กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 01-07-2014, 15:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,765 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๗

ให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายและถนัดของตนเอง ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า คือเอาความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ วันนี้ได้กล่าวถึงเรื่องราวสมัยเก่า ๆ หลายเรื่องด้วยกัน จึงอยากจะนำเอาแนวทางในการปฏิบัติของอาตมาเองในสมัยต้น ๆ มากล่าวไว้ในที่นี้ เผื่อว่าใครเห็นดีเห็นงาม อยากจะปฏิบัติตามแนวนั้นก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาค้นคว้าด้วยตนเอง

ในสมัยนั้นการเริ่มต้นปฏิบัติก็จะเป็นการกราบพระสวดมนต์เสียก่อน หลังจากนั้นก็สมาทานพระกรรมฐาน นึกทบทวนศีลของตนเองทุกสิกขาบท ถ้าหากว่ามีข้อใดขาดตกบกพร่องก็จะตั้งใจว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะมีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์ แล้วก็เริ่มภาวนาจับลมหายใจเข้าออก คำภาวนาก็ใช้ง่าย ๆ คือพุทโธ

โดยลมหายเข้าออก คืออานาปานสตินั้น เป็นพื้นฐานใหญ่ของกองกรรมฐานทั้งปวง ต้องบอกว่าเป็นแม่บทของกรรมฐาน ใครภาวนาโดยไม่จับลมหายใจ ชีวิตนี้อย่าหวังเลยว่าจะประสบความสำเร็จในด้านสมาธิภาวนา ส่วนที่ควบกับพุทธานุสติ เพราะว่าพระพุทธโฆสาจารย์ผู้รจนาวิสุทธิมรรค ท่านยืนยันเอาไว้ในตำราวิสุทธิมรรคว่า พุทธานุสติเป็นกองกรรมฐานที่ช่วยให้เข้าสู่พระนิพพานได้ง่ายที่สุด ซึ่งเมื่อปฏิบัติไปจนถึงระยะหลังอาตมาจึงเชื่ออย่างแท้จริง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2014 เมื่อ 17:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 01-07-2014, 15:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,765 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลังจากที่ภาวนาจนกระทั่งอารมณ์ใจเริ่มทรงตัว หรือว่าภาพพระชัดเจนแจ่มใส จิตใจนิ่งสงบแล้ว ไม่สามารถจะดำเนินต่อไปได้ เพราะสมาธินั้นเมื่อดำเนินไปถึงที่สุด ก็เหมือนกับเดินชนกำแพง จะเคลื่อนคล้อยถอยหลังมาเอง

ถ้าหากว่าช่วงนี้เราไม่หาสิ่งดี ๆ ให้คิด ให้ภาวนา ทางด้านกิเลสจะเอากำลังสมาธิไปฟุ้งซ่านทางด้าน รัก โลภ โกรธ หลง แทน ทำให้หลายต่อหลายคนคิดว่า “ยิ่งปฏิบัติ กิเลสยิ่งมาก” ความจริงกิเลสไม่ได้มากขึ้น กิเลสมีเท่าเดิม แต่กำลังดีขึ้นเพราะได้พื้นฐานสมาธิของเราไปช่วย

ดังนั้น...วิธีก็คือเมื่อจิตเริ่มคลายออกมา อาตมาจะใช้วิธีแผ่เมตตาไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพทุกภูมิ ทุกหมู่ทุกเหล่า ขอให้เขาทั้งหลายล่วงพ้นจากกองทุกข์ ขอให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นอยู่เย็นเป็นสุข ขอให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นอย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

เมื่อภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวเยือกเย็นแล้ว ถ้าหากว่าสมาธิทรงตัวตั้งมั่นกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ก็จะใช้กำลังนั้นในการพิจารณาร่างกายนี้ โดยพิจารณาในลักษณะของกายคตานุสติ ซึ่งเป็นกองกรรมฐานที่สำคัญสุดยอดอีกกองหนึ่ง เพราะว่าถ้าหวังบรรลุมรรคต้องอาศัยกายคตานุสติทุกคน ถ้าหากไม่ผ่านกรรมฐานกองนี้ ก็อย่าไปคาดหมายถึงเรื่องของมรรคผล เพราะว่าเรายังจะยึดตัวตนแน่นหนา สักกายทิฐิไม่สามารถจะตัดขาดลงได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2014 เมื่อ 17:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 02-07-2014, 09:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,765 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อพิจารณาร่างกายไป แยกออกเป็นชิ้นส่วนต่าง ๆ แล้ว บางทีก็รู้สึกว่ายังไม่ได้อย่างใจ ก็จะนำเอาธาตุ ๔ เข้ามาประกอบด้วย คือแยกส่วนที่เป็นดิน ส่วนที่เป็นน้ำ ส่วนที่เป็นลม ส่วนที่เป็นไฟขึ้นมา เมื่อแยกแล้วก็ประกอบกลับเข้าไปเป็นร่างกายใหม่ ประกอบกลับเข้าไปแล้วก็แยกออกมาอีก ทำอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนสภาพจิตยอมรับว่าร่างกายนี้ไม่มีแก่นสารจริง ๆ ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราจริง ๆ สักแต่ว่าเป็นรูป สักแต่ว่าเป็นธาตุ สักแต่ว่าเป็นเพียงธาตุ ๔ ที่ยืมจากโลกนี้มาใช้งานแค่ชั่วคราว

ในเมื่อร่างกายนี้ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้ เราก็ควรจะไปพระนิพพานดีกว่า ก็จะกลับมาน้อมนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงยืนยันว่า พระพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่อื่นใดเลยนอกจากพระนิพพาน การที่พระองค์ท่านเสด็จไปที่ต่าง ๆ ให้เราเห็นนั้น เป็นฉัพพรรณรังสีที่พระองค์ท่านเปล่งไปปรากฏเฉพาะหน้า เหมือนกับพระองค์ท่านเสด็จมาด้วยพระองค์เอง

ดังนั้น..อาตมาจึงสรุปความว่า เมื่อเราเห็นพระรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แปลว่าเราอยู่ใกล้กับพระองค์ท่าน การที่เราอยู่ใกล้กับพระองค์ท่านแปลว่าเราอยู่บนพระนิพพาน เมื่อกำลังใจจับมาถึงจุดนี้ อาตมาก็จะใช้วิธีย้อนกลับมาดูลมหายใจเข้าออกใหม่ ถ้าหากว่ายังมีลมหายใจอยู่ ก็จะตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออก ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ ก็จะตามดูตามรู้คำภาวนาทั้งหลายเหล่านั้นไป โดยที่ตั้งใจว่า ถ้าหากว่าเราหมดอายุขัยตายลงเมื่อไร ขอมาอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานนี้แห่งเดียว แล้วหลังจากนั้นก็ภาวนาและพิจารณาไปตามอัธยาศัยของตน

ซึ่งญาติโยมทั้งหลายสามารถน้อมนำไปเป็นหลักปฏิบัติได้ ถ้าทำจนเกิดความช่ำชองชำนาญแล้ว จะสามารถแตกแขนงไปสู่กองกรรมฐานอื่น ๆ ได้โดยไม่ยากเลย ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-07-2014 เมื่อ 10:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:36



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว