กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 14-03-2014, 09:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,685 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่ถนัดและสบายของตัว กำหนดสติของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าออกยาว ๆ สัก ๒-๓ ครั้ง เพื่อระบายลมหยาบออก หลังจากนั้นปล่อยให้ลมหายใจเป็นไปตามปกติ เราเพียงเอาความรู้สึกทั้งหมดจดจ่ออยู่กับลมหายใจของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๗ ระยะนี้เหตุการณ์บ้านเมืองค่อนข้างจะรุ่มร้อนและรุนแรง ดังนั้นหลักในการปฏิบัติของพวกเรา ก็คือต้องระมัดระวังสำรวมอินทรีย์ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราเอาไว้ ตามที่พระบาลีเรียกว่าอินทรียสังวร เพราะว่าตาของเรานั้น จะมีรูปเข้ามาเกาะเกี่ยวเกี่ยวข้องอยู่ หูก็มีเสียง จมูกก็มีกลิ่น ลิ้นก็มีรส กายก็มีกายสัมผัส ใจก็มีอารมณ์

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเรารับเข้ามาก็จะเกิดการปรุงแต่ง ซึ่งมีทั้งชอบใจหรือไม่ชอบใจ ความชอบใจเรียกว่าอิฏฐารมณ์ ความไม่ชอบใจเรียกอนิฏฐารมณ์ อิฏฐารมณ์คือความชอบใจนั้นเป็นส่วนของราคะ อนิฏฐารมณ์ความไม่ชอบใจเป็นส่วนของโทสะ ซึ่งจะเกาะกินใจเราให้เสียหายทั้งคู่

โดยเฉพาะช่วงนี้เรื่องของการปราศรัยของผู้ชุมนุมต่าง ๆ เป็นไปในทางยั่วยุให้พวกเราเกิดความเกลียดชังบุคคลอื่น ซึ่งบางทีพวกเราอาจจะไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นกันมาก่อน หรือว่าไม่เคยที่จะเกลียดชังเขามาก่อน แต่เมื่อโดนตอกย้ำไปมาก ๆ จิตใต้สำนึกซึ่งขาดสติ ก็จะเผลอรับเอาความคิดของคนอื่นเข้ามา ก็จะทำให้พวกเราเกิดความรักชอบเกลียดชังไปตามเพลง ซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่ก็ทำให้โกรธให้เกลียด หลักการทางจิตวิทยาทางทหารที่อาตมาศึกษามาก็คือ ทำให้อีกฝ่ายหมดความเป็นคนให้มากที่สุด เมื่อเราไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคน เพราะว่าเหยียดหยามย่ำยี ด้วยความคิด ด้วยคำพูด จนรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนแล้ว ทหารจะได้ฆ่าอีกฝ่ายได้โดยไม่รู้สึกผิด

เมื่อเป็นเช่นนั้น ทุกวันที่เรารับเอายาพิษเข้ามา โดยที่เราก็ขาดสติ รู้ไม่ทัน จนกลายเป็นเครื่องปรุงแต่งของรัก โลภ โกรธ หลง โดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าเรามีสติ มีสมาธิ มีปัญญาทรงตัว จากการประพฤติปฏิบัติของเรา ถึงเวลาตาเห็นรูป เราก็จะหยุดได้ทัน หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด เราก็จะหยุดได้ทัน สักแต่เห็นว่าเป็นรูป สักแต่เห็นว่าเป็นนาม ไม่เอาไปปรุงแต่งเพิ่มเติม ความชอบใจหรือไม่ชอบใจก็ไม่ปรากฏขึ้น ก็จะเป็นธรรมกลาง ๆ ที่เรียกว่าอัพยากตธรรม ไม่สร้างความร้อนขึ้นในใจของเรา ไม่สร้างความรักชอบเกลียดชังขึ้นในใจของเรา ไม่สร้างรัก โลภ โกรธ หลง ขึ้นในใจของเรา

ในเมื่อทุกอย่างสักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าสัมผัส สักแต่ว่ารับอารมณ์ จิตปราศจากการปรุงแต่ง เมื่อไปนาน ๆ เข้า ความบริสุทธิ์มีมากขึ้น ๆ ความหมดจดจากกิเลสก็จะปรากฏขึ้น ซึ่งนั่นก็คือเป้าหมายที่เราทุกคนต้องการ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-03-2014 เมื่อ 10:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 15-03-2014, 11:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,685 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อเราเห็นแล้วว่า สิ่งที่เป็นโทษทั้งหลายเกิดขึ้นจากอายตนะของเรา ก็คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเรานั่นเอง ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอินทรีย์ จักขุนทรีย์ ตาเป็นใหญ่ในการเห็น โสตินทรีย์ หูเป็นใหญ่ในการได้ยิน ฆานินทรีย์ จมูกเป็นใหญ่ในการได้กลิ่น ชิวหินทรีย์ ลิ้นเป็นใหญ่ในการได้รส กายินทรีย์ กายเป็นใหญ่ในการสัมผัส มนินทรีย์ ใจเป็นใหญ่ในการครุ่นคิด

เราจึงต้องปฏิบัติในข้อธรรม คือ อินทรียสังวร ให้เคยชินเข้าไว้ เมื่อเรามีความสำรวมเคยชินอยู่เป็นปกติ อันดับแรกก็คือสามารถกางกั้นระมัดระวัง ไม่ให้รัก โลภ โกรธ หลง มากินใจของเราได้ อันดับต่อไปก็พยายามสร้างสติ สมาธิ ปัญญา ของเราให้เข้มแข็งยิ่ง ๆ ขึ้น จนกระทั่งรู้เท่าทัน เห็นทุกข์เห็นโทษ ว่าถ้าหากเรารับเอารูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ เข้ามาแล้วไปปรุงแต่ง จะเกิดทุกข์เกิดโทษอย่างไร

เมื่อเห็นชัดเจนก็จะเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หมดความต้องการที่จะไปปรุงแต่งในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น จิตเราก็จะเบา ถอดถอนออกจากกองทุกข์กองกิเลสได้ ก็สามารถก้าวเข้าสู่พระนิพพานได้อย่างที่พวกเราทั้งหลายต้องการ

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2014 เมื่อ 13:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:55



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว