กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #61  
เก่า 16-06-2012, 13:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,634
ได้ให้อนุโมทนา: 151,878
ได้รับอนุโมทนา 4,415,021 ครั้ง ใน 34,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ทองผาภูมิช่วงที่ทำไม้หนัก ๆ ป่าไม้จับไม่ได้เลย รถไม้วิ่งมาซึ่ง ๆ หน้า ปรากฏว่ามีตำรวจนั่งคุมมา มีใบจับกุมมาเสร็จสรรพ บอกว่ากำลังนำผู้ต้องหาและของกลางไปส่งโรงพัก ป่าไม้จะไปทำอะไรได้ ก็ต้องปล่อยตำรวจคุมตัวไป แต่พอพ้นด่านไปแล้วไม่รู้ว่าหายไปทางไหน พอตามไปที่โรงพัก เงาคนก็ไม่มี ไม้ก็ไม่ได้เห็น เป็นอย่างนั้นทุกครั้ง

ท้ายที่สุดพระเจ้าก็ไม่เข้าข้าง บุคคลในตำนานอย่างผู้พันฯ เกิดหัวใจวายตาย จ่าชูรถคว่ำตาย คาดว่าตอนวาระหมดบุญนี่เขาเอาคืน ตอนที่บุญยังคุ้มอยู่ปล่อยไปก่อน เขาว่า ๒ - ๓ รายนี้เดินผ่านป่าไหนไม้ก็เฉาเป็นทาง เพราะกลัวโดนตัด รังสีอำมหิตขนาดนั้น ถามว่าผู้พันฯ ดังแค่ไหน ? ดังขนาดภรรยาขับรถปาดชาวบ้านให้จอด แล้วเรียกสามีมาจับ เพราะบังอาจมาขับรถแซงแก ตอนนี้ไม่มีสามีคอยช่วยภรรยาเลยซ่าไม่ออก

จริง ๆ แล้วชุดของจ่าชูที่ตาย ชาวบ้านเขาเชื่อกันว่าเพราะไปขุดพระท่ากระดาน ทางทองผาภูมิเขาฮิตพระท่ากระดาน องค์หนึ่งราคาเป็นแสน ๆ คราวนี้คณะของจ่าชู ๕ คน มีตำรวจ ๓ ฆราวาส ๒ ไปได้พระท่ากระดานจากในถ้ำ น่าจะได้มาหลายองค์อยู่ พอได้มาก็เกิดอุบัติเหตุตายทีละคนสองคน คนสุดท้ายคือ จ่าชู

พอสามีตายแล้วเมียก็ขวัญหนีดีฝ่อ ไม่รู้เขาไปได้ข่าวจากไหน เอาพระกระดานวิ่งไปหาพระอาจารย์เล็กที่เกาะพระฤๅษี ถามว่าจะทำอย่างไรดี ? จะเอาพระไปคืนก็เสียดาย เพราะมีคนมาขอบูชา ๖ หมื่น สามีก็ตายแล้ว ลูกเรียนหนังสืออยู่มัธยม อยากได้เงินมาส่งลูกเรียนหนังสือ

อาตมาเลยบอกว่าโยมไปที่ร้านสังฆทาน บูชาพระทองเหลืองหน้าตัก ๕ นิ้วมา ๑ องค์ ตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ เอาไปถวายวัดไหนก็ได้ แล้วก็แลกเอาพระท่ากระดานมา เพราะเรื่องของพระเขาไม่ได้ดูที่มูลค่าที่คนนิยมกัน แต่ดูว่าสิ่งที่เราทำไปนั้นพอที่จะชำระทดแทนกันได้หรือเปล่า พระเครื่ององค์แค่ ๒ นิ้วมือ เราสร้างพระหน้าตัก ๕ นิ้วคืนไป ๑ องค์ก็คุ้มแล้ว ด้วยความกลัวเขาก็ฝากพระเอาไว้ รุ่งขึ้นรีบเอาพระพุทธรูปมาแลกไป ถ้าคืนนั้นอาตมาเป็นลมตายจะดังกว่านี้อีกเยอะ..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-06-2012 เมื่อ 19:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #62  
เก่า 16-06-2012, 19:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,634
ได้ให้อนุโมทนา: 151,878
ได้รับอนุโมทนา 4,415,021 ครั้ง ใน 34,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดไปกรีดหิน แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะพ้นคนนินทา

พระพุทธชินราชท่านนั่งอยู่เฉย ๆ เขายังติท่านเลย ใคร ๆ ก็ว่าพระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปที่สวยที่สุดในประเทศไทย ลูกคุณช่างติก็ไปมองซ้ายมองขวา มองแล้วมองอีก ในที่สุดก็ยอมรับว่า "สวยดีหรอก เสียอย่างเดียวพูดไม่ได้..!" หาที่ติจนได้ คนประเภทนี้ต้องให้เป็นใบ้สักชาติหนึ่งจะได้เข็ด..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-06-2012 เมื่อ 19:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #63  
เก่า 16-06-2012, 19:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,634
ได้ให้อนุโมทนา: 151,878
ได้รับอนุโมทนา 4,415,021 ครั้ง ใน 34,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"มีใครรู้บ้างว่าพระนอนจักรสีห์ที่อ่างทองมีความยาวเท่าไร ไปหาข้อมูลให้ที อาตมาไปเจอตำนานมา เขาบอกว่าคนที่สร้างพระนอนจักรสีห์ใช้ทองคำเป็นแกนในการสร้างพระ ทองคำโตประมาณ ๑ กำ ยาว ๑ เส้น (๔๐ เมตร) เพราะฉะนั้น..จึงต้องดูว่าองค์พระยาวเท่าไร เขาใช้ทองคำเป็นแกนในการสร้างพระ อะไรจะรวยปานนั้น

ตำนานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของไทยมีมากต่อมากด้วยกัน แต่ตำนานพระพุทธรูปลอยน้ำเป็นตำนานที่ทางนักวิชาการเชื่อถือมากที่สุด แต่เขาไม่ได้เชื่อว่าลอยน้ำด้วยพุทธานุภาพ เขาเชื่อว่าลอยน้ำเพราะคนผูกใส่แพมา

ถึงสามเสนแจ้งความตามสำเนียก......แต่แรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี
ประชุมฉุดพุทธรูปในวารี...................ไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน
จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้ง.............เออชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น
นี่หรือใจจะมิน่าเป็นราคิน................แต่ชื่อดินเจียวยังกลายเป็นหลายคำ

เรื่องพระอยู่แท้ ๆ เอาไปด่าสาวต่อจนได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-06-2012 เมื่อ 19:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #64  
เก่า 17-06-2012, 11:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,634
ได้ให้อนุโมทนา: 151,878
ได้รับอนุโมทนา 4,415,021 ครั้ง ใน 34,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลายปีมาแล้วมีปฏิทินชุดหนึ่ง เขาใช้ชื่อว่าชุดชีวิตกับธรรมชาติ จะมีภาพประกอบพร้อมคำบรรยายโดยคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

ภาพแรกเป็นภูเขา หมู่ไม้และสายน้ำ บรรยายว่า "แดดฉ่ำและน้ำชื่น หมื่นภูสูง ยูงรำแพน" ภาพต่อมาเป็นใบเมเปิลที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึงร่วงเกลื่อนพื้น บรรยายว่า "โปรยดอกประดับแดน ประดิษฐานพระสัทธรรม" ภาพต่อมาเป็นช้างป่ากำลังเดินลุยมาในลำห้วย บรรยายว่า "ป่าใหญ่จักเป็นเหย้า ลำห้วยเย็นให้ย่างย่ำ" ภาพต่อมาเป็นพระเจดีย์วัดพระศรีสรรเพชญ์ บรรยายว่า "ยืนยงอยู่คงย้ำ สถิตอารยะยุค"

ภาพต่อมาเป็นเก้งหม้อกำลังกระโจนหนี บรรยายว่าโลดเริงกระเจิงผัน ราวป่าลั่นประเลงปลุก ภาพต่อมาก็เป็นภาพพระกำลังนั่งวิปัสสนาในกลด และมีแสงเทียนสว่างอยู่ บรรยายว่าส่องทางให้สร่างทุกข์ ระงับทุกข์อิริยา ภาพต่อไปก็เป็นน้ำตกเล็ก ๆ น่ารักเชียว บรรยายว่า ร่วงเพชรระรินพลอย เป็นสร้อยน้ำประจำผา

ภาพต่อไปเป็นภาพตระพังในสุโขทัย มีดอกบัวขึ้นแล้วด้านหลังเป็นเจดีย์เก่า บรรยายว่า เบิกช่อขึ้นบูชา ประชุมชัย ณ ใจชน เขาสลับกันไปมาอย่างนี้ สุดยอดเลย สาดแสงสำเริงไพร ระบายใบ ระบัดบน ปลุกอดีตบันดาลดล ด้วยเรื่องราวของแผ่นดิน ปรางค์ธาตุสถูปสถาน ดวงวิญญาณพระธรณินทร์ โลกนี้คือชีวิน คือวิญญาณ อมรรตรัย

เสียดายปฏิทินดี ๆ เขาใช้ได้แค่ปีเดียว ได้นักกลอนระดับคุณเนาวรัตน์มาแต่งให้ด้วย มีอยู่ปีหนึ่งเขาทำเกี่ยวกับสัตว์ป่า รูปแรกเดือนมกราคมเป็นรูปปล่อยกวางคืนป่า เขาบรรยายว่า พื้นดินถิ่นเก่าเจ้าเอย อบอุ่นคุ้นเคย คือเพื่อนคือมิตรชิดเชื้อ รูปต่อไปเดือนกุมภาพันธ์ มีนกสองตัวกำลังไซร้ขนให้กัน เมตตาการุณอุ่นเอื้อ มีใจมาเจือ มีรักมาหวังรังรอง

รูปต่อไปเป็นฝูงนกตีนเทียนอยู่ในนากุ้ง ร่มเย็นเป็นหลักปักปอง ทุ่งท่านาทอง ในถิ่นมิ่งทิพย์มณฑล รูปถัดไปเป็นเสือโคร่งกำลังกระโจนขึ้นหน้าผา เห็นแต่เท้า ผาถ้ำน้ำเถื่อนเยือนยล ย่ำไพรเหยียบพน หยัดพื้นอยู่พ่างพสุธา ต้องลองไปค้นดู ไม่รู้ในอินเตอร์เน็ตมีหรือเปล่า ถ้าไม่ได้จำไว้ก็จะสูญไปเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-06-2012 เมื่อ 02:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #65  
เก่า 17-06-2012, 17:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,634
ได้ให้อนุโมทนา: 151,878
ได้รับอนุโมทนา 4,415,021 ครั้ง ใน 34,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "การอ่านหนังสือมี ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ คาดเดาว่าเขาจะเขียนอย่างไร ? อย่างที่สองคือ ถ้าเป็นเราจะเขียนอย่างไร ? ถ้ามีความคิด ๒ อย่างนี้เวลาอ่านหนังสือจะทำให้เราสนใจ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ค่อยสนใจเนื้อหา เอาแต่อ่านสนุกอย่างเดียว

ในนิยายของโกวเล้ง เรื่องกระดึง สายลม คมดาบ พระเอกมี ๒ คน คนหนึ่งตัดดอกไม้ปักใส่แจกัน อีกคนหนึ่งเอาดอกไม้อีกช่อหนึ่งปักใส่แจกัน ทั้งสองยืนมองกันอยู่เป็นชั่วโมง คนหนึ่งยืนดูว่าจะหาช่องว่างปักใส่ลงไปตรงไหน อีกคนหนึ่งมองว่ามีช่องว่างอยู่ตรงไหน จริง ๆ ก็คือวิทยายุทธนั่นแหละ เพียงแต่ว่าเอามาดัดแปลงใช้กับการจัดดอกไม้

ลักษณะของการอ่านหนังสือก็เช่นเดียวกัน เขามีจุดอ่อนตรงไหน ? เราจะไปโจมตีตรงไหน ? ถ้าเป็นเราจะป้องกันตรงไหน ? ถึงได้บอกว่าถ้าแตกฉานสักวิชาหนึ่ง ก็จะแตกฉานทุกวิชา เป็นเรื่องจริง เพียงแต่ว่าเราเข้าใจไหมว่าแตกฉานแบบไหน ก็ในลักษณะที่ว่านั่นแหละ คือพลิกแพลงใช้ความชำนาญของตัวเองไปในวิชาการอย่างอื่น ลักษณะเดียวกับการปฏิบัติกรรมฐาน ๔๐ กอง ถ้าได้สักกองหนึ่งก็เอาไปใช้กับกองอื่นได้ เปลี่ยนวิธีการหน่อยเดียวเอง ที่เหลือก็เหมือนเดิม"

ถาม : พระเอกที่ดูว่ามีช่องว่างตรงไหน จะเอาดอกไม้ออกแล้วเสียบแทนหรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องอย่างเจ้าชายสิทธัตถะ เจ้าชายเทวทัตยิงธนูปักกลางเป้าแดงเลย คนอื่นเห็นก็คิดว่าเจ้าชายสิทธัตถะจะสู้ได้หรือ ? ปรากฏว่าเจ้าชายสิทธัตถะยิงธนูผ่าธนูเทวทัตเป็น ๒ ซีก แล้วปักแทน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-06-2012 เมื่อ 18:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #66  
เก่า 17-06-2012, 17:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,634
ได้ให้อนุโมทนา: 151,878
ได้รับอนุโมทนา 4,415,021 ครั้ง ใน 34,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ถ้าดูใน ๘ เทพอสูรมังกรฟ้า จะมีกลหมากกระอักเลือดที่ใคร ๆ ไปเล่นก็เสร็จเขาหมด เพราะว่าคนอื่นเล่นหมากเป็น ส่วนพระเอกในเรื่องที่แต้จิ๋วเรียกว่า ฮือเต็ก หรือจีนกลางเรียกว่าซีจู๋ นั้นเล่นหมากไม่เป็น ในเมื่อเล่นไม่เป็นก็หยิบวางไปมั่ว ๆ

คราวนี้หมากที่วางลงไปต้องกินตัวเอง ใคร ๆ ก็ไปโห่พระเอก แต่ปรากฏว่าพระเอกชนะ เพราะหมากเวลาเดินต้องกินตัวเองไปตัวหนึ่ง ถึงจะมีช่องให้เดินหมากอื่นได้ แต่คนอื่นจะไม่ยอมเสียหมากตัวเอง มีแต่พยายามเพิ่มให้มากที่สุด คนเล่นเป็นจึงแพ้ทุกราย ส่วนคนเล่นไม่เป็นกลับชนะ

เขาถึงได้บอกว่าขงเบ้งหลอกได้แต่คนฉลาด ส่วนคนโง่ขงเบ้งหลอกไม่ได้หรอก เพราะคนโง่ไม่คิดอะไรมาก ส่วนคนฉลาดคิดมากจึงติดกับข้งเบ้งทุกคน เขาบอกว่าถ้าเอาคนโง่ ๆ ไปตีเมืองคราวนั้นขงเบ้งก็ตายไปแล้ว แต่ดันเอาคนฉลาดอย่างสุมาอี้ไป ขงเบ้งที่มีทหารแค่ไม่กี่สิบคนจึงได้รอดไปได้

ต้องบอกว่าใจขงเบ้งนิ่งจริง ๆ เพราะการเล่นดนตรีนั้นต้องออกมาจากใจ ถ้าใจไม่นิ่ง อารมณ์ของเพลงย่อมไม่ได้ ถ้าอารมณ์เพลงไม่ได้ คนเล่นเป็นเขาฟังดูก็รู้

ตอนแรกลูกชายของสุมาอี้ คือ สุมาสูกับสุมาเจียว บอกพ่อว่าบุกได้เลย แต่พ่อบอกว่าไม่ได้ เพลงของขงเบ้งเขารื่นเริงมาก แถมยังแฝงอาถรรพ์การฆ่าฟันไว้ด้วย นั่นเขาฟังออก ฉะนั้นถ้ากำลังใจไม่นิ่งจริง ๆ ทำไม่ได้หรอก เราจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วเรื่องการรบนั้น สมาธิต้องมาก่อน ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว บุกไปท่ามกลางคนอื่นเขาก็เสร็จแน่ ๆ เพราะละล้าละลัง ตัดสินใจไม่เด็ดขาด จะฆ่าเขาดีหรือจะป้องกันตัวเองดี"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-06-2012 เมื่อ 02:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #67  
เก่า 17-06-2012, 18:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,634
ได้ให้อนุโมทนา: 151,878
ได้รับอนุโมทนา 4,415,021 ครั้ง ใน 34,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"โดยเฉพาะเรื่องขงเบ้ง ถ้าอ่านตั้งแต่ต้นยันปลายจะเห็นว่าเขาได้อภิญญา เขารู้ว่าลมฝนจะมาเวลาไหน ขณะเดียวกันเขารู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่เท่าไร รู้ว่าจะต้องแก้ไขอย่างไร ตอนไปรบกับเบ้งเฮ็ก ทางด้านนั้นใช้ไสยศาสตร์มา ขงเบ้งแก้ตกหมด ทางนั้นเขาเรียกทหารเทวดามารบ เสกกระดาษโปรยเป็นกองทัพ แต่ขงเบ้งแก้ตกหมด เพราะฉะนั้น..ต้องได้อภิญญาแน่นอน ฟันธงได้เลย

ลักษณะเดียวกับขุนแผนเลย ขุนแผนให้ลูกน้องเอาต้นอ้อมาปัก ทำเป็นค่าย ตั้งค่ายหลอกเขา แม่ทัพจับซัดข้าวสารปร๋อ...ไม้อ้อก็กลายเป็นไม้แก่น กลายเป็นของจริงไปได้

ขงเบ้งรบมาตลอดชีวิต ดำรงตำแหน่งมหาเสนาบดีผู้กุมอำนาจสูงสุดของแคว้น ปรากฏว่าก่อนตายไม่มีสมบัติอะไรเพิ่มขึ้นเลย ตัวเองมีนาอยู่ ๔๐๐ ไร่ มีหม่อนอยู่ ๘๐๐ ต้นเท่าเดิม ขงเบ้งมีหนังสือกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ไม่ต้องพระราชทานอะไรเพิ่มเติมให้ แค่นี้ก็พอที่จะเลี้ยงครอบครัวได้แล้ว ขงเบ้งเสียใจอยู่อย่างเดียวว่า ไม่สามารถทำตามปณิธานของพระเจ้าเล่าปี่ ที่ว่าจะรวม ๓ แคว้นให้เป็นหนึ่งเดียวได้ ขอฝากให้คนรุ่นหลังช่วยจัดการด้วย

คราวนี้ในส่วนที่เราบอกว่าได้อภิญญา ถ้ามองในช่วงนั้นยังไม่เท่าไรหรอก แต่คนจีนเขาขยันบันทึก เรื่องราวอะไรเล็ก ๆ ใหญ่ ๆ เขาบันทึกไว้หมด บอกว่า ๑๐๐ ปีให้หลัง มีแม่ทัพเต็งเฮี้ยงตงยกกองทัพผ่านไป ปรากฏว่ามีเสียงลมเหมือนเสียงกองทัพโห่ร้องกันอยู่ เขาเลยถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้นำทางจึงบอกว่าเป็นที่ฝังศพของท่านแม่ทัพจูกั๊วะ คือขงเบ้ง

แม่ทัพบอกว่าเขาเก่งกว่าขงเบ้งอีก แค่มาทำเสียงเหมือนกองทัพหลอกเขาไม่ได้หรอก แล้วสั่งให้ขุดศพขึ้นมา จะอวดอำนาจตัวเอง ขุด ๆ ลงไป เจอแผ่นหิน ๑ แผ่น มีหนังสือสลักว่า ตัวเขาคือแม่ทัพจูกั๊วะ อีก ๑๐๐ ปีให้หลัง รุ่นหลานชื่อเต็งเฮี้ยงตงจะมาขุด อย่าได้พลิกแผ่นหินนี้ออก มิฉะนั้นจะถูกเกาทัณฑ์ทะลวงใจ แม่ทัพเต็งเฮี้ยงตงไม่เชื่อ เตะแผ่นหินทิ้งเลย พอเตะแผ่นหินล้ม เกาทัณฑ์ลับจึงพุ่งใส่ ตายคาที่เลย นั่นขงเบ้งรู้ล่วงหน้าตั้ง ๑๐๐ ปี..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-06-2012 เมื่อ 02:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #68  
เก่า 18-06-2012, 13:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,634
ได้ให้อนุโมทนา: 151,878
ได้รับอนุโมทนา 4,415,021 ครั้ง ใน 34,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พวกฝังรูปฝังรอย ถ้าเราไม่ไปขุดเจอ จะแก้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ยาก...ส่วนใหญ่เขาจะไปฝังไว้ใต้บันไดบ้านเรา เพราะฉะนั้น..ถ้าสงสัยก็ขุดใต้บันไดก่อนเลย สมัยนี้พวกฝังรูปฝังรอยทำยากแล้ว เพราะบันไดเป็นคอนกรีตหมด ถ้าเขามาสกัดบันไดคอนกรีตบ้านเราก็เจอเตะสิ..! สมัยก่อนบ้านใต้ถุนสูงและเป็นดิน เขาก็ขุดฝังรูปฝังรอยได้

ถาม : ต้องไปรับยันต์เกราะเพชร ?
ตอบ : นั่งภาวนาอย่าให้หลุดจากสมาธิ หลุดเมื่อไรก็โดน หรือไม่ทำไสยศาสตร์คืนไป อุปกรณ์มีน้ำผึ้งเก่าขวดหนึ่ง ขวานเก่า ๆ อันหนึ่ง จานเป็นสนิมใบหนึ่ง แล้วก็หมาดำตัวหนึ่ง รับรองตายแน่ วิธีการขลังมากเลย ถ้าหากว่าทำได้คู่แค้นตายทุกคน เพียงแต่ว่าจะหักใจทำได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง

อันดับแรกต้องหารูปของศัตรูให้ได้ก่อน แล้วก็เขียนวันเดือนปีเกิดเอาไว้ด้านหลังรูป แล้วเอาจานสังกะสีเก่า ๆ ไปครอบที่กองฟอนที่เพิ่งเผาศพไป ครอบไว้ ๗ วัน ครบ ๗ วันแล้วก็เอาจานสังกะสีกลับมา เอารูปของศัตรูที่มีวันเดือนปีเกิดใส่ลงไป เอาน้ำผึ้งค้างปีเทลงไปให้ท่วมรูป ใช้ขวานเก่าที่เป็นสนิมคนวนขวา ๓ รอบ วนซ้าย ๓ รอบ แล้วเอาน้ำผึ้งไปให้หมาดำกินให้หมด

จากนั้นเอาจานเปล่าที่มีรูปพร้อมกับขวานไปที่บ้านของศัตรู เอาจานวางไว้หน้าประตู ตรงจุดที่คิดว่าศัตรูเปิดประตูออกมาแล้วจะเห็นพอดี เคาะประตูแล้วรีบไปหลบที่มุมบ้าน พอศัตรูโผล่ออกมาเห็นจานมีรูปตัวเองก็จะก้มลงไปหยิบ ทีนี้ก็ให้เราโดดออกมา เอาขวานฟันหัวศัตรูทันที..! ถ้าใครทำไสยศาสตร์วิธีนี้รับรองศัตรูตายทุกคน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-06-2012 เมื่อ 15:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #69  
เก่า 18-06-2012, 13:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,634
ได้ให้อนุโมทนา: 151,878
ได้รับอนุโมทนา 4,415,021 ครั้ง ใน 34,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พวกเรื่องหักมุมพวกนี้มีเยอะ อย่างเช่น พอเช้าสามีตื่นขึ้นมา ภรรยาก็หน้าบึ้ง สามีสงสัยถามภรรยาว่าเป็นอะไร ภรรยาก็ถามว่าลินดาคือใคร ? สามีก็สะดุ้งเฮือก บอกว่าวันก่อนเล่นม้ามา ม้าชื่อลินดา แทงเสียไป ๒๐๐ เหรียญ แต่ไม่ถูก สถานการณ์จึงดีขึ้นมาหน่อย

พอกินข้าวเสร็จ ภรรยาเข้าครัวไปล้างจาน สักพักเดินมาโยนโทรศัพท์มือถือให้สามี "ม้าของคุณโทรมา..!" สรุปว่า ขว้างงูไม่พ้นคอ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-06-2012 เมื่อ 15:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #70  
เก่า 18-06-2012, 13:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,634
ได้ให้อนุโมทนา: 151,878
ได้รับอนุโมทนา 4,415,021 ครั้ง ใน 34,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เราไม่ได้โกรธอยู่ตอนนั้น โทษของการฆ่าคนจะเบากว่าตอนที่โกรธหรือเปล่า ?
ตอบ : เบากว่า..แต่ว่าขณะเดียวกัน ถ้าไปฆ่าบุคคลที่มีคุณมากกว่า ก็จะเกิดโทษมากกว่าอยู่ดี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-06-2012 เมื่อ 15:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #71  
เก่า 18-06-2012, 14:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,634
ได้ให้อนุโมทนา: 151,878
ได้รับอนุโมทนา 4,415,021 ครั้ง ใน 34,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทานในพระพุทธศาสนามีอานิสงส์มาก แต่เศรษฐีระดับโลกส่วนใหญ่ทำไมอยู่นอกพุทธศาสนา ?
ตอบ : คิดว่าที่อื่นเขาไม่รู้จักทำบุญกันหรืออย่างไร ? ไม่เห็นหรือว่าเขาบริจาคกันทีเป็นหมื่นล้าน สมมติว่าเราขายเพชร ได้กำไรมาหนึ่งแสนบาท ส่วนสินค้าอีกชิ้นหนึ่งขายแล้วได้กำไรหนึ่งร้อยบาท ถ้าเกิดว่าขายได้มาก ๆ จะได้กำไรมากกว่าแสนไหม ? ก็ลักษณะเดียวกัน แม้จะทำบุญส่วนทั่วไป หรือว่าทำบุญกับบุคคลผู้ไม่มีศีล ก็ยังเหนือกว่าสัตว์เดียรัจฉานเป็นร้อยเท่า ถืงแม้จะไม่เทียบกับคนที่ศีลบริสุทธิ์ แต่ทำไปร้อยครั้งก็เท่ากันแล้ว ถ้าทำเกินร้อยครั้งก็ได้บุญมากกว่าอีก

ดังนั้น..โอกาสที่เขาจะร่ำรวยขึ้นมาก็เป็นเรื่องปกติ แล้วเขาไม่ได้รวยอย่างคนไม่มีปัญญา เขารวยแล้วเขาก็ต่อบุญ โดยเฉพาะส่วนที่เขาบริจาคเข้ามูลนิธิต่าง ๆ โครงการที่ช่วยเหลือคนทั่วไป ลักษณะนั้นแบบเดียวกับสังฆทานเลย ช่วยคนโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ในเมื่อไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ชนชาติไหน ภาษาไหนเขาก็ยื่นมือเข้าไปช่วย ก็สังฆทานดี ๆ นี่เอง

ถาม : อานิสงส์เท่ากันหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ถึงกับสังฆทาน แต่อานิสงส์ใหญ่กว่าทั่วไป เขาตั้งมูลนิธิ บริจาคกันทีเป็นหมื่นล้าน เราเองสู้เขาไม่ได้แน่ เพราะมัวแต่รอขายเพชร ชาติหนึ่งไม่รู้จะขายได้กี่เม็ด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-06-2012 เมื่อ 03:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #72  
เก่า 18-06-2012, 14:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,634
ได้ให้อนุโมทนา: 151,878
ได้รับอนุโมทนา 4,415,021 ครั้ง ใน 34,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เกี่ยวกับทานและการภาวนา การให้ทานนี่อานิสงส์น้อยกว่าการภาวนาใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่

ถาม : ในกรณีที่ผู้ปฏิบัติได้ถึงฌานสมาบัติ เป็นไปได้ไหมครับว่าท่านยังโดนหลอกได้ ?
ตอบ : เป็นความไม่รอบคอบ โดนหลอกเป็นปกติอยู่แล้ว อาตมาไปเขมร เดินผ่านเครื่องตรวจอาวุธไปอย่างสบาย ไม่มีปัญหา โยมข้างหลังเดินผ่านแล้วเครื่องดัง ทั้งที่อาตมาก็พกมีดหมอไปเหมือนกัน เตือนเขาไปแล้วว่าให้อาราธนาบารมีพระคลุมให้หมด เขาก็ตั้งใจอาราธนาบารมีพระคลุมตัวเองเรียบร้อย ปรากฏว่าเขาตรวจเจอในกระเป๋าเป้ โดนเขายึดไป พอขากลับเอาใหม่ ตั้งใจอาราธนาคลุมในกระเป๋า แต่ลืมให้อาราธนาคลุมตัวเอง คราวนี้รู้หรือยังว่าความไม่รอบคอบนั้นเป็นอย่างไร ?

ถึงได้บอกเขาว่าเรื่องของพระ เรื่องของเทวดา ท่านสอนให้เราละเอียดรอบคอบ ในเมื่อคุณไม่ละเอียดรอบคอบเอง เขาก็หาช่องว่างเล่นเอาจนได้ แล้วอาตมาเองก็รอดไปได้ทุกงานเลย จนกระทั่งงานสุดท้ายเสร็จเขา เครื่องดังสนั่นเลย กำลังจะเข้าไปตรงที่เขาตรวจอาวุธขึ้นเครื่องแล้ว เขาดันเอาเด็กมาถวายให้เป็นลูก อาตมามัวแต่นั่งรับอยู่ ลืมอาราธนาพระ พอเครื่องตรวจดังขึ้นอาตมาก็ว่าบรรลัยแล้ว..!

คราวนี้ก็มีทางเดียวคืออย่าให้เขาหาเจอ เขาก็ค้นหาใหญ่เลย ท้ายสุดต้องเอาเครื่องตรวจมากวาด กวาดทีไรก็ดังทุกทีแต่หาไม่เจอ แล้วเขาก็สรุปว่าซิปกระเป๋านี้แหละที่ดัง คราวนี้คุณเห็นหรือยังว่า ถ้าขาดความรอบคอบเป็นอย่างไร ฉะนั้น..ต่อให้คนมีปัญญาขนาดไหน แต่ถ้าขาดความรอบคอบก็เสร็จ จริง ๆ แล้วถ้าความสามารถพอ จะครอบทั้งจักรวาลก็ได้ แต่เราต้องสมาธิสูงพอ ต้องไม่ขาดช่วงด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-06-2012 เมื่อ 15:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #73  
เก่า 18-06-2012, 14:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,634
ได้ให้อนุโมทนา: 151,878
ได้รับอนุโมทนา 4,415,021 ครั้ง ใน 34,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : โดยลำดับทางพุทธศาสนาก็คือทาน ศีล สมาธิ แล้วก็ปัญญา บางคนได้ถึงฌานสมาบัติแต่ไม่บรรลุมรรคผลใด ๆ ที่เป็นขั้นอริยกุศล บางคนพระศาสนาก็รับรองไว้ว่า ถ้าได้ถวายสังฆทานไว้ ได้เป็นเจ้าภาพทอดกฐินไว้ เมื่อยังไม่สิ้นบุญที่ทำไว้ก็จะปรินิพพานเสียก่อน ทำไมทานตรงนี้ถึงมีผลมาก ทำไมฌานสมาบัติมีผลน้อยกว่า ?

ตอบ : คุณรู้ไหมว่ากว่าที่จะปรินิพพานนี่จะต้องเกิดอีกเท่าไร ? อาจจะเกิดจนนับกัปไม่ถ้วน แต่ขณะเดียวกันคนที่เขาสร้างฌานสมาบัติขึ้นมาได้ ชาติต่อไปจะมีความฉลาดมาก ถ้าหากว่าทำกรรมฐานตามจริตของตนเองได้ ดีไม่ดีก็บรรลุในชาตินั้นเลย

คุณไปจับแพะชนแกะเอง ฟังแล้วก็ไปเข้าใจว่าจะบรรลุภายในไม่กี่วัน ไม่ใช่หรอก..เขาต้องเกิดแล้วเกิดอีก เขาบอกว่าจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ชาติ กว่าจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ชาติคุณต้องเกิดอีกนานเท่าไร เพราะต้องรอช่วงโลกว่างพอดี เป็นพระมหากษัตริย์อีก ๕๐๐ ชาติ เป็นมหาเศรษฐี ๕๐๐ ชาติ เป็นอนุเศรษฐีอีก ๕๐๐ ชาติ ถ้าเราตีเป็นชาติก็ประมาณสองสามพันชาติ แล้วกว่าเราจะได้เกิดแต่ละครั้งนั้นนานแค่ไหน ?

เราอาจจะต้องไปเสวยบุญในลักษณะอื่นก่อน เป็นพรหมเป็นเทวดา รอระยะเวลาซึ่งเนิ่นนานมาก แต่บุคคลที่ทำในส่วนอานิสงส์มากกว่า สูงกว่า อย่างเช่นท่านอินทกเทพบุตร ได้ใส่บาตรกับพระอรหันต์ ผลบุญนี้ส่งผลให้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ แล้วฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มรรคผลไปเลย

ต้องดูว่าส่วนของบุญใหญ่ที่สร้างไว้นั้นเป็นบุญประเภทไหน แล้วระยะเวลาอีกเท่าไร สรุปว่าถ้ามีปัญญาจริง ๆ ได้เจอพระพุทธเจ้า ได้เจอพระอรหันต์ ท่านแสดงธรรมที่เหมาะสมกับจริตของตนเองก็ไปพระนิพพานได้ง่าย ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-06-2012 เมื่อ 16:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #74  
เก่า 18-06-2012, 14:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,634
ได้ให้อนุโมทนา: 151,878
ได้รับอนุโมทนา 4,415,021 ครั้ง ใน 34,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีคนกล่าวว่าอิทัปปัจจยตาเป็นหลักธรรมสำคัญที่สุดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ผมเข้าใจว่าเป็นอริยสัจ ๔ เขาก็บอกว่า จริง ๆ แล้วเป็นอิทัปปัจจยตา ?
ตอบ : นั่นเขาว่า..อย่าลืมว่าบุคคลต้องได้ธรรมะที่ตรงกับจริตตัวเอง ถ้าไม่ตรงกับจริตตัวเอง บางทีฟังไปก็ไร้ผล อย่างลูกชายนายช่างทอง ปฏิบัติธรรมอยู่กับพระสารีบุตรหลายเดือนไม่ได้ผล เนื่องจากพระสารีบุตรให้กรรมฐานที่เหมาะกับราคะจริตแก่ลูกชายนายช่างทอง เพราะเห็นว่าเป็นคนหนุ่ม

พระสารีบุตรจึงเอาไปถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านให้กรรมฐานที่เหมาะกับโทสะจริต ลูกชายนายช่างทองจึงบรรลุมรรคผลในเวลาที่ไม่นาน ดังนั้นที่คุณบอก นั่น “เขาว่า” เป็นความคิดของเขา แต่ถ้าหลักธรรมที่สำคัญจริง ๆ อยู่ที่เรา

อยากจะบอกว่าอิทัปปัจจยตาเป็นหลักธรรมสำหรับบุคคลที่เป็นครู ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย ถ้าเราไม่ต้องไปสอนคนอื่นเขา ไม่ต้องไปศึกษาก็ได้ ท่านสอนให้เห็นความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าเหตุนี้ทำให้เกิด ผลนี้จึงเกิด อดีตเหตุทำให้เกิดปัจจุบันผล อันนี้ปัจจุบันเหตุ ทำให้เกิดอนาคตผล ถ้าหากว่าอนาคตผลดับลงได้ ปัจจุบันเหตุก็ไม่มี ถ้าหากว่าอดีตผลดับลงได้ อดีตเหตุก็ไม่มี มีทั้งขึ้นหน้าและถอยหลัง เขาให้คิดถึงความสำคัญของพวกนี้ในลักษณะของการมองแบบบูรณาการ

ถ้าเราไม่ได้คิดจะเป็นครูของคนอื่น ก็ไม่ต้องไปศึกษาให้เสียเวลาหรอก หุงข้าวกินเองตำน้ำพริกได้ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปทำอุ้งตีนหมีหรือหูฉลามน้ำแดงหรอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-06-2012 เมื่อ 16:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #75  
เก่า 19-06-2012, 08:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,634
ได้ให้อนุโมทนา: 151,878
ได้รับอนุโมทนา 4,415,021 ครั้ง ใน 34,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มานะกับอัตตาต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : อัตตาทำให้เกิดมานะ ในเมื่อมีตัวกู กูต้องแน่ คราวนี้รู้แล้วยังว่าต่างกันตรงไหน ?

ถาม : เวลาตัดนี้ตัดตัวไหนง่ายกว่า ?
ตอบ : ต้องตัดสักกายทิฐิ (ตัวกู) ให้ได้ พอสักกายทิฐิหมด ตัวอัตตาก็ไม่มี เพราะว่าเห็นแล้วว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป โดยเฉพาะร่างกายเรา ร่างกายเขา ก็ไม่มีอะไรดีกว่ากัน ตกอยู่ในสภาพไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เหมือน ๆ กัน สภาพจิตก็ถอนมาจากการยึดมั่นถือมั่น ตัวอัตตาหรือมานะก็น้อยลง

ถาม : แล้วอัตตากับสักกายทิฐิต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : สักกายทิฐิก็คือการยึดในอัตตา ไปยึดว่าตัวนี้ของกู ไปคิดว่ารถยนต์เป็นตัวเรา ทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนขับรถ พอถึงเวลาคนอื่นมาเตะรถก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เจ็บสักหน่อย เพราะเขาเตะรถ แต่เรายึดว่านั่นรถของกู

อัตตาในส่วนของรูปธรรมก็คือร่างกายนี้ ถ้าอัตตาในส่วนของนามธรรม คือการยึดถือตัวตนของร่างกายนี้

ถาม : เป็นไปไม่ได้ใช่ไหมคะ ที่จิตจะยึดติดเอง ?
ตอบ : ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ แต่เป็นการยึดโดยอัตโนมัติ เพราะความไม่รู้ของเราก็เลยยึด ฉะนั้น..มีวิธีเดียวก็คือทำอย่างไรจะให้ปัญญามองเห็น แล้วสภาพจิตยอมรับว่านั่นไม่ใช่ตัวเรา จะได้เลิกยึดติด ถึงได้สรุปง่าย ๆ ว่าความจริงแล้วไม่มีอะไร เพราะเราไปทำให้มี ถึงได้มี

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : บุคคลที่เข้าถึงจริง ๆ แล้วจะกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนโดยอัตโนมัติ เพราะรู้อยู่เสมอว่าตนเองรู้น้อย แล้วขณะเดียวกันก็ให้เกียรติคนอื่น เพราะเห็นว่ามีสภาพหมือนกัน

ถาม : แม้แต่อรูปก็มีการยึดหรือคะ ?
ตอบ : อย่าลืมว่าต้องยึดก่อน คำว่าอรูป จริง ๆ ก็คือ ยึดการไม่มีรูป ไม่ใช่ว่าไม่มีรูปแล้วจะไม่มีอัตตา เป็นอะไรที่อนาถมากเลย กะว่าไม่มีรูปแล้วแต่ก็ไม่รอด จำไว้ว่าถ้ารู้มากจะยากนาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-06-2012 เมื่อ 14:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #76  
เก่า 19-06-2012, 09:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,634
ได้ให้อนุโมทนา: 151,878
ได้รับอนุโมทนา 4,415,021 ครั้ง ใน 34,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระอรหันต์ท่านกำจัดอวิชชาได้หมดสิ้น จึงทำให้ไม่มีตัณหาและอุปาทาน ถ้าหากว่าเราสามารถกำจัดอวิชชาได้บางส่วน ตัณหาและอุปาทานจะลดลงไปด้วย เป็นอย่างนั้นไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าว่ากันโดยสภาพจิต ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

ถาม : ที่นี้ในบุคคลแต่ละคน อวิชชาก็ไม่เสมอกัน ตัณหาอุปาทานที่มีอยู่ก็ไม่เสมอกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ผู้ที่มีอวิชชาน้อยกว่า ก็มีโอกาสที่จะบรรลุง่ายกว่า เร็วกว่า ถ้าได้ธรรมะที่ถูกต้อง ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ให้นึกถึงดอกบัวที่พระพุทธเจ้าท่านเปรียบไว้ ใครอยู่พ้นผิวน้ำแล้วก็มีโอกาสบรรลุก่อน ถ้าหากว่าอยู่เสมอผิวน้ำก็ต้องรอวาระต่อไป ถ้าหากว่าอยู่ใต้น้ำก็ยังอีกนาน

ถาม : ถ้าเช่นนั้นผู้ที่ปฏิบัติธรรมแม้เพียงเล็กน้อย เช่นระลึกถึงความตายอยู่ทุกวัน ทุกเวลา ก็ได้เข้าใกล้พระนิพพานมากขึ้น เพราะว่าตัณหาอุปาทานก็ต้องจะลดลงเป็นธรรมดา ?
ตอบ : ถ้าเรานึกถึงความตายเป็นปกติ สามารถไปชาตินี้เลย เพราะรู้ว่าจะต้องตายก็จะไม่ประมาท เกิดมาแล้วทุกข์อีกก็จะหาทางพ้นทุกข์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2014 เมื่อ 00:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #77  
เก่า 19-06-2012, 10:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,634
ได้ให้อนุโมทนา: 151,878
ได้รับอนุโมทนา 4,415,021 ครั้ง ใน 34,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระนิพพานเป็นปัจจัตตัง ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงอธิบายให้ผู้อื่นฟังไม่ได้ คือพระนิพพานไม่สามารถที่จะสัมผัสได้ด้วยอายตนะที่เรารู้จักในโลกมนุษย์ เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะอย่างนั้นจึงไม่สามารถอธิบายได้หรือครับ ? อย่างคนที่ไม่มีดวงตาก็ไม่สามารถจะมองเห็นได้ ไม่สามารถที่จะอธิบายความแตกต่างของสีต่าง ๆ ได้เพราะเขาไม่เคยเห็น ไม่เข้าใจ เป็นเพราะอย่างนั้นไหมครับ ?
ตอบ : เอาเป็นว่าถ้าเราโดนไฟเผา แล้วอยู่ ๆ ไฟดับลง เราบอกคนอื่นว่าสบายจริง ๆ เขาจะรู้ไหมว่าสบายแบบไหน ? เขาต้องมีประสบการณ์เองก็ถึงจะรู้ว่าเป็นอย่างไร ในเมื่อไม่มีประสบการณ์นั้นเอง โดยเฉพาะสภาวธรรมนั้นละเอียดเกินกว่าคำพูดและเกินกว่าตัวหนังสือจะอธิบายได้ เพราะเป็นภาษาใจล้วน ๆ จึงเสียเวลาที่จะไปคิด ตั้งหน้าตั้งตาทำให้ไปถึงจะง่ายกว่า

ถาม : พระนิพพาน พระพุทธเจ้าท่านยืนยันว่าผู้ที่ล่วงทุกข์แล้วตอนนี้ กับผู้ที่ล่วงทุกข์แล้วเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน ก็ไม่แตกต่างกันประการใด ?
ตอบ : เป็นคำบอกเล่า ไม่มีคำถามก็รับฟังไว้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-06-2012 เมื่อ 11:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #78  
เก่า 19-06-2012, 10:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,634
ได้ให้อนุโมทนา: 151,878
ได้รับอนุโมทนา 4,415,021 ครั้ง ใน 34,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีบางคนกล่าวอ้างว่า เขามีเทพหรือมีอะไรต่าง ๆ มาบอกให้ทำนั่นทำนี่ บอกว่าจะขออนุโมทนาบุญ แบบนี้มีด้วยหรือครับ แล้วเทพองค์นั้นจะได้บุญจริงหรือครับ ?
ตอบ : ต้องถามคนบอก จริง ๆ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ว่าต้องมีผลกรรมที่เนื่องกันมา เขาจึงสามารถที่จะสงเคราะห์ผู้อื่นโดยผ่านร่างของคนอีกคนหนึ่ง ก็เท่ากับว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเขามีส่วนด้วย ถ้าสิ่งที่เขาสงเคราะห์ไปเป็นเรื่องของความดี บุญกุศลก็จะมีถึงเขาด้วย

สำคัญตรงที่ต้องมีกรรมเนื่องกันมา ถ้าไม่เคยมีกรรมเนื่องกันมา ก็ไม่สามารถที่จะไปใช้คนอื่นเขาทำแทนได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าไม่มีกรรมเนื่องกันมาไม่สามารถเอาบุคคลนั้นเป็นร่างทรงได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-06-2012 เมื่อ 11:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #79  
เก่า 19-06-2012, 10:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,634
ได้ให้อนุโมทนา: 151,878
ได้รับอนุโมทนา 4,415,021 ครั้ง ใน 34,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : บรรดาพรหมเทวดา ท่านสามารถที่จะสิ้นจากความเป็นพรหมเทวดานั้น ๆ เมื่อไรก็ได้ตามใจปรารถนาไหมครับ ?
ตอบ : ไปตามอายุขัย ๑ ไปเพราะหมดบุญ ๑ ไปเพราะหมดกรรม ๑ ไปเพราะหมดอาหาร ๑ ไปเพราะความโกรธ ๑ ไม่ใช่ไปตามใจตัวเอง

ถาม : ผู้ที่เกิดเป็นเทวดามีอายุหลายล้านปี ก็สามารถที่จะไปพบกับพระศรีอาริยเมตไตรยได้ในสภาพที่เป็นเทวดานั้นเลยไหมครับ ?
ตอบ : สำคัญที่ว่าไปแล้วเพลินอยู่กับทิพยสมบัติหรือเปล่า ? ให้เราดูประวัติของมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร พระพุทธเจ้าขึ้นไปเทศน์สอน บรรดาเทวดา พรหม ตลอดจนนางฟ้าต่าง ๆ แห่กันมาฟังเทศน์เป็นโกฏิ ๆ ส่วนมัฏฐกุณฑลีเพลินในทิพยสมบัติ ไม่ไปกับใครหรอก เพราะฉะนั้น..ถึงไปเป็นเทวดาก็ไม่ได้เป็นเครื่องประกันแน่นอนว่า ถ้าขึ้นไปแล้วจะได้พบพระศรีอาริยเมตไตรยแน่ ๆ ขึ้นอยู่กับทิฐิของตนว่าเป็นสัมมาทิฐิหรือเป็นมิจฉาทิฐิ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-06-2012 เมื่อ 17:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #80  
เก่า 19-06-2012, 10:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,634
ได้ให้อนุโมทนา: 151,878
ได้รับอนุโมทนา 4,415,021 ครั้ง ใน 34,224 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เคยอ่านที่พระอาจารย์บอกว่า การทำบุญในปัจจุบัน เราจะไม่ได้ผลในชาตินี้ นอกจากทำบุญอย่างต่อเนื่องเป็นสิบปี แล้วทำไมการทำแท้งจึงให้ผลชาตินี้ครับ ?
ตอบ : โยมทำบุญแล้วเคยนึกถึงบุญที่ทำบ้างไหม ? แต่คนทำแท้งนั้นตอกย้ำตัวเองทุกวินาทีว่าเขาทำความชั่ว ในเมื่อเขามุ่งใจจดจ่ออยู่ตลอดเวลา ตรงดิ่งอย่างเดียวเลย ผลกรรมจึงเกิดเร็ว แต่เราเองทำบุญมากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง น้อยครั้งที่เราจะนึกว่าทำอะไรไปบ้าง

เพราะฉะนั้น..ถ้าโยมต้องการที่จะให้ผลบุญนั้นส่งผลอย่างรวดเร็วในชาตินี้ เราก็ต้องจดจ่อต่อเนื่องอยู่กับผลบุญนั้น ก่อนจะทำก็มีความปีติยินดีว่าเราจะได้ทำ กำลังทำก็มีความปีติยินดีว่าเราได้ทำ เมื่อทำได้แล้วนึกถึงเมื่อไรก็มีความปีติยินดีว่าเราได้ทำบุญนั้นแล้ว ถ้าสามารถรักษากำลังต่อเนื่องอย่างนี้ได้ตลอดเวลาผลก็จะเกิดเร็วเหมือนกัน

เมื่อวานมีพระมาทำบุญ ท่านบอกว่า "ทำบุญอุทิศให้ลูก ผมฆ่าลูก" อาตมาถามว่าไปฆ่าอีท่าไหน ? ท่านบอกว่า “ทำแท้งครับ” นั่นขนาดผู้ชายใจยังจดจ่ออยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองได้ทำในสิ่งที่ไม่ดีแล้ว ลองคิดดูว่าถ้าคนที่ทำเป็นผู้หญิงเขาจะรู้สึกอย่างไร ? เลือดในอกของตัวเองโดนคว้านทิ้งไปอย่างนั้น จะเป็นบาดแผลที่ไม่มีวันรักษาหาย กระทบแล้วเจ็บอยู่ตลอดเวลา

ใจที่จดจ่ออยู่ตลอดเวลา มโนมยา ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ ในเมื่อคุณไปคิดอยู่ว่าได้ทำสิ่งที่ไม่ดี ๆ ๆ ๆ อยู่ตลอดแล้วผลจะไปดีได้อย่างไร ถึงเวลาสิ่งนั้นก็สนองเร็วมาก เพราะว่าเราไปตอกย้ำเพิ่มโทษให้อยู่ตลอดเวลา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-06-2012 เมื่อ 11:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:00



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว