รู้แต่ "ออหมี่ ออที" พอไปถึงก็ “อุปโภค บริโภค” ก็บ้ากันไปข้างหนึ่งเท่านั้น

หลายคนมีความรู้ดีมาก แต่น่าเสียดายว่าเป็นอาจารย์ที่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะว่าถ่ายทอดไม่เป็น คิดอยู่เสมอว่าตัวเองรู้แล้ว คนอื่นต้องรู้ตาม ครูบาอาจารย์ที่ดีต้องคิดอยู่เสมอว่า “ลูกศิษย์ไม่รู้อะไรเลย ไม่มีพื้นฐานอะไรเลย ต้องพูดสิ่งที่ง่ายที่สุดไว้ก่อนเสมอ” เพราะฉะนั้น...โยมไม่ต้องสงสัยหรอกว่าอาตมาไปสอนหนังสือ ทำไมลูกศิษย์เรียกร้องให้สอนห้องโน้น ห้องนี้ ห้องนั้น ปัจจุบันนี้ที่วัดไร่ขิงวันหนึ่งสอน ๕ ห้อง ๑๐ ชั่วโมง เขาบอกว่าคนอื่นสอนแล้วฟังไม่รู้เรื่อง เอาพระอาจารย์เล็กมาสอนเถอะ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-08-2018 เมื่อ 02:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #54  
เก่า 10-08-2018, 20:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,147 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ที่ตลกที่สุดก็คือ วันก่อนเจ้าหน้าที่วิ่งไล่ตาม “ช่วยเซ็นรับเงินเดือนด้วย ๓ เดือนแล้วค่ะ” “อ้าว...แล้วคุณปล่อยให้ค้างได้อย่างไร ?” “ก็หลวงพ่อมาถึง ไม่ทันจะเห็นก็เข้าห้องไปแล้ว สอนเสร็จหลวงพ่อก็กลับเลย” ส่วนใหญ่อาตมาไปสอนหนังสือ ก็ตั้งใจเป็นธรรมทาน ของวัดไร่ขิงไม่ได้คิดเงินเขาเลย ทั้ง ๆ ที่ถ้าตามเงินเดือนปริญญาเอกคือ ๓ หมื่นกว่าบาท

ปรากฏว่าช่วงเดือนที่แล้วมีการประชุมคณาจารย์ ท่านเจ้าคุณพระเทพศาสนาภิบาล หรือหลวงพ่อเจ้าคุณแย้ม ท่านบอกว่า “การไม่รับเงินเดือนนั้นดี แต่คนอื่นอย่าอมของท่านสิวะ..! ให้ท่านเบิกออกมาแล้วเอาเข้ากองทุนการศึกษาของวิทยาลัยสงฆ์เอาไว้ เท่ากับว่าท่านให้ทุนการศึกษาทุกเดือน” นี่ก็คือการคิดแบบผู้ใหญ่ แต่สำหรับเจ้าหน้าที่ในสำนักงานเขาก็ เออ...พระอาจารย์เล็กไม่รับ เขาก็แค่กากบาดชื่อไว้ ถึงเวลาก็ไม่ต้องจ่าย

แต่มาจะแย่ตรงที่ว่าพอรับแล้วต้องเสียภาษี เนื่องจากว่าไม่ใช่เงินการกุศล แต่เป็นเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดิน สรุปว่าพระอื่นเสียภาษีหรือไม่เสียก็ไม่รู้ บรรดาพระอาจารย์ที่สอนหนังสือนี่เสียแน่นอน ถ้าหากว่าปีหนึ่งไม่เกิน ๑๕๐,๐๐๐ เสียร้อยละ ๕ ถ้าหากว่า ๓๐๐,๐๐๐ ขึ้นไป
โดนแน่ ๆ ร้อยละ ๘ เลย เพราะว่าเดือนหนึ่ง ๓ หมื่นกว่า

ในเรื่องของงบประมาณ ในแต่ละหน่วยงานส่วนใหญ่จะมีรายจ่ายถัวเฉลี่ย คือถ้ารายการนี้ไม่พอ รายการโน้นเกินมา ก็เกิดการดึงกันไปดึงกันมา ทำอย่างไรให้อยู่ในเงินจำนวนนั้น อาตมาไม่รับเงินเดือนก็จริง แต่ก็โดนเขาเอาไปถัวเฉลี่ยจนหมดอยู่ดี หลวงพ่อเจ้าคุณแย้มท่านทนไม่ได้ ให้เบิกออกมาแล้วให้เป็นทุนการศึกษาไป"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-08-2018 เมื่อ 02:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #55  
เก่า 10-08-2018, 20:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,147 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตั้งแต่ปี ๒๕๕๖ ที่ทำโครงการหล่อพระพุทธรูปทองคำ อาตมารับกิจนิมนต์ทุกงาน ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยที่เจ้าภาพถวายมาก็ดี หรือว่าญาติโยมที่ไปร่วมงานใส่ย่ามมาก็ดี อาตมาเอาลงหล่อพระทองคำหมดเกลี้ยงเลย จนกระทั่งถึงวันหล่อพระเสร็จ ก็แปลว่าจนประมาณกุมภาพันธ์ - มีนาคมปีหน้าโน่น คนอื่นจะเป็นเจ้าภาพหล่อไม่หล่อไม่รู้หรอก อาตมาเป็นเจ้าภาพหล่อเดือนหนึ่งหลายครั้ง

สำหรับเดือนนี้งานสำคัญก็คืองานทำบุญวันแม่ โยมพ่ออาตมาตายวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๑๘ โยมแม่ตายวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๑ อาตมาบอกกับทางญาติว่า "ทำบุญให้ครั้งเดียว เลือกเอาว่าจะเอาวันไหน" ทุกคนเลือกเอาวันที่ ๑๒ สิงหาคม เพราะว่าหยุดงาน ดังนั้น..ถึงบอกว่าทำบุญวันแม่ แต่จริง ๆ แล้วก็คือทำบุญให้ทั้งพ่อและแม่ด้วย แล้วเงินส่วนนี้อาตมาก็ใช้เงินส่วนตัวทำบุญ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยกลายเป็นว่า ถ้าหากว่าญาติโยมร่วมบุญมา อาตมาจะต้องเอาเข้าบัญชีส่วนตัวก่อน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-08-2018 เมื่อ 02:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #56  
เก่า 10-08-2018, 20:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,147 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ตั้งแต่ทำบุญงานศพโยมแม่ หักค่าใช้จ่ายหมดทุกอย่างแล้ว โดยที่ญาติพี่น้องท่านอื่นร่วมบุญหรือไม่ร่วมบุญมาก็ตาม ก็ถือว่าอาตมาเหมาจ่ายคนเดียว มีเงินเหลืออยู่หลายแสน อาตมาเอาเข้ากองทุนรักษาพยาบาลพระภิกษุสามเณร แล้วก็เพิ่มให้ปีละหนึ่งหมื่นบาททุกปี ถือว่าทุนตั้งต้นเกิดจากเงินทำบุญของแม่ เงินที่เหลือจึงต้องทำประโยชน์ให้กับส่วนรวมให้มากที่สุด

ดังนั้น...เป็นเรื่องที่ต้องบอกว่า สำหรับคนอื่นทำน่าจะไปไม่รอด แต่สำหรับอาตมานี่นั่งนับเงินให้โยมอยู่ตรงนั้นแหละ นับไป ๑๐ ใบ นับอีกรอบหนึ่งเป็น ๑๒ ใบ สนุกมากเลย นับบ่อย ๆ ก็ได้เยอะขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อวันก่อนนับสังฆทานสลากภัตให้กับพระ กองละ ๓๐๐ บาท ปรากฏว่าพอถึงเวลาจะเอามาเหน็บไม้เพื่อที่จะเอาไปเสียบที่กองสลากภัต นับไปนับมากลายเป็นกองละ ๔๐๐ บาทเกือบทุกกอง เออ...เข้าท่าโว้ย..ต้องนับบ่อย ๆ ไม่รู้ว่าใครแอบร่วมบุญมาโดยไม่บอกไม่กล่าว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-08-2018 เมื่อ 02:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #57  
เก่า 12-08-2018, 18:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,147 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การถวายสังฆทานแบบไม่เจาะจงว่าร่วมบุญอะไร กับบางทีเขาอยากจะเจาะจงว่าจะเอาไปทำบุญเป็นค่าน้ำค่าไฟ อานิสงส์แตกต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูด้วย ถ้าเป็นค่าน้ำค่าไฟของวัดถือว่าเป็นสังฆทาน เพราะว่าพระทั้งวัดใช้ร่วมกัน แต่ถ้าหากว่าถวายไปแล้วท่านเอาไปใช้เฉพาะกุฏิเดียวก็ไม่ใช่สังฆทาน

ถาม : ในกรณีที่ถวายให้วัดเพื่อสังฆทาน การถวายแบบนั้นกับไม่ระบุว่าถวายสังฆทาน แบบไหนดีกว่า ?
ตอบ : ไม่ระบุดีกว่า แบบเดียวกับวันก่อนญาติโยมไปวัด ตั้งใจจะไปถวายสังฆทานกับพระอาจารย์เล็ก บอกว่าถ้าคุณตั้งใจแบบนั้นจะไม่ใช่สังฆทานนะ พระที่ทำหน้าที่รับสังฆทานมีอยู่ อาตมาตั้งพระเวรรับสังฆทานไว้ ๖ รูป ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ปีนี้เพิ่มเป็น ๘ รูป แต่เขาก็ไม่ยอม เขาจะถวายกับพระอาจารย์เล็กให้ได้ บอกว่าจะตามมาถวายที่นี่ อาตมาก็เลยสงสัย ตกลงว่าจะเป็นสังฆทานไหม ?

ถาม : การเลือกผู้รับล่ะครับ เนื้อนาบุญ ?
ตอบ : ถูก แต่ว่าควรจะเลือกในลักษณะที่ว่าท่านเป็นตัวแทนสงฆ์ ไม่ใช่จำเพาะเจาะจงว่าต้องรูปนี้ ถ้าหากว่าเรื่องของสังฆทานนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของเนื้อนาบุญ สังฆทานเป็นข้อยกเว้นพิเศษ ท่านบอกว่าวาระสุดท้ายของพระศาสนา ต่อให้เพศของพระเหลือเพียงผ้าเหลืองน้อยห้อยหู รักษาศีลได้แค่ ๔ ข้อ คือยังไม่ล่วงในปาราชิกทั้ง ๔ ถ้าตั้งใจถวายเป็นสังฆทาน ก็ได้อานิสงส์เต็มเหมือนกับถวายสังฆทานซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน

ถ้าสงสัยว่าเพศพระเหลือเพียงผ้าเหลืองน้อยห้อยหูเป็นอย่างไร ให้ดูพระญี่ปุ่น ปัจจุบันนี้พระญี่ปุ่นใส่สูทผูกไท เพียงแต่ว่าที่เสื้อจะมีเครื่องหมายติดอยู่แถบเล็ก ๆ เท่านั้นเอง ให้รู้ว่านี่คือพระ พระของญี่ปุ่นเขาไปไกลแล้ว ในเมื่อไปไกลอาตมาก็โมทนา แต่ไม่ไปด้วย...ไกลเกินไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-08-2018 เมื่อ 15:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #58  
เก่า 12-08-2018, 18:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,147 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โยมทำอาหารมาถวาย "ทำอะไรมาก็ได้ ขออย่าหวานก็พอ อาตมาสั่งโรงครัวที่วัดแล้ว เอาน้ำตาลโยนทิ้งไปเลย ไม่ต้องเหลือไว้ สมัยนี้ขนาดน้ำพริกหรือแกงส้มยังหวานเลย กินกันเข้าไปได้อย่างไร ?

ใครที่บอกว่าอาหารรสหวานเป็นรสชาววัง ชาววังได้ยินคงงับหัวขาด..! ในวังเขาไม่กินหวาน อาหารไทยทั้งหมดมีของหวานหลังอาหารอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..อาหารจะไม่มีรสหวาน ยกเว้นพวกแกงบวนแกงบอนที่จะมีรสหวานอยู่นิดหนึ่ง นอกนั้นแล้วก็ประเภท เปรี้ยว เค็ม มัน เผ็ดเป็นปกติ เสร็จแล้วเขาจะมีของหวานตามมาหลังอาหาร แล้วของหวานเราก็วิลิศมาหรามาก

เรื่องนี้ใครไปอ้างว่ากินหวานเพราะเป็นรสชาววัง โปรดระวังไว้ เดี๋ยวชาววังเจอหน้าจะโดนงับหัวแหว่ง...!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-08-2018 เมื่อ 15:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #59  
เก่า 12-08-2018, 18:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,147 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ที่วัดน้ำท่วมไหมคะ ?
ตอบ : จะไปท่วมอะไร ถ้าที่วัดน้ำท่วม กรุงเทพฯ จะอยู่ใต้น้ำ ๖๖๐ เมตร เพราะว่าทองผาภูมิสูงกว่ากรุงเทพฯ ๖๖๐ เมตร

ถาม : เห็นสังขละฯ ท่วม ?
ตอบ : สังขละฯ ท่วมเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าบ้านแถวนั้นอยู่ข้างห้วย บ้านเกาะสะเดิ่งนี่ยิ่งหนักเลย มีห้วยล้อมอยู่ โดยปกติแล้วก็จะโดนน้ำป่าทุกปี แต่คราวนี้น้ำป่ามาแล้วตูมหนึ่งไม่กี่ชั่วโมงก็ผ่านไป แต่ปีนี้มีฝนไม่ยอมหยุดมาเดือนครึ่งแล้ว ตกหนักเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า

ตอนนี้ข้าวของที่อาตมาส่งไปช่วย ๓ รอบ ถ้าไม่ค้างที่ อบต.ไล่โว่ ก็จะไปค้างที่บ้านกองม่องทะ เพราะว่าไม่สามารถจะข้ามสะพานข้ามห้วยที่เข้าไปบ้านสะเหน่พ่องได้ น้ำแรงขนาดรถลอย หวังว่าฝนจะหยุดให้สัก ๒ วัน เพื่อที่น้ำลดแล้วจะได้ผ่านไปได้ แต่ปรากฏว่าไม่ยอมหยุดสักวัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-08-2018 เมื่อ 15:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #60  
เก่า 12-08-2018, 18:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,147 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เมื่อวานเขาปล่อยน้ำในเขื่อนมา ใจคอไม่ดีเลย ?
ตอบ : ทางด้านเหนือด้านอีสานยังไม่เท่าไรหรอก เพราะว่าเขื่อนยังรับน้ำได้อีกมาก แต่ว่าทางด้านกาญจนบุรีกับทางด้านปักษ์ใต้นี่รับน้ำจนจะเต็มอยู่แล้ว น้ำเข้าอ่างวันหนึ่งเฉลี่ยประมาณ ๑๓๐ ล้านลูกบาศก์เมตร แล้วเขาระบายออกวันละ ๒๘ ล้านลูกบาศก์เมตร ระบายออก ๒๘ ล้านกับเข้าไป ๑๓๐ ล้านนี่อย่างไรเสียก็มากกว่ากันไม่รู้กี่เท่า แล้วบางวันฝนหนักก็ปาไปเสียเกือบ ๑๘๐ ล้านลูกบาศก์เมตร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-08-2018 เมื่อ 15:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:07



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว