กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 25-04-2014, 11:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,159 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๗

ให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตน อย่าลืมว่าต้องตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า คือเอาความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ เป็นวันคล้ายวันสถาปนามหาจักรีบรมราชวงศ์ ซึ่งเมื่อ ๒๓๒ ปีที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้สถาปนาราชวงศ์จักรีขึ้น หรือเรียกง่าย ๆ ว่าตั้งกรุงเทพฯ ขึ้นมาเป็นเมืองหลวงแทนกรุงธนบุรี ประกอบไปด้วยองค์พระมหากษัตริย์สืบสันตติวงศ์มาถึงปัจจุบัน ๙ รัชกาลด้วยกัน ระยะเวลา ๒๓๒ ปี มีในหลวงสืบสันตติวงศ์มา ๙ รัชกาล

การสืบสันตติวงศ์ทั้ง ๙ รัชกาลนั้น ประกอบไปด้วยองค์บุรพมหากษัตริย์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในยุคนั้น ๆ มาโดยตลอด แต่ถ้าจะนับองค์บุรพมหากษัตริย์ที่มีผู้รู้จัก ครุ่นคิดถึง เอ่ยถึงติดปากทั้งในและนอกประเทศ คือรัชกาลที่ ๑ รัชกาลที่ ๕ ตลอดจนกระทั่งในหลวงองค์ปัจจุบัน ก็คือรัชกาลที่ ๙

เราทั้งหลายจะเห็นได้ว่าในหลวงรัชกาลที่ ๑ นั้น ต้องทำศึกสงครามรอบบ้านเกือบตลอดทั้งรัชกาล เหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง การตั้งกรุงเทพมหานครหรือกรุงรัตนโกสินทร์ของเราขึ้นมา ก็เกือบจะมาในลักษณะมือเปล่า เนื่องเพราะว่าทรัพย์สมบัติในท้องพระคลังแทบจะไม่หลงเหลือเลย ในสมัยกรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชถึงขนาดต้องไปยืมเงินเจ้าสัวเมืองจีน เพื่อเอามาสร้างบ้านแปลงเมือง จนกระทั่งกลายเป็นกรุงธนบุรีขึ้นมา

ในหลวงรัชกาลที่ ๑ จึงต้องประกอบไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก นอกจากต้องรบทัพจับศึกแล้ว ยังต้องสร้างพระนครใหม่ ทำนุบำรุงไพร่ฟ้าประชากร อุปถัมภ์ค้ำจุนพระพุทธศาสนา โดยที่แทบจะไม่มีงบประมาณแผ่นดินเลย พอมาถึงสมัยในหลวงรัชกาลที่ ๕ บ้านเมืองเราก็สูญเสียดินแดนให้แก่มหาอำนาจต่าง ๆ รอบบ้าน ไม่ว่าจะเป็นส่วนของเขมรัฐตุงคบุรี หรือที่เรียกว่ารัฐฉาน หรือไทยใหญ่ในปัจจุบัน ในส่วนของหัวพันทั้งห้าทั้งหก ในส่วนของฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ในส่วนของประเทศกัมพูชา ในส่วนของ ๔ รัฐที่ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งมาเลเซีย เป็นต้น ถูกบรรดามหาอำนาจบีบคั้นมารอบด้าน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2014 เมื่อ 17:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 29-04-2014, 09:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,159 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระองค์ท่านต้องต่อสู้ฟันฝ่าประคับประคองเพื่อรักษาประเทศสยามเอาไว้ให้เป็นเอกราช สร้างความเจริญด้วยการสร้างทางรถไฟ สร้างการไปรษณีย์ การโทรเลข สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่สร้างความยากลำบาก มีแต่ความทุกข์เป็นปกติ พระชนมายุของพระองค์ท่านจึงไม่ได้ยั่งยืนมากนัก ต้องเรียกว่าสิ้นพระชนม์เสียตั้งแต่ยังไม่ได้อยู่วัยชรา

มาถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙ องค์ปัจจุบันของเรา พระองค์ท่านยิ่งต้องเหน็ดเหนื่อยมากกว่าบุรพมหากษัตริย์ในอดีตมากนัก เนื่องจากว่าประชากรมากขึ้นหลายเท่า ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ของเรายังมีประชากรแค่สิบล้านกว่านิดหน่อย ในสมัยปัจจุบันมากกว่าเดิม ๖-๗ เท่า พระองค์ท่านต้องต่อสู้ฟันฝ่ากับความยากลำบากของชาวบ้าน พยายามที่จะให้ประชากรทุกคนอยู่ดีกินดี เหน็ดเหนื่อยมาตลอด ๖๐ กว่าปีที่ครองราชย์มา ปัจจุบันนี้ก็ทรงชราภาพมากแล้ว พระชนมายุ ๘๗ พรรษาแล้ว

เราจะเห็นว่าแม้แต่บุคคลที่เรียกได้ว่าเป็นเลิศ เป็นผู้นำ เป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในประเทศ ก็ยังประกอบไปด้วยความทุกข์ขนาดนี้ ตัวเราที่จะขึ้นชื่อว่าไม่ทุกข์นั้นไม่มี ถ้าตราบใดก็ตามที่เราเกิดมา เราก็จะต้องพบกับความทุกข์เช่นนี้เป็นปกติ ถ้าท่านทั้งหลายไม่ปรารถนาในการเกิดมาทุกข์เช่นนี้ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิบัติเพื่อที่จะตัด จะละ สละออกเสียซึ่งร่างกายและโลกนี้ เพื่อที่จะได้ก้าวพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ก็ต้องมาดำเนินตามศีล สมาธิ ปัญญาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้

เราต้องระมัดระวังรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ทำให้ศีลขาดด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นกระทำ สร้างเสริมสมาธิของเรา อย่างน้อยให้เป็นปฐมฌานที่คล่องตัว เพื่อที่จะมีกำลังในการช่วยตัดกิเลสได้ และท้ายที่สุดอย่างน้อยต้องมีปัญญาเห็นว่าเราจะต้องตายแน่นอน ขึ้นชื่อว่าถ้าตายแล้วเกิดมาทุกข์เช่นนี้เราไม่ต้องการอีก เพราะเราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน

ถ้าทุกท่านสามารถรักษาอารมณ์ใจนี้เอาไว้ได้ โอกาสในการที่จะก้าวพ้นจากกองทุกข์ของท่านก็จะสั้นลง หรือว่าหลุดพ้นไปเลย ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๗

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2014 เมื่อ 12:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:41



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว