#1
|
||||
|
||||
บรรยายพิเศษ เรื่องบทบาทของพระพุทธศาสนากับการพัฒนาสังคม โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม,ดร
บรรยายพิเศษ เรื่องบทบาทของพระพุทธศาสนากับการพัฒนาสังคม โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม,ดร.
บรรยายพิเศษโครงการสัมมนาวิชาการ โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. หัวข้อ "บทบาทของพระพุทธศาสนากับการพัฒนาสังคม" ในงานสัมมนาวิชาการบทบาทพระพุทธศาสนากับการพัฒนาสังคม ซึ่งจัดร่วมกันโดย วิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรีศรีสุวรรณภูมิ วิทยาลัยสงฆ์อุทัยธานี และวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ขอถวายความเคารพพระเดชพระคุณพระธรรมวัชรบัณฑิต, ศ. ดร. อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ รักษาการผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ พระเดชพระคุณพระราชอุทัยโสภณ, ดร. ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์อุทัยธานี ท่านพระครูวิบูลย์เจติยานุรักษ์, ดร. ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรีศรีสุวรรณภูมิ ตลอดจนกระทั่งครูบาอาจารย์และนิสิตฝ่ายบรรพชิตทุกท่าน และขอเจริญพรคณาจารย์และนิสิตฝ่ายคฤหัสถ์ทุกท่านเช่นกัน
กระผม/อาตมภาพ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ วันนี้รับหน้าที่บรรยายในหัวข้อ พระพุทธศาสนากับการบริหารจิตเพื่อพัฒนาสังคม ซึ่งตรงนี้ท่านอาจารย์ ดร.เพ็ญพรรณท่านบอกว่า "หลวงพ่อ...เราต้องเอาจากข้างในออกข้างนอก" ว่าอย่างนั้น ขอบคุณที่ชี้แนะให้ในวันที่ประชุมเพื่อปรึกษางานกัน ท่านทั้งหลาย พระพุทธศาสนาของเรานั้นต้องบอกว่าเป็นศาสนาเพื่อสังคมอย่างแท้จริง ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายจดจำได้ ในวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่งพระอรหันต์ ๖๐ รูปออกประกาศพระพุทธศาสนา พระองค์ท่านตรัสว่า จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย จะเห็นว่า ท่านบอกว่าให้พระทั้ง ๖๐ รูปนั้น ไปเพื่อความสุขของชนหมู่มาก ไปเพื่อประโยชน์ของชนหมู่มาก ไปเพื่ออนุเคราะห์แก่โลก คำว่าโลกในที่นี้ ในปัจจุบันที่เราเรียกก็คือสังคม หรือถ้าหากว่าในภาษาการสื่อสารก็คือโซเชียล แต่คราวนี้ในการที่ท่านทั้งหลายจะพัฒนาสังคมนั้น ตัวเราเองต้องยืนให้ได้มั่นคงก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วจะเกิดสภาพเตี้ยอุ้มค่อม ทุลักทุเล ลากกันถูลู่ถูกัง บางทีก็อาจจะหกล้มหกลุกไปเลย ตรงจุดนี้ถ้าหากว่าเราพิจารณาถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่พระองค์ท่านจะส่งพระอรหันต์ทั้ง ๖๐ รูปออกไปนั้น ทรงตรัสว่า มุตตาหัง ภิกขะเว สัพพะ ปาเสหิ มุตตะ ก็คือพ้นแล้ว อะหัง ตัวของเรา ตัวของเราพ้นแล้วซึ่งบ่วงทั้งปวง เย ทิพพา เยจะ มะนุสสา ทั้งที่เป็นของทิพย์และที่เป็นของมนุษย์ ท่านทั้งหลายเห็นหรือเปล่าครับ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราก็ดี พระอรหันต์ทั้ง ๖๐ รูปที่ออกเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพื่อสังคมก็ดี พระองค์ท่านตลอดจนกระทั่งพระอรหันต์ทั้ง ๖๐ รูป พ้นแล้วจาก รัก โลภ โกรธ หลง ทั้งปวง ดังนั้น...จึงสามารถที่จะทำหน้าที่ได้อย่าง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ส่วนพวกเราปัจจุบันนี้ต้องบอกว่า เราไม่สามารถที่จะทำหน้าที่ได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากว่าเรายังมี รัก โลภ โกรธ หลง ครองใจอยู่เสมอ เมื่อถึงเวลาพบในสิ่งที่เราไม่ชอบใจ เกิดการกระทบกระทั่งเป็นปฏิฆะขึ้นมา เราก็น้อยใจ เสียใจ บางคนถึงขนาดซึมเศร้าไปเลย เพราะว่าเราขาดการบริหารจิตให้มั่นคง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-09-2021 เมื่อ 11:17 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ขอเล่าในเรื่องของส่วนตัวว่า กระผม/อาตมภาพเอง ได้มีโอกาสฝึกปฏิบัติในเรื่องของกรรมฐานมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งพอบวชได้ ๓ พรรษา เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า พระที่ท่านอยู่ได้นาน ๆ ไม่ต้องเป็นพระอริยเจ้าหรอกครับ ไม่ต้องเป็นพระโสดาบัน ไม่ต้องเป็นพระสกทาคามี ไม่ต้องเป็นพระอนาคามี ไม่ต้องเป็นพระอรหันต์ ผมกราบเท้าได้ทุกรูปเลย ทำไมท่านถึงอึดได้ขนาดนั้น ?
เนื่องจากว่าตัวของกระผม/อาตมภาพเอง ฝึกปฏิบัติมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กมัธยม จนกระทั่งมาบวชตอนอายุ ๒๗ ถ้าผ่านไป ๓ - ๔ พรรษา ต้องเข้าใจนะครับว่าเราอายุ ๓๐ ขึ้นไปแล้ว ก็คือแก่แล้ว ขนาดนั้นยังแทบจะอยู่ไม่ได้ เพราะว่าแรงกระทบบีบมารอบด้าน ถ้าหากท่านทั้งหลายสังเกตจะเห็นว่า ในชีวิตของความเป็นฆราวาสของเรานั้น กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ถ้าหากว่ามีอยู่ ก็เปรียบเหมือนอย่างกับเสือในป่า บางทีเราเดินทั้งปีไม่เจอเสือตัวเลยนะครับ แต่พอท่านบวชเข้ามา ปรากฏว่าโดนตีกรอบ สิ่งที่ตีกรอบก็คือศีล ๒๒๗ ข้อและอภิสมาจาร เหมือนกับเขาเอาเสือตัวนั้นยัดใส่กรงไว้กับเรา โดนเสือกัดอยู่ทุกวันครับ อยากจะสึกวันหนึ่งเป็นร้อยเป็นพันหน นั่นเพราะว่าเรายังไม่สามารถจะบริหารจิตของเราให้เข้มแข็งและมั่นคงได้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ก็คือสมเด็จพระพุฒาจารย์ อดีตผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ตอนนั้นท่านเป็นพระพรหมคุณาภรณ์ ท่านให้ผมแวะเข้าไปหาท่านที่วัดสระเกศอย่างน้อยเดือนละครั้ง ทุกครั้งที่เจอหน้า ท่านบอกว่า "ท่านเล็ก อย่าทิ้งกรรมฐานนะ ถ้าหากว่าทิ้งเมื่อไร ท่านจะท้อ" กระผม/อาตมภาพจำตรงนี้เอาไว้ขึ้นใจ ไม่ว่าจะมีงานมากขนาดไหนก็ตาม ต้องปลีกตัวปลีกเวลามาเพื่อปฏิบัติธรรมเสมอ จนกลายเป็นคนที่หวงเวลามาก หลายท่านไปวัดนอกเวลาแล้วไม่ได้เจอ ก็มาบ่นว่า "ทำไมถึงเจอหลวงพ่อวัดท่าขนุนยากขนาดนี้" ก็ได้แต่บอกไปว่า "ถ้ามาถูกเวลาก็เจอไม่ยากหรอก แต่ถ้ามาผิดเวลา แล้ว อาตมาก็ไม่เอาใครเหมือนกัน" เพราะว่าเราต้องรักษาเวลาสำหรับตนเองเอาไว้ แต่คราวนี้การที่เราจะบริหารจิตเพื่อรักษากำลังใจของเรา ให้อยู่ในสังคมปัจจุบันที่กระแสโลกรุนแรงมาก เป็นเรื่องที่ยากกว่าสมัยก่อนเหลือเกิน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-09-2021 เมื่อ 11:19 |
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ มองไปทางไหนรอบตัวมีแต่พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งนั้น เจ้าอาวาสสมัยนั้นขนาดไม่มีชื่อเสียงเรียงนาม ก็ยังมีความรู้ความสามารถเป็นที่พึ่งแก่ประชาชนในท้องถิ่นนั้น ๆ ได้ สามารถที่จะนำพาสังคมตรงนั้นให้ก้าวไปอย่างมั่นคงได้ เพราะว่าท่านฝึกตนเองมาดีแล้ว
กระผม/อาตมภาพเกิดที่ปากทางสนามบินกำแพงแสน ถ้าหากว่ามาทางด้านนครปฐม อันดับหนึ่งในยุคนั้นเลยคือ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม รองลงไปก็หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา ถ้าหากว่าออกมาทางสุพรรณบุรี ก็หลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก ทุกคนจำฤทธิ์ไม้เรียวท่านได้เลยครับ เพราะว่าพี่เขยพี่สาวของผมอยู่ที่ทุ่งคอก ไปวิ่งเล่นผิดท่าผิดทางเมื่อไรโดนตีกระจาย แล้วก็มาหลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ พออกมาทางกาญจนบุรี มีใครครับ หลวงพ่อลำใย วัดทุ่งลาดหญ้า หลวงพ่ออุตตะมะ วัดวังก์วิเวการาม ยังดีนะครับที่ผมเกิดช้า ไม่ทันรุ่นของหลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ หลวงปู่ดี วัดเหนือ เราจะเห็นว่าสมัยนั้นครูบาอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถรอบข้างเต็มไปหมด ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? ท่านทั้งหลายคิดไหมครับ ? เพราะว่าสังคมยุคนั้นเอื้อต่อการปฏิบัติธรรม เอื้อต่อการรักษาใจไม่ให้ รัก โลภ โกรธ หลง ครับ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมานึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างสุพรรณบุรีกับกาญจนบุรี สิ่งที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกันที่สุดก็คือขุนช้างขุนแผนครับ เรื่องขุนช้างขุนแผนเกิดที่สุพรรณบุรี แล้วท่านย่าทองประศรีก็พาขุนแผนหนีราชภัยมาที่กาญจนบุรี แม้กระทั่งมารุ่นหลาน ก็คือพลายงาม ก็มาอยู่ที่นั่นเหมือนกัน รุ่นของผมเรียนวรรณคดีขุนช้างขุนแผนตอนพลายแก้วบวชเณรครับ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-09-2021 เมื่อ 11:21 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
"จะกล่าวถึงพลายแก้วแววไว เมื่อบิดาบรรลัยแม่พาหนี ไปอาศัยอยู่ในกาญจนบุรี กับนางทองประศรีผู้มารดา อยู่มาจนเจ้าเจริญวัย อายุนั้นได้ถึงสิบห้า ไม่วายคิดถึงพ่อที่มรณา แต่นึกตรึกตรามากว่าปี อยากจะเป็นทหารชาญชัย ให้เหมือนพ่อขุนไกรที่เป็นผี จึงอ้อนวอนมารดาได้ปรานี ลูกนี้จักใคร่รู้วิชาการ พระสงฆ์องค์ใดวิชาดี แม่จงพาลูกนี้ไปฝากท่าน ให้เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ อธิษฐานบวชลูกเป็นเณรไว้" อยากจะเรียนวิชาครับ ตั้งใจว่าถ้าเรียนแล้วต้องสำเร็จด้วย "ครานั้นทองประศรีผู้มารดา ได้ฟังลูกว่าหาขัดไม่ อันสมภารที่ชำนาญในทางใน ท่านขรัววัดส้มใหญ่แลดีครัน เจ้าคิดนี้ดีแล้วแก้วแม่อา แม่จักพาไปฝากขรัวบุญท่าน จะได้รู้การณรงค์คงกระพัน ให้เหมือนกันสืบต่อพ่อขุนไกร" เห็นอะไรไหมครับ ? สิ่งที่เราจะเห็นก็คือ สมัยนั้นการศึกษาหรือการบริหารจิต การฝึกไสยเวทย์วิทยาคมต่าง ๆ เรียนแล้วต้องสำเร็จครับ เหมือนกับท่านทั้งหลายที่เรียน มจร.จะช้าจะเร็วก็ต้องจบครับ เพราะว่าสังคมเอื้อให้เป็นอย่างนั้น และทุกคนเห็นว่าปกติธรรมดาของการบริหารจิต การฝึกจิตของตนให้มีฤทธิ์มีเดช สามารถสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เป็นเรื่องปกติมาก แม้กระทั่งมาถึงรุ่นลูกครับ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-09-2021 เมื่อ 11:22 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
"อันเรื่องราวกล่าวความพลายงามน้อย ค่อยเรียบร้อยเรียนรู้ครูทองประศรี ทั้งขอมไทยได้สิ้นก็ยินดี เรียนคัมภีร์พุทธเพทพระเวทมนต์ ปัถมังตั้งตัวนะปัดตลอด แล้วถอนถอดถูกต้องเป็นล่องหน หัวใจกริดอิทธิเจเสน่ห์กล แล้วเล่ามนต์เศกขมิ้นกินน้ำมัน" เด็กนะครับ..เรียนแล้วได้เลย เพราะเชื่อว่าเรียนแล้วต้องได้ครับ เนื่องจากว่าสังคมเอื้อมาก แล้วดูตรงไหนครับ ? "ค่อยเรียบร้อยเรียนรู้ครูทองประศรี" ท่านย่าทองประศรีหนีราชภัยมาจากสุพรรณบุรี ตอนนั้นกว่าจะถึงเมืองกาญจน์นี่ป่าเสือป่าช้างนะครับ ถ้าไม่มีความรู้ความสามารถอย่างนี้ คิดว่าผู้หญิงคนเดียวมากับลูกอ่อนจะรอดไหมครับ ? มาความแตกตอนหลานนี่แหละครับ ตอนรุ่นพลายงาม ย่าเป็นคนถ่ายทอดวิชาให้เองครับ ดังนั้น...ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ในสภาพสังคมที่เอื้อต่อการปฏิบัติธรรม เอื้อต่อการบริหารจิตเจริญปัญญา เพราะว่าไม่มีการแก่งแย่งชิงดีกันในเรื่องการทำมาหากิน ทุกคนมีไร่ มีนา มีเรือก มีสวน ถ้าหากว่าไม่มี ก็ยังหากินกับป่ากับดง แต่มารุ่นของเรานี้ พวกเราเองทิ้งสิ่งที่ดีที่สุดไป ก็คือทิ้งเรื่องของการบริหารจิตเจริญปัญญาไป ทำให้สิ่งที่ท่านทั้งหลายเรียนรู้เป็นไปได้ความยากลำบาก เหตุที่ยากลำบาก เพราะว่าสภาพจิตของเราวุ่นวายครับ ไม่นิ่งพอ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เลยทำให้ท่านทั้งหลายเรียนวิชาทางโลกก็ยาก ยิ่งการปฏิบัติธรรม ๑๐ วันของปริญญาตรี หรือระดับประกาศนียบัตร ๑๕ วันของระดับปริญญาโท ๔๕ วันของปริญญาเอก หลายคนอยากจะผูกคอตายครับ เพราะว่าสภาพจิตของเราไม่สงบ เหตุที่ไม่สงบก็เกิดจากท่านทั้งหลายทำเองแหละครับ อ้าว...ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ? ก็เพราะว่ากำลังใจของเราในแต่ละวันนั้น ไหลตามกระแสโลกไปครับ ก่อนท่านจะไปพัฒนาโลก ท่านโดนกระแสโลกพัดไปเสียแล้ว คนที่ไหลตามกระแสน้ำเชี่ยวไป จะช่วยเหลือใครได้ละครับ ? ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้น ก็มีอยู่อย่างเดียวคือ ต้องทำตัวเองให้แข็งแกร่ง สามารถที่จะตัดกระแส ขึ้นสู่ฝั่งได้ แล้วท่านจะช่วยใครตอนนี้ก็ช่วยไปเถอะครับ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-09-2021 เมื่อ 11:24 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
เมื่อเช้านี้ท่านทั้งหลายฟังพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอธิการบดีกล่าวถึงการพัฒนาสังคม ข้อแรกถูกใจผมมากเลยครับ นั่งอยู่บนรถก็ได้ยินได้ฟังอยู่ ท่านบอกว่าให้พัฒนาตนให้มีฤทธิ์เสียก่อน แล้วค่อยไปช่วยสังคม หรือไม่ก็ออกไปพัฒนาสังคมแบบนั้นเลย ซึ่งข้อแรกได้เปรียบมากกว่าครับ
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมพุทธิมงคล (สะอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘) ที่หลายคนเรียกว่า "หลวงพ่อเล็ก" ด้วยความเคารพ ท่านเจอหน้าผม ท่านพูดบ่อย ๆ บอกว่า "ผมไม่รู้หรอกว่าหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงมีฤทธิ์ขนาดไหน แต่ดูจากพวกท่าน ผมมั่นใจเลยว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงมีฤทธิ์แน่นอน เพราะผมดูจากวัดท่าซุง ที่ท่านเจ้าคุณอนันต์สืบทอดมา ดูจากวัดเขาวง ดูจากวัดศาลพันท้ายนรสิงห์ ดูจากวัดธรรมยาน ดูจากวัดท่าขนุน แต่ละคนถ้าไม่มีฤทธิ์ ไม่สามารถที่จะพัฒนาวัดให้เจริญได้ขนาดนั้น ในเมื่อลูกศิษย์มีฤทธิ์ขนาดนี้ ถ้าอาจารย์ไม่มีฤทธิ์ เป็นไปไม่ได้หรอก" นี่หลวงพ่อท่านฟันธงเองนะครับ ผมเองผมก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองมีฤทธิ์ในวันที่ท่านบอกนั่นแหละ แล้วมาวันนี้ท่านเจ้าคุณอธิการบดี ท่านก็บอกว่า "เราต้องปฏิบัติจนตัวเองมีฤทธิ์ก่อน พัฒนาตนเองจนมีฤทธิ์ก่อน แล้วค่อยออกไปพัฒนาสังคม" คราวนี้การที่ท่านทั้งหลายจะพัฒนาตนเองนั้น หลักการนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานไว้ให้ ๒,๖๐๐ กว่าปีแล้วครับ ก็คือหลักไตรสิกขา ศีล สมาธิ และปัญญา ธรรมดา ๆ นี่แหละครับ ธรรมดาชนิดที่ใคร ๆ ก็ทำได้ แต่กลายเป็น "หญ้าปากคอก" ไปครับ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2021 เมื่อ 19:51 |
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
สำนวน "หญ้าปากคอก" นี่ ท่านทั้งหลายน่าจะไม่ทัน แต่ถ้าแก่ ๖๐ กว่าปีขนาดผมนี่ทันแน่ สมัยโน้นพวกเราเลี้ยงวัวเลี้ยงควายกันทุกบ้านครับ เพราะว่าต้องใช้ในการไถนา ใช้ในการเทียมเกวียน พอถึงเวลาตอนเช้า วัวควายหิวมากครับ พอเราดึงไม้กั้นคอกออก ไอ้ตัวหลังก็ดันพรวดมา ตัวหน้าถลำออกไป หญ้าที่งามอยู่ตรงหน้าไม่ได้กินหรอกครับ หญ้าที่ขึ้นอยู่ตรงปากคอกนั่นแหละ เพราะว่าตัวอื่นก็ดันออกมา ดันออกมา พอตัวหน้าเดินไป ตัวหลังก็รีบเดินตาม เพราะรู้ว่าถ้าตัวหน้าไปถึงแหล่งอาหาร อาจจะกินหมดเสียก่อน ก็เลยกลายเป็นว่าหญ้าที่งามที่สุดที่อยู่ตรงปากคอก ไม่มีใครแตะต้องเลย
ดังนั้น...ในเรื่องของไตรสิกขาก็เลยกลายเป็น "หญ้าปากคอก" ของชาวพุทธของเราครับ เพราะว่าส่วนใหญ่เราจะมองข้ามไป เราไปเอาเทคโนโลยีของต่างประเทศเข้ามาเสียมาก เรื่องของเทคโนโลยีนี้ เราไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ครับท่านทั้งหลาย เทคโนโลยีเป็นความเจริญ เป็นความเปลี่ยนแปลงของโลก จะต้องเป็นไปตามหลักอนิจจังอยู่แล้ว แต่ว่าขอให้เทคโนโลยีนั้นเป็นเครื่องหนุนให้ความสะดวกแก่เราในการปฏิบัติธรรม สนับสนุนให้ความสะดวกแก่เราในการเผยแผ่ธรรม แบบเดียวกับที่เรามาสัมมนาวิชาการกัน ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อยู่ใกล้กันเลย ผมเองอยู่กาญจนบุรี หลวงพ่อพระครูอุปกิตปริยัติโสภณ อยู่โน่น วัดทุ่งแก้วครับ วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม ถ้าถามว่าทำไมผมถึงรู้ ? ก็บอกว่าผมเป็น "คนหลายน้ำ" ครับ ผมบวชและเติบโตที่อุทัยธานี แล้วก็มาให้หลวงพ่อจังหวัดกาญจนบุรีใช้งาน พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดหนองขุนชาติ (พระราชอุทัยโสภณ) อย่าเพิ่งว่าผมนะครับ เนื่องจากว่ามาโตอยู่ทางนี้ ก็ต้องถวายงานให้กับคณะสงฆ์ทางด้านนี้ ถ้าหากว่าหลวงพ่อมีอะไรจะให้ถวายการรับใช้ สามารถแจ้งมาได้เลยนะครับ ปลายเดือนนี้อาจจะได้เจอกันใหม่ที่วัดท่าซุงก็ได้ ตรงจุดนี้ทำให้เราได้เห็นว่า ในการที่เราอยู่กันคนละจังหวัด เมื่อเช้านี้อย่างท่านพระครูโกศลธรรมานุสิฐอยู่สุพรรณบุรี หลวงพ่อเจ้าคุณอาจารย์อธิการบดีอยู่โน่นวังน้อย ถ้าไม่อยู่วังน้อย ท่านก็อยู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ คนละทิศคนละทาง แต่สามารถที่จะพบเห็นกันได้ สามารถที่จะสื่อสารกับทุกท่านที่อยู่ทั่วประเทศและต่างประเทศด้วย สามารถที่จะสื่อสารกันได้ก็ด้วยเทคโนโลยี ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงของโลก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2021 เมื่อ 19:55 |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
แต่เราอย่าให้การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเราครับ ให้เป็นเครื่องสนับสนุนเราก็พอ เพราะว่าทุกวันนี้เราไปให้ความสำคัญกับสิ่งภายนอกเสียมาก การบริหารจิตของเราเพื่อให้เกิดความเจริญ ความเข้มแข็ง มั่นคง เพียงพอที่จะตัดกระแสขึ้นสู่ฝั่ง แล้วช่วยเหลือพัฒนาสังคมได้ กลายเป็นไม่เพียงพอครับ เพราะอะไรครับ ? เพราะว่าการที่เราจะส่งตัวเองให้หลุดพ้นจากวังวนของกิเลส ต้องสะสมกำลังมหาศาลเหลือเกินครับท่านทั้งหลาย
กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบให้ลูกศิษย์ฟังว่า ถ้าหากว่าเราจะส่งจรวดสัก ๑ ลำ เพื่อเข้าสู่วงโคจรในอวกาศนอกโลก ต้องใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนเหลวไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนลิตร สิ้นเปลืองเงินเป็นพัน ๆ ล้านดอลลาร์ แล้วสามารถส่งไปได้แค่วงโคจรเหนือโลกเท่านั้นนะครับ แล้วถ้าหากว่าเราสามารถคิดหลักการใช้พลังงานจากอวกาศ อย่างเช่นว่าอาจจะมีโซลาร์เซลล์ หรือว่าเครื่องมือตรวจจับความร้อนแปรเป็นพลังงานได้ เราส่งตัวด้วยพลังจากเครื่องยนต์เหล่านั้นออกไป อย่างดีก็หลุดจากสุริยจักรวาล แล้วก็ไปอยู่ในดาราจักรทางช้างเผือก ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องสิ้นเปลืองอีกเท่าไร เราถึงจะสามารถที่จะส่งตัวเองหลุดจากดาราจักรทางช้างเผือกไป คราวนี้ก็ไปติดอยู่ในเอกภพ หรือ Universe ของฝรั่งครับ แล้ว Universe นี่ประกอบไปด้วยดาราจักรหรือกาแล็กซี่เป็นแสน ๆ นะครับ กว่าเราจะหลุดพ้นจากดาราจักรทั้งหลายนั้นใน Universe ออกไป ก็แค่ขอบเขตของเทวดาชั้นจาตุมหาราช ที่เป็นเทวดาชั้นต่ำสุดเท่านั้น แต่ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายรักษาศีล เจริญสมาธิในเบื้องต้น สามารถรักษากำลังใจไว้ได้ การเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชนี่เป็น "หมูในอวย" เลยครับ ตักกินเมื่อไรก็ได้ เราจะเห็นว่าวิธีการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามอบให้กับเรานั้น เพียงพอแม้แต่การที่เราจะก้าวพ้นจากความเป็นเทวดานางฟ้า ถ้าเราทำได้จริง เพียงพอที่เราจะก้าวพ้นความเป็นรูปพรหม อรูปพรหม จนกระทั่งหลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2021 เมื่อ 19:58 |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายที่ใช้เทคโนโลยีทางโลก จนกระทั่งลืมตนเองไป นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะว่าท่านทั้งหลายทำงานไปก็จะเหนื่อยมาก แต่นอนพักเท่าไร ไม่รู้จักหายเหนื่อยหายเพลีย เพราะว่าท่านพักแต่กาย ใจของท่านไม่ได้พักเลย พอถึงเวลาก็กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นเปลว ก็คือกลางคืนก็ครุ่นคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย กลางวันก็ทำตามที่ตนเองคิด ในเมื่อท่านทั้งหลายไม่สามารถสงบจิตสงบใจได้ ต่อให้ปัญหาอยู่ตรงหน้า บางทีเรามองไม่เห็นทางออกนะครับ
แต่ถ้าท่านที่พัฒนาตนเอง ด้วยการพยายามรักษาศีล เมื่อใช้สติระมัดระวังในการรักษาศีลไม่ให้ขาดตกบกพร่อง สมาธิย่อมเกิดขึ้น เมื่อสมาธิเกิดขึ้น ถ้าได้รับการชักนำอย่างถูกต้องก็จะเป็นอัปปนาสมาธิ สามารถทรงกำลังแนบแน่น กดกิเลสให้ดับลงชั่วคราวได้ หลังจากนั้นเราต้องใช้ปัญญาในการครุ่นคิด มองให้เห็นความไร้แก่นสารในโลกนี้ จนกระทั่งเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หมดความอยากในโลกนี้ หมดความอยากในร่างกายนี้แล้ว ท่านทั้งหลายก็สามารถยกจิตของตนขึ้นสู่เหนือโลก ก็คือพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว สิ่งที่ท่านดำเนินชีวิตอยู่ ก็เป็นไปตามปกติธรรมดาของสังขารเท่านั้น ท่านทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อถึงระดับนั้นแล้ว ก็ปฏิบัติตนเป็น "เนติ" คือแบบอย่างให้แก่คนรุ่นหลัง ด้วยการทำงานรับใช้สังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมที่กว้างหรือแคบก็ตาม ต้องเป็นที่พึ่งของญาติโยมทั้งหลาย เพราะว่าพัฒนาตนมาถึงระดับที่ยืนด้วยตนเองได้ สามารถนำพาผู้อื่นไปด้วยได้ กลายเป็นดอกไม้บานที่บรรดาหมู่แมลงมารุมตอม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2021 เมื่อ 20:03 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
ความจริงแล้วท่านทั้งหลายสามารถทำได้ทุกคน แต่เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายขาดการสำรวมอินทรีย์ เมื่อถึงเวลา เราภาวนาไปได้ ๑ ชั่วโมง โอ๊ย...สมาธิดีเหลือเกิน จะเหาะจะบินได้ แล้วเราก็ไปนั่งเขี่ยไลน์เสีย ๒ ชั่วโมง แล้วจะเหลืออะไรละครับ ? ขาดทุนอีกด้วย เหมือนกับเราว่ายทวนน้ำมาอย่างเต็มที่ แล้วท่านก็ปล่อยมือให้ลอยตามน้ำไป เมื่อถึงเวลารู้ตัว ก็ว่ายทวนน้ำขึ้นมาใหม่ แล้วก็ปล่อยลอยตามน้ำไปอีก
วันแล้ววันเล่าก็เป็นอย่างนี้ เดือนแล้วเดือนเล่าก็เป็นอย่างนี้ ปีแล้วปีเล่าก็เป็นอย่างนี้ ท่านทั้งหลายก็จะเบื่อหน่าย ทำไมเราปฏิบัติเท่าไรไม่เห็นผลเลย ก็เพราะว่าท่านปล่อยให้กิเลสมาครอบครองใจ ถึงเวลาตาอยากดูรูป เรารีบหาให้ดู หูอยากได้ยินเสียง เรารีบหาให้ฟัง จมูกอยากได้กลิ่น เรารีบหาให้ดม ลิ้นอยากได้รส เรารีบหาให้กิน กายอยากสัมผัส เรารีบหามา จะเย็นร้อนอ่อนแข็ง เลือกเอาตามฤดูกาล ใจอยากครุ่นคิด เราปล่อยให้คิด โดยที่ไม่คิดจะหยุดความคิดนั้นเลย แปลว่ากำลังที่ท่านสะสมได้จากการเจริญกรรมฐานสัก ๑๕ นาที ๒๐ นาที ๓๐ นาที แต่ท่านปล่อยให้รั่วออกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตลอด ๒๓ ชั่วโมงกว่า แล้วคิดว่าชีวิตนี้ของท่านจะประสบความสำเร็จในการพัฒนาจิตไหมครับ ? ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเห็นแล้วว่าจุดบกพร่องของเราคืออะไร เราต้องระมัดระวัง นักปฏิบัติที่ดีในระยะแรก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนแล้ว ต้องปลีกตัวออกจากหมู่ พูดง่าย ๆ ก็คือ ปันตัญจะ สะยะนาสะนัง ยืน เดิน นั่ง นอน ในที่อันสงัด อะธิจิตเต จะ อาโยโค หมั่นประกอบในการทำจิตให้ตั้งมั่น ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง แม้จะเป็นชั่วครั้งชั่วคราวก็ตาม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2021 เมื่อ 20:49 |
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
ถ้าท่านสามารถทำได้อย่างนี้ เมื่อสะสมกำลังนานไป ๆ กำลังนั้นเพียงพอ ท่านก็จะก้าวข้ามกิเลสต่าง ๆ ไปได้ตามลำดับ ๆ ตามกำลังที่ท่านสั่งสมมา ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายก็สามารถที่จะช่วยเหลือสังคมได้อย่างมากมายตามกำลังของตนเองที่มี
เนื่องจากว่ากำลังเราสูงเท่าไร ก็สามารถช่วยเหลือบริษัทบริวารได้มากเท่านั้น ถ้าหากว่ากำลังไม่พอ จะทำอย่างไรครับ ? อย่าเพิ่งท้อครับ ในเมื่อคนอื่นไม่มีกำลังเลย ท่านมีมากกว่าเขาหน่อยหนึ่ง อย่างน้อย เราเดินนำได้ครับ เดินนำไปข้างหน้าให้เขารู้ว่าทางนี้เป็นทางถูก ช่วยเหลือสังคมให้คนอื่นเขาเห็น แล้วคนอื่นถ้าหากว่าศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวท่าน เขาก็จะทำตาม เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจะเห็นว่า ปัจจุบันในสังคมของเรา แม้ว่าพระภิกษุสงฆ์สามเณรมีจำนวนไม่มาก ที่จะปฏิบัติธรรมจนกระทั่งกลายเป็นที่เลื่องลือ เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนหมู่มาก แต่ว่าพระภิกษุสามเณรส่วนใหญ่ กลับออกไปช่วยเหลือสังคมได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะในเรื่องของน้ำท่วม ไฟไหม้ ในช่วงระหว่างที่ไวรัสโควิด ๑๙ อาละวาด เราจะเห็นว่าแต่ละวัดได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ในการช่วยเหลือสังคม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านทั้งหลายก็ต้องปลีกตัวปลีกเวลา อย่างน้อย ๆ ในแต่ละวัน ท่านจะต้องสั่งสมกำลังของตนเอง เพื่อให้มีเพียงพอที่จะใช้ในวันต่อไป ถึงจะเป็นการใช้แบบ "ตำข้าวสารกรอกหม้อ" ก็ต้องเอา สำนวนโบราณอีกแล้วนะครับ "ตำข้าวสารกรอกหม้อ" ก็คือสมัยก่อนไม่มีโรงสี พอถึงเวลาก็ต้องเอาข้าวเปลือกมาตำเป็นข้าวสาร ถึงจะได้หุงกิน ก็ปรากฏว่าจะกินทีหนึ่งก็ตำทีหนึ่ง เขาถึงได้ใช้สำนวนว่า "ตำข้าวสารกรอกหม้อ" ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง "ตำข้าวสารกรอกหม้อ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2021 เมื่อ 20:51 |
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
ผมเสียดายครูบาอาจารย์ของตนเองอย่างยิ่งท่านหนึ่ง ก็คือพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์พระราชปริยัติโมลี (โสภา เขมสรโณ ป.ธ.๙) อดีตรองเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม อดีตเจ้าอาวาสวัดพระงาม พระอารามหลวง ท่านเจ้าคุณอาจารย์ท่านเป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวง เป็นรองเจ้าจังหวัดนครปฐม แต่ว่าไม่ว่าท่านจะไปการไปงาน หรือว่าไปกิจนิมนต์ กลับมาดึกดื่นขนาดไหนก็ตาม ท่านเจ้าคุณอาจารย์จะต้องสวดมนต์ไหว้พระก่อนถึงจะเข้านอน ดึกแค่ไหนก็ต้องทำครับ
ท่านทั้งหลายครับ การสวดมนต์ไหว้พระคือการสั่งสมกำลังสมาธิ ถ้าสมาธิไม่เพียงพอ ท่านจะสวดผิด ในเมื่อเป็นการสั่งสมกำลังสมาธิ ท่านเจ้าคุณอาจารย์ที่สั่งสมอยู่ทุกวัน ย่อมมีกำลังมาก สามารถที่จะช่วยเหลือคนอื่นได้มาก ดังนั้น...ถ้าท่านทั้งหลายจะ "ตำข้าวสารกรอกหม้อ" ก็อาศัยหลักไตรสิกขาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือศีล สมาธิ และปัญญา ในการพัฒนาตนเองก่อน เมื่อตัวเราพัฒนาตนเองจนกระทั่งเข้มแข็งแล้ว เราก็พัฒนางานในหน้าที่ของเรา ทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่ครับ ทำแบบคนที่มีวันนี้วันเดียว คนที่มีวันนี้วันเดียว ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ด้วยจิตสำนึกที่ว่า อยู่คนเขาก็เกรงใจ ไปคนเขาก็คิดถึง ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายทำในลักษณะอย่างนี้ นอกจากท่านสามารถที่จะพัฒนาตนเองให้มั่นคงได้แล้ว ยังพัฒนางานในหน้าที่ของตนให้ดี ถ้าหากว่างานของท่านดี เรื่องของตำแหน่งหน้าที่จะมาเองครับ เมื่อพัฒนาตนดีแล้ว พัฒนางานดีแล้ว เราก็พัฒนาสังคม อันดับแรกก็ภายในวัดวาอาราม หรือว่าภายในบ้านของเรา ทำให้ดี ทำให้มั่นคง ให้สงบเรียบร้อย เมื่อถึงเวลาพัฒนาภายในแล้ว เราก็ค่อย ๆ กระจายออกไปรอบด้าน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2021 เมื่อ 20:53 |
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
ท่านทั้งหลายที่เป็นพระภิกษุสามเณร เราอาศัยชาวบ้านเขาอยู่ เราอาศัยชาวบ้านเขากิน ในเมื่อท่านเองสามารถยืนหยัดมั่นคงได้แล้ว ท่านก็ควรที่จะเป็นที่พึ่งแก่ชาวบ้านเขาบ้าง ซึ่งตรงนี้ กระผม/อาตมภาพดีใจมากที่เห็นเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ อาละวาดไปทั่วประเทศไทยและทั่วโลก
ไม่ได้ดีใจที่เห็นคนลำบากเดือดร้อน แต่ดีใจที่เห็นว่าพระภิกษุสามเณรของเรา เป็นที่พึ่งแต่ญาติโยมเขาได้ทั้งประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือมาก ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือน้อย ทุกคนล้วนแล้วแต่ร่วมมือร่วมใจกันช่วย ด้วยจิตสำนึกที่ว่า เมื่อถึงเวลาญาติโยมเขาเลี้ยงเรา เมื่อญาติโยมเขาเดือดร้อน เราก็ต้องเป็นที่พึ่งแก่ญาติโยมเขาได้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสามารถทำตรงจุดนี้ได้ วัดของท่าน หมู่บ้านของท่าน ก็จะสงบงาม เจริญรุ่งเรือง ถ้าหลาย ๆ หมู่บ้านดีแบบนี้ ตำบลนั้นก็จะดี หลาย ๆ ตำบลดีแบบนี้ อำเภอนั้นก็จะดี หลาย ๆ อำเภอดีแบบนี้ จังหวัดนั้นก็จะดี หลาย ๆ จังหวัดดี ประเทศชาติของเราก็จะดี แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะดีได้ ต้องเกิดจากภายในของท่านก่อน คือใจของท่านต้องประกอบด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญาเสียก่อน เมื่อถึงเวลาที่ท่านจะไปทำงาน ความที่ท่านเป็นผู้มีศีล ทำให้แกล้วกล้า กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำในสังคม จะเป็นเวสารัชชกรณธรรม หลักธรรมที่ทำให้คนเกิดความกล้า เมื่อท่านมีสมาธิ ท่านจะสามารถยืนหยัดและอดทน ทำงานได้นาน ทำงานได้อึดกว่าคนอื่นเขา สังเกตไหมครับ ? หลายท่านพอเลิกงานแล้วหงายผลึ่ง..สลบไปเลย บางคนอยากจะนอนสัก ๓ วัน ๓ คืน เพราะว่าท่านไปทุ่มเทกำลังสมาธิทั้งหมดของท่านอยู่กับงาน เมื่อถึงเวลาจึงไม่เหลือเอาไว้รักษาตัวเองเลย ดังนั้น...ตรงจุดนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายได้ทราบว่า สิ่งที่ท่านจะทำนั้น กำลังของศีลทำให้เรากล้า กำลังสมาธิทำให้เราแกร่ง แล้วกำลังปัญญาละครับ ? กำลังปัญญา ถ้าใช้ในทางโลกจะทำให้ท่านเป็นผู้เลิศครับ ทำอะไรก็ดี ทำอะไรก็สะดวก เห็นช่องทางไปหมด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2021 เมื่อ 20:55 |
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
ท่านทั้งหลายในปัจจุบันนี้ส่วนหนึ่ง ที่ต้องไปพึ่งพระ พึ่งเจ้า พึ่งหมอดู พึ่งหมอผี ก็เพราะว่าเวลามีปัญหาขึ้นมาแล้วปัญญาของท่านไม่พอ ต้องไปอาศัยกำลังปัญญาจากภายนอก แต่ถ้าหากว่าสมาธิของท่านมั่นคง ปัญญาของท่านจะมี เมื่อมีปัญญาขึ้นมาแล้ว ท่านทั้งหลายก็จะพินิจพิจารณาถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ว่าอะไรก่อน อะไรหลัง อะไรเร็ว อะไรช้า เมื่อสามารถจัดลำดับก่อนหลังเร็วช้าของปัญหาได้ ปัญหาไหนมาก่อน เราหยิบขึ้นมาแก้ไขก่อน ท่านจะมีเรื่องอยู่ตรงหน้าเรื่องเดียวตลอด ไม่หนักเกินกำลัง
แต่ส่วนใหญ่ปัจจุบันเราขาดสมาธิ ก็เลยทำให้สติไม่มี ปัญญาไม่พอ เราก็เอาทุกปัญหามาหมกรวมกัน ไหนจะเรื่องของผัว ไหนจะเรื่องของเมีย ไหนจะเรื่องของลูก ไหนเรื่องของพ่อ เรื่องของแม่ เรื่องของเพื่อน เรื่องของงาน ในเมื่อเอามาหมกรวมกัน กลายเป็นปัญหากองใหญ่ ท่านทั้งหลายก็สางไม่ออก แล้วก็ทำให้เกิดปัญหาหมักหมม สะสม ท่านเองก็จะเครียด โรคภัยต่าง ๆ ถามหา บางคนก็อย่างว่า ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าไปเลย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านต้องเห็นประโยชน์ว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเรามา ๒,๖๐๐ กว่าปีแล้ว ก็คือหลักไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญานี่เองแหละครับ เริ่มต้นจากการรักษาศีล ควบคุมกายวาจาของเราให้เรียบร้อย ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายสัตว์ให้ลำบากด้วยเจตนา ไม่ลักขโมย ไม่หยิบฉวยช่วงชิงสิ่งของของคนอื่น ไม่ละเมิดคนรัก ไม่ละเมิดของรักของคนอื่น ไม่พูดจาโกหกมดเท็จ ไม่พูดส่อเสียดยุยงให้คนแตกแยกกัน ไม่พูดวาจาเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์ ไม่พูดคำหยาบ แล้วท้ายที่สุด เราเองก็มารักษาใจ ด้วยการอยู่กับสมาธิภาวนา ท่านทั้งหลายนั่งสมาธิเป็นทุกคน เราอยู่กับลมหายใจเข้าออกตรงหน้า อยู่กับปัจจุบันครับ ทุกวันนี้ที่เราทุกข์ เพราะว่าใจของเราไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน ใจของเรา ถ้าไม่ไปห่วงหาอาลัยในอดีต เราก็จะฟุ้งซ่านไปอนาคตว่าอยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่ อยากได้นั่น อยากได้นี่ ทันทีที่อยาก เท่ากับสร้างความทุกข์ให้กับตนเองแล้วครับ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2021 เมื่อ 20:56 |
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
ทำอย่างไรที่ท่านจะหยุดความอยากนั้นได้ ? ก็ต้องอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับตอนนี้ อยู่กับเดี๋ยวนี้ อยู่กับลมหายใจเข้าออกตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นพุทโธ เป็นนะมะพะทะ เป็นสัมมา อะระหัง เป็นพองหนอ ยุบหนอ ก็ขอให้อยู่ตรงหน้าของเรา ถ้าท่านสามารถรักษากำลังใจอยู่อย่างนี้ ท่านก็จะมีความทุกข์น้อย เพราะว่าเราไม่ทุกข์ด้วยความคิดของตัวเอง
เมื่อเราสามารถรักษากำลังใจอยู่ตรงหน้า กำลังใจเกิดความนิ่ง เกิดความสงบ ตรงนี้เสียหายง่ายครับ เสียหายตรงไหน ? กำลังใจที่นิ่งที่สงบเหมือนกับน้ำนิ่ง น้ำที่กระเพื่อม เรามองอะไรไม่เห็น แต่ทันทีที่น้ำนิ่ง จะสะท้อนภาพรอบข้างลงไปได้อย่างชัดเจนที่สุด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งต่าง ๆ ที่ท่านเห็นจะพาให้ท่านเสียได้ เพราะว่าส่วนใหญ่เราเห็นแล้วเราก็เชื่อตามนั้น แล้วส่วนมากระยะแรกก็จะดีตามนั้นจริง ๆ เสียด้วย ดังนั้น...เราจะต้องทำใจให้ได้ว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่แก่นสาร เป็นแค่เปลือกนอกเท่านั้น เป็นของแถมเท่านั้น สินค้าหลักของเราก็คือ การที่เราสงบถึงที่สุด แล้วก่อให้เกิดปัญญา สามารถเห็นช่องทางที่นำพาเราพ้นทุกข์ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2021 เมื่อ 20:58 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
ในเมื่อท่านสามารถทำในลักษณะอย่างนี้ได้ สามารถที่จะสร้างตนเอง พัฒนาตนเองได้ ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเชื่อใจ ทรงไว้วางใจ
พระองค์ท่านเชื่อใจและไว้วางใจในพุทธบริษัททุกคน ว่าสามารถพัฒนาตัวเองได้จากต่ำสุดจนถึงสูงสุด ก่อให้เกิดประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ในอนาคต และประโยชน์สูงสุดแก่ตน ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น และท้ายที่สุด ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม พระองค์ท่านจึงต้องยอมเสียเวลาเหนื่อยยาก แสดงพระธรรมเทศนาถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้มีหลักในการพัฒนาจิตใจของตนเอง แล้วในที่สุด เมื่อท่านทั้งหลายพัฒนาไปจนถึงระดับหนึ่ง ท่านก็สามารถที่จะพัฒนาสังคมเล็ก ๆ รอบข้างของท่านให้ดีขึ้น เมื่อสังคมเล็ก ๆ รอบข้างดีขึ้น ท่านทั้งหลายก็จะมีผู้ที่ให้ความสนใจ แล้วสังคมที่กว้างกว่านั้นก็จะเชื่อมโยงมาถึง ท่านทั้งหลายรักษาวัดตนเอง รักษาหมู่บ้านตนเองได้ ยืนหยัดได้ เท่ากับเป็นห่วงโซ่ห่วงหนึ่ง ถ้าเป็นแค่เฉพาะห่วงเดียว การใช้ประโยชน์ก็น้อย เราจึงจำเป็นต้องมีเครือข่าย มีการเชื่อมโยงกับห่วงอื่น ๆ จนกลายเป็นโซ่ทั้งเส้นขึ้นมา ก็จะใช้ประโยชน์ได้มากมายหลากหลายขึ้นไป จนประมาณไม่ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2021 เมื่อ 05:47 |
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
เหมือนอย่างกับการสัมมนาวิชาการในวันนี้ ที่ทางวิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรีศรีสุวรรณภูมิเริ่มต้นขึ้นมา ชักชวนห่วงโซ่อื่น ก็คือวิทยาลัยสงฆ์อุทัยธานี วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์เข้ามาร่วม เปิดโอกาสให้บรรดาท่านทั้งหลายที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นวิทยาเขตหรือวิทยาลัยสงฆ์ ตลอดจนกระทั่งมหาวิทยาลัยแม่เข้ามามีส่วนร่วมด้วย
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เมื่อเชื่อมขึ้นมาแล้วเป็นเครือข่ายที่ทรงพลังมาก ถ้าหากว่าเราระดมเครือข่ายทั้งหลายเหล่านี้ ในการที่จะไปช่วยเหลือสังคม ไม่ว่าจะเป็นวงกว้างขนาดทั้งประเทศ หรือว่าช่วยเหลือถึงต่างประเทศ เราก็จะมีเครือข่ายที่เข้มแข็ง สามารถที่จะพัฒนาสังคมในประเทศ และสังคมโลกของเราให้ดีขึ้น ด้วยหลักธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน กระผม/อาตมภาพใช้เวลามาพอสมควร เหลือเวลาตามที่กำหนดเอาไว้ประมาณ ๕ นาที ท่านใดมีข้อสงสัยอะไรที่จะไต่ถามก็เชิญเลยจ้ะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2021 เมื่อ 05:48 |
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
ถาม : ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ทางวัดท่าขนุนมีการช่วยเหลือชุมชนอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ในปัจจุบันนี้หลัก ๆ เลยก็คือเปิดโรงพยาบาลสนาม ช่วยเหลือรับผู้ป่วยที่ตอนนี้ก็ล้นแล้วล้นอีก เพราะว่ารักษาหายไปทีละ ๕ คน ทีละ ๑๐ คน แต่เข้ามาทีละ ๒๐ - ๓๐ คน แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือบรรดาท่านทั้งหลายที่โดนกักตัวอยู่ตามบ้าน ทางวัดของเราให้คณะ อสม.ตำบลท่าขนุน นำอาหาร นำน้ำดื่ม นำหน้ากากอนามัยไปมอบให้อยู่ทุกวัน พูดง่าย ๆ ก็คือว่าแทบจะรับผิดชอบทั้งอำเภอแล้วครับ แล้วในส่วนของแพทย์พยาบาล ถ้าหากว่าขาดเครื่องไม้เครื่องมืออะไร ก็มาขอได้ที่วัดท่าขนุนของเรา และที่สำคัญที่สุด พวกผมออกบิณฑบาตกันทุกวันครับ ถ้าถามว่าออกบิณฑบาตทุกวันสำคัญตรงไหน ? ในระหว่างที่ญาติโยมเสียขวัญ ถ้าหากว่ามีพระแถวยาว ๒๐ - ๓๐ รูปเดินมา เห็นแล้วใจชื้นครับ ฟูขึ้นมาเลยครับ และอาจจะเป็นตรงนี้ครับที่บุญรักษา พวกผมทำการ "สวอบ" มา ๒ รอบแล้ว เพราะว่าไปท้าทายโควิดในลักษณะเดินบิณฑบาตกันทุกวัน ยังไม่มีใครติดเชื้อครับ ปรากฏว่าวัดอื่น ๆ รอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นวัดทองผาภูมิ วัดเวฬุวัน วัดจันเดย์ วัดป่าผาตาดธารสวรรค์ เรียบร้อยไปทุกวัดแล้ว ขาดแต่วัดท่าขนุนอยู่ ผ่าน "สวอบ" มา ๒ ครั้งแล้ว ยังไม่มีใครเป็นอะไรครับ แล้วก็คิดว่าจะทำหน้าที่นี้ไปเรื่อย ๆ เป็นกำลังใจให้กับญาติโยมเขาไปเรื่อย ๆ จนกว่าโควิดจะหายไปจากประเทศไทยครับ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2021 เมื่อ 05:51 |
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
ถาม : ทางกาญจนบุรี ทางวัดหลวงพ่ออุตตมะ มีชุมชนชาวมอญ คนเยอะมาก เขามีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของโควิดไหมครับ ?
ตอบ : มีครับ แล้วก็มีมากด้วย แต่ว่าที่มีมาก ไม่ได้มีในบ้านเราครับ มีจากประเทศตรงข้ามอีกฝั่งหนึ่งครับ ระยะนี้บรรดาต่างด้าวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เดินเข้ามาให้ตำรวจเราจับครับ เพราะว่าพอเราจับแล้ว เราต้องรักษาเขาครับ เขาไม่สามารถที่จะพึ่งระบบสาธารณสุขในประเทศของเขาได้ เขาก็เลยข้ามมาให้ประเทศไทยรักษา พอถึงเวลาก็เดินลุยเข้ามาหาพวกเราเลย แล้วเขาก็รู้ว่าเราจะต้องแจ้ง อสม. จะต้องแจ้งตำรวจ เมื่อถึงเวลาท่านทั้งหลายนี้มา เราก็ต้องทำการสวอบ คือตรวจให้เขาก่อน ถ้าติดโรค เราก็รักษา หายแล้วถึงส่งกลับ ถ้าหากว่าไม่ติดโรค เขาก็สบายใจ กลับบ้านไปทำงานต่อ ปัจจุบันนี้มีปัญหาหนักที่สุดก็อำเภอสังขละบุรีกับอำเภอทองผาภูมิครับ เพราะว่าเรามีชายแดนติดพม่า ทองผาภูมิยังง่ายครับ เราปิดทางขึ้นปิล็อกทางเดียว เขาก็ลงมาไม่ได้แล้ว แต่ว่าทางสังขละบุรีนี่ แนวชายแดนยาวหลายกิโลเมตรครับ มีแต่ทางมดเดิน ไม่รู้เหมือนกันว่าทางทำไมเยอะขนาดนั้น ข้ามมาทุกวันครับ ตำรวจทหารทำหน้าที่กันจนกระทั่งเหนื่อยล้ากันเต็มทีแล้ว แต่ก็ยังคงต้องสู้ต่อไป จนกว่าโรคนี้จะหายไปครับ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2021 เมื่อ 05:53 |
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|