กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 20-02-2012, 20:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕

ให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตัวเอง ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่เฉพาะหน้า หายใจเข้าให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออกให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามอัธยาศัยที่เราชอบใจ

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๕ เป็นการเจริญกรรมฐานวันสุดท้ายของต้นเดือนนี้ วันนี้มีญาติโยมท่านหนึ่งที่มาเล่าให้ฟังว่า เวลาที่ผ่านมาเป็นปีที่ไม่ได้มาทำบุญ เพราะว่ากำลังมีความสุขอยู่ แล้วก็สรุปว่าเวลาคนเรามีความสุขไม่ค่อยจะคิดถึงพระถึงเจ้า แต่เวลาทุกข์..บางทีนั่งร้องไห้ไปสวดมนต์ไปก็ยังดี พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าสุขแล้วลืมพระ ถ้าทุกข์เมื่อไรถึงจะนึกขึ้นมาได้ว่ามีพระเป็นที่พึ่ง

จึงได้ตักเตือนไปว่า ในเมื่อเรารู้ตัวแล้ว ก็ให้รีบเร่งการปฏิบัติใน ศีล สมาธิ และปัญญา เข้าไว้ เผื่อว่าถึงเวลาถ้าความสุขนั้นหมดไป กำลังใจของเราที่มั่นคงขึ้น จะได้มีหลักยึด แล้วก็ไม่ไปเสียใจอยู่กับโลกธรรมนั้น ๆ

ซึ่งการเกิดมาของคนเราทุกคนนั้น จะต้องพบกับโลกธรรมทั้ง ๘ อย่างเป็นปกติอยู่แล้ว ก็คือ ได้ลาภ ได้ยศ ได้รับการสรรเสริญ ได้รับความสุข และ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา ได้รับความทุกข์ เรื่องของโลกธรรมถ้าแปลตามศัพท์ตรง ๆ ก็คือธรรมะประจำโลก ไม่มีใครที่จะหลีกหนีได้พ้น

แต่ถ้าหากว่ากำลังใจของเราทรงตัวมั่นคง ก็จะไม่มีความหวั่นไหว ยิ่งถ้าหากว่ามีปัญญาเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของอิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่น่าใคร่ น่าพอใจ ได้แก่ การได้ลาภ ได้ยศ ได้รับการสรรเสริญ ได้รับความสุข หรือว่าในส่วนของอนิฏฐารมณ์ คืออารมณ์ที่ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ ได้แก่ การเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา ได้รับความทุกข์ ทั้งสองส่วนนี้ล้วนแล้วแต่นำความทุกข์มาให้เราทั้งสิ้น

เพราะว่าในส่วนที่น่ายินดีก็จัดอยู่ในส่วนของราคะ ในส่วนที่ไม่น่ายินดีก็จัดอยู่ในส่วนของโทสะ ดังนั้น...ไม่ว่าเราจะยินดีหรือยินร้ายก็ตาม แปลว่าเราถูกกิเลสครอบงำทั้งคู่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 21-02-2012 เมื่อ 08:36
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 21-02-2012, 15:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บุคคลที่เป็นนักปฏิบัติธรรมอย่างพวกเรา เมื่อกระทบกับโลกธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล้ว จำเป็นที่จะต้องอาศัยกำลังของสมาธิภาวนาเข้ามาต่อสู้ มาหยุดยั้งสภาพจิตของตนเอง ไม่ให้ยินดียินร้ายไปกับเหตุการณ์เหล่านั้น และท้ายสุด..หากว่ามีปัญญาเพียงพอ ก็จะสามารถเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นธรรมดาของโลก เมื่อเห็นว่าเป็นธรรมดาของโลกก็จะค่อย ๆ ปล่อยวาง ไม่ไปยินดียินร้ายกับสิ่งเหล่านี้อีก โลกธรรมทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะครอบงำเราได้

ความน่ากลัวของโลกธรรมนั้นก็คือ ทั้ง ๒ ส่วนล้วนแต่เป็นรากเหง้าของกิเลสใหญ่ ก็คือเป็นส่วนของราคะ หมายรวมเอาโลภะไปด้วย และส่วนของโทสะ ทั้ง ๒ ส่วนนี้ ไม่ว่าจะเป็นราคะหรือโทสะก็ตาม แปลว่าต้องมีโมหะอยู่ด้วย เพราะถ้าไม่มีโมหะคือความหลงผิด เราก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ไปยินดียินร้ายในอารมณ์ทั้ง ๒ ฝ่ายนั้น

เมื่อเราเห็นดังนี้แล้ว ก็ต้องพยายามปลีกตัวออกมา โดยการสร้างเกราะป้องกันตนเอง ด้วยกำลังของศีล ของสมาธิ ของปัญญานั่นเอง ถ้าหากว่าศีลของเราทรงตัว สมาธิก็ตั้งมั่นได้ง่าย เมื่อศีลทรงตัวและสมาธิตั้งมั่นแล้ว ย่อมมีปัญญาเห็นทุกข์เห็นโทษจากรากเหง้าใหญ่ของกิเลส ก็จะพยายามถอดถอน ปลด วาง ออกจากใจของเรา ถ้าหากว่าใครปลดได้ วางได้มากเท่าไร ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มากเท่าไร ความสุขที่แท้จริงก็จะเกิดขึ้นกับเรามากเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2012 เมื่อ 15:40
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 22-02-2012, 18:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเราได้ชื่อว่าเป็นพระโยคาวจร คือเป็นผู้ที่ปฏิบัติความดีเพื่อความหลุดพ้น เพื่อพระนิพพานของเรา ขึ้นชื่อว่าโลกธรรมแล้ว ต้องมีสติรู้ระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ได้มาก็ไม่ยินดี เสื่อมไปก็ไม่เสียใจ ถ้าหากว่าเป็นดังนี้ ท่านทั้งหลายก็สามารถรักษาความผ่องใสของจิตใจเอาไว้ได้ ก็แปลว่าเราได้ปฏิบัติตามโอวาท ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า “สจิตฺตปริโยทปนํ” คือการชำระจิตของตนให้ผ่องใสจากกิเลสทั้งปวงนั่นเอง

ดังนั้น..เมื่อเห็นญาติโยมที่กล่าวว่า เมื่อตนเองมีความสุขมากก็ลืมที่จะเข้าวัดเข้าวา ก็ขอให้เรายึดถือท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นตัวอย่าง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพบเราเห็นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะด้านดีหรือด้านไม่ดีก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นครูสอนอย่างดียิ่งสำหรับเราทั้งหลาย ด้านที่ดีเกิดขึ้นกับใคร ก็ให้รู้ว่าเขาเหล่านั้นได้สร้างความดีด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจมาก่อน ขณะนี้ผลดีได้เกิดขึ้นกับเขาแล้ว

ถ้าเราสร้างความดีด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจอย่างเขาบ้าง ผลดีเหล่านี้ก็จะเกิดกับเราเช่นกัน ขณะเดียวกัน..ถ้าหากว่าผลร้ายเกิดกับใคร ก็ให้รู้ว่านั่นเขาเคยสร้างความชั่วทางกาย ทางวาจา ทางใจมาก่อน ปัจจุบันนี้กรรมชั่วนั้นกำลังส่งผลแก่เขาทั้งหลายเหล่านั้น ถ้าเราเองไม่หวั่นเกรง กระทำกรรมชั่วเหล่านั้นบ้าง ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจแบบนั้น ผลชั่วทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ช้าก็เร็วก็จะเกิดขึ้นแก่เราเช่นนั้น

เมื่อพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว เราก็จะรู้จักละชั่ว ทำดี ในเมื่อเราละความชั่วไปเรื่อย สร้างความดีให้เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดกำลังความดีมีมากกว่า เราก็จะยืนหยัดได้อย่างมั่นคง มีคติคือที่ไปในเบื้องหน้าที่แน่นอน เมื่อสามารถทำอย่างนั้นได้ ท้ายสุดเราไม่ยึดมั่นทั้งความดีและความชั่ว สามารถที่จะปล่อยวางลงได้ทั้ง ๒ ส่วน เข้าถึงอารมณ์ความเป็นกลางอย่างแท้จริง เราก็จะมีพระนิพพานเป็นที่ไป

สำหรับตอนนี้ก็ให้ท่านทั้งหลายกำหนดการภาวนาและพิจารณากันตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนาธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-02-2012 เมื่อ 21:18
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 18-03-2012, 18:37
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 259
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,227 ครั้ง ใน 1,280 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2555-02-05

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:06



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว