กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 28-10-2020, 20:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,457
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๓

ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ วันนี้มีผู้ถามปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติ ซึ่งก็คือการภาวนา ว่าจะจับเฉพาะลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว หรือว่าจะใช้คำภาวนาไปด้วย

เรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องของพื้นฐานเบื้องต้นในการปฏิบัติธรรมของเรา กองกรรมฐานแรกเลยที่เราจะใช้ในการปฏิบัติธรรมก็คือ อานาปานสติ การระลึกถึงลมหายใจเข้าออก

คราวนี้การระลึกถึงลมหายใจเข้าออกของเรานั้น เราจะนึกเฉพาะลมหายใจ..ไหลเข้าไปจนสุด..ไหลออกมาจนสุดก็ได้ หรือถ้าสภาพจิตของเรามีความฟุ้งซ่าน นึกถึงลมหายใจอย่างเดียว สภาพจิตจะเผลอไปคิดถึงเรื่องอื่นได้ง่าย ก็ให้ใช้ลมหายใจเข้าออกควบกับคำภาวนา อย่างเช่นคำว่าพุทโธ เป็นต้น หายใจเข้า..พุท..ลมหายใจเข้าไปพร้อมกับคำภาวนาจนสุด หายใจออก..โธ..ลมหายใจไหลออกมาพร้อมกับคำภาวนาจนสุด

หรือถ้าใช้ลมหายใจเข้าออกควบกับคำภาวนาแล้ว เรายังสามารถที่จะฟุ้งซ่านไปในอารมณ์อื่นได้ง่าย ท่านก็ให้จับจุดกระทบของลม เพื่อเพิ่มงานให้แก่จิตให้มากขึ้นไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการจับลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนา แล้วดูฐานการกระทบของลมจุดเดียวบ้าง ๓ จุดบ้าง ๗ จุดบ้าง หรือถ้าบุคคลที่มีจิตละเอียดก็รู้ตลอดกองลมหายใจเข้า กองลมหายใจออกบ้าง

ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้น ก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานการปฏิบัติธรรมของแต่ละคน ถ้ามีความชำนาญน้อยก็ใช้แค่ลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว ถ้าเริ่มมีความชำนาญมากขึ้น ก็ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนา มีความชำนาญมากขึ้นไปอีกก็ดูลมหายใจเข้าออกพร้อมคำภาวนา และดู
ฐานกระทบของลมไปด้วย ยิ่งต้องดูฐานกระทบของลมมากเท่าไร สภาพจิตของเราก็ต้องระมัดระวังให้มากขึ้นเท่านั้น ก็จะทำให้จิตของเราสงบอยู่เบื้องหน้าได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2020 เมื่อ 22:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 28-10-2020, 20:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,457
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องของลมหายใจเข้าออกนั้น เป็นพื้นฐานใหญ่ของกองกรรมฐานทั้งปวง ไม่ว่าท่านตั้งใจจะปฏิบัติในกรรมฐานกองใดก็ตาม ถ้าขาดลมหายใจเข้าออกเสียแล้ว อย่างดีที่สุดเราก็จะได้แค่ปฐมฌานหยาบเท่านั้น เพราะว่าเป็นการคิดพิจารณา จนกำลังใจของเรากลายเป็นสมถภาวนา ก็คือทรงการภาวนาได้เองโดยอัตโนมัติ

แต่ถ้าหากว่ามีการควบกับลมหายใจเข้าออก คืออานาปานสติ เราก็สามารถทำกองกรรมฐานนั้นให้เข้าถึงฌาน ๔ ซึ่งมีความมั่นคงแน่นอนในการกดกิเลส และสามารถใช้กำลังฌาน ๔ ไปตัดละกิเลสได้ง่ายกว่า หรือถ้าท่านที่มีความคล่องตัวมาก ๆ ก็ทำประกอบกองกสิณด้วย ก็เพิกภาพกสิณเสีย แล้วก็ใช้การภาวนาประกอบการพิจารณาในส่วนของอรูปฌาน สามารถยังสมาบัติ ๘ ให้เกิดขึ้นได้ง่าย

หากการภาวนาของเราไม่มีอานาปานสติ โอกาสที่การภาวนาจะไม่ประสบความสำเร็จก็มีมาก แต่ถึงแม้ว่าจะมีการภาวนาควบกับลมหายใจเข้าออกไปแล้ว บางทีสภาพจิตของเราก็ยังฟุ้งซ่านมาก ประสบความสำเร็จในการภาวนาได้ยาก ท่านก็ให้นับลมหายใจเข้าออกของเรา อย่างเช่นว่าหายใจเข้า..พุท ลมหายใจผ่านจมูก ผ่านกึ่งกลางอก ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออก..โธ ลมหายใจออกจากท้อง ผ่านกึ่งกลางอก มาสุดที่ปลายจมูก

ถ้าเราไม่คิดอะไรเลยก็นับ ๑ ไว้ แล้วก็หายใจเข้า..พุท หายใจออก..โธ ดูฐานกระทบต่อไป ถ้าสภาพจิตไม่ฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่นในระหว่างนั้น ก็นับ ๒ ไว้ ตอนแรกก็ตั้งเป้าเอาแค่น้อย ๆ ก็คือลมหายใจเข้าออกสัก ๑๐ คู่เป็นประมาณ

แต่ถ้าหากมีความฟุ้งซ่านขึ้นมาในระหว่างกลาง อย่างเช่นว่า อาจจะนับไปถึง ๕ ถึง ๖ แล้ว หรือว่าถึง ๗ ถึง ๘ แล้ว เผลอไปคิดเรื่องอื่นในระหว่างภาวนา ก็ให้ท่านทั้งหลายย้อนกลับมานับตั้งต้นที่ ๑ เสียใหม่ สภาพจิตของเราถ้าภาวนาแล้วโดนทรมานแบบนี้บ่อย ๆ ย้อนกลับมาตั้งต้นใหม่บ่อย ๆ รู้ว่าถ้าครบ ๑๐ โดยไม่ฟุ้งซ่านถึงจะเลิก ถ้าไม่ครบเราจะไม่เลิก สภาพจิตท้ายสุดก็จะยอมโอนอ่อนผ่อนตาม กลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกของเราในที่สุด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2020 เมื่อ 22:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 29-10-2020, 22:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,457
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อสภาพจิตของเราสงบระงับแล้ว ก็ให้มาพินิจพิจารณาดูศีลทุกข้อของเรา ว่าบริสุทธิ์บริบูรณ์ดีหรือไม่ ? เรารักษาศีลทุกข้อได้แล้ว เรามีการยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีลหรือไม่ ? เรารักษาศีลทุกข้อได้ ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีลได้ เมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล เรามีจิตยินดีด้วยหรือไม่ ?

หลังจากนั้นมาพิจารณาดูว่า ตัวของเรานี้ก้าวเข้าไปหาความตายเป็นปกติ ถ้าหากว่าชีวิตนี้สิ้นสุดลงไป ไม่ว่าจะหมดอายุขัยก็ดี เกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ถึงแก่ชีวิตก็ตาม เราก็จะขอไปพระนิพพานแห่งเดียว แต่การที่จะไปพระนิพพานให้ได้ง่ายนั้น ก็ต้องประกอบไปด้วยคุณพระรัตนตรัย ก็คือทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้แน่นแฟ้นจริงจัง ไม่ล่วงเกินทั้งต่อหน้าและลับหลัง แล้วก็น้อมจิตน้อมใจไปว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ในที่ใดเลยนอกจากพระนิพพาน

เราอยู่กับพระองค์ท่าน เราภาวนานึกถึงพระองค์ท่าน ก็คือเราอยู่ที่พระนิพพาน ถ้าสามารถโยงกำลังใจของตนเข้าไปได้เช่นนี้ กำลังใจสุดท้ายของเรา ก็จะเกาะอยู่กับพระนิพพานได้

ในอันดับแรกนั้น การเกาะของเรา ก็คือเกาะในลักษณะของการเกาะความดี เมื่อสภาพจิตเคยชินกับความดี ถ้าทำไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งดีถึงที่สุดแล้ว สภาพจิตจะคลายจากการเกาะดีไปเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา



พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๓
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้า)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-10-2020 เมื่อ 01:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:51



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว