กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 01-03-2014, 09:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,514 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

ให้ทุกคนนั่งในท่าถนัดและสบายของตัวเอง ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกตรงหน้า หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมด ไหลตามลมหายใจออกมา จะกำหนดกี่ฐานก็อยู่ที่เรามีความชอบใจ จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ตามที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๗ เป็นการปฏิบัติธรรมต้นเดือนของเราเป็นวันสุดท้าย วันนี้มีญาติโยมจำนวนมากไม่ได้ไปใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้ง เนื่องเพราะว่าเกรงจะมีอันตรายเกิดขึ้นแก่ตน การที่เราเกรงจะมีอันตรายเกิดขึ้นแก่ตน โดยเฉพาะถึงแก่ชีวิตนั้น ถือว่าเป็นความดีคือไม่ประมาท

แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วทั้งหมดที่ไม่ไป เป็นเพราะกลัวตายทั้งนั้น อย่าลืมว่าการที่เรากลัว ทุกอย่างมีสาเหตุมาจากความกลัวตายทั้งสิ้น กลัวถูกทำร้าย ถ้าทำร้ายหนัก ๆ เป็นอย่างไร ? ก็ตาย กลัวว่าจะมีการปะทะกัน พอมีการปะทะกันเราอาจจะโดนลูกหลง โดนลูกหลงแล้วเป็นอย่างไร ? อาจจะตาย

ถ้าเราดูไปแล้วจะเห็นว่า จริง ๆ แล้วความกลัวทุกอย่าง มีพื้นฐานมาจากความกลัวตายทั้งหมด แม้กระทั่งการกลัวสัตว์เล็ก ๆ อย่างจิ้งจกหรือแมลงสาบก็เกิดจากความกลัวตาย ก็คือเราเกลียด ขยะแขยง ถ้ามันกระโดดใส่เรา เราอาจจะทนความขยะแขยงไม่ได้ถึงขนาดขาดใจตาย ท้ายสุดทุกอย่างลงตรงตายหมด

ฉะนั้น..การที่เราปฏิบัติ เมื่อกำลังใจของเราทรงตัวแล้ว ต้องพิจารณาให้เห็นว่า ธรรมดาของความตายย่อมมาถึงมนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนาม ไม่สามารถที่จะล่วงพ้นไปได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า “สัตว์โลกทั้งหลายเกิดเท่าไรตายหมดเท่านั้น” แต่เนื่องจากว่าการเกิดนั้นใช้ระยะเวลาแค่ ๙ - ๑๐ เดือน กว่าจะถึงเวลาตายถ้าเป็นไปตามอายุขัยก็หลายสิบปี เราจึงเห็นการเกิดมากกว่าได้เห็นความตาย

แต่กระนั้นก็ตาม บุคคลที่มีปัญญา ย่อมเห็นว่าทุกคนจะต้องตายแน่นอน ในเมื่อความตายต้องมาถึงเราเป็นปกติ เราก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นให้ได้ว่า ธรรมดาของร่างกายนี้มีความเกิดในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง เสื่อมสลายตายพังไปในที่สุด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-03-2014 เมื่อ 12:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 02-03-2014, 10:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,514 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าสภาพจิตของเรายอมรับจริง ๆ เราก็จะเห็นว่า ธรรมดาของร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี เกิดมาแล้วต้องตาย ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว เพราะไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการเวียนว่ายตายเกิด ความตายเป็นเพียงการเปลี่ยนรูปเปลี่ยนขันธ์ไปชั่วขณะ เป็นไปตามบุญตามบาปที่ตัวเองได้ทำมา

ถ้าสร้างบุญกุศลไว้ก็ไปได้ขันธ์ทิพย์ เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ถ้าไม่นิยมการเกิดก็หลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน แต่ถ้าสร้างบาปเอาไว้ก็ต้องไปเกิดสัตว์นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ที่มีแต่ความทุกข์ยากอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราเห็นว่าร่างกายของเรานี้จะต้องตายเป็นธรรมดา ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต แต่เป็นการเปลี่ยนรูปเปลี่ยนขันธ์ไปตามบุญตามกรรมของตน ความหวาดสะดุ้งในความตายของเราก็จะค่อย ๆ ลดน้อยถอยลง

จนกระทั่งถ้าเห็นความปกติธรรมดาจนถึงที่สุด ก็จะไม่หวั่นไหวต่อความตายที่มาถึง ซึ่งนักปฏิบัติทุกคนจะต้องทำให้ได้ถึงจุดนี้ สามารถกับเผชิญหน้ากับความตายอย่างสง่างาม เหมือนอย่างกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกัน ถึงเวลาเจอหน้ากันก็มีแต่ความปีติ มีแต่ความยินดี เนื่องจากว่าอัตภาพร่างกายนี้ชำรุดทรุดโทรมจนเกินแก้ไข ถ้าเราไม่นิยมเสียแล้วก็ทิ้งไป ก้าวเข้าสู่พระนิพพาน

ถ้าจิตยังมีการข้องแวะจุดใดจุดหนึ่งอาจจะเกิดเป็นพรหม เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า แต่ถ้าสภาพจิตแบกบาปเอาไว้มาก ก็จะต้องลงสู่อบายภูมิ เมื่อเรายอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดาอย่างนี้ สภาพจิตก็จะไม่หวั่นไหวดิ้นรน เห็นความตายเป็นของธรรมดา เมื่อรู้ตัวว่าจะตายก็เร่งรัดการปฏิบัติของตนเอง ทบทวนศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ทำความเคารพในพระรัตนตรัยคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่นแฟ้น ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ตั้งใจว่าตายลงไปเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว

ถ้าสามารถรักษากำลังใจอย่างนี้เอาไว้ได้ ถ้าสิ้นอายุขัยตายไปหรือเกิดอุบัติเหตุตายไป เราก็จะก้าวเข้าสู่สุคติภูมิอย่างแน่นอน ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจ กำหนดการภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-03-2014 เมื่อ 12:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:43



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว