กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 12-04-2015, 14:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,075 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๘

ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ สำหรับวันนี้จะกล่าวถึงเรื่องการปฏิบัติของเราในส่วนของความเพียร เนื่องจากว่าเป็นส่วนที่พวกเราขาดกันมากเป็นพิเศษ ความเพียรคือ วิริยบารมี เป็นบารมีหนึ่งใน ๑๐ ประการ ถ้าเราขาดความเพียรเสียแล้ว การปฏิบัติของเราย่อมไม่เกิดผล

ความเพียรนี้ต้องทำถึงระดับไหน ? ก็ต้องกล่าวกันว่า ทำถึงระดับฝนทั่งให้เป็นเข็ม สำหรับเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่รู้จักว่าทั่งคืออะไร ? ทั่งคือแท่งเหล็กก้อนใหญ่ที่เขาเอาไว้รองเวลาตีเหล็ก เผาเหล็กชิ้นหนึ่งแดงแล้ววางไปบนทั่ง แล้วใช้ค้อนทุบตีเพื่อให้ได้รูปตามที่ต้องการ แปลว่าเราต้องฝนเหล็กทั้งก้อนใหญ่ ๆ จนกลายเป็นเข็มให้ได้ ต้องใช้ความเพียรถึงระดับนั้น ดังนั้น..ถ้าเราประกาศตนว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมแล้วขาดความเพียร ชีวิตนี้ของเราย่อมไม่สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้

ความเพียรพยายามนั้น ถ้ากล่าวกันในภาษาบาลี ท่านว่า วายเมเถว ปุริโส แปลง่าย ๆ ว่า เกิดเป็นคนต้องมีความเพียรพยายามอยู่ร่ำไป จึงประสบความสำเร็จได้ตามที่ต้องการ ปุริโสในที่นี้ไม่ได้แปลว่าบุรุษหรือผู้ชาย แต่แปลว่าบุคคล จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็นับเป็นบุคคลทั้งสิ้น

เนื่องจากว่าภาระหน้าที่การงานเบียดบังเอาเวลาในการปฏิบัติของเราไปส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็อาจจะเกิดอายุกาลผ่านวัยขึ้นมา ทำให้สภาพร่างกายไม่เหมาะสมที่จะตรากตรำปฏิบัติกันชนิดหัวไม่วางหางไม่เว้น จึงมีการผ่อนรามือหรือเกิดความล้าในการปฏิบัติขึ้น ทำให้เราไม่ได้ใช้ความพากเพียรอย่างเต็มสติเต็มกำลังของเรา

ถ้าถามว่าพากเพียรถึงระดับไหน ? ก็ต้องถามว่าพวกเราที่ปฏิบัติมา มีใครเคยนั่งภาวนาจนก้นพองบ้าง ? มีใครเดินจงกรมจนเท้าแตกบ้าง ? มั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าไม่มี ขอบอกว่าครูบาอาจารย์ที่นั่งกรรมฐานจนก้นพอง เดินจงกรมจนเท้าแตก เมื่อท่านเข้าถึงธรรมในส่วนที่ต้องการแล้ว ยังกล่าวว่า "แค่นั้นยังพยายามไม่พอ" หรือที่บรรดาพระสายวัดป่าท่านใช้คำว่า "ธรรมะอยู่ฟากตาย" ก็คือต้องเพียรพยายามอย่างชนิดเอาชีวิตเข้าแลก ไม่อย่างนั้นแล้วโอกาสที่จะเห็นทุกข์ก็ยากมาก

ถ้าความเพียรพยายามไม่เพียงพอก็ไม่ขึ้นชื่อว่าเป็นบารมี เพราะว่าการจะสร้างบารมีแต่ละอย่างจะต้องทุ่มเท ต้องทำด้วยชีวิตและต้องทำมาหลายชีวิตคือหลายชาติแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2015 เมื่อ 17:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 14-04-2015, 17:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,075 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้จึงอยากเตือนสติทุกท่านว่า การปฏิบัติของเราท่านทั้งหลายนั้น ยังขาดความเพียรอยู่มาก เราสามารถกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกได้ทุกเวลาที่ต้องการหรือไม่ ? เราสามารถทรงฌานได้ทุกเวลาที่ต้องการหรือไม่ ? เราใช้ปัญญาพิจารณาวิปัสสนาญาณจนรู้แจ้งแทงตลอดในทุกสถานหรือไม่ ? ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ยังมีคำตอบอยู่ว่า "ไม่" ก็แปลว่าเรายังใช้ความเพียรของเราไม่พอ

การที่เราจะเพียรพยายามในลักษณะของไฟสุมขอน คือไปเรื่อย ๆ โดยไม่ท้อถอยนั้น ต้องมีกำลังของสมาธิเป็นตัวช่วยหนุน เราจึงไม่สามารถที่จะทิ้งลมหายใจเข้าออกได้ เพราะลมหายใจเข้าออกเป็นตัวสร้างสมาธิที่ดีที่สุด ถ้าหากสมาธิของเราทรงตัว กำลังของเราก็จะเข้มแข็งทั้งกายและใจ ปฏิบัติเท่าไรก็ไม่เบื่อหน่าย

ทุกท่านจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเรา ไปพร้อม ๆ กับการชำระศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ แล้วตั้งเป้าเอาไว้ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่เรากระทำ ก็เพื่อพระนิพพานเท่านั้น

ถ้าสามารถรักษากำลังใจอย่างนี้เอาไว้ได้ทุกวันโดยไม่ทิ้งลมหายใจเข้าออก ท่านทั้งหลายก็มีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงมรรคถึงผลได้ แต่ถ้าท่านทอดทิ้งความเพียรในส่วนนี้ ก็คือไม่ได้ตามดู ตามรู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ได้ชำระจิตของตนเองให้บริสุทธิ์ ไม่ได้ทำความเคารพพระรัตนตรัยอย่างจริงใจ และท้ายสุดไม่ได้ตั้งเป้าเอาไว้ว่าเมื่อตายไปแล้วจะเข้าสู่พระนิพพาน การปฏิบัติของเราก็ถือว่าทำไปแล้วสูญเปล่า

เมื่อท่านทั้งหลายรู้แล้วว่าจุดบกพร่องอยู่ตรงที่ใด จะทำอย่างไรถึงจะแก้ไขจุดบกพร่องนั้นได้ ก็ขอให้ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาทุ่มเทในการปฏิบัติของเราไป เมื่อเลิกจากสถานที่นี้แล้วก็อย่าทิ้งการปฏิบัติ แต่ต้องประคับประคองอารมณ์ของเราเอาไว้ตลอดเวลา ให้สติอยู่กับตัวเฉพาะหน้า อยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา เพื่อที่จะระงับ รัก โลภ โกรธ หลง ลงไปชั่วคราว เพื่อเปิดโอกาสให้ปัญญาห้ำหั่นกิเลสนั้นให้ดับดิ้นสิ้นไป

ลำดับต่อไป ขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๘

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-04-2015 เมื่อ 02:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:51



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว