กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 23-06-2010, 14:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,120 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๓

ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดเฉพาะหน้า เวลาหายใจเข้ากำหนดรู้ตามเข้าไป เวลาหายใจออกกำหนดรู้ตามออกมา ใช้คำภาวนาตามอัธยาศัยของเราเอง ชอบคำภาวนาไหนก็ใช้ได้ทั้งนั้น

สำคัญที่สุดก็คือ ให้จดจ่ออยู่กับอารมณ์เฉพาะหน้าของเรา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อยู่กับปัจจุบันธรรม ถ้าหากเราสามารถทำได้ และกำลังใจทรงตัวมั่นคง ก็จะมีความสุขมาก

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๓ เป็นการปฏิบัติธรรมวันที่สองของเดือนมิถุนายน ในช่วงระยะที่ผ่านมา นอกจากสถานการณ์บ้านเมืองที่ไม่ปกติ ทำให้พวกเราต้องหวาดกลัว หวาดระแวงแล้ว ทางวัดยังได้พาญาติโยมเดินทางเข้าไปในป่า บริเวณที่เรียกว่าบึงลับแล ปรากฏว่าญาติโยมหลายท่านไม่เคยชินกับการปีนป่ายขึ้นเขา ทำให้เกิดเป็นลมไปหลายราย

ในส่วนที่จะอยากกล่าวถึงในที่นี้ก็คือว่า เมื่อเวลาญาติโยมทั้งหลายเป็นลมไปแล้วก็ดี หรือเมื่อเวลาเจอเหตุการณ์การกวาดล้างบรรดาผู้เรียกร้องประชาธิปไตยก็ดี เรามักจะหวั่นไหว เกิดความกลัวเกรงขึ้นมาเสียก่อน

ความจริงการหวาดกลัวเป็นธรรมดาของสัตว์โลก แต่ว่าเราในฐานะนักปฏิบัตินั้น เมื่อเกิดความกลัว ก็ต้องปฏิบัติไปจนกว่าความกลัวนั้นจะสูญสลายไป

ส่วนอีกอย่างก็คือว่า เมื่อเวลาร่างกายเราเหน็ดเหนื่อยมาก ๆ ถึงขนาดเป็นลมเป็นแล้งไป ส่วนใหญ่แล้วเราไม่สามารถที่จะเกาะความดีได้ เพราะมักจะไปพะวงอยู่กับอาการที่เกิดขึ้น มักจะไปพะวงอยู่กับร่างกายของเรา โดยลืมเอากำลังใจเกาะความดีหรือเกาะภาพพระเอาไว้

ถ้าอย่างนั้นถ้าท่านตายตอนนั้นไป ก็คงต้องแล้วแต่เวรแต่กรรมที่สร้างมาว่า กุศลคือความดีหรืออกุศลคือความไม่ดี อย่างไหนจะมีมากกว่ากัน?

ที่จะกล่าวถึงในที่นี้ก็คือว่า เมื่อเวลาเราเป็นลมไป หรือเหน็ดเหนื่อยมาก ๆ
๑. เราลืมการภาวนา
๒. เราลืมภาพพระ
๓. เราลืมลมหายใจเข้าออก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2010 เมื่อ 15:25
สมาชิก 52 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 23-06-2010, 23:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,120 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เพราะสภาพจิตมัวแต่ไปวิตกกังวลกับสภาพร่างกาย แสดงว่ากำลังใจของเราทั้งหลายนั้นยังใช้ไม่ได้ การจะทำกำลังใจให้ทรงตัวตั้งมั่นไม่หวั่นไหว แม้แต่ความตายที่มาอยู่ตรงหน้านั้น จะต้องเป็นบุคคลที่ผ่านการปฏิบัติมาในระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร หรือไม่ก็ต้องอาศัยบุคคลที่ร่างกายเข้มแข็งเพียงพอ จึงจะฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านี้ผ่านไปได้

ในเมื่อกำลังใจของเรายังเข้มแข็งไม่เพียงพอ ในส่วนที่จะพึงกระทำก็คือ การปฏิบัติสมาธิภาวนา อย่างที่เราทำอยู่ในปัจจุบันนี้ เมื่อกำลังของสมาธิภาวนาทรงตัวแล้ว สิ่งหนึ่งที่ควรกระทำนอกจากการพิจารณาวิปัสสนาญาณ ก็คือ ทำอย่างไรที่จะให้เราเคลื่อนที่ไปด้วยพิจารณาไปด้วย

ถ้าท่านสามารถที่จะเดินและภาวนาไปด้วยกัน หรือว่าแบกของหนัก ๆ เผื่อเพื่อนเผื่อฝูง แล้วภาวนาไปพร้อมกับการเดินได้ ก็จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก เพราะว่าส่วนใหญ่ เมื่อเกิดอาการเป็นลมก็ดี เหน็ดเหนื่อยมาก ๆ ก็ดี หรือต้องแบกของมาก ๆ ก็ดี กำลังใจเรามักจะไปนึกถึงแต่ตรงจุดนั้น โดยลืมภาพพระหรือลืมพระนิพพาน แม้กระทั่งลืมการภาวนาไปก็มี

การที่เราจะปฏิบัติกำลังใจให้มั่นคงระดับนั้นได้ อย่างต่ำสุดสมาธิของเราต้องได้ระดับปฐมฌานละเอียด และต้องเป็นปฐมฌานละเอียดแบบใช้งานด้วย ไม่ใช่เป็นปฐมฌานที่กล่าวไว้ในตำราทั่ว ๆ ไป

เนื่องเพราะว่า การที่เราจะปฏิบัติธรรมนั้น กำลังใจของเราถ้าหากว่ายังห่วงร่างกาย ยังกลัวความตายอยู่ ก็ยากที่จะเอาดีได้ เราจึงต้องมาเร่งในเรื่องของสมาธิภาวนา แล้วปรับสมาธิภาวนาให้เป็นสมาธิใช้งาน ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ การเดินจงกรม เป็นการเดินพร้อมกับทรงอารมณ์การภาวนาไปพร้อมกัน

ถ้าบุคคลที่ขาดความคล่องตัว ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ เนื่องจากพอกำลังใจเริ่มจับลมหายใจได้สามฐาน ก็มักจะก้าวขาไม่ออกแล้ว เพราะสมาธิทรงตัวแน่นมากขึ้น ร่างกายจะเคลื่อนไหวได้ยาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2010 เมื่อ 02:41
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 24-06-2010, 17:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,120 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การที่เราจะฝึกจะหัดในการทรงสมาธิในขณะที่งานอื่นไปด้วยนั้น อย่ารอแต่เพียงการเดินจงกรม ไม่ว่าจะทำการทำงานอะไรก็ตาม ให้เราเอาสติจดจ่ออยู่กับงานเฉพาะหน้า เรื่องอื่นรอบข้างไม่ต้องไปสนใจ จดจ่ออยู่เฉพาะภาพพระ อยู่เฉพาะลมหายใจเข้าออก หรืออยู่กับงานที่ตนเองทำอยู่

การที่เราจะซักซ้อมสมาธิให้ทรงตัวถึงระดับฌานใช้งานนั้น เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง เราต้องทรงฌานใช้งานได้เป็นปกติ นึกเมื่อไรก็ทรงอารมณ์ใจได้เมื่อนั้น ถ้าเป็นดังนี้เราจึงมีโอกาสที่จะพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง คือ มีโอกาสที่จะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้

การปฏิบัติของเรานั้น นอกจากจะปฏิบัติสมาธิแล้ว ยังต้องมีศีลเป็นหลัก ถ้าเรารักษาศีล ทบทวนศีลอยู่ทุกวัน จนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวแน่วแน่ ไม่ว่าจะขยับไปทางไหนก็รู้ว่าศีลจะขาดหรือไม่

ในส่วนของสมาธินั้น อย่างน้อยเราต้องได้ระดับปฐมฌานละเอียด เป็นการทรงปฐมฌานในแบบฌานใช้งาน เพื่อที่จะได้ประกอบหน้าที่ของเราไปพร้อม ๆ กับการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก และคำภาวนาด้วย

และท้ายสุด สิ่งที่ลืมไม่ได้คือ เราจำเป็นต้องพิจารณาให้เห็นว่า ร่างกายนี้มีความไม่เที่ยงอย่างไร มีความเป็นทุกข์อย่างไร ไม่สามารถยึดถือเป็นตัวตนเราเขาได้อย่างไร ถ้าสามารถพิจารณาอย่างนี้ แล้วถอนความอยากเกิด ถอนความปรารถนาในร่างกาย ถอนความยินดีในโลกนี้เสีย เราก็สามารถที่จะหลุดพ้นเข้าพระนิพพานได้

สำหรับตอนนี้ขอให้ทุกท่านตั้งใจ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนา หรือการพิจารณาตามแต่ความถนัดของแต่ละคน ให้รักษาอารมณ์ให้อยู่กับปัจจุบันเฉพาะหน้า จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญาณบอกหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันเสาร์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๓
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-06-2010 เมื่อ 02:32
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:59



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว