กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

Notices

พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 19-04-2009, 01:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default การรบกับกิเลส

พวกเราเป็นทหารของพุทธจักร ก็คือทหารของพระพุทธเจ้า เป็นทหารในพระพุทธศาสนา หน้าที่ของเราก็คือต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นธรรมราชา ปฏิบัติตามคำสั่งของหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ ที่ท่านเป็นธรรมเสนาบดี ก็คือแม่ทัพของกองทัพธรรม ต่อสู้ประหัตประหารกับกิเลสในใจของเรา

คราวนี้ขึ้นชื่อว่าทหารแล้วจะขี้ขลาดไม่ได้ กลัวตายไม่ได้ อย่างที่อาตมามีความรู้สึกประจำใจอยู่ว่า ถ้าขึ้นหน้าแล้วตายกับถอยหลังแล้วตาย...ก็ขึ้นหน้าอย่างเดียว ขึ้นหน้าไปแล้วตายเขายังว่าเรากล้า ถอยหลังมาแล้วตายเขาจะว่าเราขี้ขลาด ทั้งที่ตายทั้งคู่นั่นแหละ

แม่ทัพกิเลสเขาไม่เคยปรานีเรา ถึงเวลาเขาตีตายจริง ๆ คุณจะสูงส่งขนาดไหน ถึงเวลาเขากระชากลงมาได้ เขาจะเหยียบจมดินเลย ยิ่งคนที่เคยปฏิบัติมาก่อน กำลังใจเคยสงบจากกิเลสชั่วคราว มีความสุข ถึงเวลาโดนเขาเหยียบย่ำทำลายแล้วจะรู้ว่าเจ็บปวดขนาดไหน ? อธิบายไม่ถูกว่าเจ็บปวดขนาดไหน แต่เราจะรู้โดยอัตโนมัติและจำไปตลอดชีวิตเลย ว่าจะไม่ยอมพลาดอีกแล้ว ถ้าสำหรับคนที่พลาดแล้วพลาดอีก ต้องบอกว่ายังไม่เข็ด ถ้าเข็ดก็จะต้องรู้จักหาวิธีแก้ไข

ในเมื่อเราเป็นทหารในกองทัพธรรม มีหน้าที่ห้ำหั่นกับกิเลส พวกเราต้องทบทวนดูสมรรถนะของเรา ว่าฝึกมาแล้วดีหรือยัง ? ฝึกอย่างไร...ก็คือฝึกกาย ฝึกวาจา ฝึกใจของเรา เราต้องมีกายอันเพียบพร้อมสมบูรณ์ คือ ไม่ล่วงละเมิดในศีลสิกขา อย่างเช่น ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่โกหก ไม่ดื่มสุราเมรัย เป็นต้น เราต้องมีวาจาที่เพียบพร้อมสมบูรณ์ ก็คือ การไม่พูดโกหก ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ เราต้องมีใจที่เพียบพร้อมสมบูรณ์ คือ ไม่โลภ คิดอยากได้ของเขา ไม่โกรธเกลียดอาฆาตพยาบาทใคร ไม่เห็นผิดเป็นชอบ กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ

ถ้าหากว่าเราเพียบพร้อมสมบูรณ์ทั้งกาย วาจาและใจแล้ว ก็พอที่จะต่อสู้กับกองทัพกิเลสได้ แต่ถ้าตรงส่วนไหนบกพร่อง ต้องรีบแก้ไขโดยด่วน รอยรั่วแม้แต่นิดเดียวอาจจะทำให้เขื่อนยักษ์พังทะลายลงไปได้ด้วยแรงน้ำที่ค่อย ๆ กัดเซาะ ความบกพร่องทางกาย ทางวาจา ทางใจของเราแม้แต่เล็กน้อย ก็เป็นช่องทางให้กิเลสได้เล็ดลอดเข้ามาทำลายความดีของเราได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 11-06-2017 เมื่อ 15:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 118 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 19-04-2009, 01:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้เมื่อเป็นทหาร การฝึกก็ต้องเหนื่อยยากเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ว่าเราต้องมีความอดทนอดกลั้นเพียงพอ อันนี้อุดมการณ์สูงสุดของพระพุทธศาสนาเลย พระพุทธเจ้าทรงให้โอวาทปาฏิโมกข์บอกชัดเจนว่า ขันติ ปรมัง ตโป ตีติกขา ขันติ คือความอดกลั้นเป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง นิพพานัง ปรมัง วทันติ พุทธา ผู้รู้ทุกท่านล้วนแต่กล่าวว่า พระนิพพานคือสุดยอดของธรรม พระพุทธเจ้าท่านเอาขันติกับนิพพานรวมกัน ก็แปลว่าเราต้องอดทน อดกลั้น อดออมต่อสิ่งที่มากระทบ ต่อสิ่งที่มาเย้ายวนทุกประการ ซึ่งการอดทน อดกลั้น และอดออมนั้นก็คือการที่เราสู้รบกับกิเลส เพื่อฝ่าฟันไปยังพระนิพพาน

การสู้รบก็ต้องมีการแพ้บ้าง ชนะบ้าง แต่ถ้าแพ้เมื่อไรเราต้องรู้จักทบทวน วิเคราะห์วิจัยว่าเราบกพร่องตรงไหน ? แล้วแก้ไขจุดอ่อนตรงนั้น อย่าปล่อยให้แพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า เดี๋ยวสักวันกิเลสจะนั่งยิ้ม..กวักมือเรียก..เขาก็ไม่มาหรอก...เสียเวลา...เพราะเราไม่มีคุณค่าพอที่เขาจะลงมือ ถ้าอย่างนั้นก็ขายหน้าไปสามโลก

ถ้าตราบใดที่กิเลสยังลงมือทดสอบเรา เล่นงานเรา ย่ำยีบีฑาเรา ขอให้ภูมิใจว่าเรายังมีคุณค่าพอที่เขาจะลงมือ ก็แปลว่าเราพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของกิเลสได้ ในเมื่อแพ้บ้าง ชนะบ้าง ถ้าเรารู้จักวิเคราะห์วิจัยจุดอ่อนของตัวเองได้ ครั้งต่อไปตรงจุดนั้นเราจะไม่แพ้อีก เขาก็จะมาทางด้านอื่น แต่ที่มาก็ไม่เกินจากรัก โลภ โกรธ หลง ๔ ประการนี้ เพียงแต่ว่าแตกแง่มุมออกไปจนนับกระบวนท่าไม่ถูก ทั้ง ๆ ที่ท่าหลักก็มีอยู่แค่นี้แหละ ราคะมามุมนี้เราเคยพลาด พอตั้งท่ารับ เขาก็มามุมอื่น โทสะมามุมนี้เราเคยพลาด พอตั้งท่ารับ เขาก็มามุมอื่น ขอยืนยันว่าที่แสนรู้ที่สุดคือกิเลส ถ้ารู้ว่าเราสู้ได้ เขาจะไม่มาให้เสียเวลาหรอก เขาจะไปตรงที่เราสู้ไม่ได้

เมื่อวิเคราะห์วิจัย ป้องกันจุดอ่อนของตัวเองได้ ต่อไปเราก็มีโอกาสชนะได้บ้าง และถ้ามีความเพียรพยายามประกอบไปด้วยปัญญาก็คืออิทธิบาท ได้แก่ ฉันทะมีความพอใจทุ่มเท แม้กระทั่งชีวิตก็มอบให้ได้ มีวิริยะ พากเพียรกระทำไม่เห็นแก่เหนื่อยยาก ตัวตายก็ยอมเพื่อแลกกับความสำเร็จ จิตตะกำลังใจปักมั่นไม่ท้อถอย วิมังสา ไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ ว่าเราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? เป้าหมายของเรายังอยู่อีกห่างไกลเท่าไร ? ขณะนี้เรายืนอยู่จุดไหน ? จะก้าวต่อไปข้างหน้าถูกต้องตรงจุดแล้วหรือไม่ ? และมีปัญญาประกอบ รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา ผ่อนสั้นผ่อนยาว เขาแรงมาเราอ่อนก่อน ถ้าหากเขาอ่อนกำลังลงเราก็แข็งกล้ากลับไป ไม่ใช่เอาแต่กำลังไปปะทะในลักษณะน้ำเชี่ยวเอาเรือไปขวาง นั่นมีแต่จะจมตาย

ถ้าทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เราก็จะมีพัฒนาการของตัวเอง กาย วาจา ใจ ของเราจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แบบเดียวกับที่พระเณรท่านพิจารณาว่า บรรพชิตพึงพิจารณาเนือง ๆ ว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำ กาย วาจา ใจ เหล่านั้นให้ได้ อย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปเฉย ๆ ภาษาทหารเขาบอกว่าอย่าหายใจทิ้ง เอาสติกำหนดรู้ไปด้วย พยายามแก้ไขสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ที่เข้ามาในใจของเรา ปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นความดี แล้วอย่าเปิดโอกาสให้ความชั่วเข้ามาได้อีก

เมื่อทำอย่างนี้ได้แพ้ชนะก็จะเริ่มก้ำกึ่ง คราวนี้จะเกิดความมันในชีวิต เพราะต้องลุ้นว่าครั้งหน้าใครจะชนะ เหมือนมวยที่ต่อยกันแบบใครดีใครอยู่ หรือไม่ก็ฟุตบอลกำลังลุ้นว่าประตูต่อไปใครจะได้

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 11-06-2017 เมื่อ 15:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 106 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 19-04-2009, 03:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าเราพัฒนาไปในลักษณะที่ว่านี้ แก้ไขจุดอ่อนของตัวเองไปเรื่อย ๆ พยายามแสวงหา กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ไปเรื่อย เราก็จะชนะมากกว่าแพ้ คราวนี้..แหม..เราเริ่มเหยียบโลกได้เต็มฝ่าเท้า แต่อย่าเผลอนะ เผลอเมื่อไรเหยียบพลาด..ร่วงอีก จนกระทั่งท้ายสุดไปถึงเป้าหมายที่พวกเราหวัง ก็คือพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ถ้าอย่างนั้นทุกคนเท่ากับเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก

ตำราเขาบอกว่า ความสุขของพระเจ้าจักรพรรดิที่ปกครองโลก มีความสุขเพราะไม่มีใครเป็นศัตรูกับพระองค์ท่าน ความสุขทั้งหลายเหล่านั้นไม่ได้เศษ ๑ ส่วน ๑๖ ของพระโสดาบัน ถ้าหากในการรบ...ต้องยกพลขึ้นบกให้ได้ ถ้ายังลอยลำอยู่ในทะเลอยู่ โอกาสตายมีเกินร้อย เพราะฉะนั้น..จะยกพลขึ้นบก ต้องยึดหัวหาดอันดับแรกให้ได้ คือ อารมณ์พระโสดาบัน ทำความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้มั่นคง ให้เคารพในส่วนของคุณพระรัตนตรัยแท้ ๆ ไม่ใช่ 'กราบพระพุทธก็ติดทองคำ กราบพระธรรมก็ติดคัมภีร์ กราบพระสงฆ์ทีไรก็ติดแต่ลูกชาวบ้าน'

ทำอย่างไรจะให้เรามองเห็นคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่เป็นคุณพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง ก็ต้องเกิดจากการปฏิบัติของเรา การปฏิบัติถ้าหากเราอยู่กับสติสมาธิในปัจจุบัน สามารถรู้ลมหายใจได้ตลอด หายใจเข้าผ่านจมูก ผ่านอก ลงไปสู่ท้อง หายใจออกจากท้อง ผ่านอก มาสู่ที่ปลายจมูก ใครทำอย่างนี้ได้อาตมาขอยืนยันว่า นั่นเป็นอารมณ์ของปฐมฌาน เพียงแต่ว่าท่านจะทรงได้นานแค่ไหนเท่านั้นเอง

ถ้าหากเราสามารถทรงเป็นปฐมฌานละเอียดได้ ก็จะรู้ลมเองโดยอัตโนมัติ สติจะรู้รอบ กำลังของสมาธิจะกดไฟใหญ่สามกอง คือ รัก โลภ โกรธ หลงดับลงไปชั่วคราว เพราะว่ารักกับโลภเขาจัดเป็นกองเดียวกัน ทันทีที่ไฟทั้งสามกองใหญ่ดับลงชั่วคราว ความสุขอย่างไม่เคยปรากฏในชีวิตจะปรากฎขึ้น ถ้าเราใช้ปัญญาเพิ่มเติมสักเล็กน้อย ก็จะรู้ว่านี่เราเป็นโลกียบุคคลแล้ว แม้ว่าจะเป็นเพียงฌานลาภีบุคคล ก็คือบุคคลผู้ทรงฌานได้ ก็แค่ปฐมฌานเท่านั้น เด็ก ป.๑ เท่านั้น...! ยังมีความสุขขนาดนี้ ท่านที่ทรงฌาน ๒ จะสุขมากกว่านี้เท่าไร ? ฌาน ๓ จะสุขมากกว่านี้เท่าไร ? ฌาน ๔ จะสุขมากกว่านี้เท่าไร ? แล้วความสุขของท่านทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ได้ความสุขส่วนเสี้ยวหนึ่งของพระโสดาบัน

ในเมื่อพระโสดาบันมีความสุขขนาดนั้นแล้ว พระสกทาคามีที่ รัก โลภ โกรธ เบาบางจนแทบไม่เหลือแล้ว ท่านจะสุขขนาดไหน ? พระอนาคามีที่ตัด รัก โลภ โกรธ ได้อย่างแท้จริงเหลือแต่ความหลงเพียงเล็กน้อย จะมีความสุขขนาดไหน ? พระอรหันต์ที่พ้นกิเลสแล้วโดยสิ้นเชิง ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ? แล้วพระพุทธเจ้าที่เป็นจอมพระอรหันต์ พระองค์ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ?

เราก็จะเห็นคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริงในตอนนี้ คราวนี้การกราบไหว้ ก็จะกราบไหว้ออกจากใจจริง ไม่ใช่สักแต่เพียงกราบให้ครบ ๓ ครั้งเท่านั้น แต่เป็นการกราบพร้อมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เมื่อเอ่ยคำว่า นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เราก็จะน้อมไปทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระพุทธเจ้า ขอยึดพระธรรม ขอยึดพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ก็จะยึดจริง ๆ กายก็ยึด วาจาก็ยึด ใจก็ยึด ถ้าอย่างนี้การก้าวถึงความเป็นพระโสดาบันของเราก็ไม่ยากแล้ว เพราะว่ากำลังใจที่เคารพขนาดนั้น จะให้ล่วงเกินด้วย กาย วาจาและใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลังไม่มีแน่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 11-06-2017 เมื่อ 16:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 101 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 19-04-2009, 10:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก็เหลืออยู่อย่างเดียวคือ ให้เรามาทบทวนศีลทุกสิกขาบทของเราให้บริสุทธิ์ ไม่ล่วงละเมิดศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุยงให้คนอื่นทำ และไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำ ก็เหลือข้อสุดท้าย ได้แก่ ทำความรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ความตายมีแก่เราตลอดเวลา หายใจเข้า...ไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออก...ไม่หายใจเข้าก็ตายแล้ว ให้กำหนดใจไว้เลยว่า ถ้าหากว่าเราตายลงไป ขึ้นชื่อว่าการเกิดใหม่เราไม่ต้องการอีก ร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์นี้เราก็ไม่ต้องการ โลกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนเราก็ไม่ต้องการ เทวดา พรหม ที่มีความสุขชั่วคราวเราก็ไม่ต้องการ เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน

ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวอัตโนมัติอย่างนี้ เราก็ยึดหัวหาดได้แน่นอน ยืนได้เต็มสองฝ่าเท้าแล้ว ก็จะมีแก่ใจบุกไปข้างหน้า คราวนี้ถอยหลังไม่ได้แล้ว คำว่าถอยไม่มี ตัวถอยโดนตัดทิ้งไปแล้ว ก็มีแต่เจริญก้าวหน้าไปตามลำดับ

ดังนั้น..แม้ว่าเราจะเป็นธรรมเสนา เป็นทหารในกองทัพธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ถ้ายังยึดหัวหาดไม่ได้ ก็เรียกตัวเองว่าทหารของพระพุทธเจ้าไม่ได้เต็มปากเต็มคำ เหมือนกับพวกเราที่รักษาศีลให้บริสุทธิ์ไม่ได้ แล้วบอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ปาน ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง ก็ไม่มีใครเขาเชื่อน้ำหน้า ดังนั้น..พวกเราทุกคนต้องฝึกกาย วาจา ใจ ให้สมกับเป็นทหาร การเป็นทหารนั้นเท่อย่าบอกใครเลย กองทัพของพระพุทธเจ้าท่านรับทุกคน ไม่ต้องเสียเวลาทดสอบสมรรถภาพร่างกายด้วย ขอให้ใจรักจริง ๆ ก็ก้าวเข้ามาได้เลย

พวกเราเป็นทหารที่รบราฆ่าฟันกับทางโลกมาเยอะแล้ว ลองมารบกับกิเลสดูบ้างว่ายากเท่ากันหรือไม่ ? ถ้าสามารถทำตนให้สมบูรณ์พร้อมอย่างที่กล่าวมาได้นี่.. เป็นแค่ก้าวแรก ก้าวแรก...ถ้าหากว่าหยาบ ๆ เราก็ต้องเกิดมาทุกข์อีกตั้ง ๗ ครั้ง แต่ละครั้งระยะเวลายาวนานแค่ไหนก็ไม่รู้ ถ้าไปเกิดต้นกัปเจอเข้าสักแปดหมื่นปีหรือแสนปี...โอ้พระเจ้า..!

เพราะฉะนั้น..ถ้ามาถึงตรงนี้แล้วทำอย่างไร ? เราก็ต้องก้าวต่อไปให้เหลือแค่สามครั้ง เหลือหนึ่งครั้ง จนกระทั่งไม่เหลือสักครั้ง หรือว่าพ้น ๆ ไปเลยได้ก็วิเศษ นี่เป็นภาระของพวกเราที่ต้องศึกษาและปฏิบัติ ท่านถึงได้เรียกว่า เสขบุคคล บุคคลที่ยังต้องศึกษาอยู่ แต่เสขบุคคลในความหมายของพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านหมายเอาพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2012 เมื่อ 03:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 94 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 19-04-2009, 10:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระพุทธเจ้าตรัสว่าชีวิตเป็นของน้อย จะสิ้นลงไปเมื่อไรก็ไม่แน่ ชีวิตไม่เที่ยง เพราะว่าความตายไม่มีเวลา แต่ความตายเป็นของเที่ยง คือมาถึงแก่ชีวิตของทุกคนอย่างแน่นอน เมื่อเป็นดังนั้นถ้าเราประมาท ตายไปแล้วทรงความดีไม่ได้ ก็แปลว่าชาตินี้เกิดมาขาดทุนชนิดล้มละลายเลย แต่ถ้าตายแล้วทรงความดีได้ ก็ยังไม่แน่ว่าจะได้เท่าไร เพราะฉะนั้น..ชีวิตของเราที่เหลือไม่ได้มีมาก

ถ้าคิดแบบประมาทก็คือมีแค่วันนี้ ถ้าคิดแบบไม่ประมาทก็คือมีแค่ชั่วลมหายใจนี้ ในเมื่อเวลาเรามีแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง เราจะทุ่มเทให้กับการปฏิบัติธรรมไม่ได้เชียวหรือ ? เราเหนื่อยแค่ตอนนี้เอง แต่ถ้าเหนื่อยแล้วพ้นทุกข์...คุ้มค่าหรือไม่ ? จะแลกด้วยทรัพย์สินเงินทองเท่าไร มีใครเขาจะยอมแลก เพราะฉะนั้น..เรื่องแค่นี้ทำไมเราจะยอมเหนื่อยไม่ได้ ยอมทุ่มเทยอมเหนื่อยยากให้สมกับเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง ลูกศิษย์หลวงปู่ปาน เป็นธรรมเสนาคือทหารในกองทัพของพระพุทธเจ้า เราต้องทำให้ได้

ถ้าหากว่ายากเกินความสามารถของพวกเรา พระพุทธเจ้าไม่เอาธรรมะมาแสดงตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์หรอก เพราะว่าไม่ยากเกินความสามารถของมนุษย์ทั่วไป พระองค์ท่านจึงแสดงเอาไว้ และบุคคลที่สามารถฟันฝ่ากองทัพข้าศึก จนกระทั่งล่วงพ้นสู่แดนเกษมมีมานับไม่ถ้วนแล้ว...เราจะเป็นคนต่อไปหรือไม่ ?

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ที่ฝากเอาไว้ให้ก็เพราะว่า ถ้าพวกเรายังประมาทอยู่ ก็จะไปได้ช้ามาก ต้องเกิดมาทุกข์อีกนับชาติไม่ถ้วน ทำอย่างไรที่เราจะรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ว่าร่างกายนี้จะพังลงไปเมื่อไรก็ไม่รู้ ทำอย่างไรที่เราจะรู้ตัวตลอดเวลา แล้วตั้งหน้าทำความดีให้สมกับที่เกิดมา การจะเกิดมาเป็นมนุษย์ก็แสนยาก เกิดเป็นมนุษย์จะได้พบพระพุทธศาสนาก็แสนยาก เพราะพระพุทธเจ้านั้นเกิดยากเสียยิ่งกว่ายาก เกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนาแล้ว จะได้ฟังธรรมก็แสนยากอีก ฟังธรรมแล้วจะเลื่อมใสก็แสนยาก เลื่อมใสแล้วจะตั้งใจปฏิบัติตามก็แสนยาก บัดนี้..ความยากทั้งหลายเราฝ่าฟันมาจนถึงก้าวนี้แล้ว ตรงนี้แล้ว แค่ก้าวต่อไปอีกนิดเดียวเท่านั้น

พวกเราต้องระลึกอยู่เสมอว่า เราเป็นทหารในกองทัพธรรม เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ เป็นหลานหลวงปู่ฤๅษี อย่าให้เสียชื่อครูบาอาจารย์ อย่าแพ้พ่ายกิเลสบ่อยนัก เดี๋ยวมารจะตำหนิเอาได้ เขาไม่ตำหนิเราคนเดียว แต่ล่วงล้ำไปถึงครูบาอาจารย์ พาขายหน้าไปสามโลก ขึ้นไปก็ชี้หน้าว่า นั่นทหารที่ท่านฝึกมา..ทำได้แค่นี้เอง !! ขี้เกียจไปทะเลาะกับมาร วันนี้ก็ขอฝากทุกคนไว้เพียงเท่านี้


เทศน์
ก่อนทำกรรมฐานที่บ้านอนุสาวรีย์
วันที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 21-12-2014 เมื่อ 08:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 107 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:38



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว