กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 19-11-2011, 12:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,739 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตัวจ้ะ โดยเฉพาะตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า ระบายลมหายใจเข้าออกยาว ๆ สัก ๒-๓ ครั้ง เมื่อระบายลมหยาบออกหมดแล้ว ค่อยปล่อยให้ลมหายใจเป็นไปตามธรรมชาติ

หายใจเข้า..กำหนดความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..กำหนดความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมา หายใจเข้าใช้คำภาวนาที่เราชำนาญ หายใจออกใช้คำภาวนาที่เราชำนาญ ให้ความรู้สึกผูกอยู่กับลมหายใจเข้าออกและคำภาวนานี้ ถ้าคิดเรื่องอื่นก็ให้ดึงกลับมาอยู่ตรงนี้ พยายามรักษากำลังใจให้อยู่เฉพาะหน้า อยู่กับปัจจุบันตอนนี้ให้ได้

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๔ เป็นการปฏิบัติธรรมวันที่สองของเดือนนี้ของพวกเรา สภาวะน้ำท่วมซึ่งปรากฏอยู่ทั่วไปและมีทีท่าว่าจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ นั้น ทำให้หลายต่อหลายท่านเครียดโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากว่าเป็นสภาวะกดดันที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่ผ่านไป ความรู้สึกตั้งแต่เห็นคนอื่นโดนน้ำท่วม ความรู้สึกที่ว่าน้ำใกล้จะมาถึงบ้านเราแล้ว ความรู้สึกที่ว่าน้ำท่วมบ้านของเราแล้ว เป็นแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นตามระยะเวลา

โดยเฉพาะบ้านไหนถ้ามีคนแก่ ซึ่งส่วนมากแล้วจะยึดติดกับสถานที่ ไม่ยอมอพยพโยกย้าย ไม่ยอมรับฟัง ไม่ยอมรับรู้สถานการณ์ว่าหนักหนาเพียงไร ก็จะยิ่งเครียดหนัก โดยเฉพาะบางบ้านมีเด็กเล็ก ๆ หรือมีสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงที่ตนเองรักมาก ก็จะต้องห่วงหน้าพะวงหลังหนักขึ้นไปอีก

ไหนจะต้องหาข้าวปลาอาหารและน้ำดื่ม น้ำใช้ ยารักษาโรคเตรียมไว้ ไหนจะต้องหาทางหนีทีไล่ว่าถึงวาระแล้วจะอพยพโยกย้ายอย่างไร ไหนจะต้องคอยดูแลคนแก่ ดูแลเด็ก ๆ ดูแลสัตว์เลี้ยงของตนเอง ก็ทำให้สภาพจิตของเราเครียดโดยไม่รู้ตัว หรือถึงรู้ตัวก็ไม่สามารถที่จะตั้งสติ ตั้งกำลังใจของตัวเองให้มั่นคงขึ้นมาได้

ในสภาวะเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่มีความคล่องตัวจริง ๆ ในการปฏิบัติ ที่ได้ชื่อว่าจะทรงสมาธิเมื่อไรก็ได้ทันที ย่อมไม่มีใครสามารถที่จะรักษากำลังใจให้มั่นคงผ่องใสอยู่ได้ ย่อมเป็นไปตามสภาวะแวดล้อมของน้ำที่ท่วมเข้ามาอยู่ตลอดเวลา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-11-2011 เมื่อ 15:51
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 20-11-2011, 06:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,739 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าถามว่าการที่เราจะรักษาสภาพจิตให้ผ่องใสมั่นคงอยู่ได้นั้น ต้องรักษาถึงระดับไหน ? ถ้าหากว่าถามเช่นนี้ คำตอบที่อยากจะบอกกับทุกท่านก็คือว่า ต้องให้ได้ถึงระดับที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในมงคลสูตรว่า ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะนะกัมปะติ คือสภาพจิตที่กระทบโลกธรรมแล้วไม่หวั่นไหว ก็แปลว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เกิดขึ้นกับเรา หรือเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เกิดขึ้นกับเรา เราก็ไม่หวั่นไหว สามารถรักษากำลังใจให้ตั้งมั่นผ่องใสคงตัวอยู่ได้ตลอดเวลา

อย่างเช่นตอนนี้ ความทุกข์ที่ระดมมาจากน้ำท่วมรอบด้านเกิดขึ้นกับเรา ถ้าหากว่ากำลังใจของเราไม่ทรงตัวถึงระดับกระทบแล้วไม่หวั่นไหว ก็จะต้องเศร้าหมอง ไม่ผ่องใสเป็นธรรมดา

การที่เราจะรักษากำลังใจของเราให้ทรงตัวตั้งมั่น กระทบกับโลกธรรมแล้วไม่หวั่นไหวได้ ก็ต้องเริ่มพื้นฐานจากศีล ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ หรือศีล ๘ ก็ดี ต้องรักษาศีลของเราให้ทรงตัวมั่นคง ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นกระทำ ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นทำการละเมิดศีลนั้น ๆ

เมื่อเราทุ่มเทสติสมาธิอยู่กับการระมัดระวังตนเองไม่ให้ละเมิดศีล ระมัดระวังไม่ให้ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ระมัดระวังไม่ให้เรายินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ก็แปลว่าเรามีกำลังสมาธิที่สามารถจะควบคุมกาย ควบคุมวาจา และควบคุมใจของเราได้แล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ การปฏิบัติในสมาธิภาวนาของเราก็จะทรงตัวตั้งมั่นได้ง่าย เราจะเห็นได้ว่า ศีลเป็นเครื่องหนุนให้สมาธิทรงตัวตั้งมั่นได้ง่าย

เมื่อสมาธิทรงตัวตั้งมั่นแล้ว สภาพจิตมีความผ่องใส ปัญญาก็จะเกิดขึ้น ในช่วงปัญญาที่เกิดขึ้นนี้มีทั้งในส่วนของจินตามยปัญญา คือขบคิดแล้วเข้าใจ ว่าควรต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไรจึงจะรักษาสภาพจิตให้ผ่องใสได้ และมีทั้งภาวนามยปัญญา สภาพจิตที่ยอมรับเห็นธรรมดาของโลก เห็นว่าการอยู่ในโลกนี้มีปกติที่จะต้องพบกับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และต้องพบกันเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เป็นปกติ

จิตใจจะยอมรับ เห็นธรรมดาแล้วปล่อยวางลงได้ ก็จะไม่ไปแบกไปหามความทุกข์เอาไว้ในใจ ให้ตัวของเราต้องเครียดต้องมากลุ้มใจ จากสภาพแวดล้อมที่เกิดจากน้ำท่วมอย่างนี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-11-2011 เมื่อ 10:10
สมาชิก 64 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 21-11-2011, 16:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,739 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พวกเราส่วนใหญ่แล้ว รักษาศีลได้เป็นปกติ ก็ให้มาเน้นที่สมาธิเป็นหลัก ก็คือการอยู่กับลมหายใจเข้าออก รักษาสติสมาธิของเราให้จดจ่อตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบันธรรมตรงหน้า คืออยู่กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก อยู่กับคำภาวนาหรือภาพพระของเรา

เมื่ออารมณ์ทรงตัวถึงระดับที่เราพอใจแล้ว ก็อย่าลืมแผ่เมตตาด้วย กำหนดใจของเราให้เปี่ยมไปด้วยความรักความสงสาร อยากให้เพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหมดที่เผชิญหน้ากับสภาวะน้ำท่วมอยู่ มากบ้างน้อยบ้าง ให้ล่วงพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้นโดยเร็ว ขอให้รัฐบาลและข้าราชการทุกภาคส่วน สามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมให้ลุล่วงไปโดยง่าย

เมื่อเราแผ่เมตตาออกไปจนกำลังใจทรงตัวแล้ว ก็มาพิจารณาให้เห็นชัดว่า สภาพร่างกายของเราเมื่อเกิดมาก็มีความทุกข์เช่นนี้เป็นปกติ การที่น้ำท่วมนั้นเป็นเพียงทุกข์จรที่เพิ่มขึ้นมาเท่านั้น สภาวะทุกข์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเรา คือทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์ของการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของการปรารถนาที่ไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ มีกับร่างกายนี้เป็นปกติอยู่แล้ว มีมากกว่าทุกข์จรจากน้ำท่วมจนนับเท่าไม่ได้

และในขณะเดียวกัน นิพัทธทุกข์ คือความทุกข์เนืองนิตย์ที่เกิดขึ้นกับสภาวะร่างกายนี้ ไม่ว่าจะเป็นความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความปวดอุจจาระปวดปัสสาวะ ความสกปรกโสโครกของร่างกาย มีปรากฏเป็นความทุกข์ปกติอยู่แล้ว เราเกิดมาเมื่อไรเราก็ต้องเผชิญกับความทุกข์ที่หนักหนาสาหัสเช่นนี้ไปทุกชาติ แล้วถ้ายิ่งสภาวะจิตตกต่ำลงไปสู่อบายภูมิ ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ก็จะหนักยิ่งขึ้น

ดังนั้น..การขึ้นชื่อว่าเกิดมามีความทุกข์เช่นนี้ เราไม่ต้องการอีกแล้ว การเกิดมามีสภาพร่างกายที่มีความทุกข์เช่นนี้ เราไม่ต้องการอีกแล้ว การเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนเช่นนี้ เราไม่ต้องการอีกแล้ว เราปรารถนาที่เดียวคือพระนิพพาน

แล้วให้เรากำหนดใจของเราเกาะพระนิพพาน หรือเกาะภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ ถ้าหากว่ายังมีลมหายใจเข้าออก ก็ตามดูลมหายใจเข้าออกของเราต่อไป ถ้ายังมีคำภาวนา ก็ให้กำหนดการภาวนาของเราต่อไป ถ้าหากว่าลมหายใจเบาลงหรือว่าหายไป คำภาวนาหายไป ก็ให้กำหนดใจรับรู้เอาไว้เท่านั้น

อย่าอยากให้ลมหายใจหรือคำภาวนากลับมา อย่าอยากให้ลมหายใจหรือคำภาวนาหายไป วางกำลังใจเป็นกลาง ๆ มีหน้าที่เป็นคนดู กำหนดรู้ต่อไปเรื่อย ๆ รักษากำลังใจของเราเอาไว้เช่นนี้ จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2011 เมื่อ 16:36
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 05-02-2012, 22:53
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 259
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,225 ครั้ง ใน 1,280 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2554-11-05

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:44



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว