กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 29-01-2019, 18:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๒

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญ มีความชอบใจมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ วันนี้จะขอกล่าวถึงกรรมฐานกองหนึ่ง ซึ่งควรอย่างยิ่งที่เราจะต้องกระทำ เพื่อทำให้สภาพจิตใจของเรานั้นประกอบไปด้วยความอ่อนโยน เยือกเย็น สามารถทรงอารมณ์กรรมฐานกองอื่น ๆ ได้ง่าย นั่นก็คือ พรหมวิหาร ๔

พรหมวิหาร ๔ นี่มีหลายชื่อ คำว่า พรหมวิหาร คือที่อยู่ของพรหมหรือของผู้ใหญ่ แปลว่า บุคคลที่เป็นใหญ่จะต้องประกอบไปด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นปกติอย่างหนึ่ง

อีกอย่างหนึ่งเรียกว่า สัพพัตถกกรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่ประกอบไปด้วยสารพัดประโยชน์ หนุนเสริมในการปฏิบัติของเราในทุก ๆ ด้าน อีกชื่อหนึ่งเรียกว่า อารักขกรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่ช่วยรักษาตนจากอันตรายต่าง ๆ ที่จะพึงมีพึงเกิด

ในเรื่องของพรหมวิหารนั้น ส่วนใหญ่แล้วเราเองมีความเข้าใจแต่ไม่ชัดเจน พรหมวิหารจะว่าไปแล้วเป็นกรรมฐาน ๔ กองด้วยกัน

กองแรก คือ เมตตาพรหมวิหาร มีความรักเขาเสมอด้วยตัวเรา ก็แปลว่าเราชอบอะไร เราก็ทำแบบนั้นกับคนอื่น เราไม่ชอบอะไร เราก็อย่าทำแบบนั้นกับคนอื่น

กรุณาพรหมวิหาร มีความสงสาร อยากให้คนอื่นเขาพ้นจากความทุกข์ความลำบากที่เป็นอยู่

มุทิตาพรหมวิหาร มีความยินดีเมื่อเห็นคนอื่นอยู่ดีมีสุข ไม่อิจฉาริษยาใคร และ

อุเบกขาพรหมวิหาร รู้จักปล่อยวางเมื่อเกินกำลัง ก็หมายความว่าเราจะรักจะสงสารขนาดไหน ถ้าช่วยไม่ไหวก็ต้องวางเฉยไว้ก่อน มีโอกาสแล้วเราค่อยช่วยเหลือใหม่

คราวนี้ในส่วนที่เราควรจะทำก็คือการแผ่เมตตา คือการส่งกำลังใจที่เต็มไปด้วยความหวังดี ปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย อยากจะให้เขาพ้นจากกองทุกข์ อยากจะให้เขาอยู่ดีมีสุข ใครที่มีความสุขอยู่แล้วก็ขอให้มีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2019 เมื่อ 02:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 29-01-2019, 19:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากว่าเรามีการแผ่เมตตาเป็นปกติ สภาพจิตของเราจะเยือกเย็นทรงตัว ศีลทุกข้อจะรักษาได้โดยง่าย กรรมฐานทุกกองก็จะไม่แห้งแล้ง มีความชุ่มชื่น กระปรี้กระเปร่า อยากจะปฏิบัติแบบไม่เบื่อไม่หน่าย เป็นต้น

คราวนี้การแผ่เมตตานั้น ถ้าหากว่าเรากำหนดกำลังใจคิดว่า เราหวังดีปรารถนาดีต่อผู้อื่นอย่างไร กำลังใจของเราก็ทรงตัวยาก และไม่สามารถที่จะแผ่ออกไปกว้างไกลอย่างที่ต้องการ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องควบกับลมหายใจเข้าออก ก็คืออาศัยกำลังฌาณสมาบัติจากอานาปานสติในการแผ่เมตตา เพื่ออาศัยความกว้างไกล ไร้ขอบเขต ไม่มีประมาณของสมาธิที่จะเกิดขึ้น

ดังนั้น..ในการที่เรากำหนดภาวนาในแต่ละวัน เมื่ออารมณ์ใจทรงตัวเต็มที่แล้ว ก็ขอให้ทุกคนตั้งใจกำหนดแผ่เมตตา ถ้าเอาแบบที่อาตมาเคยสอนก็คือกำหนดภาพพระขึ้นมา ให้สว่างไสวที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ แล้วตั้งใจกำหนดให้รัศมีความสว่างนั้น แทนพระเมตตาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่แผ่ออกไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพทุกภูมิทุกหมู่ทุกเหล่า บุคคลใดตกอยู่ในห้วงทุกข์ ขอให้พ้นจากกองทุกข์ บุคคลใดมีความสุข ขอให้มีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป

แรก ๆ ก็กำหนดแผ่ออกมาแค่รอบตัวเรา ถ้าสมาธิทรงตัวมากก็แผ่กว้างไปทั้งห้องที่เราอยู่ ถ้ามีกำลังสูงกว่านั้นก็กว้างออกไปทั้งบ้าน กว้างออกไปทั้งหมู่บ้าน ทั้งตำบล ทั้งอำเภอ ทั้งจังหวัด ทั้งประเทศ ทั้งโลก เป็นต้น ถ้าแผ่เมตตาถึงที่สุด จะรู้สึกเหมือนตัวเราโตเต็มแผ่นดินแผ่นฟ้า โลกเราเป็นแค่วัสดุเล็ก ๆ ที่อยู่ภายใต้ร่างกายของเรา สามารถกำหนดจิตครอบคลุมให้ทั่วถึงได้โดยง่าย จักรวาลที่ประกอบไปด้วยดวงดาวต่าง ๆ นับไม่ถ้วน สามารถแผ่กำลังใจครอบคลุมให้ทั่วถึงได้โดยง่าย

ถ้าลักษณะอย่างนี้ก็แปลว่า ท่านสามารถใช้กำลังของพรหมวิหาร ประกอบกับอานาปานสติในการแผ่เมตตา ก็ขอให้กระทำทุกครั้งที่ภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัว

ถ้าอย่างหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต องค์ปรมาจารย์แห่งพระสายวัดป่า ท่านบอกว่าท่านกำหนดแผ่เมตตาใหญ่ ๆ วันหนึ่งอย่างน้อย ๓ ครั้ง แล้วแผ่เมตตาเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกนับครั้งไม่ถ้วน เพราะเหตุนี้เอง กำลังใจของท่านจึงได้ทรงตัว เยือกเย็น สามารถกำหนดกองกรรมฐานต่าง ๆ ได้ง่าย

ดังนั้น..ในเรื่องของเมตตาพรหมวิหารจึงเป็นกรรมฐานที่ต้องแสวงหา ต้องกระทำให้ได้ เพราะว่าเป็นกรรมฐานสารพัดประโยชน์ มีแต่จะหนุนเสริมการปฏิบัติของเราให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป



ลำดับต่อไป ขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม,ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันอาทิตย์ที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๒

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2019 เมื่อ 02:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:36



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว