กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 10-02-2012, 09:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,002 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตัวเอง ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า สติที่กำหนดไว้เฉพาะหน้านั้น คือให้เอาความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามที่เราเคยมีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๕ ก็ถือว่าเป็นการเจริญกรรมฐานรับตรุษจีนของเราก็แล้วกัน ถึงแม้ว่าตรุษจีนจะเลยมาครึ่งเดือนแล้วก็ตาม

วันนี้มีญาติโยมหลายรายที่มาสอบถามเกี่ยวกับลักษณะของการทรงฌาน อยากจะบอกกับท่านทั้งหลายว่า การทรงฌานนั้น บางท่านก็มีสภาวะที่แตกต่างไปจากคนอื่นบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ท้ายสุดแล้วอาการส่วนใหญ่ก็จะเหมือนกัน จึงได้ตักเตือนท่านทั้งหลายเหล่านั้นไปว่า การปฏิบัติของเรานั้น ไม่ได้สำคัญตรงที่ว่าทรงสมาธิระดับไหนได้ ไม่สำคัญตรงที่ว่าจะรู้เห็นอะไรได้ แต่สำคัญตรงที่ว่าสามารถละกิเลสได้หรือไม่

ถ้าสามารถละกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ได้ จะเป็นสมาธิระดับไหนก็ใช้ได้ และจะรู้เห็นหรือไม่..ไม่สำคัญ ขอให้สามารถทำใจให้ผ่องใสปราศจากกิเลสได้ แม้จะชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดีกว่าทำไม่ได้เสียเลย

ในเรื่องของการทรงฌานนั้น ถ้าหากว่ากันตามแบบในวิสุทธิมรรคแล้ว ปฐมฌานคือฌานที่ ๑ (ความเคยชินระดับที่ ๑) นั้น ท่านบอกว่าประกอบไปด้วยองค์ ๕ คือ วิตก คิดนึกตรึกอยู่ว่าจะภาวนา วิจาร เรากำลังภาวนาอยู่ ลมหายใจจะแรงจะเบา จะยาวจะสั้น กำหนดรู้ตามไปด้วย ปีติ มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้นกับร่างกาย ๕ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็คือ ขนลุก น้ำตาไหล ร่างกายโยกโคลงหรือดิ้นตึงตัง ลอยขึ้นไปทั้งตัว หรือว่ารู้สึกตัวพอง ตัวใหญ่ ตัวรั่วเป็นรู ตัวแตก ตัวระเบิดไปก็มี

สุข คือความเยือกเย็นทั้งกายและใจ ที่ไม่สามารถจะอธิบายเป็นภาษามนุษย์ได้ถูก เนื่องจากว่าปกติแล้วเราจะโดนไฟใหญ่ ๔ กอง คือไฟจากความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง เผาผลาญอยู่ตลอดเวลา การที่สมาธิเริ่มทรงตัวไปถึงระดับหนึ่ง ไฟใหญ่ ๔ กองนี้จะโดนอำนาจของสมาธิกดดับลงไปชั่วคราว บุคคลที่โดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา อยู่ ๆ ไฟดับไป ถามเขาว่าสุขสบายอย่างไร เขาไม่สามารถจะอธิบายเป็นคำพูดได้ และท้ายสุดคือ เอกัคตารมณ์ อารมณ์ที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 03:26
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 11-02-2012, 10:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,002 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมาเองเคยเจอขั้นตอนทั้งหลายเหล่านี้มาแล้ว และคิดว่าขั้นตอนทั้ง ๕ อย่างนี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน แต่ความจริงแล้วมีก่อนมีหลัง ถ้าจิตของเราละเอียดไม่พอ เราก็จะไปคิดว่าเกิดขึ้นพร้อมกัน เพราะว่าในชั่วขณะนั้น วิตก คิดอยู่ว่าจะภาวนา วิจาร กำลังภาวนาอยู่ ลมหายใจแรงหรือเบา ยาวหรือสั้น ใช้คำภาวนาอย่างไรก็รู้ ปีติ มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๕ อย่างดังกล่าวมา สุข มีความสุขมีความเยือกเย็นทั้งกายและใจอย่างบอกไม่ถูก และเอกัคคตารมณ์ อารมณ์ที่ตั้งมั่นอยู่กับการภาวนา จดจ่อแน่วนิ่งอยู่ในอารมณ์เดียว

ถ้าหากว่าเกิดขึ้นเร็วมาก เราจะแยกไม่ออก คิดว่าเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน แต่ถ้าหากสภาพจิตเราละเอียดพอ จะเห็นว่าเกิดขึ้นเป็นขั้น ๆ ไป จนกระทั่งอารมณ์ทรงตัวเต็มที่ก็เป็นเอกัคคตารมณ์ นี่คือความเคยชินระดับที่หนึ่ง หรือสมาธิระดับที่หนึ่ง ที่เรียกเป็นภาษาบาลีว่าปฐมฌาน

ในฌานที่ ๒ นั้น พอจิตแน่วนิ่งอยู่กับเอกัคคตารมณ์ไปสักระยะหนึ่ง สภาพจิตที่ทรงตัวมากขึ้น ลมหายใจก็รู้สึกว่าเบาลงหรือไม่มีไปเลย คำภาวนาบางทีก็หายไปเฉย ๆ หูได้ยินเสียงเบามาก หรือไม่ได้ยินเลยก็มี ถ้าอาการอย่างนี้เกิดขึ้นให้รู้ว่า เริ่มเข้าสู่ความเคยชินขั้นที่ ๒ หรือสมาธิขั้นที่ ๒ ตามภาษาบาลีที่เรียกว่าทุติยฌาน

ลำดับถัดไป บางท่านก็จะรู้สึกว่าปลายมือปลายเท้าชาแข็ง เย็นเข้ามา ๆ จนกระทั่งบางทีเนื้อตัวแข็งทื่อไปหมด เหมือนถูกสาปให้เป็นหินก็มี เหมือนกลายเป็นก้อนน้ำแข็งไปแล้วก็มี กลายเป็นรูปสลักไปแล้วก็มี บางท่านก็รู้สึกเหมือนโดนมัดตัวแน่นจนตึงเป๋ง เหมือนติดแน่นอยู่กับเสาก็มี ตอนนั้นลมหายใจก็ไม่มี คำภาวนาก็ไม่มี ถ้าอาการอย่างนี้เกิดขึ้นให้รู้ว่าเป็นกำลังของสมาธิระดับที่ ๓ เป็นความเคยชินระดับที่ ๓ หรือเรียกตามบาลีว่า ตติยฌาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 11:14
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 12-02-2012, 08:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,002 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากว่าเราไม่กลัว เอาสติกำหนดตามดูตามรู้อยู่ว่าขณะนี้อาการเป็นอย่างนั้น สภาพจิตก็จะดำเนินต่อไป คล้าย ๆ กับว่ารวบเข้ามา ๆ จนสว่างโพลงอยู่จุดใดจุดหนึ่งเฉพาะหน้า อาจจะเป็นตรงหน้าของเราก็ได้ ในอกก็ได้ หรือบางทีเหนือศีรษะก็ได้

ความสว่างไสวนั้นสว่างจนบอกไม่ถูก ยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ยามเที่ยง แต่เป็นความสว่างที่เยือกเย็น ไม่ใช่ความสว่างที่ร้อนแบบแสงอาทิตย์ ความสว่างไสวสดใสเจิดจ้านั้นจะอยู่เฉพาะหน้าของเรา ตอนช่วงนั้นประสาทความรู้สึกของร่างกายจะโดนตัดขาดไปแล้ว ก็คือสภาพจิตส่วนจิต ร่างกายส่วนร่างกาย เมื่อประสาทเชื่อมโยงไม่ถึงกัน สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นกับร่างกายเราก็ไม่รับรู้ เหมือนกับคนที่ตายไปแล้ว

เสียงปืน เสียงประทัด เสียงระเบิดดังอยู่ข้างหู เสียงฟ้าผ่าลงมาข้างหู ก็ไม่ได้ยิน สภาพของร่างกายเหมือนกับไม่หายใจแล้ว แต่ความจริงยังมีลมละเอียดที่เรียกว่าปราณ วิ่งอยู่ระหว่างจมูกกับสะดือ สำหรับบุคคลที่ทำถึงระดับนี้จะเห็นว่าปราณเส้นนี้นั้น ใหญ่โตแข็งแรงมั่นคงมาก แต่ความจริงแล้วลักษณะเหมือนเส้นด้ายละเอียด ใส ๆ เหมือนกับสายเอ็นเบ็ดตกปลา ถ้าหากว่าสายนี้ขาดก็คือหมดลมตายไปเลย

แต่ถ้าตราบใดสายเชื่อมโยงปราณเส้นนี้ยังอยู่ ก็จะไม่ตาย ดังนั้น..ท่านทั้งหลายถ้าทำมาถึงจุดนี้ไม่ต้องไปหวาดกลัว เพราะตอนนั้นสติสมาธิของเราจะละเอียดมาก ลมปราณละเอียดเล็ก ๆ นี้ เราจะรู้สึกว่าใหญ่โตเกาะติดได้มั่นคงมาก ถ้าอาการอย่างนี้เกิดขึ้นให้รู้ว่า นี่เป็นอาการของความเคยชินขั้นที่ ๔ สมาธิขั้นที่ ๔ หรือเรียกตามบาลีว่าจตุตถฌาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-02-2012 เมื่อ 08:40
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 13-02-2012, 07:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,002 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่เกิดขึ้นกับเรา จะมีรายละเอียดปลีกย่อยเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ ขอให้พวกเราตีราคาข้างต่ำไว้เสมอ อย่างเช่น ปฐมฌานละเอียดนั้น บางทีความรู้สึกของเราปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง สภาพจิตมีการรู้ลมเอง ภาวนาเองโดยอัตโนมัติ เป็นต้น แต่บางท่านก็ไปเข้าใจว่านี่เป็นอาการของฌาน ๒ ฌาน ๓ หรือฌาน ๔ ก็มี ท่านทั้งหลายจะถามคนอื่น ถ้าใช้คำถามผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ผู้ที่รับฟังคำถามก็จะเข้าใจคลาดเคลื่อนและตอบผิดไปก็มี

ดังนั้น..สำคัญก็คือศึกษาขั้นตอนเหล่านั้น แล้วเปรียบเทียบดูว่าสมาธิของเราตอนนี้อยู่ในขั้นไหนก็จะเข้าใจได้ แต่ก็อยากจะสรุปลงตรงที่ว่า สมาธิขั้นไหนก็ตามไม่สำคัญ สำคัญตรงที่ว่าขณะนั้นจิตของเราปราศจากรัก โลภ โกรธ หลง หรือเปล่า ถ้าหากว่ารัก โลภ โกรธ หลง กินใจไม่ได้ ถือว่าสภาพจิตของเราตอนนั้นมีคุณภาพ

แต่ถ้าหากมีความมั่นคงสูงถึงระดับอัปปนาสมาธิตั้งแต่ปฐมฌานละเอียดขึ้นไป ก็เป็นการประกันความเสี่ยงได้ค่อนข้างแน่ว่า ถ้าตราบใดที่เราไม่ทิ้งให้สมาธิของเราหลุดออกไปจากกำลังของฌานสมาบัติตรงหน้า กิเลสก็ยังกินใจเราไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันก็มีบุคคลอีกจำพวกหนึ่ง เมื่อเกิดความสุขสงบเยือกเย็นทั้งกายและใจขึ้น รัก โลภ โกรธ หลง โดนกำลังสมาธิกดนิ่งสนิทไป คิดว่าตนเองบรรลุมรรคผลแล้วก็มี..!

ดังนั้น..จึงต้องระมัดระวังตรงนี้ให้มาก ๆ อย่าไปทึกทักเอาว่าเราได้ฌานนั้นฌานนี้ สมาธิขั้นนั้นขั้นนี้แล้ว ให้ประมาณการณ์ขั้นต่ำไว้เสมอว่าเรายังไม่ได้ แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติของเราต่อไป เมื่อกำลังใจทรงตัวเต็มที่แล้ว จะเป็นธรรมชาติของสมาธินั้น ๆ ว่า ถึงเวลาก็จะคลายตัวออกมาเองโดยอัตโนมัติ เมื่อสมาธิคลายตัวออกมาเราต้องระมัดระวังให้มาก ต้องรีบหาวิปัสสนาญาณให้คิดพิจารณาโดยด่วน ไม่อย่างนั้นแล้วสภาพจิตจะไปคว้าเอา รัก โลภ โกรธ หลง มาฟุ้งซ่าน เอามาคิดเอง ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะฟุ้งซ่านอย่างเป็นงานเป็นการ เพราะมีกำลังของสมาธิหนุนเสริมอยู่

สำหรับตอนนี้ก็ให้ท่านทั้งหลายกำหนดดูกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก พร้อมกับคำภาวนาของตนเองไปตามอัธยาศัย ถ้าหากว่ากำลังใจทรงตัวแล้ว จะถอยออกมาพิจารณาอย่างไรก็ได้ ตามที่ถนัดและเคยชิน จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2012 เมื่อ 13:49
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 18-03-2012, 18:39
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 259
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,227 ครั้ง ใน 1,280 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2555-02-03

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:53



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว