กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 24-09-2015, 16:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default โอวาทช่วงบวชเนกขัมมะ ๑๒-๑๔ กันยายน ๒๕๕๘

พระอาจารย์กล่าวว่า "สรุปว่าปฏิบัติธรรมวันนี้รื่นเริงกันมากเลยใช่ไหม ? อย่างนั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เอา ๑๐ ชั่วโมงเลยนะ เริ่ม ๘ โมงเช้าเลิก ๒ ทุ่ม ให้พักตอนเพลชั่วโมงหนึ่งกับตอน ๖ โมงเย็นชั่วโมงหนึ่ง ...(หัวเราะ)... เอาให้สิ้นชีวิตไปเลย

วันนี้วิ่งไปงานหล่อพระที่วัดตะเคียนงาม ถึงตอน ๘ โมง ๑๓ นาที เขายังตั้งโต๊ะบวงสรวงไม่เสร็จ กว่าจะได้บวงสรวงก็เกือบ ๘ โมงครึ่ง หลังจากนั้นพระผู้ใหญ่ก็มา ปรากฏว่าตอนช่วงเช้านอกจากบวงสรวงแล้วก็ไม่มีงาน เลยนั่งคุยกันกับหลวงตาวัชรชัย ปล่อยพระผู้ใหญ่ท่านสวดมนต์กันไป ฉันเพลเสร็จคราวนี้ก็งานเราบ้าง นั่งรับทองคำแข่งกัน แล้วก็หล่อพระ เขาอุตส่าห์เอาทองคำใส่เบ้าแรกเพื่อเทพระเกตุมาลาก่อน สรุปว่าไม่ได้แม้แต่นิดเดียว เทไม่ทันจะถึงครึ่งเบ้าก็เต็มแล้ว ทองคำลงไปอยู่ก้นเบ้า เทยังไม่ถึงนะสิ

ทองคำเป็นโลหะที่หนักกว่า ละลายเสร็จก็ไปอยู่ก้นเบ้า สรุปว่าน่าจะหลุดไปที่สายชนวนเกือบหมด เพราะว่าถ้าไปเทองค์ก็ลงไปสายชนวนก่อน เทเสร็จบ่ายโมง ๓๓ นาทีก็วิ่งกลับมานี่ เกือบจะหลุดเป็นชิ้น ๆ พรรคพวกเพื่อนฝูงท่านไปกันหลายคน ที่วัดเราจัดงานแล้วท่านมากันไม่ค่อยได้ เพราะว่า ๑๒ สิงหาคมส่วนใหญ่วัดต่าง ๆ เขาก็มีงาน ไม่เป็นไร..เดี๋ยวปีหน้าจะหล่อพระวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๓ จำได้ว่าอยู่ใกล้ ๆ กับวันมาฆบูชา น่าจะมาได้กัน

วันนี้มีอย่างหนึ่งที่โฆษกเขาบอก คือ อาจารย์เล็กโหดสุด ๆ จัดงานหล่อพระไม่มีเก้าอี้ให้โยมสักตัว แต่คนยืนกันแน่นไปหมด วัดเขาตั้งเก้าอี้ไว้ ๗-๘ เต็นท์ คนนั่งไม่ถึงครึ่ง สรุปว่าถ้าเอาเก้าอี้ออกคนคงจะเยอะขึ้น..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-09-2015 เมื่อ 19:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 25-09-2015, 18:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ใครไม่ได้บริจาคเลือดบ้าง ? เดี๋ยวพรุ่งนี้จะได้เรียกเขามาอีกรอบหนึ่ง..ต้องเอาให้ได้ อาตมาเคยกลัวเข็มขนาดเห็นแล้วเป็นลมเลย เกลียดสุด ๆ ไม่ใช่แค่กลัว เนื่องจากว่าตอนเด็ก ๆ ป่วยบ่อย แล้วหมอที่รักษาประจำคือหมอทหาร ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เขาจะฉีดยาชนิดที่ว่าแทงเข็มแล้วก็กดฉีดพรวดเดียวเสร็จเลย ก็จะบวมเป็นก้อน ปวดระบมแล้วก็เดินตูดปัดไปเป็นอาทิตย์ ๆ ร่างกายเลยตัดระบบเอง พอเห็นเข็มก็เป็นลมดีกว่า..!

จนกระทั่งไปเป็นทหาร คราวนี้ถ้าลูกผู้ชายชาติทหาร แต่เห็นเข็มแล้วเป็นลมนี่ก็ทุเรศสุด ๆ ฉะนั้น..ถึงเวลาเจาะเลือดก็เลยสั่งตัวเองว่า “อย่าเสือกเป็นลมนะมึง” พอเจาะเลือดเรียบร้อยเดินออกมาก็รีบนั่งก่อน กลัวเป็นลมจะเสียฟอร์ม เอ๊ะ...ไม่เป็นนี่หว่า ก็เลยรู้ว่าร่างกายของเราจริง ๆ แล้วตั้งระบบได้ เราจะตั้งระบบให้เป็นลมหรือไม่เป็นลมก็ได้ เหมือนอย่างกับตั้งสวิทช์ให้ไฟอ่อนไฟแก่ ถ้าตั้งอ่อนไปหน่อยก็เป็นลมง่าย ตั้งแก่หน่อยก็เป็นลมยาก แต่ว่ากว่าจะทำถึงขนาดนั้นได้อาตมาก็ฝึกกรรมฐานมาหลายปีแล้ว ฉะนั้น..ถ้าพวกเราตั้งสวิทช์ตัวเองได้ก็บริจาคเลือดได้ทุกคนแหละ

ครั้งแรกที่เห็นเพื่อนโดน เอ็ม. ๑๖ เต็มกบาล เลือดนองพื้นเลย คราวนี้เลือดมีพลาสมาก็คือน้ำเหลือง พลาสมาซึมลงดินหมดเหลือแต่เลือดนองอยู่ เหมือนอย่างกับเอาสีแดงที่ไม่ได้ผสมเทออกจากถังเป็นแกลลอน ๆ ทิ้งไว้บนพื้น นั่งมอง “เออ...จะว่าไปสีเลือดก็สวยนะ มีใครผสมสีนี้ได้บ้างวะ ?” ดันไปคิดบ้า ๆ ไม่เหมือนเขา แต่เพื่อนหลายคนพอเห็นเลือดก็เป็นลมไปเลย

อยู่ชายแดน ๑๓ เดือน แต่อยู่หน้าแนวแค่ ๕ เดือน ทั้งผู้บังคับบัญชา ทั้งเพื่อน ทั้งลูกน้องตายไป ๒๖ ศพ ใน ๕ เดือน ก็แปลว่าอยู่กับลูกปืนทุกวัน แต่อาตมาเป็นคนที่แปลกมาก ได้ยินเสียงปืนจะวิ่งสวนอย่างเดียวเลย ต้องคอยห้ามตัวเองไว้ ก็คือ
เพื่อนหลายคนจะกลัว แต่อาตมาไม่ได้กลัว ถึงเวลาปะทะกันทีไรอาตมาจะเก็บซองกระสุน พลั่วสนาม บางทีแม้กระทั่งลูกระเบิด หมวกเหล็ก กระติกน้ำได้บานเลย ของอื่นคืนให้เพื่อน แต่กระสุนปืนยึดหมด เอาไว้ใช้เอง ขี้เกียจทำเรื่องเบิก

ฉะนั้น...รบอยู่ปีกว่าเบิกกระสุนมา ๔๘๐ นัด ฝากคลัง ๒๔๐ นัด ติดตัว ๒๔๐ นัด ยิงปืนอยู่ปีกว่า เอากระสุนไปคืนคลัง ๒๔๓ นัด..! เก็บได้เยอะขนาดนั้น เหลือเชื่อจริง ๆ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-09-2015 เมื่อ 19:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 25-09-2015, 18:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ที่ได้กล่าวแล้วว่าร่างกายของเราตั้งระบบได้ ท่านที่จะลดความอ้วนก็ตั้งระบบร่างกายได้ เพียงแต่ว่าต้องฝืนให้ได้ประมาณ ๓-๔ วัน พอถึงหลังเที่ยงไปแล้วบอกกับร่างกายว่า “ไม่มีให้แล้ว จนกว่าจะพรุ่งนี้เช้า” บอกอย่างนั้นแหละ..ทุกวัน พอสัก ๓ วันติดกันร่างกายก็จะจำแล้วก็ตั้งระบบใหม่ หลังจากนั้นก็จะงดมื้อเย็นได้โดยอัตโนมัติ ก็จะช่วยให้หุ่นดีขึ้นได้

ปีนี้พระวัดท่าขนุนหลายรูปน้ำหนักลดเป็น ๑๐ กิโลกรัม มีบางรูปลดถึง ๒๐ กิโลกรัม แต่ขนาดลดแล้วก็ยังดูไม่ยุบเลย นี่แค่งดมื้อเย็นมื้อเดียวนะ แสดงว่าพวกเราปกติกินล้นกินเกินเป็นปกติ ห้ามปากตัวเองไม่ได้ โดยเฉพาะห้ามตัวเองไม่ให้กินของหวานไม่ได้ เวลากินของหวานสมองจะหลั่งสารเอนโดรฟินที่เป็นสารก่อความสุขให้ออกมา เราก็จะรู้สึกมีความสุขเหลือเกินที่ได้กิน จนกระทั่งเบาหวานรับประทานก็ยังมีความสุขอยู่นั่นแหละ..! เพราะฉะนั้น..สั่งไปเลย “ตั้งแต่นี้ต่อไป หลังเที่ยงเอ็งอด..!” อย่าไปฟังการประท้วงของร่างกาย จะปวดหัว ปวดท้อง เป็นไข้อะไรก็ช่างหัวมัน ๓ วันเท่านั้นแหละ

บางคนฝืนมาก ๆ นี่ท้องเสียเลย ถ่ายท้องเลยนะ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรจะกินนั่นแหละ..แต่ก็จะถ่าย ต้องดื้อสู้กันหน่อย ถ้าสู้การเรียกร้องของร่างกายตัวเองไม่ไหว อย่าฝันเลยว่าจะไปสู้กับกิเลสได้ เรามาปฏิบัติธรรม ๓-๔ วันเรารักษาศีล ๘ ได้ แล้วทำไมต่อจากนั้นแล้วเราถึงรักษาไม่ได้ ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-09-2015 เมื่อ 20:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 26-09-2015, 20:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้าอาตมาไข้จับจนหมดสภาพ ก็เลยไปนึกถึงเมื่อวานที่พวกเราบริจาคโลหิต จะได้รู้ว่ายังกลัวตายอยู่หรือเปล่า ?

นักปฏิบัติธรรมที่แท้จริงไม่กลัวตาย แต่ก็ไม่ได้แสวงหาความตาย เหตุที่ไม่กลัวตายเพราะมีสติรู้อยู่ว่าความตายเป็นของธรรมดา แค่เปลี่ยนรูปเปลี่ยนขันธ์ไปตามบุญตามกรรมที่ตนเองสร้างเอาไว้เท่านั้น ก็เลยไม่มีอะไรน่ากลัว คราวนี้ในส่วนของความเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าอาการหนัก ๆ ก็อาจจะถึงแก่ความตายได้ ดังนั้น..ความกลัวทุกอย่างมีพื้นฐานมาจากความกลัวตายทั้งนั้น

เวลาอาตมาป่วยมักจะเป็นเวลาที่ได้อะไรมาก คำว่าได้อะไรมากคือต้องตั้งสติระมัดระวัง ประคองร่างกายไม่ให้ล้ม ต้องใช้สติมากกว่าปกติ จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า สิ่งที่ปฏิบัติมานั้นพอใช้งานหรือเปล่า ?

พระพุทธเจ้าตรัสว่า การกิน การนอน การเสพกาม การเสวยอำนาจ ถ้าไม่ใช่บุคคลผู้เห็นภัยในวัฏสงสารจะไม่มีวันเบื่อหน่ายอย่างเด็ดขาด ไม่เชื่อวันนี้ลองกินจนจุกแล้วพรุ่งนี้ไม่กินดูสิ วันนี้อิ่มเหลือเกิน ไม่อยากกินอีกแล้ว ดูว่าพรุ่งนี้จะกินไหม ? วันนี้เบื่อเหลือเกินจับฉ่ายวัดท่าขนุน พอเจอหมูกระทะนี่โดดใส่เลย สรุปแล้วว่าเบื่อไม่จริง เบื่อเป็นอย่าง ๆ เท่านั้น

ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมเราต้องหวังผล ผลในที่นี้คือมรรคผล ตลอดจนกระทั่งพระนิพพาน ฉะนั้น..จึงไม่ใช่ของทำเล่น ๆ ถ้าใครคิดว่าจะลองปฏิบัติดูสักหน่อย อย่าเสียเวลาลองเลย ถ้าจะทำก็ทำจริง ๆ ไปเลย ถ้าถามว่าทำมาตั้งหลายสิบแล้วไม่เห็นได้เรื่องสักที ? อ๋อ...นั่นเราไม่ได้เรื่องเอง..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2015 เมื่อ 01:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 26-09-2015, 20:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เมื่อตอนต้นเดือน มีโยมวัยรุ่นท่านหนึ่งมาบ่นว่า “ผมท้อแล้ว” เพิ่งจะเริ่มเดินทางเท่านั้นบอกว่าท้อแล้ว ถ้าเป็นภาษิตจีนก็ต้องบอกว่า อาตมาข้ามสะพานมาระยะทางมากกว่าเขาเดินถนนเสียอีก นึกออกไหม ? ข้ามสะพานบ่อยจนกระทั่งระยะทางที่ข้ามสะพานได้มากกว่าที่เขาเดินถนนอีก ...(หัวเราะ)... หรือไม่ก็ไปเจอตาเฒ่าบางคนบอกว่า “ข้าพเจ้ารับประทานเกลือมามากกว่าท่านรับประทานข้าวเสียอีก” ไอ้นั่นโหดมาก อายุยืนขนาดนั้นเลย

พจนานุกรมของการปฏิบัติธรรมไม่มีคำว่าท้อ ปฏิบัติให้ห่าง ๆ ประเทศจีนก็ไม่ค่อยมีท้อแล้ว แถวบ้านเราก็อย่าไปภาคเหนือ เขามีเกมใบ้คำของเด็ก ๆ วาดรูปลูกท้อแล้วเขียนว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ให้ใบ้ว่าคำนี้คืออะไร ท้ายสุดเฉลยออกมาว่า "ท้อแท้" ก็ของแท้จึงต้อง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

ฉะนั้น...ห้ามท้อแท้เด็ดขาด เพราะว่ากิเลสไม่เคยรามือให้กับเรา มีแต่สับมีแต่ฟันอยู่ทุกนาที ทุกวินาที ถ้าเรามัวแต่ไปท้อแท้ ท้อ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็ตายอย่างเดียว ถ้าศัพท์ทหารเขาว่า “ไม่มีกำลังใจในการรุกรบแล้วจะชนะข้าศึกได้อย่างไร ?”

ถ้าหากว่าเราดูประวัติของหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์แต่ละท่าน จะเห็นว่าท่านปฏิบัติกันแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น มีครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งที่อาตมาชื่นชมมากก็คือ หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร เฉพาะท่องขานนาคเพื่อจะให้ได้บวชอยู่ ๘ เดือนเต็ม ๆ เพราะท่านไม่รู้หนังสือ ต้องไปให้คนอื่นช่วยอ่านให้ฟังแล้วจำเอาทีละประโยค จำจนท่องได้แน่ ๆ แล้วก็ไปขอประโยคใหม่ ถ้าเป็นภาษาโบราณใช้คำว่า "ต่อหนังสือ" ต่อเอาทีละประโยค ต้องอาศัยความเพียรขนาดไหน ? ของพวกเราถ้า ๒ วันไม่ได้ก็ท้อแล้ว ท้อแท้ หมดอารมณ์"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2015 เมื่อ 01:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 27-09-2015, 18:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พวกเราลองนึกถึงพระโสณโกฬิวิสเถระสิ ท่านเดินจงกรมจนเท้าแตก ของเรายกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ พอ “เมื่อยหนอ” ก็เลิกแล้วใช่ไหม ? หลวงปู่หลวงพ่อสายกรรมฐานสายวัดป่า เดินจงกรมกันจนทางเดินจงกรมลึกตั้งครึ่งแข้ง ถามว่าเป็นไปได้หรือ ? เป็นไปได้..ก็ท่านเดินไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี อาตมาเดินอยู่แค่สองเดือนกว่า ๆ ยังจมลงไปตั้งเกือบนิ้วเลย คือเวลาเราเดินไปเดินกลับ ดินน่าจะสึกติดเท้าไปเรื่อย แค่ ๑-๒ เดือนยังลึกเป็นนิ้วเลย แล้วตอนแรกว่า เอ..? ฝ่าเท้าเป็นอะไรคัน ๆ พอพลิกขึ้นมา อ้าว...เลือดซิบ ๆ ...(หัวเราะ)... แตกตามลายเท้าเลย เพิ่งเข้าใจว่าที่เดินจงกรมจนเท้าแตกเป็นอย่างนี้นี่เอง

แต่เท้า
ของอาตมาแตกเนื่องจากว่าไม่ได้ดูแลรักษา พระโบราณที่ท่านเดินจงกรมจนเท้าแตกนั้นท่านดูแลรักษาดี ถึงเวลาล้างสะอาดแล้วทาน้ำมัน ขนาดนั้นท่านยังเดินจนแตก แล้วถามดูว่าพวกเราเคยใช้ความเพียรระดับนั้นบ้างไหม ? นั่งกรรมฐานทีหนึ่ง ๓ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมงไหวไหม ? ๓-๕ ชั่วโมงนี่อาตมานั่งแข่งกับเขามาเยอะแล้วนะ แต่กำลังใจมีคุณภาพอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ที่เหลือนั่งด่า “โคตรพ่อโคตรแม่มันเมื่อไรจะเลิกสักทีวะ ไอ้ห่..นั่งอยู่นั่นแหละ เมื่อยจะตายห่..อยู่แล้ว..!” แต่ก็นั่งสู้เขาได้ คือนั่งได้..แต่ใจไม่ได้ภาวนาหรอก ด่าเขาไปเรื่อย

หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง ให้ลูกศิษย์ปฏิบัติธรรม ๗ วัน ๗ คืนส่งท้ายปีทุกครั้ง พอถึงเวลาระฆังดังเป๊ง โอ๊ย...ทุกคนรู้สึกเหมือนอย่างกับได้ขึ้นสวรรค์ รอดตายแล้ว กว่าจะผ่าน ๗ วัน ๗ คืน หลวงปู่ชาบอกว่า “ทุกคนปฏิบัติได้ดีมาก น่าชื่นชม เพราะฉะนั้น..ต่อกันอีก ๑ วันกับ ๑ คืน” ทุกคนรู้สึกว่าจากขึ้นสวรรค์นี่ลงนรกเดี๋ยวนั้นเลย..! นั่งไป ๑๐ นาที ๒๐ นาที ๓๐ นาที แต่ละคนล้วนแล้วแต่บ่นสารพัดอยู่ในใจ “ทำไมหลวงพ่อเป็นคนอย่างนี้ ? ทำไมพูดแล้วไม่มีสัจจะ บอกว่าจะเลิกแล้วไม่เลิกสักที” รู้สึกเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น

พอนั่งครบชั่วโมงระฆังดังอีกเป๊ง หลวงพ่อชาบอก “เอาเถอะ ๑ วัน ๑ คืนลืมไปเถอะ เลิกได้แล้ว” รู้สึกว่าขึ้นสวรรค์อีกรอบแล้ว ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? ครูบาอาจารย์ท่านลองใจดูหน่อยเดียวเท่านั้น กำลังใจลงล่างไปไกลลิบเลย เราเองเคยใช้ความเพียรนั่งกันขนาดนั้นไหม ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2015 เมื่อ 02:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 27-09-2015, 18:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"สมรรถภาพทุกอย่างของมนุษย์เราไม่มีใครใช้ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะสมอง สมองของเราไม่มีใครใช้ถึง ๓๐ เปอร์เซ็นต์เสียด้วยซ้ำไป ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เอาบ้างไหม ? เริ่มตั้งแต่ตอนนี้แล้วเลิก ๕ โมงเย็น นรกชัด ๆ...! รับรองได้ ถ้าถึง ๕ โมงเย็นทุกคนจะเชื่อว่านรกมีจริง จากที่ไม่เคยเชื่อมาก่อนเลย

อารมณ์ใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ทุกคนตั้งใจดู ไม่ใช่ไปปรุงแต่งตามไป อารมณ์ใจไม่ดีเกิดขึ้นมาก็ตามดูว่าจะคิดไปได้นานสักเท่าไร อารมณ์คิดชั่วขึ้นมาก็นั่งดูว่าจะชั่วไปได้นานสักเท่าไร ถ้าเราเอาสติไปตามดู ตามรู้ กำลังใจจะปรุงแต่งต่อไม่ได้ เหมือนอย่างกับโจรขโมยของ ถ้าตำรวจยืนจ้องอยู่ ขโมยก็ลักไม่ได้

วันก่อนเจอคลิปโจรโง่ ๆ เข้าร้านทองไป ชักปืนขึ้นมาทิ่มพรวดใส่หน้าตำรวจที่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ถ้าอยู่ห่าง ๆ ก็ได้ทองไปแล้ว ดันไปทิ่มปืนใส่หน้าตำรวจ ตำรวจจับหักข้อมือยึดปืนไปเรียบร้อย..เสร็จเลย เพราะฉะนั้น..เวลาตำรวจจ้องอยู่โจรก็ขโมยไม่ได้ ก็คือเอาสติตามดูตามรู้ไป

สิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นในใจ ถึงแม้ว่าจะไม่ดีก็เอามาส่งเสริมเราให้ดีได้ เหมือนอย่างกับขี้ ไม่มีใครต้องการ แต่ในเมื่อขี้ออกมาแล้วก็เอาไปทำปุ๋ยเสีย ฉะนั้น...ตามดูไปเรื่อย ดูว่าจะอาละวาดได้สักเท่าไร ดูว่าจะเดินไปอีกนานเท่าไร ยก...ย่าง...เหยียบ ค่อย ๆ ย่องอย่างกับคนป่วย เขาต้องการให้เราเอากำลังใจตามไป ถ้าใจเราอยู่กับการเดินก็ไม่ปรุงแต่งเป็น รัก โลภ โกรธ หลง ช่วงนั้นก็แปลว่ากำลังใจของเราอยู่กับความดี ในเมื่อไม่ปรุงแต่ง กรรมก็ไม่ปรากฏ ในเมื่อกรรมใหม่ไม่มีขึ้น กรรมเก่าได้รับการชดเชยไปเรื่อย..เดี๋ยวก็หมดไปเอง คราวนี้อยากเดินกันขึ้นมานิดหนึ่ง ตอนแรกไม่รู้ว่าเดินไปทำไม ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2015 เมื่อ 02:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 28-09-2015, 16:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ไม่ว่าจะการภาวนาหรือว่าการเดินจงกรมก็ตาม ถ้ากำลังใจของเราอยู่กับปัจจุบัน ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก อยู่ที่คำภาวนา อยู่ที่การเคลื่อนไปของเท้า ถ้าอย่างนั้นแปลว่ากำลังใจของเราใช้ได้ แต่ถ้าปากว่า "ซ้ายย่างหนอ" แต่ขาขวาไปแทน หรือไม่ซ้ายยังไม่ทันจะย่างก็ลงหนอไปแล้ว แสดงว่ากำลังใจกับร่างกายไปคนละทางกัน สติไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน

เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้วส่วนใหญ่พวกเราก็รู้ แต่ว่ากิเลสชวนให้ต่อต้าน เพราะกิเลสรู้ว่าถ้าเราทำต่อเดี๋ยวกิเลสจะตาย การปฏิบัติธรรมจะเกิด “ตบะ” คือความเพียรในการเผากิเลส โดนเผามาก ๆ กิเลสจะตาย จึงหลอกล่อเรา หลอกให้เราไม่อยากปฏิบัติ หลอกให้เราฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ นานา ท้ายสุดก็เสร็จเขา ยอมจมอยู่กับกองกิเลสต่อไป

การเกิดมาเป็นมนุษย์ถือว่าโชคดีที่สุดแล้ว เพราะมีศักยภาพที่จะล่วงพ้นจากกองทุกข์ได้ และพ้นได้ง่ายที่สุด คำว่าพ้นได้ง่ายที่สุดคือใช้ระยะเวลาสั้นที่สุด ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมอยู่กันเป็นกัป ๆ ฉะนั้น..เราเกิดมาแล้วโชคดีที่สุด แต่เสียอย่างเดียวว่ามนุษย์เราเป็นเขตกลาง ขึ้นบนก็ได้ ลงล่างก็ได้ จะอยู่บนก็ไม่บน ล่างก็ไม่ล่าง ถ้าอยู่ล่างสุดนี่อย่างไรก็ขึ้นบนอย่างเดียวใช่ไหม ? ในเมื่ออยู่ในเขตกลางเราก็ต้องเลือก เลือกทำสิ่งที่ดี ที่ถูก ที่ควร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2015 เมื่อ 17:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 28-09-2015, 16:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสมรรค ๘ คือ หนทางที่จะพาเราพ้นทุกข์ เริ่มด้วยสัมมาทิฐิ คือเห็นถูก เห็นชอบ เห็นตามทำนองคลองธรรม สัมมาสังกัปปะ คิดดี คิดถูก คิดชอบ เช่น คิดออกจากกาม คิดพ้นจากกองทุกข์ สัมมากัมมันตะ กระทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติในกาม ไม่ดื่มสุรา ไม่ติดยาเสพติด สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ ไม่ผิดทั้งกฎหมายบ้านเมืองและศีลธรรม สัมมาวายามะ เพียรได้ถูกต้อง เพียรถูกอย่างไร ? เพียรละกิเลสที่เกิดขึ้นในใจของเรา เพียรระมัดระวังอย่าให้กิเลสเกิดขึ้นอีก เพียรสร้างความดีขึ้นในใจของเรา และเพียรระมัดระวังรักษาความดีนั้นให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป

สัมมาสติ ท่านบอกว่าสติตั้งไว้ถูกต้อง ต้องตั้งไว้อย่างไร ? ก็ในสติปัฏฐานทั้ง ๔ ก็คือ เห็นกายในกายไม่ว่าจะเคลื่อนไหวด้วยอิริยาบถใหญ่ เดิน ยืน นั่ง นอน เอาให้ดี ๆ นะ ไม่ใช่ยืน เดิน นั่ง นอน กำลังเดินอยู่นี่นั่งไม่ได้หรอก ใครนั่งได้ก็เก่งมาก ฉะนั้น เดิน แล้วยืน แล้วนั่ง แล้วถึงนอน หรืออิริยาบถย่อย ไม่ว่าจะเหยียดแขน คู้แขน จะกินจะดื่มอะไรก็ตาม มีสติระลึกรู้อยู่ รู้ทันแล้วไม่ไปปรุงแต่งต่อ ไม่ใช่ว่าทำกับข้าวอะไรมารสชาติไม่เอาอ่าวเลย ไปปรุงอย่างนั้นกิเลสก็เจริญงอกงาม

เห็นเวทนาในเวทนา คือ ความสุขความทุกข์ที่เกิดขึ้นทั้งทางร่างกายและจิตใจ ร่างกายของเราทุกข์เป็นเรื่องปกติ เจ็บป่วย หนาวร้อน หิวกระหาย ปวดเมื่อย เป็นต้น ความทุกข์ในใจส่วนใหญ่เกิดจากการดิ้นรนของเราเอง อยากได้อย่างนั้น อยากได้อย่างนี้ ไม่อยากได้อย่างนั้น ไม่อยากได้อย่างนี้ เป็นกิเลสทั้งหมด อยากได้เป็นกิเลส แล้วไม่อยากได้ทำไมถึงเป็นกิเลส ? เช่น ไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย ไม่อยากแต่เป็นกิเลสเพราะอยากที่จะไม่เป็นอย่างนั้น ไม่อยากแก่คืออยากที่จะไม่แก่ ไม่อยากป่วยคืออยากที่จะไม่ป่วย ไม่อยากตายคืออยากที่จะไม่ตาย ก็คืออยากนั้นแหละ ท่านถึงได้เรียกว่า วิภวตัณหา คืออยากอยู่ในสภาพที่กลับข้างกัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2015 เมื่อ 17:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 28-09-2015, 16:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เห็นจิตในจิต สภาพจิตของเราตอนนี้เป็นอย่างไร ? มีรัก มีโลภ มีโกรธ มีหลงอย่างไรเกิดขึ้น ตามดูตามรู้แล้วอย่าปรุงแต่งต่อ คำว่าปรุงแต่งที่เรียกว่า จิตสังขาร ก็คือไปคิดเพิ่มเติม (หยิบเครื่องบันทึกเสียงขึ้นมา) อันนี้เป็นเครื่องบันทึกเสียง ถ้าสักแต่ว่าเห็นก็เป็นเครื่องบันทึกเสียง แต่ถ้าไปคิดต่อว่า เดี๋ยวไปอัดเสียงเจสซี่ เจ มา covers เพลงแข่งกันดีกว่า นี่เริ่มโลภแล้ว..ใช่ไหม ?

ไอ้เจ้านั่นทำให้เราไม่ชอบขี้หน้า เดี๋ยวโทรศัพท์หลอกให้หาเรื่องให้ด่ามา แล้วเราอัดเสียงเอาไว้ ไปแจ้งความว่าหมิ่นประมาท
ดีกว่า การคิดเบียดเบียนเขาเป็นส่วนของความโกรธ โทสะก็มาแล้ว สาวคนนั้นเสียงเพราะมากเลย เดี๋ยวชวนคุยแล้วแอบอัดเสียงไว้ดีกว่า เดี๋ยวคืนนี้ได้นอนฟังมีความสุข อันนี้เป็นราคะอีกแล้ว เครื่องมืออะไรก็ตาม..ชิ้นเดียว ถ้าเราคิดเมื่อไร ปรุงแต่งเมื่อไร จะเป็นราคะ โทสะ โมหะทันที คิดได้ทุกเรื่อง ทำอย่างไรที่เราหยุดให้ทัน

ส่วนในเรื่องของธรรมในธรรม ก็คือ บรรดาสภาวธรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในใจของเรา อย่างหยาบ ๆ ที่สุดก็คือนิวรณ์ ๕ อย่าง กามฉันทะ ความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ อย่าให้เกิดขึ้นขณะปฏิบัติธรรม ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะถอยหลังเพราะกิเลสนำหน้าแล้ว พยาบาท อาฆาต โกรธ เกลียดคนอื่นเขา อย่าให้มีเกิดขึ้น ง่วงเหงาหาวนอน ชวนให้ขี้เกียจปฏิบัติอย่าให้มีเกิดขึ้น ลังเลสงสัยในคุณพระรัตนตรัย ว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ดีจริงหรือเปล่า ? สิ่งที่เราปฏิบัตินี้จะมีผลจริงไหม ? อย่าให้มีเกิดขึ้น

ท้ายที่สุด ก็คือ ความหงุดหงิดฟุ้งซ่านรำคาญใจ เดินอยู่ที่นี่แท้ ๆ ไปนึกถึงบ้าน ไปนึกถึงร้านค้าว่าวันนี้ไม่ได้เปิดร้าน ต้องรีบกลับไปเปิด วันนี้หยุดมาปฏิบัติธรรมเสียรายได้ไปเยอะเลย ถูกกิเลสลากให้ปรุงแต่งไปเรื่อย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2015 เมื่อ 17:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 29-09-2015, 19:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"สภาพจิตของเราเหมือนอย่างกับดวงแก้วใส ๆ ถึงเวลาโดนกิเลสพอกลงไป..ชั้นแล้วชั้นเล่าก็ดำปี๋ ไม่สามารถที่จะรู้เห็นอะไรได้ ต้องค่อย ๆ ขูด ค่อย ๆ ขัด ค่อย ๆ เกลากัน พวกเราถึงต้องมาปฏิบัติธรรม เพราะถ้าไม่จัดปฏิบัติธรรมก็ไม่ค่อยมีเวลาที่จะมากัน พอจัดปฏิบัติธรรมมีโครงการ ๓ วันมาสักที ๔ วันมาสักทีหนึ่ง ๕ วันมาสักทีหนึ่ง ยังไม่พอกิน..แต่ดีกว่าไม่ทำเสียเลย

บางคนก็ทำมาหลายปีเหลือเกินแล้ว แต่ไม่เห็นผลอะไรเลย แน่ใจนะว่าคิดถูกแล้ว ? ย้อนกลับไปตอนที่ รัก โลภ โกรธ หลง เต็มตัวสิ ใครมาใกล้โดนงับหัวขาดหูแหว่งไปตาม ๆ กัน ปัจจุบันนี้เราละอาการแบบนั้นได้แล้ว..ใช่ไหม ? แม้ว่าอกจะแตก อยากจะงับ ก็อุตส่าห์ห้ามปากได้ เอาตะกร้อใส่ปากตัวเองไว้ได้ ก่อนหน้านี้ไม่มีศีลเลยสักข้อหนึ่ง เดี๋ยวนี้รักษาได้แล้ว บางคนรักษาได้อย่างแน่นอน ๑ ข้อบ้าง ๒ ข้อบ้าง ๓ ข้อบ้าง ๔ ข้อบ้าง ๕ ข้อบ้าง บางคนได้ถึง ๘ ข้อ นี่คือความก้าวหน้า

เพราะฉะนั้น...มองให้ถูก การปฏิบัติทุกอย่างมีความก้าวหน้าเสมอ ต่อให้ไม่ก้าวหน้าอะไรเลย ในหนึ่งชั่วลมหายใจเข้าออกที่เราอยู่กับการภาวนา กิเลสก็กินเราไม่ได้ เราตั้งใจจะเดินทางไกล โน่น...ไปให้ถึงยุโรปอเมริกา เพิ่งเดินไม่กี่ก้าวย่อมมองไม่เห็นหรอก แต่ถ้ามองย้อนหลังไปจะเห็นว่าเราก้าวเดินออกมาแล้ว หนึ่งชั่วลมหายใจถ้ารักษาไว้ได้โดยไม่คิดฟุ้งซ่านอะไร ก็คือก้าวหนึ่งที่เราเข้าใกล้พระนิพพาน หนึ่งชั่วการภาวนาพุทโธ ก็คือก้าวเข้าใกล้พระนิพพานไปก้าวหนึ่ง

ฉะนั้น...เรามีความก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลาแต่เรามองไม่เห็น หรือมองไกลเกินไป มองใกล้ ๆ ดูบ้าง จากคนที่ให้ทานไม่เป็น เราสามารถให้ทานได้ทุกเวลา จากคนที่มีศีลไม่ครบ ๕ ข้อ ตอนนี้มีครบแถมไปถึงศีล ๘ หรือกรรมบถ ๑๐ ก็มี จากคนที่นั่งภาวนา ๓ นาทีก็จะผูกคอตายแล้ว เดี๋ยวนี้ ๓๐ นาทีนับเป็นเรื่องง่ายของเรา แสดงว่ามีความก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา ก็แปลว่าเราก้าวเข้าใกล้จุดหมายปลายทางของเราไปเรื่อย เพียงแต่เราไม่รู้ตัว เพราะระยะทางไกลมาก เดินไปยังไม่เห็นเป้าหมายสักที ก็คิดว่ายังไม่ไปไหน บางคนไปตั้งครึ่งค่อนทางแล้ว ฉะนั้น..จงพยายามกันต่อไป"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2015 เมื่อ 01:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 29-09-2015, 20:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เรื่องของการปฏิบัติธรรมไม่ใช่แค่ทำทั้งชีวิต แต่ทำกันทั้งชาติและหลาย ๆ ชาติอีกด้วย แต่ละชาติที่ผ่านมาเราต้องเคยปฏิบัติธรรมมาแล้วทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นจะไม่มีเหตุมีปัจจัยส่งผลให้เราอยากปฏิบัติธรรมในปัจจุบันอย่างนี้

เมื่อเป็นเช่นนั้นก็แปลว่าเราก้าวใกล้ความดีไปอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย จึงต้องทุ่มเทอยู่กับ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากกว่านี้ เลิกจากการปฏิบัติแล้วอย่าทิ้ง ให้ประคับประคองรักษาอารมณ์ของเราเอาไว้ อยู่กับการภาวนาของเราไปเรื่อย ก็แปลว่าถ้าเรามัวแต่ไปนั่งคุยกันก็เสียเวลา มัวแต่ไปนั่งส่งไลน์ก็เสียเวลา ทำอย่างไรแค่ชั่วเวลาการปฏิบัติของเราสั้น ๆ แค่ไม่กี่วันนี้ เราจะอยู่กับความดีของเราให้เต็มที่บ้าง ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2015 เมื่อ 01:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 54 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 30-09-2015, 16:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติที่แท้จริง ไม่ว่าอยู่ในอารมณ์ไหนต้องรักษากำลังใจเอาไว้ได้ โดยเฉพาะตอนชนกับเหตุการณ์จริง ๆ ทะเลาะกับเขาทำอย่างไรที่เราจะมีสติ การทะเลาะอย่างมีสตินี่สนุกมาก ปั่นหัวชาวบ้านเล่นได้ แต่อย่าไปทำนะ ก็เราไม่ได้โกรธจริง ๆ ในเมื่อไม่ได้โกรธจริง ๆ ก็แหย่เขาเล่นไปเรื่อย

ถ้าในช่วงระหว่างวัน รัก โลภ โกรธ หลง ขึ้นมารู้สึกตัวแล้วรีบไล่ออกไปให้ทัน ก็แปลว่าการปฏิบัติของเราได้ผล แต่ถ้าไม่ทันก็จะโดนกิเลสลากไปไกลหลายกิโล ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้นก็จะทำให้เราต้องขุ่นมัวไปเป็นวัน ๆ บางคนปฏิบัติมาอย่างดี ๑ อาทิตย์ ๒ อาทิตย์รักษากำลังใจได้ พอพังโครมเดียว คราวนี้กว่าจะเอาคืนได้เป็นเดือนเลย..! พวกนี้เราต้องระมัดระวัง แล้วก็รู้จักประคับประคองรักษาอารมณ์ใจของเราเองด้วย

จำไว้ว่าสภาพจิตที่ผ่องใสนั้นเป็นสิ่งที่หาค่ามิได้ ไม่ได้แปลว่าไม่มีค่า แต่มีค่าเกินกว่าที่จะประมาณได้ ทำอย่างไรที่เราจะรักษาสภาพจิตของเราให้ผ่องใสอยู่ได้ตลอดเวลา ถ้าทำได้จะมีสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต ถ้าหากว่าทำไม่ได้ สภาพจิตที่ไม่ดีก็ดึงดูดสิ่งที่ไม่ดีเข้ามา ถ้าหากจะดูตัวอย่างก็ดูตัวอย่างหลวงปู่หลวงพ่อท่านที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีญาติโยมแห่กันไปหาเป็นหมื่นเป็นแสน แล้วขณะเดียวกันบรรดาเจ้าพ่อต่าง ๆ ก็มีแต่บรรดามือปืนหรือไม่ก็พวกจำหน่ายยาเสพติดล้อมรอบอยู่เหมือนกัน นั่นคือสิ่งที่ดีดึงดูดในสิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีก็ดึงดูดในสิ่งที่ไม่ดี

พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสไว้ว่า มโนปุพพังคมา ธัมมา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนแล้วแต่มีใจเป็นผู้นำ มโนเสฏฐา สูงสุดก็ที่ใจ มโนมยา สำเร็จก็ที่ใจ ดังนั้น..เราต้องระมัดระวังรักษากำลังใจของเราให้ดีที่สุด ถามว่ารักษาแบบไหน ? ท่านบอกว่าต้องเหมือนกับแม่ลูกอ่อนที่มีลูกคนเดียว ต้องรักษา ต้องห่วง ต้องเฝ้าระวังสุดใจขาดดิ้นแบบไหน ก็รักษากำลังใจของเราแบบนั้น เหมือนอย่างกับคนที่ตาบอดไปข้างหนึ่ง ต้องระมัดระวังรักษาตาข้างที่ดีอยู่อย่างไร ก็ให้รักษากำลังใจแบบนั้น

ถ้าเราสามารถทำอย่างนี้ การปฏิบัติธรรมของเราจะก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ เพราะสามารถรักษากำลังใจให้ต่อเนื่องอยู่ในความดีได้ แต่ด้วยเหตุที่ว่าเราเป็นปุถุชน ซึ่งแปลง่าย ๆ ว่าคนที่ยังหนาไปด้วยกิเลส ก็ต้องมี รัก โลภ โกรธ หลง บ้างเป็นปกติ แต่ว่าทันทีที่รู้ตัว ให้รีบขับไล่อารมณ์เสียเหล่านั้นออกไป รักษาอารมณ์ที่ดี ๆ ของเราเอาไว้ อย่าให้เสียชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติธรรม"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2015 เมื่อ 16:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 30-09-2015, 16:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครที่ถ่ายชุดขาวลงเฟซบุ๊กลงไลน์ไปแล้ว โปรดทราบว่านั่นท่านกำลังทำให้ตัวเองเดือดร้อน ต่อไปแสดงอะไรที่ไม่ค่อยดีไม่ค่อยงามออกมาแม้แต่นิดเดียว จะโดนใส่เละอยู่ตรงนั้นแหละ ว่านี่นะหรือคนปฏิบัติธรรม ? รีบไปลบทิ้งเสีย ...(หัวเราะ)... คิดถูกหรือเปล่านะ..ที่อุตส่าห์ไปลง ?

ไม่เป็นไรหรอก เท่ากับบังคับตัวเราให้ทำความดี แบบเดียวกับพวกเรารักษาศีล ๘ แม่ชีโกนหัวก็รักษาศีล ๘ แต่แม่ชีโกนหัวมีสภาพของเครื่องแบบการแต่งตัว บังคับตัวเองว่าต้องทำในสิ่งที่ดี ๆ เท่านั้น ไม่อย่างนั้นแล้วจะเป็นที่ตำหนิติเตียนของคนรอบข้าง ในขณะเดียวถ้าเรารักษาศีล ๘ ขึ้นรถเมล์เดินเบียดกับผู้ชายก็ไม่มีใครว่าอะไร เดินเข้าร้านอาหารตอนเย็น ๆ ก็ไม่มีใครว่าอะไร ต่อให้ไม่เข้าไปกินหรือว่าเข้าไปนั่งกินเขาก็ว่าไม่ได้ แต่แม่ชีหรือพระทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเครื่องแบบบังคับอยู่ ฉะนั้น..ในส่วนนี้เท่ากับว่าของเราบังคับตัวเราเองด้วยการอัพรูปขึ้นเฟซบุ๊กไปแล้ว ทั่วโลกรับรู้กันหมดแล้ว ดีไม่ดีก็โมทนาสาธุไปแล้วด้วย เฮงไปเลย

เดี๋ยวจะเหมือนกับท่านอาจารย์วันชาติ วัดป่าพระพุทธบาทเขาน้อย ปรารภว่าอาจารย์เล็กช่วยอาจารย์โนรีสร้างสมเด็จองค์ปฐมหน้าตักตั้ง ๔๐ ศอก ถ้าข้าทำต้องใหญ่กว่านั้น เอาสัก ๕๐ ศอกเลย ท่านบอกว่าแค่นึกเสร็จเสียงสาธุดังสนั่นหวั่นไหวไปหมด หันไปดู..พรหมเทวดาสาธุไปเรียบร้อยแล้ว ซวยเลย...ต้องทำ แล้วที่ซวยกว่านั้นก็คืออาตมาเอง เพราะต้องจ่ายสตางค์ พรรคพวกเพื่อนฝูงหาเรื่องทำงาน ไอ้คนโดนจ่ายสตางค์นั่งอยู่ตรงนี้

ฉะนั้น..ในส่วนนี้ถ้าพวกเราจะบังคับตนเองด้วยรูปแบบ ถึงเวลาเราก็ใช้เครื่องแบบสีขาว แต่ว่าจริง ๆ แล้วการปฏิบัติธรรมนั้นสำคัญอยู่ที่ใจ ถ้าใจงดเว้นไม่ได้ต่อให้ใส่ขาวทั้งชุดไปก็เท่านั้นแหละ ใส่ขาวทั้งชุดแถมไวท์เทนนิ่ง ย้อมผมขาวอีกต่างหากก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก ใจเราต้องละจริง ๆ ถ้าหากว่าละได้ วางได้ ค่อย ๆ ละกิเลสไป ความสุขในชีวิตจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าเป็นคนที่มีเรื่องน้อยลง จากที่เคยบ่นจนผัวหนีออกจากบ้านก็เลิกบ่น คราวนี้ผัวยิ่งหนีไกลใหญ่เลย ถามว่าทำไม ? “ไม่รู้ว่าเมียจะมาไม้ไหน อยู่ ๆ ก็เงียบไปเฉย ๆ” ซวยหนักเข้าไปอีก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 01-10-2015 เมื่อ 09:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 30-09-2015, 16:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เรื่องพวกนี้พอเราปฏิบัติไปแล้ว ก็ต้องเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันของเราให้ได้ ถ้าเรามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีอย่างเห็นได้ชัด กาย วาจา ใจ ของเราปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะมีสติ มีปัญญาจากการปฏิบัติธรรม ต่อไปเราชักชวนใครให้มาปฏิบัติธรรมก็ง่าย แต่ถ้าตัวเราเองยังทำไม่ได้ อาจจะสร้างกรรมหนักให้กับคนอื่นอีกด้วย เพราะเขาจะใช้คำว่า “นี่นะหรือคนปฏิบัติธรรม ?” ซึ่งเป็นการปรามาส ทำให้ตัวเขาเองเกิดโทษอีกด้วย

ฉะนั้น...เราเป็นนักปฏิบัติแล้ว อย่าเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจเลย พยายามสร้างกรรมให้น้อยที่สุด กรรมใหม่เราไม่ทำ กรรมเก่าเราพยายามชดใช้ เดี๋ยวหมดไปก็หลุดพ้นจากกองทุกข์ไปเอง

สำหรับพวกเราที่รักษาศีล ๘ ได้ ท่านใดที่จะประคับประคองรักษาศีล ๘ ต่อไปก็ขอโมทนาด้วย ท่านใดที่ไม่ได้รักษาศีล ๘ ตั้งใจจะรักษาแค่ศีล ๕ เรารู้อยู่แล้วว่าศีล ๕ มีอะไรบ้าง ก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติรักษาไป ไม่ต้องเสียเวลาไปขอศีลจากพระใหม่"



พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
โอวาทช่วงบวชเนกขัมมะทำบุญถวายหลวงปู่สาย รุ่น ๕/๒๕๕๘
วันที่ ๑๒-๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๘

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-10-2015 เมื่อ 15:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:46



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว