กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #41  
เก่า 20-08-2023, 23:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนทำวัตรเย็น วันอาทิตย์ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๖


ความเคยชินคือการยึดติดในรูปแบบหนึ่ง ฟังแล้วน่าตกใจไหม ? ทางด้านจิตวิทยาเขาบอกว่า ถ้าเราทำอะไรซ้ำ ๆ กันถึงสามวัน จะทำให้เราเริ่มเกิดความเคยชิน

ในการปฏิบัติธรรมนั้น ความเคยชินหมายถึงการทรงฌานได้ เขาถึงให้พวกเราสวดมนต์บ่อย ๆ ไหว้พระบ่อย ๆ ทำบุญใส่บาตรบ่อย ๆ พอถึงเวลาเคยชินแล้วไม่ได้ทำ จะรู้สึกผิดปกติจนระลึกถึงขึ้นมาได้เอง นับว่าเราทรงฌานในเรื่องนั้นแล้ว อย่างเช่นว่าทรงฌานในการรักษาศีล ทรงฌานในการให้ทาน

แต่ความเคยชินอย่างเรื่องของถิ่นที่อยู่ หรือว่าบรรดาวัตถุสิ่งของต่าง ๆ เป็นความเคยชินที่ทำให้เรายึดติด อย่างแค่อาสนะที่เรานั่งอยู่นี้ พอถึงเวลาตอนเช้าเรานั่งตรงนี้ ตอนบ่ายมีคนนั่งแทน เราจะรู้สึกว่าคนนั้นนั่งที่ของกู นี่คือความเคยชินที่เป็นการยึดติด..!

การยึดติดเป็นเรื่องที่อันตรายสำหรับนักปฏิบัติ เพราะว่าถ้าเป็นนักปฏิบัติธรรมแล้ว ยึดติดมากเท่าไร โอกาสหลุดพ้นก็น้อยลงเท่านั้น เหมือนแมลงติดใยแมงมุม เส้นสองเส้นยังพอมีหวังว่าจะดิ้นหลุดไปได้ แต่ถ้าติดทีทั้งกระจุกเลยก็จบ เสียชาติเกิดไปฟรี ๆ..!

ดังนั้น..ในเรื่องของความเคยชิน เราต้องมีปัญญารู้จักสังเกตว่า อย่างไรเป็นความเคยชินในด้านดี อย่างเช่นว่ามีอนุสติระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นต้น อย่างไรเป็นความเคยชินในด้านที่ไม่ดี เช่น การยึดติดใน คน สัตว์ วัตถุสิ่งของ
หลายต่อหลายคนเลี้ยงหมาก็ติดหมา เลี้ยงแมวก็ติดแมว เลี้ยงคนก็ติดคน โน่นก็ผัวกู นี่ก็เมียกู นั่นก็ลูกกู โน่นก็หลานกู ความยึดติดเหล่านี้จะส่งผลร้ายตอนก่อนเราจะหมดลมหายใจ ยิ่งยึดติดมากเท่าไร ห่วงพะวงก็จะมีมากเท่านั้น โอกาสจะไปสู่ภพภูมิที่ดีก็ยากมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2023 เมื่อ 03:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #42  
เก่า 20-08-2023, 23:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เราจึงต้องมีสติอยู่เสมอ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีสถานภาพใดกับเราก็ตาม เราต้องระลึกอยู่เสมอว่าต่างคนต่างตาย ถึงเวลาก็ต้องแยกจากกันไป ไม่จากเป็นก็จากตาย ต้องพยายามซักซ้อมตัดละอยู่เสมอ ๆ

ยิ่งตอนเจ็บไข้ได้ป่วยยิ่งดีใหญ่เลย ถามตัวเราว่า "ถ้าเราตายลงไปตอนนี้ คนที่เรารักมีไหม ? ของที่เรารักมีไหม ? ทรัพย์สมบัติที่เราห่วงใยมีไหม ?" ต้องตอบกันว่ามีแน่นอน แต่เราพร้อมที่จะละทิ้งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไปหรือยัง ?

ขอให้เป็นคำตอบจากใจจริง ๆ เลยนะ ไม่ใช่ตอบว่าพร้อมเพราะรู้ว่าเป็นคำตอบที่ถูก กำลังใจของเราจะบอกเราเองว่าเราพร้อมหรือไม่พร้อม ไม่ใช่ตอบว่าพร้อมเพราะรู้ว่านี่เป็นคำตอบที่ถูก แต่ใจเรายังยึดอยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์..แบบนั้นก็จบกัน..!

เรื่องพวกนี้จึงเป็นเรื่องที่เราต้องซักซ้อมอยู่บ่อย ๆ ทุกวัน ๆ สมมติว่าเราจะตาย ตายแล้วเรายังมีอะไรยึดติดห่วงหาอาลัยอยู่หรือไม่ ? เราพร้อมที่จะตายหรือยัง ?

ถ้าขาดการซักซ้อมเหล่านี้ สภาพจิตไม่เคยชินกับการละห่วง ถึงเวลาก็ยึดติด เลี้ยงหมาติดหมาก็ไปเกิดเป็นลูกหมา เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานยึดติดลูกหลานก็ไปเกิดเป็นลูกของลูกหลานอีกที เกิดมาแล้วไม่ยอมเรียกแม่ "ก็กูเป็นแม่..กูไม่ใช่ลูก..!" ยังไปยึดสัญญาเก่าอยู่ เรื่องพวกนี้มีปรากฏให้เห็นอยู่บ่อย ๆ

แต่ก็ต้องบอกว่าเกิดเป็นคนนี่ถือว่าดีมากแล้ว เพราะส่วนใหญ่กำลังใจของเราจะเกาะในกรรมชั่วมากกว่ากรรมดี ก็แปลว่าเรามีโอกาสลงสู่ทุคติ ไปเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน มีมากกว่าไปสุคติหลายเท่า

ถ้าถามว่า "มากกว่าขนาดไหน ?" พระพุทธเจ้าทรงเปรียบไว้ว่า "บุคคลผู้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมหวังความหลุดพ้น มีสุคติเป็นที่ไป เปรียบเหมือนเขาวัว ส่วนบุคคลที่ปฏิบัติธรรมหวังความหลุดพ้น มีทุคติเป็นที่ไป เปรียบเหมือนกับขนวัว..!"

วัวตัวหนึ่งมีเขากี่อัน ? สองอันหรือคู่เดียว แล้วมีขนกี่เส้น ? เต็มตัวก็เป็นหมื่นเป็นแสน ก็แปลว่าคนลงข้างล่างมากกว่าขึ้นข้างบน ในเมื่อลงข้างล่างมากกว่าข้างบน ถ้าเราลงไปก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ถ้าหากว่าไม่ยอมลงนับว่าแปลกแยกจากสังคม ถ้าอย่างนั้นเรายอมแปลกแยกจากสังคมก็แล้วกัน ถ้าไม่ยอมแปลกแยกจากสังคมก็มีสิทธิ์ที่จะลงตรงไปข้างล่างเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2023 เมื่อ 03:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #43  
เก่า 20-08-2023, 23:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คำว่า ซำเหมา มีที่มาจากการ์ตูนเรื่องซำเหมาพเนจร ซำเหมาเป็นเด็กมีหัวจุก ๓ อัน เป็นเด็กเร่ร่อนฐานะยากจน เพราะฉะนั้น..อะไรที่อยู่ในลักษณะที่ดูแล้วไม่ดี Low Class ไม่มีเกรด ไม่มีแบรนด์ เขาเลยเรียกว่าซำเหมา ของพวกนี้บางทีพวกเราเกิดไม่ทัน บางคนเกิดทันก็จำไม่ได้ว่ามีที่มาอย่างไร ว่าทำไมคนลำบากยากจนไปเรียกว่าซำเหมา ?

บ้านเราเมืองเราบ้าละครกันเยอะ สมัย "ออเจ้า" ไม่ได้บ้าแค่บ้านเรา ลาว เขมรก็บ้าด้วย สองประเทศนั้นฟังภาษาไทยออก

ภาษาไทยมากต่อมากด้วยกันมีรากศัพท์มาจากภาษาเขมร ตอนอาตมภาพไปประเทศเขมร ด้วยความที่เขียนอักขระเลขยันต์ขอมบ่อย ๆ ก็อ่านภาษาเขาออก บางอย่างอ่านไปก็หัวเราะไป อย่างเช่นว่าเข้าไปร้านอาหาร ป้ายภาษาอังกฤษเขียน Open 6.00 AM ภาษาเขมรเขียนว่า "เบิกโรง" ซึ่งแปลว่าเปิดร้าน

นั่งเครื่องบินไปลงท่าอากาศยานนานาชาติเสียมเรียบ เสียมเรียบแปลว่าสยามแพ้ คนไทยก็เลยเรียกว่าเสียมราฐ ที่แปลว่ารัฐของสยาม ทะเลาะกันแค่คำเดียว""! ภาษาอังกฤษก็คือ Siem Reap International Airport ภาษาเขมรเขียนว่าอากาศยานฐานอันตรชาติ อากาศยานฐานคือสนามบิน อันตร แปลว่า ในระหว่าง อันตรชาติก็ International

อาตมภาพไปประเทศเขมรแล้วอ่านภาษาเขาออก ไปพม่ามองไปมองมาก็ดันอ่านภาษาพม่าได้อีก""! ภาษาพม่าก็คือภาษาเขมรนั่นแหละ แต่ตัดหางทิ้ง ไม่มีหาง เรามีพื้นฐานขอมอยู่แล้ว ก็เลยอ่านพม่าออกไปด้วย

เขมรเป็นเด็กมีปมด้อย เขาถือว่าเขาเป็นมหาอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มาก่อน เคยครองอุษาคเนย์ ตอนอาตมาภาพไปเขมร มีไกด์ชื่อนายแสง สาคร ความจริงนั่นไม่ใช่นามสกุลนะ นั่นคือชื่อ ชื่อนายสาคร ส่วนคำนำหน้าเป็นชื่อพ่อ ก็คือนายสาครลูกนายแสง เขมรไม่มีนามสกุลแบบบ้านเรา ก็แบบฮุนเซน ความจริงเขาชื่อฮุน ฤทธิเสน ซึ่งก็คือนายฤทธิเสนลูกนายฮุน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2023 เมื่อ 03:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #44  
เก่า 20-08-2023, 23:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

นายแสง สาคร เล่าประวัตินครวัด พุทธศักราชเท่านั้น พุทธศักราชเท่านี้ แล้วก็พูดด้วยความภูมิใจว่าตอนนั้นยังไม่มีประเทศไทยเลย..! อาตมภาพก็เกรงใจ ไม่อย่างนั้นจะสวนกลับไปว่า ตอนนั้นก็ไม่มีกัมปูเจียเหมือนกัน..!

บ้านเราเรียกกัมพูชา เขมรออกเสียงกัมปูเจีย แต่ถ้าหากว่าชาวบ้านทั่วไปเขาออกเสียงว่ากัมโป๊ด ก็คือกัมโพช (ออกเสียงกัม-โพ-ชะ) แคว้นกัมโพชในสมัยพุทธกาล ส่วนแคว้นเวสาลีอยู่ที่พม่า ทุกวันนี้เขาเรียกว่าแวสะลิ แวสะลิก็คือนาข้าวสาลี ส่วนโกสัมพีอยู่กำแพงเพชรของเรา..รู้มากไม่ดีหรอก..บ้า..!

กาลเวลาผ่านไป ภูมิประเทศและผู้คนเปลี่ยนหมด คนเคยยิ่งใหญ่ก็ตกต่ำ คนเคยตกต่ำก็ยิ่งใหญ่ สลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป แต่กัมพูชาเป็นเด็กมีปมด้อย เด็กมีปัญหา ไม่ค่อยยอมรับอะไร เขาบอกอยู่อย่างเดียวว่าให้ไปดูที่กำแพงนครวัด ถ้ากำแพงนครวัดมีอยู่ก็แปลว่าเป็นของกัมพูชา ช่วงที่ผ่านมาก็มี "ดราม่า" มวยไทยที่เขาบอกว่ามาจากกุนขแมร์ ขแมร์ก็คือเขมร

เขมรมีสถานที่หนึ่งที่น่าไปมาก คือ เขาพนมกุเลน ถ้าใครมีโอกาสต้องไปให้ได้ ถ้ามีโอกาสไปนั่งสมาธิที่นั่นได้ยิ่งดีเลย พลังงานสูงมาก มิน่าว่า..สมัยก่อนพระธุดงค์ไทยพอข้ามพนมดงเร็ก ที่คนไทยเรียกว่าพนมดงรัก ภาษาเขมรเรียกพนมดงเร็ก พนมคือภูเขา ดงเร็กคือไม้คาน เขาไม้คาน ลักษณะเทือกเขาเหมือนกับไม้คานหาบของ พระธุดงค์ข้ามไปได้ก็จะพยายามที่จะลงไปพนมกุเลนให้ได้ เพื่อที่จะไปไหว้พระที่นั่น มีการแกะสลักยอดเขาทั้งยอดเป็นองค์พระเลย เสร็จแล้วก็สร้างวิหารครอบยอดเขาไว้ จนกลายเป็นวิหารพระนอนอยู่บนยอดเขา

ไปที่โน่นให้นึกถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ นะ ท่านเป็นเจ้าพ่ออยู่แถวนั้น แต่ลูกน้องแสบมาก ตอนที่ไปเจ้าพ่อไม่ค่อยมีเวลาเลยให้ลูกน้องมาแทน ลูกน้องแต่ละรายนี่ ถ้าจับไม่ได้ไล่ไม่ทันนี่โดนต้มซึ่ง ๆ หน้าเลยนะ..!

พรหมเทวดาส่วนใหญ่บอกอย่างไรก็อย่างนั้น สมัยที่อาตมภาพอยู่ที่เกาะพระฤๅษี คราวนั้นมาจัดงานที่วัดท่าขนุน ก็ขอให้อากาศไม่ร้อน ขอให้ฝนไม่ตก ปรากฏว่าวัดท่าขนุนที่จัดงานแดดเปรี้ยง ร้อนหัวแทบละลาย แต่ที่เกาะพระฤๅษีมืดครึ้มเย็นสบาย คือดันลืมบอกพรหมเทวดาไปว่าขอให้ที่ไหน เห็นหรือยังว่าของเขาตรงไปตรงมาแบบกวนมากเลย..!

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม เฉลิมพระชนมพรรษา ๒๕๖๖ ณ วัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ - วันจันทร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2023 เมื่อ 03:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #45  
เก่า 30-08-2023, 09:39
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 335
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 18,300 ครั้ง ใน 808 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default

ก่อนทำวัตรเย็น วันจันทร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๖


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #46  
เก่า 01-09-2023, 13:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พวกเราส่วนใหญ่แล้ว ปฏิบัติธรรมแต่รักษาอารมณ์ปฏิบัติกันไม่อยู่ อย่างที่อาตมาเคยเปรียบว่า เหมือนกับเราว่ายทวนน้ำ พอถึงเวลาเลิก ก็ปล่อยลอยตามน้ำไป แล้วก็ว่ายใหม่ จากนั้นปล่อยลอยตามน้ำไปอีก ถ้าวันไหนเหนื่อยมาก ๆ ว่ายกลับมาได้ไม่เท่าเดิม พอถึงเวลาปล่อยไหลตามน้ำไปอีก ก็ต้องไหลไปไกลกว่าเดิม

นี่เป็นสาเหตุที่พวกเราปฏิบัติธรรมกันมาเนิ่นนานแล้วเอาดีไม่ได้ กลายเป็นคนขยันทำงานทุกวัน แต่ผลงานไม่มี เรื่องพวกนี้ต่อให้บอกเท่าไร ถ้าพวกเรายังไม่เข็ดจริง ๆ ก็ยังไม่คิดที่จะรักษาอารมณ์ใจให้ต่อเนื่อง ต้องโดนแล้วโดนอีก โดนแล้วโดนอีก..!

สำนวนสุภาษิตโบราณก็คือ "สัญชาติคางคก ยางหัวไม่ตกไม่รู้สำนึก" คางคกเป็นสัตว์ที่ตายยากมาก ถึงโดนเตะกระเด็นไป พอพลิกตัวได้ก็เดินต่อ เด็ก ๆ รำคาญเอาไม้ตีคางคก ทุบปั้บ..อย่างเก่งคางคกก็ร้อง "แอ่กก" แล้วก็ไปต่อ คางคกเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างจะอึด ถึก บึกบึน ทำอะไรให้กระทบกระเทือนได้ยาก ก็เลยต้องตีจนกว่ายางจะออก

คางคกปล่อยยางออกมาเพื่อป้องกันตัวเอง เพราะว่ายางคางคกมีพิษ เขาถึงได้มีสำนวนว่า "สัญชาติคางคก ยางหัวไม่ตกไม่รู้สำนึก" ความจริงแล้วคางคกก็ไม่ได้สำนึกหรอก แต่ต้องป้องกันตัว เพราะโดนเยอะมาก ถ้าโดนเยอะกว่านั้นเดี๋ยวตาย..!

เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าเจอคางคก จับเล่นได้เลย แค่อย่าไปทำอะไรรุนแรงจนกระทั่งคางคกต้องปล่อยยางจากต่อมที่เห็นเป็นตุ่ม ๆ รอบตัว แต่ความจริงแล้วถ้ายางคางคกโดนมือของเรา ให้รีบล้างน้ำเสียก็ไม่มีปัญหาแล้ว แต่ว่าอย่าให้เข้าปากเข้าตา พวกลูกหมาน้อยชอบไปเล่นคางคก ถึงเวลาโดนยางคางคกก็เมายางคางคก หน้าบวม เดินโซซัดโซเซไม่ตรงทาง

ในเมื่อพวกเราไม่สำนึก ก็คือยังไม่เข็ด ต่อให้เคี่ยวเข็ญเท่าไรเราก็ไปได้ไม่ดีกว่านี้ ถ้าเป็นสำนวนนักประพันธ์อย่างวศิน อินทสระ ก็จะว่า "ดูก่อน..ท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร" คำนี้บาลีเขาใช้ว่า ภะยะทัสสาวี ผู้มองเห็นซึ่งภัย ถ้าเรายังไม่เห็นภัย ยังไม่เห็นโทษ ก็จะยังไม่เข็ด จะอยู่ในระหว่างก้ำกึ่งกัน ประเภทเบื่อ ๆ อยาก ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-09-2023 เมื่อ 19:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #47  
เก่า 01-09-2023, 13:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตอนอารมณ์ใจทรงตัวดีก็เบื่อไปหมด อยากจะหนีไปวันนี้เลย..! อาตมาเจอลูกศิษย์มาหลายคนแล้ว บอกว่า "จะไปบวชแล้ว" อาตมาก็บอก "มาได้เลย" เขาก็ว่า "เดี๋ยว..ขอเวลาเคลียร์งานก่อน" ให้เคลียร์งานไป ๔ - ๕ วัน เขาบอกไม่บวชแล้ว..! คือตอนแรกเบื่อ แต่พอผ่านไป ๔ - ๕ วันแล้วหายเบื่อ เป็นผู้ที่ใช้โอกาสเปลืองมาก..!

วงจรกรรมหรือวัฏฏะจะหมุนไปเรื่อย ๆ ตามบุญตามกรรมที่เราทำไว้ ถ้าวาระบุญมาสนอง สติ สมาธิ ปัญญา ทรงตัว เห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดนี้แล้ว ต้องรีบหนีให้สุดชีวิตเลย..! ไม่อย่างนั้นพอหมุนเลยไปก็จะไปไม่ได้แล้ว

ใครเคยดูหนังเรื่อง ฉีกคุกอัลคาทราซ (Escape From Alcatraz) บ้าง ? ที่แหกคุกหนีออกมาจากเกาะอัลคาทราซ เกาะหินโดดเดี่ยวกลางทะเล ที่เรียกกันว่า เดอะร็อค (The Rock) นั่นก็เป็นลักษณะเหมือนวงจรกรรม มีช่องอยู่ที่ผนัง ส่วนด้านนี้ก็มีช่องแต่หมุนไปเรื่อย แล้วก็จะมีจังหวะที่ทั้งสองช่องมาตรงกันอยู่นิดเดียว คนแก่ในเรื่องไปได้ทุกที ส่วนพระเอกกว่าจะไปได้เกือบตาย..!

ในเมื่อวัฏฏะ หรือวงจรของบุญของบาปของเรามีจังหวะ เราก็ต้องฉวยจังหวะให้เป็น

อาตมภาพเองต้องบอกว่าออกมาบวชในจังหวะที่ดีที่สุด เพราะว่าส่งน้องเรียนจบ ส่งหลานเรียนจบ หน้าที่การงานก็ประสบความสำเร็จ บริษัทไทยรุ่งยูเนี่ยนคาร์ บริษัทดัดแปลงรถ ขอตัวไปเป็นหัวหน้าแผนก เงินเดือนตอนนั้น ๓๐,๐๐๐ บาท มีสวัสดิการ ที่พัก อาหาร รักษาพยาบาลให้ด้วย

เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ อาตมภาพบวชมาได้ ๑๙ พรรษา ไปปฏิบัติธรรมในฐานะธรรมทูตสายวิปัสสนา ก็ปรากฏว่าไปเจอเด็กน้อยในสมัยที่อาตมภาพทำงานอยู่ที่ไทยรุ่งฯ เด็กหญิงแก้วเก้า เผอิญโชค ที่โตขึ้นมาเป็นอุบาสิกา มาเป็นเจ้าภาพสนับสนุนงานปฏิบัติธรรมของพระธรรมทูต อาตมภาพเห็นหน้าก็เลยถามว่า "คุณแก้วจำได้ไหม ?" คุณแก้วเก้าตอบว่า "จำไม่ได้เจ้าค่ะ" อาตมาก็บอกว่า "เคยเป็นลูกน้องป๋าวิเชียร" พอพูดแบบนี้คุณแก้วเก้าก็รู้เลยว่าเคยทำงานที่นี่จริง เพราะถ้าไม่ใช่ลูกน้อง จะไม่เรียกเจ้าของบริษัทไทยรุ่ง (คุณวิเชียร เผอิญโชค) ว่า "ป๋า"

ตอนนั้นอาตมภาพเงินเดือน ๗,๐๐๐ บาท อย่าคิดว่าน้อยนะ สมัยนั้นทองคำบาทละ ๒,๒๐๐ บาท ดิ้นรนเท่าไรก็อยู่ระดับนั้นแหละ ไม่ได้เพิ่ม แต่พอรับปากหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ว่าจะบวชได้แค่ ๓ วัน ป๋าวิเชียรก็เรียกตัวไปทดสอบ เสร็จแล้วก็ประกาศอัตราเงินเดือนให้เป็น ๓๐,๐๐๐ บาท และมีที่พัก มีอาหาร มีรักษาพยาบาลให้

อาตมภาพมานอนคิดอยู่ไม่ถึงชั่วโมงว่า "ไอ้นี่แหละคือบ่วงมาร เราดิ้นรนอยู่หลายปี อัตราเงินเดือนอยู่ที่ ๗,๐๐๐ บาท พอเราจะบวชปุ๊บ เงินเดือนขึ้นเป็น ๓๐,๐๐๐ บาท เกือบ ๕ เท่า..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-09-2023 เมื่อ 19:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
  #48  
เก่า 01-09-2023, 13:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าเป็นพวกเราเอาไหม ? แต่พระอาจารย์เล็ก บ๊ายบาย..ให้พี่ชายไปแทน ปรากฏว่าพี่ชายไปทดลองงานแล้วเขาให้แค่ ๒๒,๐๐๐ บาท ..(หัวเราะ).. ในเมื่ออยู่ในลักษณะนี้ก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วถึงมาบวช ทำหน้าที่ของตนเองสมบูรณ์แล้ว

ดูแลพ่ออยู่ ๖ ปีจนตายคามือไปเลย ดูแลแม่อยู่ ๓ ปี จากนอนไอซียูอยู่เป็นเดือน แล้วทำกายภาพบำบัดจนกลับมาเป็นปกติ ส่งน้องเรียน ส่งหลานเรียน หน้าที่การงานของเราถ้ารับปากไปทำที่ไทยรุ่งยูเนี่ยนคาร์ อัตราเงินเดือนของสมัยนั้นถ้าเทียบเป็นสมัยนี้ สมัยนั้นทองคำบาทละ ๒,๐๐๐ กว่า เงินเดือนที่ได้ก็ซื้อทองได้ ๑๐ กว่าบาท คิดเป็นอัตราเงินเดือนสมัยนี้ก็คง ๓ - ๔ แสนบาท ก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จในชีวิตพอเพียงแล้ว ไม่ใช่ประเภทไปบวชเพราะ อกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารเสื่อม เอือมเจ้านาย ยายขอให้บวชแก้บน..!

อาตมาไม่เปลี่ยนใจ บวชก็บวช ส่วนพวกเราขาดลูกบ้า..ยังบ้าไม่พอ อาตมารับปากหลวงพ่อวัดท่าซุงว่าบวชแค่ ๗ วัน แต่เงินเก็บทั้งหมดโอนให้น้องสองคนไปแบ่งครึ่งกัน ผ้าผ่อนท่อนสไบยกให้พี่ชายไป กะว่า "๗ วันนี้ถ้าเราบวชแล้วเอาดีไม่ได้ สึกออกไป กูจะเริ่มต้นจากศูนย์..!" ในชีวิตนี้ลำบากมามาก การเริ่มต้นจากศูนย์นี่สำหรับอาตมาแล้วไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ยิ่งยากแล้วทำสำเร็จ ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเรามีฝีมือ..!

ดังนั้น..พวกเราลูกบ้าน้อยไปหน่อย โดยเฉพาะพระเณรของเราจำนวนมากเลย บวช ๆ สึก ๆ พวกประเภทเปิดกว้าง ๓๖๐ องศา ลำบากหน่อยกูสึกทันที..นี่เอาดียาก ถ้ายังมีทางให้หนี คนหรือสัตว์จะไม่สู้เต็มที่เต็มกำลัง เพราะไปเปิดทางหนีให้ตัวเอง บวช ๆ สึก ๆ ไปเรื่อย ก็เลยเอาดีไม่ได้ อาตมาไม่เปิดหรอก ปิดตายไปเลย..! ถ้ากลับไปก็เริ่มต้นจากศูนย์ นั่นแค่ ๗ วันนะ ถ้าตั้งใจบวชเป็นพรรษาอาจจะหนักกว่านั้น..!

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม เฉลิมพระชนมพรรษา ๒๕๖๖ ณ วัดท่าขนุน
ช่วงค่ำวันจันทร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-09-2023 เมื่อ 19:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:41



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว