กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 21-03-2019, 09:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๒

ขอให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ ดังที่ได้กล่าวไว้ตอนก่อนที่จะสมาทานพระกรรมฐานว่า ภัยคุกคามของพุทธศาสนาของเรานั้น ปรากฏเด่นชัดขึ้นมาทุกที ถ้าเรายังประมาทอยู่ พระพุทธศาสนาที่เรารักอาจจะไม่เหลืออะไรไว้เลย

ซึ่งตรงจุดนี้ วิธีการที่จะแก้ไขที่ดีที่สุดก็คือ พุทธบริษัท ๔ ซึ่งเป็นองค์กรที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตั้งเอาไว้ ประกอบไปด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

ซึ่งถ้าแบ่งแยกออกไปแล้วก็เป็นฝ่ายอนาคาริก คือผู้ไม่ครองเรือน ได้แก่ ภิกษุรวมสามเณรด้วย ภิกษุณีนับรวมแม่ชีเข้าไปด้วย อุบาสกอุบาสิกาคือฆราวาสชายหญิงที่คอยค้ำจุนพระพุทธศาสนา ในส่วนของฆราวาสชายหญิงนั้นเป็นอาคาริก คือผู้ครองเรือน มีครอบครัว ทำมาหากินตามปกติ เมื่อมีส่วนเหลือจากการกินการใช้แล้ว ก็นำมาเจือจุนฝ่ายอนาคาริกคือภิกษุภิกษุณี ซึ่งไม่มีการทำมาหากิน ไม่มีอาชีพ

เมื่อฝ่ายภิกษุภิกษุณีได้รับการอุดหนุนด้วยปัจจัย ๔ สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ลำบากมากนัก อาศัยที่มีเวลามากกว่าเพราะว่าไม่ได้ทำมาหากิน ก็เร่งรัดในการปฏิบัติธรรม จนกระทั่งสามารถเข้าถึงมรรคถึงผลอย่างแท้จริง เมื่อบุคคลที่เข้าถึงมรรคถึงผลอย่างแท้จริงมาบอกทางให้เราเดิน ก็จะเป็นทางที่ง่ายที่สุด เพราะว่าท่านเดินมาเองแล้ว รู้ว่าตรงไหนมีอุปสรรค ตรงไหนมีความคล่องตัว เมื่อนำเอาส่วนที่ง่ายนี้มาบอกกล่าวต่ออุบาสกอุบาสิกา อุบาสกอุบาสิกาก็อาศัยทางลัดที่เรียนรู้จากประสบการณ์ของภิกษุภิกษุณีนั้น ก้าวเข้าไปสู่มรรคสู่ผลของตนได้ง่ายยิ่งขึ้น แม้ว่าจะมีเวลาน้อยเพราะติดด้วยการทำมาหากิน

คราวนี้ในปัจจุบันนั้นภิกษุณีไม่มีแล้ว ที่มีอยู่ที่เห็นอยู่นั้นเป็นภิกษุณีสายมหายาน ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เพียรพยายามที่ต้องการความยอมรับจากทางราชการและคณะสงฆ์ไทย แต่เนื่องจากว่าในเรื่องของธรรมวินัยนั้น ภิกษุณีของเราหมดไปแล้ว ไม่สามารถที่จะรื้อฟื้นได้ เพราะว่าปวัตตินีคือพระอุปัชฌาย์ของฝ่ายภิกษุณีไม่มี ไม่สามารถที่จะให้การบวชแก่สิกขมานาได้ เมื่อบวชแล้วก็ยังต้องมาญัตติในฝ่ายภิกษุอีกครั้งหนึ่ง เรียกว่าอุภโตสังฆอุปสัมปทา ก็คือการบวชในสงฆ์ทั้งสองฝ่าย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-03-2019 เมื่อ 03:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 21-03-2019, 09:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าหากว่าองค์กรพระพุทธศาสนาของเราเป็นรถ ล้อข้างหนึ่งก็หลุดหายไปแล้ว เหลือล้ออีก ๓ ข้างคือ ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งก็ต้องนับแม่ชีเข้าไปในส่วนของอุบาสิกา ภิกษุก็นับสามเณรรวมเข้าไปด้วย เหลือ ๓ ล้อแต่วิ่งได้ไม่เต็มที่ เพราะว่าในส่วนล้อของภิกษุสามเณร ก็โดนบีบโดนบังคับด้วยระเบียบ ด้วยมติ ด้วยกฎมหาเถรสมาคม ที่ออกมาก็ไม่เคยที่จะอำนวยความสะดวกแก่พระพุทธศาสนา ไม่ได้ออกมาเพื่อให้คนอุปสมบทได้ง่ายขึ้น แต่ออกมาเหมือนกับกีดกันไม่ให้คนอุปสมบทได้

อุบาสกอุบาสิกานั้น กระแสโลกที่แรงมากก็ดึงห่างไกลวัดออกไปทุกขณะ ทำให้องค์กรพุทธบริษัท ๔ พิกลพิการ ถ้าเป็นรถก็วิ่งสูบกว่า ๒ สูบไม่ถึง ๔ สูบ แล้วจะเอากำลังที่ไหนมาวิ่งพาไปสู่จุดหมายปลายทาง ก็มีอยู่อย่างเดียวคืออุบาสกอุบาสิกาของเราต้องเลิกนิ่งดูดาย ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมของเราให้เกิดมรรคเกิดผล เมื่อเกิดแล้วเราจะได้ยืนยันว่า พุทธศาสนานั้นดีจริง แล้วเอาไปบอกต่อ

การที่เราทำได้แล้วไปบอกต่อ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะขลังจะศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่ามีตัวเรานั้นเป็นสักขีพยาน ผู้อื่นก็จะคล้อยตามมาง่าย เพราะเห็นว่าเราปฏิบัติแล้วได้ผล ถ้าหากว่าหลาย ๆ คนปฏิบัติแล้วได้ผล พุทธศาสนาของเราก็จะมั่นคงขึ้นไปเรื่อย ๆ และท้ายที่สุดก็จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกวาระหนึ่งเหมือนดั่งสมัยพุทธกาล

อาตมาจึงขอย้ำว่า อย่าปล่อยให้องค์กรพุทธบริษัท ๔ อยู่ภายใต้การบริหารของพระภิกษุสามเณรเท่านั้น เพราะว่าพระภิกษุสามเณรนั้นโดนบีบคั้นด้วยศีล ด้วยกฎหมายบ้านเมืองมากขึ้นไปเรื่อย ๆ อุบาสกอุบาสิกาของเราที่นิ่งดูดายมานาน ต้องเร่งรัดตนเองเพื่อให้เกิดมรรคเกิดผล จนสามารถเป็นทนายแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนา สามารถที่จะอวดเขาได้อย่างเต็มที่ว่า ธรรมะของพุทธศาสนานี้มีความดีเลิศอย่างไร

จึงขอฝากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เอาไว้ ให้ท่านทั้งหลายได้ตระหนักว่า ถ้าหากว่าเราไม่เร่งรัดการปฏิบัติของเราให้เกิดผล ศาสนาพุทธของเราจะเสื่อมโทรมไปและหมดสภาพลงในระยะเวลาอันรวดเร็ว

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๒

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้า)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-03-2019 เมื่อ 03:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:39



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว