กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์

Notices

เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #61  
เก่า 09-08-2010, 20:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ชักเริ่มไม่เหมือนคนอื่นเข้าทุกวันแล้ว เพราะไม่เอาเรื่องกับใคร ไม่อยากยุ่งกับใคร เหมือนอยู่ตัวคนเดียว
ตอบ : ค่อย ๆ ทำไป พอไปอีกระดับหนึ่งก็จะเห็นว่า จริง ๆ แล้วคนเราไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว มีแต่คนที่เป็นไปตามวาระกรรมเขา แล้วเราก็จะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับอนาคตของเขา

มีอะไรที่เราสามารถช่วยเหลือได้ก็ช่วยเหลือตามหน้าที่ของเรา พ้นจากนั้นแล้วเราก็ไม่ยุ่งกับเขา เราก็จะไม่แบกอารมณ์ของคนอื่น


ถาม : แล้วเราจะช่วยตัวเราเองอย่างไร เวลาที่อารมณ์ปรี๊ดขึ้นมา ?
ตอบ : หยุดไว้ให้ได้ก่อน

ถาม : รู้สึกว่าชอบเป็นอารมณ์ "ใช่" กับ "ไม่ใช่" ตลอดเวลา ท่านบอกให้มองเป็นกลาง ๆ บางครั้งก็มองออก บางครั้งก็มองไม่ออก ใช่อย่างนี้หรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องเป็นอย่างนี้ไปก่อน พอนาน ๆ ไปแล้วก็จะเริ่มกลมกลืน ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2010 เมื่อ 03:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #62  
เก่า 09-08-2010, 21:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องอุเบกขาให้ฟังว่า "พระพุทธเจ้าของเราพระองค์ท่านเป็นสุดยอดของอัจฉริยะจริง ๆ

พรหมวิหาร ๔ ถ้าเรามีแต่เมตตากรุณาอาจจะแย่ เพราะว่าส่วนใหญ่เวลาช่วยคนอื่นไม่ได้แล้วใจจะหมอง พระองค์ท่านก็เลยประทานอุเบกขามาให้ด้วย แต่คราวนี้ คนที่จะใช้อุเบกขาเป็นต้องมีปัญญาจริง ๆ มีปัญญาอย่างเดียวไม่พอ จะต้องเด็ดขาดด้วย

เด็ดขาดในระดับตัดกิเลสฉับได้เลยยิ่งดี เพราะว่าถ้าไม่มีอุเบกขา คาดว่าคนดี ๆ คงจะบ้าอีกเยอะ ช่วยเขาไม่ได้แล้วก็มานั่งเสียอกเสียใจ ตีอกชกตัวเอง เศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา ว่าทำไมเราช่วยเขาไม่ได้ ?

ในเมื่อมีตัวอุเบกขา แสดงว่าทุกอย่างมีคำตอบ เราเข้าใจแล้วว่าวาระเป็นอย่างนั้น แบบเดียวกับเมื่อวานที่โจเซฟ เขาบอกว่า กรรมเฉพาะตัวเขารู้ เขาเข้าใจ ว่าใครทำใครได้ แต่ประเภทที่โดนสึนามิ ตายทีเป็นแสน เขาทำกรรมอะไรกันมา ?

อาตมาก็บอกว่า พวกนี้เมื่อก่อนยกทัพไปตีบ้านตีเมืองเขา ถึงเวลาก็รับกรรมพร้อม ๆ กัน นั่นฝรั่งเขาถามนะ โจเซฟเขาเป็นชาวเยอรมัน มาครั้งนี้เขาลืมพาสปอร์ต ก่อนเดินทางก็ท้องเสีย มารเขาทดสอบกันขนาดนี้เลย

ในเรื่องของอุเบกขา จำเป็นต้องใช้ปัญญาช่วยเยอะมาก ๆ เพราะว่าถ้าไม่มีปัญญา เราก็ไม่รู้ว่าจะหยุดจะควรในวาระที่เหมาะอย่างไร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2010 เมื่อ 03:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #63  
เก่า 09-08-2010, 22:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าถึงภาพยนตร์เรื่อง ไต่เป็นไต่ตาย ( Vertical Limit ) ให้ฟัง ถึงการเสียสละของพ่อพระเอก ที่ยอมตัดสายเชือกในขณะปีนยอดเขา เพื่อให้ลูกของตนเองได้มีชีวิตรอด แล้วตนเองตกลงไปเสียชีวิตข้างล่าง เช่นเดียวกับเพื่อนของพระเอกในตอนท้ายเรื่อง ที่ยอมตัดสายเชือกเพื่อให้คนในคณะได้มีชีวิตรอดเช่นกัน

พระอาจารย์บอกว่า "ให้ลองไปหาหนังเรื่องนี้มาดู ดูแล้วคิดเป็นจะได้อะไรเยอะมาก เพราะลักษณะของการเสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่นนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก เราจะต้องมีอุเบกขาให้ได้ระดับนั้น ยอมตัดใจ"ฉึบ" เดียวขาดเลย

เมื่อวาน ดร.เก้า (ดร.ชาญวิทย์ ทัศน์แก้ว) เขาบอกถึงสาเหตุที่พระพุทธเจ้าของเราตรัสรู้ก่อนพระศรีอาริยเมตไตรย โดยมีตำนานหนึ่งระบุไว้ชัดเลยว่า ตอนที่แม่เสือจะกินลูกตัวเอง พระพุทธเจ้าของเราตัดสินใจกระโดดลงไปให้เสือกินแทน ขณะที่พระศรีอาริย์ลังเลใจอยู่นิดเดียว ตัดสินใจไม่ทัน พระพุทธเจ้าท่านก็เลยตรัสรู้ก่อน

ตำนานพวกนี้บางทีในเถรวาทไม่มี ไปมีอยู่ในมหายาน แต่ ดร.เก้าเขาจบมาทางนี้โดยตรง เขาสืบค้นมาหมดทุกรูปแบบเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 10-08-2010 เมื่อ 09:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #64  
เก่า 10-08-2010, 00:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวต่อในเรื่องอุเบกขาว่า "อุเบกขา..ปล่อยได้..วางได้ ปล่อยวางด้วยปัญญานั้นหายาก ส่วนใหญ่แล้วปล่อยวางแบบหลวงพ่อชาท่านว่า "วางแบบควาย" คือ ใครจะอึดกว่ากัน

แต่ถ้าปล่อยวางด้วยปัญญาก็คือ ได้พยายามทุกวิถีทางแล้วแต่ไม่สามารถแก้ไขได้ ก็ต้องยอมรับ"


ถาม : ถ้าเรามีปัญญาในตัวอุเบกขา แล้วตัวที่เหลืออย่างเมตตา กรุณา มุทิตา กำลังจะเท่ากันกับตัวอุเบกขาหรือเปล่า ?
ตอบ : เท่ากันและผสานเป็นเนื้อเดียวกัน อุเบกขาก็ยังมีอุเบกขาด้วยความเมตตา อุเบกขาด้วยความกรุณา

ถาม : แล้วอุเบกขานั้น จะเลือกเอาตัวไหนมาใช้อย่างไร?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตอนนั้นว่าเป็นอย่างไร สมควรที่จะงัดตัวไหนขึ้นมาใช้

ถาม : บางทีรู้สึกว่าอุเบกขามากเกิน ก็ต้องไปดูตัวเมตตา กรุณา มุทิตา เมื่อวานเพิ่งเห็นว่าเป็นเรื่องที่ยากเหมือนกัน บางทีก็ต้องอาศัยสถานการณ์พาไป
ตอบ : สถานการณ์พาไปก็ยังดี ถ้าอารมณ์พาไปมักจะเละ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2019 เมื่อ 20:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #65  
เก่า 10-08-2010, 00:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีผู้มาทำบุญกุศลถวายสังฆทานในสามวันนี้ แต่ละครั้งเรานั่งอนุโมทนาทุกครั้ง ๆ กับพอครบสามวันแล้วเราขออนุโมทนาทีเดียวหมด จะได้เหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเอ็งมีชีวิตอยู่ไม่ถึงสามวันก็แปลว่าขาดทุน อย่างเช่นนั่ง ๆ อยู่เป็นลมตายไปเสียก่อน..ก็อด..!

ถาม : เห็นมีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงพ่อบอกว่า คนเป็นพระอรหันต์ แล้วขออนุโมทนาบุญท่าน ก็พ้นจากอบายภูมิ ก็เลยคิดว่าทำอย่างนั้นได้
ตอบ : รู้ทีหลังก็อนุโมทนาได้ จำไว้นะ..อย่าประมาท ถ้าเราประมาทคิดว่าโมทนาเย็นนี้ทีเดียว ถ้าวันนี้เราอยู่ไม่ถึงเย็นก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2010 เมื่อ 03:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #66  
เก่า 10-08-2010, 00:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "เป็นธรรมดาของทุกสิ่งที่จะต้องไม่เที่ยง ถ้าอารมณ์ที่เราปฏิบัติได้ไม่ทรงตัว ก็แปลว่าเขากำลังแสดงความไม่เที่ยงให้เราเห็น

แต่คราวนี้จุดที่ต้องพึงสังเกตเลยก็คือว่า ที่ไม่ทรงตัวจริง ๆ เป็นส่วนของสมาธิหรือเป็นกำลังใจที่เราทรงได้ ? ถ้ารู้จักสังเกตก็จะเห็นว่า ส่วนใหญ่เกิดจากสมาธิตก สมาธิตกถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าเวลาเหนื่อยมาก ๆ หิวมาก ๆ หรือเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา สมาธิก็ต้องตกอยู่แล้ว แต่กำลังใจที่เราทำได้จะไม่ตก

ฉะนั้น..ถ้าใครจับจุดตรงนี้ได้ ก็จะไม่เสียเวลาไปคร่ำครวญอยู่กับของที่ไม่เที่ยง ความหนักแน่นหายไป แต่ความมั่นคงยังอยู่ ความหนักแน่นเกิดจากสมาธิ ความมั่นคงนั้นเป็นพื้นฐานของกำลังใจที่ปฏิบัติได้แล้ว

ฉะนั้น..ถึงจะสมาธิไม่หนักก็ช่าง ให้กำลังใจมั่นคงก็แล้วกัน หลายต่อหลายคนไปนั่งคลุ้มคลั่งว่าไม่น่าเลย หายไปอีกแล้ว ความจริงหายแค่สมาธิเท่านั้นเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2010 เมื่อ 03:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #67  
เก่า 10-08-2010, 13:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าผมอุปสมบทเป็นพระภิกษุ จะต้องเอาสร้อยพระออกใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องเอาออกก่อน เพื่อเป็นการป้องกันว่า เราขอถึงซึ่งไตรสรณาคมน์ คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง ๆ ไม่ใช่บวชเข้ามาโดยที่ยังพกเครื่องรางของขลังที่ไม่ใช่พระอยู่ ซึ่งแปลว่าเรายังไม่ถึงไตรสรณาคมน์อย่างแท้จริง หลังจากที่บวชแล้วค่อยซุก ๆ เข้าไปใหม่ วันก่อนที่บวชทิดเก้า อุปัชฌาย์บอกว่า "ที่มือ ๆ" เขาจึงนึกได้ว่าที่มือเขายังใส่สายสิญจน์อยู่

ก็คือ ในเมื่อเราประกาศตนยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ท่านต้องการให้ยึดจริง ๆ จึงให้เอาของอื่นออกให้หมดก่อน แต่หลังจากนั้นเราค่อยไปยึดกันทีหลัง

นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง ที่พึ่งอื่นใดของเราไม่มียิ่งไปกว่า พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง ที่พึ่งอื่นใดของเราไม่มียิ่งไปกว่า พระธรรมเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สังโฆ เม สะระณัง วะรัง ที่พึ่งอื่นใดของเราไม่มียิ่งไปกว่า พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า

ท่านต้องการให้เข้าถึงคุณพระรัตนตรัยจริง ๆ ก็เลยให้ปลดซะเกลี้ยง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2010 เมื่อ 16:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #68  
เก่า 10-08-2010, 13:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ก่อนหน้านี้ก็กลัว ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำได้หรือพิจารณาได้จะหายไปหรือเปล่า ก็เลยลองคลายสมาธิออกมาดู ดูแล้วกลับเข้าไปใหม่
ตอบ : ลองได้ แต่ให้ลองด้วยความระมัดระวัง เพราะถ้าตกพรวดไป คราวนี้เราจะซมซานอยู่พักหนึ่ง รู้ทั้งรู้ว่าอันตรายแต่ก็ยังทำ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2010 เมื่อ 16:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #69  
เก่า 10-08-2010, 13:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์ท่านกล่าวถึงความต้องการอาหารของร่างกายว่า "บางทีในสิ่งที่ร่างกายต้องการกับกิเลสต้องการ เป็นคนละอย่างกัน

บางครั้งธุดงค์อยู่ในป่านาน ๆ ร่างกายเราขาดสารอาหาร ต้องใช้คำว่า "โหย" ไม่ใช่ "หิว" หิวนี่กินแล้วหายหิว แต่ถ้าโหยกินแล้วไม่หาย เพราะร่างกายยังได้ไปไม่พอ

ตอนที่ไปธุดงค์อยู่ ๓๐ กว่าวัน เดินจากทุ่งใหญ่ ขึ้นอุ้มผาง แล้วลงไปห้วยขาแข้ง จากนั้นวนกลับมาอีกทีหนึ่ง ออกมาที่ริมเขื่อนศรีนครินทร์ มีโยมเขาเลี้ยง เขาหุงข้าวหม้อหนึ่ง มีปลาทอด มีน้ำพริกผักต้ม มีต้มยำ สามคนพ่อแม่ลูกคงจะรอกินต่อจากพระนั่นแหละ แต่ปรากฏว่าพระกวาดเกลี้ยงหม้อไม่เหลือข้าวสักเม็ด..!

เวลาร่างกายเราขาดสารอาหารมาก ๆ กินเข้าไปเท่าไรก็ไม่รู้จักอิ่ม กินไปได้เรื่อย ๆ ชูชกที่ท้องแตกตายก็เพราะอย่างนี้

มีอยู่เที่ยวหนึ่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านฉันเพลอยู่ ท่านบอกว่า "เฮ้ย..เล็ก ไปบอกป้านนทา ทำน้ำปลาพริกมาถ้วยหนึ่ง เร็ว ๆ" เราก็ไป ป้าแกอายุมากแล้ว แกก็ช้า กว่าจะซอยพริก กว่าจะทำเสร็จ เสียงหลวงพ่อมา "เร็วหน่อยโว้ย..อยากจนน้ำลายยืดแล้ว..!"

เราก็สงสัยว่าหลวงพ่อยังอยากอยู่หรือ ? เพิ่งมารู้ไม่นานนี้เองว่า ตอนนั้นร่างกายท่านต้องการ เพราะขาดสารอาหารไปเยอะ ใจท่านไม่ได้อยากหรอก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2010 เมื่อ 17:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #70  
เก่า 10-08-2010, 13:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เราจะจับสัญญาณความต้องการของร่างกายได้อย่างไร ?
ตอบ : ถ้ายกตัวอย่างอื่น ๆ ก็จะเห็นได้ยาก เอาคนที่อดบุหรี่ก็แล้วกัน กินข้าวเท่าไรไม่รู้จักอิ่มหรอก เพราะร่างกายโดนทำลายวิตามินต่าง ๆ ไปเยอะ โดยเฉพาะวิตามินซี เพราะฉะนั้น..คนที่อดบุหรี่จึงมักจะกินเอา ๆ กินจนอ้วน

แต่จริง ๆ ถ้าหากเขารู้ว่า ร่างกายโดนบุหรี่ทำลายวิตามินซีไปเยอะ ก็ซื้อวิตามินซีสักเม็ดละ ๒ มิลลิกรัม มาอมเล่น ๆ ไปทั้งวัน ก็จะไม่หิว เพราะร่างกายได้ของตรงกับความต้องการ แต่ในเมื่อไม่ได้ตรง ถึงเวลาก็ต้องไปเค้นเอาจากส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย

คนที่กินข้าวมีหรือที่จะกินมะนาวไปเป็นลูก ? ก็ไม่มี.. ในเมื่อไม่มีก็ไม่อิ่มสักที โหยอยู่ตลอดเวลา เลยต้องกินจนอ้วน

ฉะนั้น..ที่ร่างกายกับใจต้องการเป็นคนละอย่างกัน ใจต้องการบางทีเป็นกิเลสพาไป ร่างกายต้องการมีให้กินตามมื้อก็พอ แต่ถ้ากิเลสต้องการเราจะกินจุบกินจิบไปเรื่อย

จริง ๆ ถ้าไปต่างประเทศจะมีวินัยในการกินขึ้นอีกเยอะ บ้านอื่นเมืองอื่นเขาขายอาหารเป็นเวลา บ้านเรามีขายเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า มีกินได้ทุกตรอกทุกซอกทุกซอยเลย

บ้านเราถือว่ากินล้างกินผลาญ ที่เขาชอบเมืองไทยเพราะจะกินตรงไหนก็มี บ้านเขานี่เลยเวลาแล้วเขาปิดร้านไปเลย ต้องไปรอให้ร้านเขาเปิดถึงจะได้กิน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-08-2010 เมื่อ 09:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #71  
เก่า 17-08-2010, 09:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อย่างกรณีหลวงพ่อฤๅษีที่ท่านต้องการน้ำปลาพริก ?
ตอบ : ใจท่านไม่ได้อยาก เพียงแต่ร่างกายท่านขาดเยอะ ท่านอาจจะถ่ายท้องมาก ร่างกายก็เลยขาดธาตุเกลือ ขาดความเค็ม

มาถึงตรงนี้ทำให้นึกถึงเรื่องในพระไตรปิฎก ที่ผู้ไปปฏิบัติธรรมในป่า พอถึงเวลาอยากเค็มอยากหวาน ก็ออกมาสู่โลกมนุษย์ นั่นคือร่างกายขาดสารอาหารมาก แต่บาลีแปลเป็นไทยว่า อยากเค็ม อยากเปรี้ยว อยากหวาน ก็เลยออกมาสู่โลกมนุษย์ ก็คือ เข้ามาในบ้านในเมือง เข้ามาเพื่อจะหาของกิน

ถาม : เราจะสามารถรู้ความต้องการของร่างกายได้อย่างไร ?
ตอบ : รู้ได้ ถ้าจิตมีความละเอียดพอ

ถาม : ต้องได้ระดับไหน ?
ตอบ : แค่ปฐมฌานละเอียดก็พอ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-08-2010 เมื่อ 12:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #72  
เก่า 17-08-2010, 11:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในเรื่องการถือศีลแปด ถ้าเราเป็นครูสอนดนตรี หรือจำเป็นต้องฝึกซ้อมดนตรี จะผิดศีลหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าฟังเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน แล้วทำให้ขาดสติเพลิดเพลินไปกับดนตรีก็ผิดศีล ส่วนของเรานั้นเป็นอาชีพ ทำไปเถอะ..เวลาที่เหลือค่อยมารักษาศีลให้บริสุทธิ์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-08-2010 เมื่อ 13:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #73  
เก่า 17-08-2010, 12:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยนั้นพระที่มีความสามารถรองจากหลวงพ่อปาน ก็คือ หลวงพ่อเล็ก เกสโร วัดบางนมโค หลวงพ่อเล็ก วัดบางนมโค ท่านเป็นพระอาจารย์ ๑ ใน ๑๐๘ องค์ ที่เขานิมนต์มาพุทธาภิเษกพระ ๒๕ พุทธศตวรรษ

หลวงพ่อเล็กโดยศักดิ์แล้วเป็นลุงของหลวงพ่อฤๅษี (เป็นพี่ชายของแม่) ตอนที่แม่คลอดหลวงพ่อฤๅษี หลวงพ่อเล็กบอกว่า หลานคนนี้มาจากพรหม ให้ตั้งชื่อว่า "พรหม" ตอนหลังพอไปแจ้งนายทะเบียน นายทะเบียนบอกว่าชื่อสูงเกินไป เลยเปลี่ยนให้เป็นสังเวียน

พอหลวงพ่อฤๅษีไปอยู่วัดช่างเหล็ก เพื่อนร่วมรุ่นของท่านชื่อสำเนียง ส่วนหลวงพ่อชื่อสังเวียน ถึงเวลาอาจารย์เรียกมักจะขานรับผิดอยู่บ่อย ๆ ดังนั้น..พอได้ประโยคสามหลวงพ่อเลยเปลี่ยนเป็น พระมหาวีระ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-08-2010 เมื่อ 13:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #74  
เก่า 17-08-2010, 12:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "พระพุทธเจ้าได้บัญญัติศีลพระข้อหนึ่งว่า ห้ามพระทำผีหลอก ถ้าทำปรับอาบัติศีลขาด เพราะสมัยนั้นจะมีสามเณรที่บวชตั้งแต่อายุ ๗ ขวบอยู่หลายรูป พระท่านก็ไปทำผีหลอก จนเณรร้องไห้เพราะกลัวผี แสดงว่าเรื่องแกล้งกันในวงการนักบวชมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว

อาบัติอีกข้อก็คือ ห้ามซ่อนของใช้ส่วนตัวของพระ มีการระบุไว้เลยนะ..ซ่อนกล่องเข็ม ซ่อนประคดเอว ฯลฯ ใครซ่อนก็โดนปรับศีลขาด แสดงว่าสมัยนั้นแกล้งกันอย่างครึกครื้น

ในพระไตรปิฎก ไม่ว่าจะเป็นพระวินัยปิฎกหรือพระอภิธรรมปิฎก ถ้าอ่านดี ๆ จะได้อะไรเยอะมาก อ่านแล้วต้องคิดให้เป็น อย่าอ่านแล้วทิ้งเฉย ๆ อย่างเช่น ทำไมต้องห้ามข้อนี้ ถ้าห้ามแสดงว่าเขาทำกันมาก ถ้าทำกันมากแล้วไม่ห้ามเดี๋ยวจะเสียหาย เป็นต้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-08-2010 เมื่อ 13:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #75  
เก่า 17-08-2010, 12:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าเรื่องไม้ค้ำให้ฟังว่า "ทางล้านนาเรานิยมการดูแลต้นโพธิ์ เขาถือว่าเป็นไม้ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คราวนี้ต้นโพธิ์บางต้นแผ่กิ่งออกไปกว้างมาก กิ่งก็อาจจะหัก เขาจึงเอาไม้ไปช่วยค้ำ ทำไม้ไปค้ำไว้ ทำไปทำมาจึงเป็นความนิยมว่า ถ้าหากใครดวงไม่ดี ไปถวายไม้ค้ำโพธิ์จะได้ค้ำดวงชะตาตัวเองไว้ด้วย นานไปก็กลายเป็นความนิยมในเรื่องไม้ค้ำ กลายเป็นไม้ค้ำเงินไม้ค้ำทองอย่างในปัจจุบัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-08-2010 เมื่อ 13:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #76  
เก่า 17-08-2010, 12:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นสหชาติ เกิดพร้อมพระพุทธเจ้า

สหชาติที่เกิดพร้อมกันมีอยู่ ๗ อย่าง ก็คือ พระนางยโสธราหรือพระนางพิมพา พระอานนท์ นายฉันนะ กาฬุทายีอำมาตย์ ม้ากัณฐกะ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และขุมทรัพย์ทั้ง ๔ นี่เป็นสหชาติที่เกิดในวันเดียวกัน

มีใครสงสัยบ้างหรือไม่ ว่าม้าอายุยืนที่สุดเท่าไร ? เจ้าชายสิทธัตถะออกมหาภิเนษกรมณ์ ออกบวชโดยขี่ม้ากัณฐกะที่เป็นสหชาติไป มีใครระแวงหรือไม่ว่าม้าอายุ ๒๙ ปี จะมีแรงวิ่งไหวหรือเปล่า ? ม้าไม่น่าจะมีอายุเกิน ๓๐-๔๐ ปี นั่นถือว่าเป็นบั้นปลายของอายุม้ากัณฐกะเลย

ในอรรถกาท่านกล่าวเอาไว้ว่า เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะออกมหาภิเนษกรมณ์ ปรากฏว่าประตูเมืองปิดแล้ว เจ้าชายคิดว่าประตูเมืองปิดก็ไม่เป็นไร เราจะใช้เท้าหนีบม้ากัณฐกะและจูงนายฉันนะกระโดดข้ามกำแพงไป นี่พระพุทธเจ้าท่านคิด ส่วนนายฉันนะท่านก็คิดว่า ประตูเมืองปิดไม่เป็นไร เราจะแบกม้ากัณฐกะพร้อมพระลูกเจ้ากระโดดข้ามกำแพงไป

ส่วนม้ากัณฐกะก็คิดว่า ประตูเมืองปิดก็ไม่เป็นไร เราจะแบกพระลูกเจ้าพร้อมนายฉันนะเกาะท้ายและกระโดดข้ามกำแพงไป แปลว่าทุกคนทำได้เสมอกันหมด กำลังดีขนาดนั้น

เป็นไปได้หรือ ? ก็ต้องดูตอนที่พันธุลเสนาทดสอบฝีมือ ฟันไม้ไผ่หนึ่งพันลำขาดในดาบเดียว แต่ความจริงไม่ใช่ไม้ไผ่อย่างเดียว เขาแอบเอาเหล็กสอดไว้ด้านในด้วย คนที่กำลังมากขนาดนั้นไม่ต้องแปลกใจ..เขาทำได้แน่ คราวนี้ม้ากัณฐกะวิ่งจากกบิลพัสดุ์ไปจนถึงเขตของแคว้นมคธ ระยะทางไกลเอาเรื่องเลย

พอเจ้าชายสิทธัตถะตัดพระเมาลี อธิษฐานเพศบรรพชิตและให้นำเครื่องทรงกลับ นายฉันนะก็นำเครื่องทรงพร้อมกับจูงม้ากัณฐกะกลับ อรรถกาบอกว่าม้ากัณฐกะอาลัยรักเจ้าชายสิทธัตถะมาก เดินยังไม่ทันจะลับสายตาก็อกแตกตาย

เราต้องมานึกว่าอกแตกตายหรือเหนื่อยตาย ? วิ่งไปคืนหนึ่งกับวันหนึ่ง น่าคิดเหมือนกันนะ ถ้าใครเรียนวิจัยเกี่ยวกับพุทธศาสนาให้ทำวิจัยเรื่องนี้หน่อย เผื่อจะได้คำตอบอะไรดี ๆ อีกเยอะ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-08-2010 เมื่อ 14:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 144 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #77  
เก่า 17-08-2010, 14:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "สมัยก่อนเวลาเด็กตกใจหรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่ตกใจ เขาเชื่อว่า "ขวัญ" หรือ "มิ่งขวัญ" ประจำตัวจะเตลิดหนี ถึงเวลาก็ต้องไปทำพิธีเรียกขวัญ มีการนำกระด้งไปตักด้วย มีการฟ้อนรำเรียกขวัญด้วย

เมื่อเชิญขวัญกลับมาสู่ตัวแล้วก็จะมีการผูกขวัญ มัดข้อมือไว้ กันขวัญหนี

ถ้าหากมากล่าวถึงในแง่ของนักปฏิบัติ คนที่ขวัญหาย ขวัญหนี ขวัญอ่อน คือ คนที่กำลังใจน้อย ก็จะต้องให้คนที่กำลังใจเข้มแข็งกว่า มาทำพิธีผูกขวัญรับขวัญให้ เพื่อเป็นกำลังใจแก่คนที่ได้รับการผูกขวัญ เขาจะรู้สึกดีว่า ตอนนี้เป็นปกติแล้ว มีความมั่นใจกลับคืนมา สามารถที่จะทำมาหากินตามปกติได้

จริง ๆ แล้วในเรื่องของประเพณีโบราณ จะแฝงหลักธรรมทางพุทธศาสนาเอาไว้มาก หลักจิตวิทยาต่าง ๆ ก็มี เพียงแต่ว่าเราคิดถึงหรือมองเห็นหรือเปล่า ?

ยกตัวอย่าง บายศรีสู่ขวัญ ทำพิธีต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เหมือนลักษณะเชื้อเชิญ ในเมื่อเจ้าของสถานที่เชิญแล้ว บรรดาเทวดา หรือผีปู่ย่าตายายซึ่งรักษาที่ทางบ้านช่อง จะได้ไม่ขัดขวาง เขาจะได้อยู่เย็นเป็นสุข อยู่ร่วมกันกับเจ้าของสถานที่นั้น ๆ ได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-08-2010 เมื่อ 03:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #78  
เก่า 18-08-2010, 10:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ไม่รู้มีเวรมีกรรมอะไร จึงเจ็บไข้ได้ป่วย ?
ตอบ : การป่วยไข้ทุกอย่างมีผลมาจากเศษกรรมจากปาณาติบาตในอดีต เราทำเขาไว้ถึงเวลาก็ต้องชดเชยคืนเขาไป ให้ตั้งใจว่าเราขอชดใช้แค่ชาตินี้ชาติเดียว พ้นจากนี้เราก็ไปนิพพานแล้ว ถ้าตามทวงได้ก็เชิญ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-08-2010 เมื่อ 15:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 135 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #79  
เก่า 18-08-2010, 11:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ที่บ้านอนุสาวรีย์จะมีเด็ก ๆ น่ารักหลายคนที่พ่อแม่พามากราบพระอาจารย์

ท่านอธิบายให้ฟังว่า "กุมาร มาจากศัพท์ ๒ คำ คือ กุ = ความเกลียด และ มาระ = ผู้ฆ่า กุมาร จึงแปลว่า ผู้ฆ่าซึ่งความเกลียด เป็นธรรมชาติของสัตว์โลกที่จะต้องเอาตัวรอด ถ้าลูก ๆ ไม่น่ารัก เดี๋ยวคนหรือสัตว์ที่ตัวโตกว่าก็จะกัดหรือทำร้ายให้ถึงตายได้"

นอกจากนี้แล้ว มีเด็ก ๆ บางคนเวลาเกิดอาการไม่พอใจอะไรนิดหน่อย ก็จะแสดงอาการโมโห ร้องไห้เอะอะออกมา พระอาจารย์กล่าวว่า "เราจะเห็นว่าจริง ๆ แล้ว แม้กระทั่งเด็กเพิ่งอายุนิดเดียว ยังไม่ถึงขวบเท่านั้นเอง รัก โลภ โกรธ หลง ก็มีอยู่เต็มแล้ว เพียงแต่ว่าเขามีโอกาสแสดงออกหรือเปล่าเท่านั้นเอง

อย่างเด็กเมื่อวาน แสดงว่าพื้นฐานโทสะจริตร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม สะกิดนิดเดียวไม่ได้ ระเบิดตูมเลย เขาเปลี่ยนจากปฏิฆะ (การกระทบ) เป็นโทสะ (ความโกรธ) เร็วมาก น่ากลัว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2019 เมื่อ 20:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #80  
เก่า 19-08-2010, 10:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานทำบุญครบรอบวันมรณภาพปีที่ ๑๘ ของหลวงปู่สาย วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๓ จะจัดให้มีการบวชเนกขัมมะถือศีลแปดสามวัน ก็คือบวชวันอาทิตย์ที่ ๑๒ วันจันทร์ที่ ๑๓ และวันอังคารที่ ๑๔ ทำบุญเสร็จก็สึก พร้อมรับประกาศนียบัตรของศูนย์ปฏิบัติธรรมจังหวัดกาญจนบุรีแห่งที่ ๒๓ (วัดท่าขนุน)

ถ้าใครอยากถือศีลแปดที่วัด ก็หาวันลาเอาไว้ แล้วก็แห่ไปนุ่งขาวห่มขาวกันสักหน่อย ถือว่าบวชถวายกุศลให้หลวงปู่และถวายให้ในหลวงด้วย

นี่เป็นครั้งแรกที่เปิดสำหรับฆราวาส ถ้ามีเวลาก็จะสอนกรรมฐานให้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-08-2010 เมื่อ 15:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 128 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:58



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว