กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 20-04-2014, 09:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,128 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๗

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่ถนัดของตนเอง ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะกำหนดจุดลมกระทบฐานเดียว สามฐาน เจ็ดฐาน หรือรู้ตลอดกองลมก็ได้ จะใช้คำภาวนาแบบใดก็ได้ ตามที่เรามีความถนัดและชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ทางวัดมีการพิจารณาอธิกรณ์ เนื่องจากว่ามีพระภิกษุบางรูปพยากรณ์ว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ เรื่องนี้ที่นำมากล่าวเพื่อเป็นตัวอย่างว่า ในการปฏิบัติธรรมของเรานั้น บางขณะถ้าสติสมาธิทรงตัว รัก โลภ โกรธ หลง อาจจะไม่เกิดเลยเป็นระยะเวลาหลาย ๆ เดือนด้วยกัน

แม้กระทั่งในสมัยพุทธกาล ก็มีพระภิกษุที่เข้าใจผิดคิดว่าได้มรรคผลแล้ว ได้พยากรณ์มรรคผลของตนเองต่อเพื่อนสหธรรมิก เมื่อมีการโจทย์กันขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งสอบสวน ถึงได้เข้าใจว่าเป็นความสงบระงับที่เกิดจากอำนาจของสมาธิกดกิเลสเอาไว้ ดังนั้น..พวกเราทั้งหมดควรที่จะศึกษาเรื่องของอุปกิเลสเอาไว้ เพื่อที่จะได้รู้ว่า สิ่งที่ชวนให้เข้าใจผิดว่าบรรลุมรรคผลนั้นมีมากต่อมากด้วยกัน

อุปกิเลส อุป แปลว่าเข้าไปใกล้ อุปกิเลส ก็คือสิ่งที่ใกล้จะเป็นกิเลส ถ้าเรารู้เท่าทันก็ใกล้เป็นกิเลสเท่านั้น ถ้าเรารู้ไม่เท่าทันเมื่อไรก็เป็นกิเลสทันที บางทีก็เรียกวิปัสสนูปกิเลส คืออุปกิเลสของวิปัสสนาญาณ ซึ่งประกอบไปด้วยหลายหัวข้อด้วยกัน ได้แก่

๑. โอภาส ภาวนาไปแล้วเกิดแสงสว่างปรากฏขึ้น หรือบางทีเกิดแสงสีต่าง ๆ ปรากฏขึ้น บางท่านนั้นโอภาสสว่างไสวไปทั่ว ไม่ว่าจะกลางวันกลางคืน สว่างอย่างกับมีแสงไฟหลายร้อยแรงเทียนเปิดส่องเข้ามา ทำให้หลายท่านคิดว่าตัวเองบรรลุมรรคผลแล้ว ทั้ง ๆ ที่สภาพจิตเพิ่งจะเข้าสู่ระดับอุปจารสมาธิเท่านั้น

๒. ปีติ เกิดความอิ่มใจไม่เบื่อไม่หน่ายที่จะปฏิบัติ ปีตินั้นหลวงพ่อวัดท่าซุงเคยเตือนเสมอว่า มารจะแทรกได้ง่าย หลายต่อหลายท่านเมื่อเกิดปีติขึ้นมา ก็ทุ่มเททำความดี ไม่พักไม่ผ่อนไม่หลับไม่นอน จนร่างกายทนไม่ไหว จึงเกิดอาการสติแตก กรรมฐานแตกขึ้นมา

๓. ปัสสัทธิ เกิดความสงบระงับ รัก โลภ โกรธ หลงไม่เกิดเลย น้อยหนึ่งก็ไม่มี ถ้าสงบระงับเป็นเวลานาน ๆ อาจทำให้เราเข้าใจผิดว่าเข้าถึงมรรคผลส่วนใดส่วนหนึ่งแล้ว ถ้าไม่ใช่พระอนาคามีก็ต้องเป็นพระอรหันต์

๔. ปัคคาหะ มีความเพียรมากเป็นพิเศษ จากที่เคยขี้เกียจย่อหย่อน ง่วงเหงาหาวนอนไม่ชอบปฏิบัติ เกิดขยันขันแข็งขึ้นมา ปฏิบัติแบบข้ามวันข้ามคืน ไม่รู้เบื่อไม่รู้หน่าย ไม่รู้จักหลับไม่รู้จักนอน หลายท่านคิดว่าอาจจะเป็นเพราะว่าเข้าถึงมรรคผลแล้ว จึงทำให้เกิดความขยันขันแข็งเช่นนี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2014 เมื่อ 14:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 52 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 22-04-2014, 13:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,128 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

๕. ญาณ คือเครื่องรู้ปรากฏขึ้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏขึ้นมาต่อเรา ไม่ว่าจะเป็นการกระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ครุ่นคิดอย่างไรก็เป็นอรรถเป็นธรรมไปหมด สามารถที่จะสาวไปถึงสาเหตุต่าง ๆ สืบเนื่องต่อกันอย่างมีเหตุมีผล ทำให้บางท่านเข้าใจว่าบรรลุมรรคผลแล้ว แต่ถ้ารู้จักสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าเป็นการหลอกให้เราคิด เสียเวลาไปสืบสาวราวเรื่องไปเรื่อย ๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งกว้างออกไป ๆ เหมือนอย่างกับพายเรือออกทะเลสู่มหาสมุทร ท้ายสุดก็หาฝั่งกลับไม่เจอ

ถ้าสังเกตเป็นจะเห็นว่าเราคิดแล้วรู้เข้าใจทุกเรื่องยกเว้นเรื่องการตัดกิเลส ท่านที่โง่ก็น้อมใจเชื่ออย่างชนิดหัวทิ่มหัวตำ ต่อให้คนอื่นเห็นว่าไม่ดีอย่างไร ตัวเองก็ปักใจเชื่อ บางทีมีทรัพย์สินเงินทองเท่าไรก็ทุ่มเทให้หมด สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ขอให้ทราบว่าเป็นอาการของอุปกิเลสเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเราไม่มีกิเลส ก็เลยไม่ได้ต้องการแม้กระทั่งปัจจัย ๔ ต่าง ๆ

๖. สุข มีความสุข เย็นกายเย็นใจอย่างบอกไม่ถูก จนคิดว่าเป็นความสุขจากการหลุดพ้น แต่เป็นเพียงความสุขจากการกดกิเลสได้ชั่วคราวเท่านั้น

๗. อุปัฏฐาน มีสติมั่นคงอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถรู้เท่าทันไปหมดว่ากิเลสอะไรจะเกิด สามารถระวังป้องกันได้แบบทันท่วงที คิดว่าบรรลุมรรคผลแล้ว ความจริงเป็นผลจากฌานละเอียด ทำให้สติปัญญาดีขึ้นเท่านั้น

๘. อธิโมกข์ มีความเชื่อแบบสุดชีวิตจิตใจ เพราะสัมผัสกับความสุขความสงบด้วยตัวเอง ใครว่าใครเตือนอะไรก็ไม่ฟัง มักจะทำบุญแบบทุ่มเทจนหมดตัวก็ไม่เสียดาย จนเกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและคนรอบข้าง

๙. อุเปกขา มีความสงบ ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว รัก โลภ โกรธ หลง อะไรมากระทบก็เฉย จนคิดว่าได้มรรคได้ผลแน่แล้ว ความจริงเป็นผลจากฌานสมาบัติเท่านั้น

๑๐. นิกันติ มีความปรารถนาอยากได้ใคร่ดีต่าง ๆ น้อยมาก รัก โลภ โกรธ หลง ปรากฏขึ้นเบาบางเหลือเกิน บางที ๓ เดือน ๖ เดือน จะโผล่หน้ามาสักนิดหนึ่ง แต่ถ้าเกิดสมาธิคลายตัวเมื่อไร ก็จะมาแบบฟ้าถล่มดินทลาย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องระมัดระวังไว้ให้ได้

ดังนั้น..พวกเราควรที่จะศึกษาวิปัสสนูปกิเลสไว้บ้าง เพื่อที่จะได้รู้ว่าอุปกิเลสนั้นมีอะไร เวลาไปพบเห็นด้วยตัวเองแล้ว ไปยึดมั่นถือมั่นว่าตอนนี้เราเป็นอย่างนั้น ตอนนี้เราเป็นอย่างนี้ ถ้าแค่ยึดมั่นถือมั่นก็ยังเสียหายผู้เดียว แต่ถ้าถึงขนาดเที่ยวพยากรณ์มรรคผลของตนเองและผู้อื่นก็จะเสียหายมาก ถ้าเป็นผู้ที่มีปัญญา ไม่เชื่อถือ ยังตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอยู่ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นผู้ที่มั่นใจว่าตนเองได้มรรคได้ผลแล้ว ไม่ปฏิบัติต่อ ก็เสียประโยชน์ของตนเอง

ฉะนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ปรากฏต่อบุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นเป็นปกติ จะช้าจะเร็วก็ต้องมาถึง และมีจุดอ่อนอยู่ตรงที่ว่า เราสัมผัสเอง เราพบเห็นเอง เราจึงน้อมใจเชื่อโดยไม่ฟังใคร อาจจะทำให้เราเสียประโยชน์ หลงทางไปไกลจากมรรคจากผล อาจจะเสียเวลาไปนาน กว่าจะย้อนกลับมาทางที่ถูกที่ตรง แล้วถ้าช่วงนั้นเกิดล่วงลับดับขันธ์ตายไปเสียก่อน ก็เข้าไม่ถึงมรรคผลที่ตัวเองต้องการ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-04-2014 เมื่อ 14:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 23-04-2014, 11:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,128 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จึงขอเตือนให้นักปฏิบัติทั้งหลาย ระมัดระวังในเรื่องของอุปกิเลสไว้ให้มาก เพราะว่านักปฏิบัติของเราพลาดพลั้งมาแล้วรายแล้วรายเล่า แม้กระทั่งพระภิกษุในสมัยพุทธกาลก็พลาดพลั้งมามากต่อมาก และในปัจจุบันนี้ก็มากต่อมากด้วยกัน ที่เข้าใจว่าตัวเองได้มรรคได้ผล

พวกเราเมื่อระมัดระวังตรงจุดนี้ แล้วจะทำอย่างไรจึงจะถูกต้อง ก็ให้วัดกับสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อ ไล่ตั้งแต่ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา เป็นต้นไป แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นส่วนที่ละเอียดมาก ถ้าปัญญาเราไม่ถึง ก็อาจจะคิดว่าเราไม่มีสังโยชน์ร้อยรัดอยู่ ให้พิจารณาง่าย ๆ แค่ว่า เราพยากรณ์มรรคผลของตนเองไปทำไม ? แปลว่าเรายังยึดมั่นถือมั่นในตนอยู่ใช่หรือไม่ ? เราจึงต้องการที่จะบอกที่จะอวดผู้อื่นเขา ถ้าเรายังยึดมั่นถือมั่นในตนเอง ต้องการที่จะบอกจะอวดคนอื่นเขา ก็แปลว่าเรายังมีกิเลสท่วมหัวอยู่ใช่หรือไม่ ? เรายังมีสักกายทิฐิอยู่เต็ม ๆ ใช่หรือไม่ ? ให้ค่อย ๆ เปรียบเทียบของเราไป

ถ้าปัญญาถึง ก็สามารถเอาตัวรอดได้ ถ้าปัญญาไม่ถึงก็ต้องหลงทางยาวไกล ต้องเวียนว่ายตายเกิด เป็นทุกข์เป็นโทษอีกนับชาติไม่ถ้วน จึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังให้จงหนัก

ลำดับต่อไป ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญานบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๗

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้า)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-04-2014 เมื่อ 11:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:48



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว