กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 29-10-2018, 21:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๑

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกทั้งหมดของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ส่วนหนึ่งจากการที่ญาติโยมทั้งหลายมาทำบุญกันที่บ้านเติมบุญแห่งนี้ จะเห็นได้ชัดว่าในส่วนของทานบารมีนั้น พวกเราทำได้โดยที่ไม่มีอะไรบกพร่อง เราก็ควรที่จะไปเน้นในเรื่องของศีลและการภาวนา

การรักษาศีลของเรานั้น เราต้องตั้งใจรักษา เพราะว่าการที่เราตั้งใจงดเว้นจึงจะมีอานิสงส์ โดยเฉพาะคำว่า ตั้งใจ ตัวนี้ คือการเอาสติจดจ่ออยู่กับศีล ระมัดระวังศีลเป็นปกติ ขยับตัวก็รู้ว่าศีลแต่ละข้อจะขาดหรือไม่ พยายามระมัดระวังไม่ล่วงศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นล่วงศีลเช่นกัน

ถ้าหากว่าสติของเราจดจ่ออยู่ลักษณะอย่างนี้ สมาธิก็จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ จัดว่าเป็นสมาธิในสีลานุสติ เราก็แค่ตั้งใจกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนาไปด้วย สมาธิของเรายิ่งทรงตัวเท่าไร สติที่จะระมัดระวังไม่ให้ศีลบกพร่องก็ยิ่งว่องไว ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น

เมื่อสมาธิทรงตัวถึงระดับแล้ว โดยธรรมชาติเลยก็จะคลายตัวออกมา ตรงช่วงนี้ต้องระมัดระวังให้ดี เพราะว่าเมื่อสมาธิคลายตัวออกมาถ้าเราไม่หาสิ่งที่ดี ๆ ให้คิด ก็จะคิดไปใน รัก โลภ โกรธ หลง เองโดยอัตโนมัติ และจะเป็นการคิดที่เรารั้งกลับได้ยาก เพราะว่าเป็นการเอากำลังในสมาธิที่เราทำได้ไปคิดฟุ้งซ่าน

ดังนั้น..เมื่อสมาธิเริ่มคลายตัวออกมาแล้ว ต้องรีบหาวิปัสสนาญาณมาพิจารณา อย่างเช่นพยายามดูให้เห็นชัดเจนว่า ร่างกายนี้ไม่เที่ยง เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด ร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์ ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนหลับตาลงไป เราเดิน นั่ง ยืน นอนอยู่บนกองทุกข์ตลอดเวลา และพิจารณาให้เห็นขั้นสุดท้ายว่า ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา สักแต่ว่าเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เราอาศัยอยู่ได้ชั่วคราวเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 30-10-2018 เมื่อ 19:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 30-10-2018, 19:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การพิจารณานั้น ต้องให้สภาพจิตเรายอมรับจริง ๆ ว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยง ร่างกายนี้เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา คำว่ายอมรับในที่นี้ก็คือไม่มีการขัด ไม่มีการเถียงขึ้นมา ว่าร่างกายนี้ยังมีความเที่ยง มีความไม่ทุกข์ ยังมีจุดที่เป็นสุขอยู่ และท้ายที่สุดว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา เป็นต้น เป็นการยอมรับเพราะปัญญาเห็นแจ้งว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ คือไม่เที่ยงจริง ๆ เป็นทุกข์จริง ๆ ไม่มีอะไรให้เรายึดถือมั่นหมายจริง ๆ

เมื่อเราเห็นชัดเจนแล้ว ก็เอาจิตสุดท้ายเกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพานเอาไว้ ให้ตั้งใจว่า ถ้าหากสภาพร่างกายนี้เสื่อมสลายตายพังลงไปตามอายุขัยก็ดี หรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ มาตัดรอนจนถึงแก่ชีวิตก็ตาม เราขอไปอยู่ที่พระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น พยายามเอาจิตสุดท้ายจดจ่ออยู่กับภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน

ถ้าหากว่าเราทบทวนพิจารณาลักษณะอย่างนี้ กำหนดกำลังใจสุดท้ายของเราเอาไว้อย่างนี้ ถ้าทำได้ทุกวัน ๆ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติจะมีมาก สภาพจิตก็จะจืดจางเคลื่อนคลายจากสิ่งรอบข้างที่เคยยึดเคยถืออยู่ ท้ายที่สุดก็ปลดตนเองหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้ดังที่ปรารถนา



ลำดับต่อไปก็ขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันอาทิตย์ที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๑

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-10-2018 เมื่อ 19:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:18



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว