|
อีหรอบเดียวกัน อีหรอบเดียวกัน โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
อีหรอบเดียวกัน ตอนที่ ๔
ท่านไพฑูรย์นั้นเรียนมาด้วยกันตั้งแต่สมัยโน้น วันอังคารที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๖ ตื่นขึ้นมาแบบสบายตัวจริง ๆ ดูนาฬิกาแล้วตรงกับตีสองครึ่ง นี่อาตมาปรับตัวได้เร็วขนาดตื่นตามเวลาปกติของเมืองไทยเลยหรือนี่ ? แต่เวลาตอนนี้ของเมืองไทยเท่ากับเจ็ดโมงครึ่งไปแล้ว จัดการส่งใจขึ้นไปกราบพระก่อนตามปกติ กำหนดใจจนอารมณ์ตั้งมั่นดีแล้วจึงคลายออกมา ได้ยินเสียงหลวงพ่อพระครูเรืองกรนเบา ๆ เหมือนเดิม... อาตมาโดนพระครูญาณฯ และเพื่อน ๆ แหกตาว่าท่านกรนชนิดสะเทือนทั้งวัด เลือกท่านเป็นคู่นอนนี่คิดดีแล้วหรือ ? เล่นเอาคนเคยฟังเสียงกรนชนิดสะท้านฟ้าสะเทือนดินมาแล้วอย่างอาตมา รู้สึกว่าตูโดนหลอกลวงชัด ๆ ยังไม่ทันจะตายเลยพฤติกรรมก็ไม่น่าไว้ใจเสียแล้ว... ที่อาตมาเลือกท่านเป็นคู่นอน เพราะพระครูปรีชาชิงเลือกท่านไพฑูรย์ คู่หูตั้งแต่สมัยเรียน ป.บส. (ประกาศนียบัตรการบริหารกิจการคณะสงฆ์) ไปก่อนอย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งอาตมาไม่เชื่อว่าจะมีใครกรนได้ขนาดแดง (มงคล ม่วงน้อยเจริญ) อดีตยอดพลขับ ซึ่งกรนขนาดนั้นอาตมายังหลับได้..! |
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
มีที่เป่าผมให้ด้วย แต่..พระไม่มีโอกาสใช้..! เมื่อหลวงพ่อพระครูเรืองกรนแค่ระดับปกติ จึงถือว่าอาตมาแทงหวยถูก คิดว่าระยะ ๑๐ วันนี้คงจะนอนแบบมีความสุขทุกคืน เมื่อรู้สึกปวดปัสสาวะจึงย่องเข้าห้องน้ำ เปิดไฟทำธุระส่วนตัว เสร็จแล้วทิ้งไฟเปิดคาเอาไว้อย่างนั้น เพื่อเป็นการปลุกหลวงพ่อพระครูเรืองไปในตัว... เมื่อพอสมควรแก่เวลาแล้ว อาตมาจึงบอกเบา ๆ ว่า "ขออนุญาตเปิดไฟนะครับหลวงพ่อ.." เมื่อไฟสว่างพรึ่บขึ้นทั้งห้อง "เรืองวัดดาว" ก็หยีตาถามว่า "กี่โมงแล้วครับ ?" "ตีสองกว่าเกือบตีสามแล้วครับ" ท่านลุกไปเข้าห้องน้ำ ขณะที่อาตมาเก็บถ่านกล้องและที่ชาร์จไฟ แล้วเปิดโน้ตบุ๊กทำงานต่อ จนหลวงพ่อพระครูเรืองกลับมาขึ้นเตียง ก็ถามท่านว่ามีอะไรเจ็บไข้ได้ป่วยหรือไม่ ? ท่านบอกว่าไม่เป็นอะไรเลย รู้สึกว่าจะแข็งแรงกว่าอาตมาเสียอีก แล้วท่านถามกลับว่า... "ผมกรนหรือเปล่าครับ ?" "นิดหน่อยครับหลวงพ่อ สำหรับผมแล้วถือว่าไม่ได้กรนด้วยซ้ำไป" "ทุกครั้งที่นอนด้วยกันพรรคพวกเขาว่าผมกรนดังมาก มีหลวงพ่อนี่แหละที่บอกว่าผมไม่ได้กรน" "แสดงว่าพวกเขายังไม่เคยเจอประเภทกรนจนแผ่นดินไหวอย่างผมนะสิ" |
สมาชิก 140 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ราคาแพงจนกินไม่ลง หลวงพ่อพระครูเรืองนอนไปแบบสบายใจ สักพักก็กรนใหม่แต่คงระมัดระวังตัว จึงแค่ระดับ "แมวกรน" เท่านั้น อาตมาพิมพ์เนื้อหาย่อ ๆ ของการเดินทางเอาไว้ เมื่อรู้สึกกระหายน้ำ ก็เอาเหยือกสเตนเลสไปรองน้ำร้อนจากก๊อกในห้องน้ำ กรอกลงท้องไปทั้งเหยือก มาพิมพ์หนังสือต่อได้สักครู่ ก็รู้สึกปวดท้อง จึงต้องเข้าห้องน้ำไปถ่ายหนัก พรวดเดียวหมด..สบายไป..! กดชักโครกแล้วลงมาล้างก้นที่อ่างด้านล่าง แหม..เขาทำเอาไว้ได้จังหวะพอดีจริง ๆ แถมยังเป็นน้ำอุ่นอีกด้วย ล้างได้แบบสบายใจ เสร็จแล้วทำการสำรวจห้อง เปิดดูตู้เย็นใบเล็ก ข้างในมี น้ำดื่มสองยี่ห้อ ๔ ขวด มีโคคาโคลา ๒ ขวดเล็ก น้ำส้มแฟนตา ๒ ขวดเล็ก น้ำอะไรสีแดง ๆ ไม่รู้ ๒ ขวด ไวน์ ๑ ขวด มีป้ายติดราคาไว้ทั้งภาษาอิตาลีและภาษาอังกฤษ อาตมาขอใช้แค่ภาษาอังกฤษ ดังนี้ ...............................................๑. 4 Mineral water (น้ำแร่).................................€ 2,00 ...............................................๒. 2 Orangeade (น้ำส้ม)....................................€ 3,00 ...............................................๓. 2 Non alcoholic drink (เครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์).....€ 3,00 ...............................................๔. 2 Coca cola (โค้ก).......................................€ 3,00 ...............................................๕. 1 Dry Sparkling wine (ไวน์)..........................€ 5,00 สรุปว่าน้ำส้มกับโค้กขวดกระเปี๊ยกเดียว ราคาขวดละ ๑๒๐ บาท..! ใครมีปัญญาก็เชิญดื่มตามสบาย อาตมาขอแค่ชมเป็นขวัญตาก็พอแล้ว แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-10-2015 เมื่อ 02:31 |
สมาชิก 137 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ลงมาข้างล่างยังว่างโล่งโจ้งไม่มีใครเลย รู้สึกว่าในห้องชักอึดอัดขาดอากาศ อาตมาจึงเปิดหน้าต่าง อากาศเย็นสดชื่นไหลเข้ามาทันที ไม่หนาวอย่างที่โดนขู่เอาไว้ กลับมานั่งพิมพ์บันทึกการเดินทางต่อ ได้ไปเป็นหน้าแล้ว ระบบดันล่มเสียนี่..! ยังโชคดีที่ยอมให้กู้กลับมาได้ เสียแค่ตอนท้าย ๆ ไปไม่กี่บรรทัด... จนตีห้าของที่นี่ หลวงพ่อพระครูเรืองก็ตื่นเข้าห้องน้ำ เสียงดังโครมครามแบบนั้นน่าจะทำฝักบัวหล่นฟาดกับผนัง ห้องข้างเคียงกันคงโดนปลุกแบบไม่ตั้งใจเป็นแน่ การท่องเที่ยวยุโรปมักจะใช้ระบบ ๖ - ๗ - ๘ คือตื่นหกโมงเช้า ทำธุระส่วนตัว เก็บกระเป๋า ลงไปกินอาหารเช้าตอนเจ็ดโมง และรถจะออกตอนแปดโมง อาตมาพิมพ์บันทึกย่อเสร็จ จัดการทำข้อมูลสำรองแล้ว ก็เก็บข้าวของลงกระเป๋า จากนั้นเข้าห้องน้ำไปสรงน้ำ แล้วออกมาแต่งตัวบ้าง... เนื่องจากเมื่อวานนี้ห่มคลุมแล้วจีวรเลื่อนหลุดบ่อย เช้านี้อาตมาจึงห่มดองแทน แต่ไม่ได้เอาผ้ารัดอกมาด้วย ต้องเอาผ้าพันคอกันหนาวที่พระครูปลัดปิงถวายมารัดอกแทน เสร็จพอดีกับเสียงปลุกจากโทรศัพท์ประจำห้อง อาตมาตัดเสียงโทรศัพท์แล้ว จัดการหิ้วกระเป๋าใบใหญ่ไปทิ้งไว้หน้าห้อง รอบริกรเขามายกขึ้นรถให้ ส่วนตัวเองหิ้วกระเป๋าใบเล็กกับโน้ตบุ๊ก ชวนหลวงพ่อพระครูเรืองเดินลงบันไดไปชั้นล่าง... |
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
จากรูปเดี่ยวแท้ ๆ กลายเป็นรูปหมู่ไปได้ มาถึงห้องโถงข้างล่าง นอกจากพนักงานประจำเคาน์เตอร์กับอาตมา ๒ รูปแล้วไม่มีใครเลย จึงเปิดโน้ตบุ๊กพิมพ์บันทึกต่อ พักใหญ่สมุห์สุมิตรก็ลงมา เล่นถือร่มมาด้วย คงได้บทเรียนจากฝนตกเมื่อวานนี้เป็นแน่ หลวงพ่อพระครูเรืองจึงเดินไปเปิดกระเป๋า เพื่อเอาร่มออกมาบ้าง... อาตมาเก็บโน้ตบุ๊ก เอากระเป๋าไปวางรวมกันไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบกล้องเดินออกไปข้างนอกโรงแรม อากาศเย็นสดชื่นมาก ประมาณ ๑๔ - ๑๕ องศาเซลเซียส แดดกำลังจัดจ้าเหมือนกับแปดโมงบ้านเรา เดินถ่ายรูปซุ้มดอกไม้ หน้าตาคล้ายดอกมะลิวัลย์ของบ้านเรา เห็นหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ออกมานั่งตากอากาศอยู่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ จึงชวนท่านถ่ายรูปคู่กัน... คนโน้นออกมา คนนี้ออกมา รวมแล้วได้สิบรูปพอดี จึงจับกลุ่มถ่ายรูปหมู่ ทีแรกก็ว่าจะไปโหลดแบ่งกัน ไป ๆ มา ๆ ก็ถ่ายกันจนครบทุกกล้อง เสร็จแล้วอาตมายืดเส้นยืดสายออกกำลังนิดหน่อย เล่นเอาพรรคพวกฮือฮากันมาก ที่อายุห้าสิบกว่าแล้ว ยังก้มเอามือแปะพื้นได้แบบสบาย ๆ... |
สมาชิก 133 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
อาหารเช้าที่เลือกตักได้ตามอัธยาศัย เดินสูดอากาศจนพอใจแล้วก็กลับเข้ามาข้างใน เห็นท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐกำลังดูภาพนาฬิกาโรเล็กซ์จากอินเตอร์เน็ต ถามว่าท่านอาจารย์จะซื้อหรือ ? ท่านหัวหน้าภาควิชาทำท่าเขิน ๆ บอกว่า "เป็นใบสั่งจากเมืองไทยครับ" พระครูด็อกเตอร์จึงสอนวิธีการถ่ายรูปจากอินเตอร์เน็ตลงในเครื่องของตนเอง เพื่อเก็บตัวอย่างไว้ดูตอนไม่มี Wi-Fi... ผู้จัดการห้องอาหารมาเชิญให้เข้าไปฉันเช้าได้ อาตมาเดินนำเข้าไปเป็นคนแรก หยิบขนมปังกะโหลก ๑ ชิ้น ครัวซองก์ ๑ ชิ้น ขนมอบไส้ครีม ๑ ชิ้น หมูแฮมบางเป็นกระดาษ ๓ ชิ้น ไข่คน (Omelet) ๑ ทัพพี มานั่งฉันที่โต๊ะซึ่งทางโรงแรมกันไว้ให้กับคณะของเรา คนอื่นไปกดกาแฟจนกลิ่นหอมตลบไปทั้งห้องอาหาร คุณโอ๋เอาซอสมะเขือเทศมาให้ ๑ ซอง อาตมาจึงฉีกบีบใส่หมูแฮม แล้วกวาดลงท้องหมดเรียบในไม่กี่นาที... ลุกไปตักผลไม้รวมมา ๑ ถ้วยเล็ก ฉันแล้วอาจารย์ตู๋กำลังบริการเพื่อนพระอื่น ๆ อยู่ จึงขอผลไม้รวมอีกถ้วย เสร็จแล้วออกมานั่งรออยู่ด้านนอก คุณโอเล่ถามว่าอาการไข้เป็นอย่างไรบ้าง ? ตอบไปว่าดีเหมือนปกติ แต่ตอนนี้อิ่มแล้วอยากนอนว่ะ..! |
สมาชิก 131 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
ปลูกกุหลาบล้อมเสาไฟเอาไว้ทุกต้น กลับขึ้นไปเข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว ก็ลงมาส่งบัตรกุญแจให้กับหลวงพ่อพระครูเรือง เผื่อว่าท่านจะไปเข้าห้องน้ำบ้าง แล้วอาตมาสะพายกระเป๋าโน้ตบุ๊ก เดินมาบอกคุณโอ๋กับคุณโอเล่ว่า จะไปรอที่ลานหน้าโรงแรม แล้วเดินออกไปก่อนคนเดียว เหตุที่ทำอย่างนี้ก็เพื่อเป็นการเร่งเพื่อน ๆ ไปในตัว ไม่อย่างนั้นแล้วหลายท่านอาจจะละเลียดกาแฟหลังอาหารเพลินจนลืมเวลาก็เป็นได้... ทางลงจากโรงแรมเป็นทางลาดสำหรับคนพิการนำรถเข็นขึ้นไปได้ สุดทางเลี้ยวซ้ายประมาณสามก้าวก็เป็นทางรถยนต์ อาตมามุ่งไปทางขวาที่เป็นลานปูหินแกรนิต ซึ่งคงตั้งใจไว้ให้ลูกค้าของโรงแรมนั่งหรือนอนอาบแดด มีอ่างน้ำพุอยู่ด้วยแต่ไม่ได้เปิดให้น้ำพุ่งขึ้นมา ตามโคนเสาไฟฟ้ามีต้นกุหลาบปลูกล้อมอยู่ กำลังออกดอกสีสวยสะพรั่ง อาตมาควักกล้องออกมาถ่ายรูปไปเรื่อย จนมาถึงช่วงถนนที่เป็นสามแยก จึงเดินข้ามแยกไปถ่ายรูปต้นเมเปิลไว้ด้วย... กลับมาฝั่งเดิมก็เห็นอาจารย์ตู๋หอบหิ้วเสบียงกรังพะรุงพะรังมาแต่ไกล "มีอะไรให้ช่วยถือบ้างไหม ?" หญิงใหญ่ที่กลายเป็น "รถเข็น" ประจำคณะยิ้มกว้างขวางแบบอารมณ์ดี "ยังไหวค่ะ..พระอาจารย์" อาจารย์ตู๋เป็นอาจารย์ของ มจร. ห้องเรียนวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม มาเรียนปริญญาเอกรุ่นเดียวกับพวกอาตมา แต่เป็นสาขารัฐประศาสนศาสตร์ สนิทกับบรรดาพระนิสิตที่เรียนร่วมรุ่นปริญญาโทจากห้องเรียนหลวงพ่อสดฯ จึงตามมาถวายการรับใช้... |
สมาชิก 129 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
รูปหมู่ที่ครบถ้วนที่สุดเท่าที่ถ่ายมา พรรคพวกเดินตามกันมาเป็นแถว ไม่มีใครกล่าวว่าอาตมาเร่งรัด เพราะสายแล้วต่างก็อยากเดินทางต่อกันทั้งนั้น ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยเห็นว่ามากันพร้อมเพรียงแล้ว จึงขอถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึก นับเป็นรูปหมู่ที่มีพระร่วมคณะครบถ้วนจริง ๆ ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐถ่ายภาพเคลื่อนไหว ขณะที่อาจารย์ตู๋ คุณโอ๋ และคุณโอเล่ รับกล้องไปคนละเกือบสิบตัวถ่ายกันมือเป็นระวิง กว่าจะได้ครบทุกกล้องก็เล่นเอาพวกเราที่หันหน้าหาดวงตะวัน ตากแดดกันจนแทบจะหน้าไหม้... เสร็จแล้วแยกย้ายกันไปหามุมถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย อาตมาเดินไปทางร้านขายของที่ระลึกซึ่งยังไม่เปิดจำหน่ายสินค้า เห็นมีพวกพวงกุญแจ โปสการ์ด และของกระจุกกระจิกเต็มไปหมด ช่วงข้างร้านเป็นสนามหญ้า มีนกเอี้ยงดำฝรั่ง (Blackbird) กระโดดเหย็ง ๆ หาแมลงเป็นอาหาร แล้วก็หาได้เสียด้วย อาตมาเดินเข้าไปถ่ายรูปจนใกล้ก็ไม่หนี ในยุโรปมีกฎหมายป้องกันการทารุณสัตว์ ทำให้สัตว์ต่าง ๆ ไม่กลัวคน เพราะไม่มีใครรังแกมานานแล้ว... "พระครูวิลาศฯ รถมาแล้วค่ะ" เสียงหญิงใหญ่ที่แปลงร่างจากรถเข็นเป็นโทรโข่งได้อีกอย่างหนึ่งตะโกนบอกมา อาตมารีบเดินกลับมาขึ้นรถ เจอหน้านายสันโดษอาตมาก็ทักว่า "บองชูร์โน่ (buongiorno)" อีกฝ่ายเลิกคิ้วเหมือนสงสัย แต่ก็ตอบกลับมาแต่โดยดี เมื่อรู้ว่าคุณเป็นอิตาเลียนแล้วจะให้ไป "Good Morning" อีกก็คงไม่เข้าท่า เพราะทุกเชื้อชาติมักรู้สึกดีเมื่อได้ยินชาวต่างชาติพยายามพูดภาษาของตน... |
สมาชิก 131 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
ถนนหกเลนผ่านทุ่งนาป่าเขาไปเรื่อย "ยอดเยี่ยมไปเลยครับพระอาจารย์...อิตาลีเป็นชนชาติเก่าแก่ สืบเชื้อสายมาจากจักรวรรดิโรมันที่ยิ่งใหญ่ มีความภาคภูมิใจในเชื้อชาติของตนมาก ไม่ค่อยยอมใช้ภาษาชาติอื่น ถ้าเราใช้ภาษาของเขา จะได้รับความเป็นมิตรมากเป็นพิเศษครับ" มัคคุเทศก์รูปหล่อที่นั่งติดหลังนายสันโดษ ได้ยินอาตมาทักทายแบบนั้น ก็รีบชมเชยเป็นการใหญ่... แต่อาตมาได้ภาษาอิตาเลียนแค่ไม่กี่คำ ไม่พอขอข้าวกินเสียด้วยซ้ำไป พลขับนำรถวิ่งออกนอกเมือง รถราที่วิ่งตามกันไปมีไม่น้อยทีเดียว ที่สวนมาก็มากพอกัน สังเกตว่าแสงแดดมาทางขวามือซึ่งเป็นที่นั่งของท่านอาจารย์คณบดี แปลว่าเราขึ้นเหนือไปตลอด ถนนช่วงนี้ไปสามเลนมาสามเลน บรรยากาศรอบข้างเป็นทุ่งหญ้าสลับเนินเขาสูง ๆ ต่ำ ๆ บางช่วงก็ผุดเป็น "เขาหน่อ" ที่ไม่สูงใหญ่นัก ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ส่งไมโครโฟนให้หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ นำทำวัตรเช้า หลวงพ่อท่านส่งต่อให้พระครูด็อกเตอร์นำแทน... เสียงสวดมนต์กระหึ่มขึ้นบนรถ นายสันโดษคงชินกับกิจวัตรของพระไทยแล้ว จึงขับรถไปแบบมีสมาธิมาก เดี๋ยวก็วิ่งเข้าอุโมงค์ เดี๋ยวก็โผล่ออกมากลางแจ้ง เขารักษาธรรมชาติได้ดีมาก ใช้วิธีเจาะอุโมงค์ไม่ใหญ่ไปกว่ารถเท่าไรนัก มุดผ่านภูเขาไปโดยไม่ต้องระเบิดให้แหลกเหมือนกับทางบ้านเรา บรรดาโอปปาติกะหลายรายยังมึนงงกับ "แสงแห่งความดี" ที่สว่างจ้ายิ่งกว่าดวงอาทิตย์ ยืนทำอะไรไม่ถูก แต่พอเห็น "ท่านผู้นำ" ที่กำกับมาด้วย ก็ก้มหัวให้เป็นการคารวะ ท่านที่อยู่ในภพสูงขึ้นมาอย่างภุมมเทวดา รุกขเทวดา มีความคุ้นเคยก็ยกมือโมทนากันเป็นแถว... |
สมาชิก 137 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
"รถเมล์รับจ้าง...ประจำทางสายเพชรบุรี ผ่านองค์ปฐมเจดีย์ สีทองมองสูงตระหง่าน...ฯลฯ" แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลเสร็จ ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐก็ขอไมโครโฟนคืน อาตมาที่เรียนกับท่านมาตั้งแต่ปริญญาตรี ทราบดีว่าท่านหัวหน้าภาควิชาร้องเพลงเพราะระดับนักร้องอาชีพ จึงบอกกับท่านว่าขอเพลง "นิราศรักอิตาลี" หน่อย ท่านหันไปขอน้ำดื่มจากคุณโอ๋ มัคคุเทศก์รูปหล่อบอกว่า "หมดแล้วครับ..ผมตั้งใจว่าจะไปซื้อที่เมืองปีซ่าโน่น" อาตมาจึงส่งขวดน้ำของตนเอง ที่บรรจุจากก๊อกน้ำในที่พักตุนไว้หลังเบาะ ๓ ขวดให้ท่านไปหนึ่งขวด... "รถเมล์รับจ้าง...ประจำทางสายเพชรบุรี ผ่านองค์ปฐมเจดีย์ สีทองมองสูงตระหง่าน เมื่อเดือนสิบสอง ทุกปีต้องมีงานออกร้าน กราบพระร่วงอธิษฐาน ได้พบนงคราญรักร่วมใจ...ฯลฯ" เมื่อได้น้ำลงไปทำให้ชุ่มคอแล้ว ท่านก็ครวญเพลงด้วยเสียงที่ไม่แพ้ "ไพรวัลย์ ลูกเพชร" เจ้าของเพลง แต่ดันกลายเป็น "นิราศรักนครปฐม" ไปเสียนี่ เพราะในความจริงแล้วไม่มีเพลง "นิราศรักอิตาลี" ตามที่อาตมาขอสักหน่อย ท่านจึงเอาเพลงชื่อคล้าย ๆ กันไปก่อน... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-11-2015 เมื่อ 09:43 |
สมาชิก 131 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
จากร้องเพลงก็มาเล็กเชอร์ประวัติเจ้าของเสียงเพลง "ไพรวัลย์ ลูกเพชร มีชื่อจริงว่า สมนึก นิลเขียว เป็นคนอำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี พ่อแม่นำไปฝากให้เล่นลิเกกับคณะลิเกเมืองเพชร แต่ไพรวัลย์ไม่ชอบ จึงไปสมัครวงดนตรีบางกอก ช่ะ ช่ะ ช่า ของครูสมพงษ์ วงศ์รักไทย เมื่อวงได้ยุบลงจึงไปอยู่กับวงดนตรีของครูสุรพล สมบัติเจริญ ต่อมาได้ลาออกจากวงของครูสุรพลมาตั้งวงดนตรีเอง... ไพรวัลย์ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำพระราชทานจากเพลง "เบ้าหลอมดวงใจ" ของครูไพบูลย์ บุตรขัน รางวัลเสาอากาศทองคำพระราชทานจากเพลง "ไอ้หนุ่มตังเก" ของครูชลธี ธารทอง และได้รับรางวัลพระราชทานในงานกึ่งศตวรรษลูกทุ่งไทยจากเพลง "มนต์รักลูกทุ่ง" ของครูไพบูลย์ บุตรขัน และเพลง "ไอ้หนุ่มตังเก" ของครูชลธี ธารทอง..." เมื่อจบเพลงท่ามกลางเสียงปรบมือสนั่น "พิเชฐ ลูกสุโขทัย" ก็บรรยายประวัติของไพรวัลย์ ลูกเพชร ต่อด้วยความเคยชินของผู้เป็นอาจารย์ มหานพพลเดินมาด้านหน้ารถ มอบธนบัตรใบละ ๑๐ ยูโรให้ท่านอาจารย์เป็นรางวัล ๑ ใบ พร้อมกับขอให้ช่วยแหล่ "สี่กษัตริย์เดินดง" อีกเพลง พรรคพวกส่งเสียงเชียร์กันกระหึ่มไปทั้งรถ นายสันโดษคงไม่เคยเห็นลูกทัวร์คณะไหนเป็นแบบนี้ เมื่อกี้ยังสวดมนต์กันอยู่ดี ๆ ตอนนี้ปล่อยให้กิเลสครอบงำซะแล้ว จึงได้แต่ทำตาปริบ ๆ ขับรถไปเรื่อย... |
สมาชิก 122 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
"...ฯลฯ...อุ้มแก้วกัณหามาอิตาลี...ฯลฯ..." .........................................................."จะกล่าวถึงองค์สี่...กษัตรา ออกจากพาราเข้าเดินดงงงงงงงงงงง ............................................................เอย...อื้อฮึอือ....อื้อฮึอือ....อื้อฮึอือ....เอย... ........................................................พระเวสสันดรสุริยวงศ์ ท้าวเธออุ้มองค์...พ่อชาลี ........................................................โฉมนางมัทรีแม่กัลยา อุ้มแก้วกัณหามาอิตาลี ........................................................เอ้า...ตามเสด็จ ....เออ...นึก....นึก....นึก....เอย... ............................................................ท่านคณบดี บินจรลี...มาจากไทย...ฯลฯ" "ไม่มีอันตรายครับ ผมกับบริวารคอยป้องกันให้เต็มที่อยู่แล้ว" เสียง "ท่านผู้นำ" ดังมาเข้าหู เมื่อเห็นอาตมาตั้งท่าทรงกำลังใจเต็มที่ ประมาทได้ที่ไหนละพ่อคุณ กำลังเพลิน ๆ อยู่เกิดมีอุบัติเหตุตูมตามขึ้นมา คงได้ไปนั่งแก้ตัวกันต่อหน้าพระยายมกันทั้งคณะ ถ้าโดนท่านขอให้ช่วย "อุ้มแก้วกัณหามาอเวจี" มีหวังได้ซวยกันไปเป็นกัป..! แหล่สี่กษัตริย์เดินดงภาคพิเศษมาจบลงที่ด่านเก็บเงินอัตโนมัติพอดี ท่ามกลางเสียงปรบมือดังสนั่น ทำเอา "ท่านผู้นำ" ทำตาปริบ ๆ ไปด้วย อาตมาชักเสียวว่าถ้าเกิดท่านทนไม่ได้ "ลอยแพ" พวกเราไปเสียก่อน งานนี้จะได้รอดกลับเมืองไทยครบสามสิบสองหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? นิมิตก่อนมานี่ขนาดเครื่องบินตกทะเลเชียวนะ ถึงอาตมาจะรอดก็เถอะ แต่หาศพเพื่อนไม่เจอสักรายเดียว..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-11-2015 เมื่อ 03:12 |
สมาชิก 126 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
หอระฆังชำรุดที่โด่งดังไปทั่วโลก "เรื่องของไพรวัลย์ ลูกเพชร นั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ชอบลิเกก็ตาม แต่ท้ายสุดก็ได้เอาวิชาจากลิเกมาประยุกต์เข้ากับการร้องเพลง จนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน โด่งดังอยู่ในวงการชนิดที่หาคนเทียบได้ยาก เรียกว่าได้ดีจากสิ่งที่ตนไม่ชอบ เหมือนกับหลวงพี่ของผมทุกท่านนั่นแหละครับ ไม่มีใครชอบ QE สักคน แต่เราก็ต้องสอบกันเพื่อยืนยันความรู้ที่เรียนมา พอจบไปแล้วใครจะรู้ได้ว่า สิ่งที่เราไม่ชอบนั้น อาจจะต้องนำไปใช้มากกว่าที่คิดก็ได้..." จาก "พิเชฐ ลูกสุโขทัย" แปลงกายเป็นอาจารย์ผู้เข้มงวดอีกแล้วครับท่าน... นายสันโดษนำรถวิ่งไปเรื่อย เดี๋ยวก็วนขวา เดี๋ยวก็เลี้ยวซ้าย ขึ้นเขาลงห้วย บางทีก็เข้าอุโมงค์มืดตื๋อ สักพักก็ออกมาเจอแสงแดดแผดจ้า ถ้าให้อาตมาขับเองมีหวังหลงทางเป็นแน่ จนมาเปลี่ยนเป็นถนนแคบ ๆ มีรถวิ่งสวนเลนมาและเปิดไฟทุกคันเพื่อความปลอดภัย นาน ๆ จะมีมอเตอร์ไซค์หรือจักรยานวิ่งเลาะข้างทางทั้งขาไปและขามา แล้วถนนค่อย ๆ ไต่สูงขึ้นเขาไปเรื่อย บนเนินเขาข้างทางบางช่วง มีดอกฝิ่น (Poppy) สีสันสดใสอยู่เป็นกลุ่ม ๆ จนรถมาเคลื่อนตัวได้ช้า แล้วมีหยุดติดเป็นบางจังหวะ... "ข้างหน้าของเราคือตัวเมืองปีซ่า (Pisa) นะครับ มีสิ่งสำคัญที่โด่งดังไปทั่วโลกคือหอเอนปีซ่า (La Torre di Pisa) หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า The Leaning Tower of Pisa ตั้งอยู่ในจัตุรัสเปียซซ่า เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นหอระฆังของศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก เมื่อ ค.ศ. ๑๑๗๓ เสร็จเรียบร้อยเมื่อ ค.ศ. ๑๓๕๐... |
สมาชิก 121 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
บ้านแถวนี้มีแต่หลังคาสีอิฐ หอเอนปีซ่าสร้างด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นรูปทรงกระบอกมี ๘ ชั้น สูง ๑๘๓.๓ ฟุต ความจริงเป็นหอที่ชำรุด เอียงเพราะดินอ่อน มีความพยายามที่จะบูรณะให้ตรงหลายต่อหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งนักวิศวกรรมไปคำนวณว่า ถึงจะเอียงก็มีความสมดุล จะไม่เอนไปกว่านี้แล้ว จึงกลายเป็นแหล่งเที่ยวสำคัญที่ใคร ๆ ก็อยากจะมาดูให้เห็นด้วยตาของตัวเอง" คุณโอ๋ขอไมโครโฟนไปบรรยาย เมื่อ "พิเชฐ ลูกสุโขทัย" ขู่ว่า ถ้าไม่บรรยายก็จะร้องอีก ๕ เพลงรวด..! ถึงจะเคลื่อนตัวได้ช้าแต่รถก็ยังคลานตามกันไปเรื่อย ๆ ข้างทางหลายช่วงเป็นเนินเขา จึงมีการก่อขอบคอนกรีตกันดินถล่มเอาไว้ด้วย ผ่านถนนที่มีต้นเมเปิลใหญ่ ร่มรื่นอยู่ตลอดสองข้างทาง คุณโอ๋ก็บอกให้ดูทางขวามือ เห็นหอเอนปีซ่าตั้งตระหง่านอยู่ใกล้ ๆ กับโดมขนาดใหญ่ หลายท่านรวมทั้งอาตมาพยายามจะถ่ายรูป แต่ด้วยความที่อยู่ห่างจนเกินไปจึงออกมาไม่ได้เรื่อง... เริ่มมีบ้านเรือนประปราย ส่วนมากหลังคาเป็นสีส้มแบบอิฐ อาตมาถามคุณโอ๋ว่า "ทำไมบ้านแถวนี้หลังคาเป็นแต่สีส้ม ?" คุณโอ๋บอกว่า "ไม่ทราบเหมือนกันครับ ถ้าจะให้เดาก็คงเป็นเพราะทำให้รู้สึกอบอุ่นเวลาหน้าหนาว เพราะสีคล้ายคลึงกับแสงแดด" "ท่านผู้นำ" หัวเราะพลางบอกว่า "ขอเดาบ้างว่า สีส้มเป็นสีที่เห็นแล้วรู้สึกปลอดภัย แบบเดียวกับพระห่มจีวรแล้วสัตว์ไม่ค่อยระแวง พอเห็นคนนุ่งผ้าสีอื่นก็รีบวิ่งหนี" ดูท่าคงต้อง "เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย" จะดีกว่า... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-11-2015 เมื่อ 15:03 |
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
เผลอเมื่อไรก็เดินเหมือนออกบิณฑบาต..! "ชาวเมืองปีซ่ามีชื่อเสียงในการทำเครื่องแก้วมากครับ โดยเฉพาะเทคนิคการเป่าแก้วที่ยังไม่มีใครเสมอเหมือนมาจนถึงปัจจุบัน ตอนนี้เพลกว่าแล้วนะครับ ผมจะนำพระอาจารย์ทุกท่านไปฉันเพลก่อน เสร็จแล้วค่อยมาชมหอเอนปีซ่ากัน" มัคคุเทศก์รูปหล่อบรรยายแล้วตะโกนบอกนายสันโดษว่า "Ristorante, please." ไม่อย่างนั้นแกคงจะพาไปชมหอเอนเสียก่อนเป็นแน่แท้ เพราะเล่นวิ่งแน่วเข้าเมืองไปเลย... เมื่อได้รับคำสั่งนายสันโดษนำรถเลี้ยวซ้ายเหมือนกับจะวิ่งออกไปนอกเมือง เพราะแถวที่รถวิ่งผ่านไปมีแต่ดงหญ้าขนสูงท่วมหัว พอพ้นโค้งออกมาจึงเห็นตัวเมืองที่มีอาคารเตี้ย ๆ ซึ่งอย่างเก่งก็สูงแค่ ๒ - ๓ ชั้น แกเอารถวิ่งเข้าไปจอดในสถานีบริการน้ำมันยี่ห้อ Agip ซึ่งมีสัญลักษณ์เป็นรูปสิงโตหรือหมาหกขาก็ไม่รู้ กำลังพ่นไฟอยู่ มีป้ายบอกราคาน้ำมันดีเซล ๑.๖๐๙ ยูโร ส่วนน้ำมันเบนซินราคา ๑.๗๔๖ ยูโร คิดเป็นเงินไทยเกือบจะลิตรละ ๗๐ บาท..! คุณโอ๋ลงจากรถก่อน แล้วพาเดินข้ามถนนไปทางขวามือ พวกเราเดินตามไปเป็นแถวเหมือนกับตอนเดินบิณฑบาต มีคุณโอเล่ที่ปิดท้ายแถว หอบสารพัดเครื่องปรุงตามหลังท่านอาจารย์ ดร.วันชัยมาติด ๆ มองไปข้างหน้าเห็นภัตตาคารจีนเล็กขนาด ๒ คูหา มีป้ายสีแดงติดอยู่ด้านหน้าของชั้นสอง อักษรภาษาอังกฤษสีเหลืองตัวใหญ่เขียนว่า PECHINO ส่วนภาษาจีนน่าจะอ่านได้ว่า "ฝุกไหลเหลา (วาสนามาสู่)" ซึ่งไม่รับรองว่าจะอ่านได้ถูก เพราะคืนวิชาท่านอาจารย์ไปนานแล้ว... |
สมาชิก 115 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
เจอเข้าไปโต๊ะละ ๑๑ รูป เบียดกันแทบตาย..! "หนีห่าว" มัคคุเทศก์รูปหล่อส่งภาษาจีนนำหน้าไปก่อน มีชายวัยกลางคนที่น่าจะเป็นเจ้าของภัตตาคารเดินออกมาต้อนรับ พาพวกเราไปนั่งที่โต๊ะกลมขนาดใหญ่ ซึ่งมีถ้วยจานชามช้อนจัดเอาไว้โต๊ะละ ๑๑ ที่นั่ง อาตมาเหลือบไปเห็นป้ายห้องน้ำจึงรีบตรงเข้าไป หลายท่านตาไวและคงจะปวดฉี่เหมือนกัน เดินตามมาเป็นพรวน ห้องน้ำทั้งสามห้องจึงโดนยึดหมดเกลี้ยง ใครมาช้าก็ยืนรอคิวไปก่อน... อาตมาออกมาล้างมือแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะ ๒ คุณโอเล่กับอาจารย์ตู๋เอาหมูสวรรค์ใส่จานมาถวายก่อน บอกว่าเป็นของหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ เนื่องจากเป็นเวลา ๑๑.๔๐ น.เข้าไปแล้ว ทุกรูปจึงช่วยกันแสดงปาฏิหาริย์ บันดาลให้หมูสวรรค์หายวับไปกับตา แม้ว่าจะมารอบที่สองก็ยังคงหายวับไปทันทีเช่นกัน คุณโอ๋กับคุณโอเล่เอาซีอิ๊วพริกขี้หนูมาประเคน ตามมาด้วยน้ำพริกตาแดง และน้ำพริกนรกแมงดา คราวนี้ทุกรูปแสดงปาฏิหาริย์ไม่ออก ได้แต่นั่งมองตาละห้อยไปก่อน... "Excuse me" อาหมวยที่ยกจานเดินแทรกเข้ามาร้องบอก หลวงพ่อพระครูเลิศต้องรีบเบี่ยงตัวให้เล็กที่สุด เพราะแม่เจ้าประคุณเล่นชะโงกมาวางจาน จนหน้าอกไซส์อนุบาลเกือบจะทาบลงบนไหล่ของท่าน ถ้าเป็นขนาดมหาวิทยาลัยท่านอาจจะไม่หลบก็ได้..! จานแรกนี้เป็นกะหล่ำปลีผัดน้ำมัน ซึ่งถ้าไม่ใช่ยอดฝีมือจริง ๆ ไม่มีใครกล้าทำหรอก เพราะยากนักที่จะผัดให้อร่อยได้ พวกเรานั่งกลืนน้ำลายรอจนอาเฮียยกโถข้าวสวยมาถึง อาตมารีบรับก่อนที่แกจะวางลงบนโต๊ะ จัดการตักใส่ถ้วยแจกเพื่อน ๆ อย่างรวดเร็ว เมื่อเกินช่วงแขนเอื้อมถึง ก็ส่งต่อให้กับองปลัด ที่ยื่นต่อไปให้กับใบฎีกาวรัญญู... |
สมาชิก 114 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
มาแต่ของเขาของเราไม่มา...ตาละลา..! (ภาพจากอินเตอร์เน็ต) อาตมาตักผัดกะหล่ำปลีเททับลงบนข้าวสวย โรยหน้าด้วยน้ำพริกตาแดง แล้วหยิบตะเกียบมาพุ้ยข้าวเข้าปาก เนื้อไก่น้ำแดงใส่มันเทศเพิ่งมาถึงข้าวก็หมดไปแล้วหนึ่งถ้วย หลวงพ่อพระครูชุบที่นั่งกลางระหว่างหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ กับพระครูปรีชา ส่งโถข้าวข้ามทวีปมาให้เติม เพิ่งคีบเนื้อไก่ใส่ถ้วย ปลาบู่น้ำแดงก็ตามมา ต่อด้วยแกงจืดทะเลที่อาตมาไม่กล้าแตะ กลัวว่าถ้าท้องเสียแล้วจะทำให้งานกร่อย ข้าวถ้วยที่สองหมดไปขณะที่เพื่อน ๆ หลายรูปซึ่งใช้ตะเกียบไม่เป็น ใช้ช้อนตักจากถ้วยก็ไม่ถนัด เก้ ๆ กัง ๆ จนพระครูกุ้ยไฮ้บอกว่า "ถ้าไม่ถนัดก็เปิบด้วยมือไปเลย..!" อาตมาไม่สนใจว่าจะมีใครใช้วิชา "มังกรห้าเล็บ" หรือเปล่า ? ไก่ชุบแป้งทอดกับเป็ดย่างไฟแดงมาช่วยให้ข้าวถ้วยที่สามหมดไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็เต็มโควตาเฉพาะตัวพอดี เห็นอีกโต๊ะมีกุ้งเผาส่งไปจานใหญ่ อาตมาขี้เกียจมือเปื้อนจากการแกะกุ้ง จึงถือขวดน้ำเปล่าที่เหน็บกระเป๋าอังสะมาด้วย เข้าห้องน้ำไปเปิดน้ำก๊อกใส่ขวดจนเต็ม กลับออกมาก็ยังไม่เห็นว่าโต๊ะของเราจะมีกุ้งเผา ทางท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย อาจารย์ตู๋ คุณโอ๋ และคุณโอเล่ ได้กุ้งเผาหรือเปล่าก็มองไม่เห็น เพราะไปหลบอยู่อีกมุมหนึ่งที่บังสายตาพอดี... อาหมวยไซส์เล็กเอาแอปเปิลที่ปอกหั่นแล้วมาส่ง ซึ่งหมดไปในพริบตา อีกสักครู่คุณโอ๋ก็เอาสตอเบอรี่มาถวายอีกจานก็หมดไปทันทีเช่นกัน พระครูโจหอบเชอรี่ที่ซื้อมาในราคาปอนด์ละ ๖ ยูโรมาแบ่งให้ก็หมดเกลี้ยงอีก อะไรจะกินล้างกินผลาญได้ขนาดนั้น พอดีมีลูกค้าคนจีนเข้ามาชุดใหญ่ ส่งเสียงล้งเล้งไปหมด น่าจะจองโต๊ะเอาไว้แล้ว เพราะเขาพาไปนั่งทันที และเริ่มเสิร์ฟอาหารจานแรกเลย... |
สมาชิก 113 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
รถของเราอยู่ข้างหลังโน่น..! อาตมารีบเผ่นไปเข้าห้องน้ำก่อนที่จะโดนแย่งจนไม่มีโอกาสเข้า เอาผ้าเย็นที่พกมาจากเมืองไทยไปซักเอากลิ่นหอมออกก่อน แล้วค่อยเช็ดหน้าเช็ดตาให้สดชื่น เมื่อเดินผ่านโต๊ะแรกเห็นว่ายังมีสตอเบอรี่เหลืออยู่ ๓ - ๔ ลูก จึงกวาดมาใส่ปากตัวเองจนหมด "เฮ้ย..เฮ้ย..มีปล้นด้วยเว้ย..!" พระครูญาณฯ ร้องเอะอะ แต่อาตมาเดินออกจากร้านไปแล้ว หาที่ถ่ายรูปแถวบริเวณนั้น องปลัด พระครูปรีชา และท่านไพฑูรย์ก็เดินตามออกมาด้วย จึงเดินไปรวมพลอยู่ข้างรถที่จอดอยู่ใต้ต้นไม้คันหนึ่ง เพื่อขอแบ่งปันร่มเงาของต้นไม้บ้าง... "Hey..! Get out..!" เสียงแผดสนั่นมาจากห้องแถวตรงกับที่จอดรถ อาตมาหันไปเจอชายชราอ้วนล่ำหน้าแดงแจ๋โบกมือตะโกนไล่ พวกเรายืนเฉยไม่สนใจ ยืนห่างจากบ้านเอ็งขนาดนี้ยังจะมาไล่อีก เมื่อเห็นว่าพวกเราไม่สนใจ ตาเฒ่าก็เปิดประตูเดินกวัดแกว่งไม้เท้าออกมาแบบประสงค์ร้าย ในเมื่อเจ้าที่เฮี้ยนถึงขนาดนี้ พวกเราจึงต้องสละร่มไม้ไปยืนตากแดดที่หน้าภัตตาคารแทน พอดีท่านอาจารย์คณบดีกับพระครูกุ้ยไฮ้เดินออกมา เมื่อเห็นร่มไม้ก็ตรงรี่เข้าไป พวกเราต้องตะโกนห้ามกันเสียงหลง เพราะตาเฒ่ายังถือไม้เท้ายืนตาเขียวปัดอยู่ที่นั่น..! เจอคนหวงที่แบบนี้ทำเอาทุกคนเซ็ง มาทราบทีหลังว่าคนยุโรปจำนวนมากเกลียดคนเอเชียและแอฟริกาที่เข้ามาแย่งงานทำ ถึงขนาดรวมตัวกันทำร้ายเอาดื้อ ๆ ก็มี อาตมาเดินย้อนกลับไปทางเดิมก่อน ถ่ายรูปรถราและสภาพบ้านเมืองไปด้วย มาถึงปั๊มน้ำมันหมาหกขา (ใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้ ? แต่เรียกแบบนี้ง่ายดี) เห็นนายสันโดษยืนเฝ้ารถที่เปิดประตูค้างอยู่ ไม่รู้ว่าได้กินข้าวกินปลาแล้วหรือยัง ? ถ้าเป็นเมืองไทยทางร้านอาหารจะจัดอาหารให้พลขับกินฟรี ในฐานะที่เอาลูกค้ามาเข้าร้าน หลายแห่งยังแอบยัดเงินให้ด้วยซ้ำไป แต่ที่นี่ดูแล้วน่าจะเป็นระบบ Body who...Body it.... |
สมาชิก 111 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
บรรดา "คุณเฉาก๊วย" มาเป็นกองทัพเลย..! อาตมาเดินขึ้นไปบนรถ พรรคพวกส่วนใหญ่ก็เลยตามมาขึ้นด้วย นายสันโดษจัดการเปิดเครื่องปรับอากาศให้ทันที เมื่อนับว่ามากันครบคนแล้ว มัคคุเทศก์รูปหล่อก็สั่งให้ออกรถได้ วิ่งย้อนกลับไปเส้นทางเดิม เจอรถนิสสัน ๕ ประตูจอดติดไฟแดงอยู่คันหนึ่ง อาตมารีบถ่ายรูปไว้ถือว่าเป็นบุญตา มัคคุเทศก์ของเราเห็นเข้า จึงบรรยายว่า "ญี่ปุ่นพยายามส่งรถยนต์มาตีตลาดยุโรป แต่ทำอย่างไรก็ไม่รุ่ง เกิดจากสองสาเหตุด้วยกันคือ ๑. ความชาตินิยมของชาวยุโรป ๒. มาตรฐานและคุณภาพของรถยุโรปดีกว่าแต่ขายในราคาเท่ากัน ญี่ปุ่นทำตลาดเท่าไรก็สู้เจ้าถิ่นไม่ได้ ดังนั้น..นาน ๆ เราถึงได้เห็นรถญี่ปุ่นแทรกมาสักคันแบบนี้แหละครับ"... มาถึงสามแยกไฟแดงนายสันโดษก็พารถเลี้ยวขวา ไปเจอกำแพงใหญ่เหมือนกำแพงเมืองโบราณ แต่..มันทำถนนภาษาอะไรวะ ? รถของเราดันมาอยู่สวนเลนกับรถที่วิ่งมา..! แต่ที่นี่เขาคงเคยชินกันแล้ว เพราะพลขับของเราเบี่ยงรถหลบชิดขวา เมื่อข้ามทางม้าลายไปแล้วก็กลายเป็นวิ่งถูกเลนเหมือนเดิม ผ่านอาคารที่หน้าตาโบราณ ๆ หลังหนึ่ง มีป้ายเขียนว่า POLIZIA MUNICIPALE คงเป็นสถานีตำรวจเทศบาลเมืองปีซ่า เลยไปอีกหน่อยหนึ่งมีรถรางสีเหลืองสดคาดสีเลือดหมู ที่หน้าตาเหมือนรถไฟการ์ตูนในดิสนีย์แลนด์ จอดรับคนอยู่... "บริเวณโบสถ์และหอเอนเมืองปีซ่า ไม่อนุญาตให้รถนักท่องเที่ยวเข้าไป เดี๋ยวพวกเราต้องลงแล้วขึ้นรถรางของเทศบาลเมืองปีซ่าเข้าไป บริเวณที่จอดรถจะมี "คุณเฉาก๊วย" เยอะมาก ถึงจะเสนอขายสินค้าอะไรพระอาจารย์ทุกรูปก็อย่าซื้อนะครับ นอกจากราคาแพงแล้ว ยังอาจจะถูกจับข้อหาซื้อสินค้าปลอมอีกด้วย" มัคคุเทศก์รูปหล่อพูดยังไม่ทันจบ นายสันโดษก็นำรถเลี้ยวขวาเข้าลานจอดรถขนาดใหญ่ มีรถรางสีฟ้าสดใสจอดอยู่ ๑ คัน และบรรดา "คุณมืด" ทั้งหลายที่หอบสินค้าทั้ง "ฯลฯ...ปะวะหล่ำกำไลสายสร้อย ตุ้มหูพวงห้อยดอกไม้หอม...ฯลฯ" ตลอดจนกระเป๋าต่าง ๆ ยืนระเกะระกะไปหมด พอพวกเราลงไปก็กรูกันเข้ามาทันที..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2015 เมื่อ 13:59 |
สมาชิก 108 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
เทศบาลนครปีซ่าเอา "รถเมล์ยูโร" มารับ รถรางสีฟ้ารับคนเต็มแล้วเคลื่อนออกไป พวกเราที่ขึ้นไม่ทันจึงต้องรับมือกับกองทัพ "คุณเฉาก๊วย" ของคุณโอ๋แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ความจริงก็พอที่จะเลี่ยงได้ เพราะเมื่อชำเลืองมองแวบเดียว เห็นว่าสายสร้อยเทอร์คอยส์นั้น เป็นของ "ปลอมแท้ ๆ" อาตมาก็ตีเหมาว่าอย่างอื่นที่เหลืออยู่ก็ประเภทเดียวกัน จึงเลี่ยงไปถ่ายรูปต้นไม้ดอกไม้อีกฟากหนึ่ง ปล่อยให้ท่านอาจารย์คณบดี หลวงพ่อพระครูเลิศ พระครูญาณฯ ที่ยืนแถวหน้า เป็นกองหน้าปะทะกับข้าศึกที่บุกทะลวงเข้ามาชิดตัวแทน... ถ่ายรูปจนทั่วแล้วย้อนกลับมา พอดีมีคณะนายห้างและคุณนายชาวอินเดียที่มากันคณะใหญ่เดินเข้ามาถึง บรรดา "คุณมืด" จึงเปลี่ยนเป้าหมายไปโจมตีกองทัพแขกแทน บรรดานายห้างและคุณนายรัวลิ้นภาษาอังกฤษเร็วปรื๋อ ข้าศึกผิวหมึกก็ลอยหน้าลอยตาเสนอสินค้าแบบไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ดูแล้วจะสมน้ำสมเนื้อกันดี ทำเอาพวกเราถอนใจโล่งอกไปตาม ๆ กัน... รถที่มารับพวกเรากลายเป็นรถบัสสองตอน ถ้าติดตัวหนังสือไทยก็คือ "รถเมล์ยูโร" ในกรุงเทพฯ นั่นเอง ซ้ำยังสีเหมือนกันอีกด้วย กองทัพแขกถอนร่นจากการปะทะกับกองทัพแอฟริกา กรูกันมาขึ้นรถ จนพวกเราได้แต่ยืนมองตาปริบ ๆ เพราะไม่มีปัญญาเบียดนายห้างตัวเท่าตึกขึ้นไปบนรถที่เปิดแค่ประตูเดียวได้ ขนาดอาจารย์ตู๋ที่เป็น "หญิงใหญ่" ของคณะ พอไปยืนเปรียบกับบรรดาคุณนายแล้ว กลายเป็นลูกสาวคนเล็กสุดไปเลย..! |
สมาชิก 102 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|