กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 19-11-2011, 12:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,379 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตัวจ้ะ โดยเฉพาะตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า ระบายลมหายใจเข้าออกยาว ๆ สัก ๒-๓ ครั้ง เมื่อระบายลมหยาบออกหมดแล้ว ค่อยปล่อยให้ลมหายใจเป็นไปตามธรรมชาติ

หายใจเข้า..กำหนดความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..กำหนดความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมา หายใจเข้าใช้คำภาวนาที่เราชำนาญ หายใจออกใช้คำภาวนาที่เราชำนาญ ให้ความรู้สึกผูกอยู่กับลมหายใจเข้าออกและคำภาวนานี้ ถ้าคิดเรื่องอื่นก็ให้ดึงกลับมาอยู่ตรงนี้ พยายามรักษากำลังใจให้อยู่เฉพาะหน้า อยู่กับปัจจุบันตอนนี้ให้ได้

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๔ เป็นการปฏิบัติธรรมวันที่สองของเดือนนี้ของพวกเรา สภาวะน้ำท่วมซึ่งปรากฏอยู่ทั่วไปและมีทีท่าว่าจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ นั้น ทำให้หลายต่อหลายท่านเครียดโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากว่าเป็นสภาวะกดดันที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่ผ่านไป ความรู้สึกตั้งแต่เห็นคนอื่นโดนน้ำท่วม ความรู้สึกที่ว่าน้ำใกล้จะมาถึงบ้านเราแล้ว ความรู้สึกที่ว่าน้ำท่วมบ้านของเราแล้ว เป็นแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นตามระยะเวลา

โดยเฉพาะบ้านไหนถ้ามีคนแก่ ซึ่งส่วนมากแล้วจะยึดติดกับสถานที่ ไม่ยอมอพยพโยกย้าย ไม่ยอมรับฟัง ไม่ยอมรับรู้สถานการณ์ว่าหนักหนาเพียงไร ก็จะยิ่งเครียดหนัก โดยเฉพาะบางบ้านมีเด็กเล็ก ๆ หรือมีสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงที่ตนเองรักมาก ก็จะต้องห่วงหน้าพะวงหลังหนักขึ้นไปอีก

ไหนจะต้องหาข้าวปลาอาหารและน้ำดื่ม น้ำใช้ ยารักษาโรคเตรียมไว้ ไหนจะต้องหาทางหนีทีไล่ว่าถึงวาระแล้วจะอพยพโยกย้ายอย่างไร ไหนจะต้องคอยดูแลคนแก่ ดูแลเด็ก ๆ ดูแลสัตว์เลี้ยงของตนเอง ก็ทำให้สภาพจิตของเราเครียดโดยไม่รู้ตัว หรือถึงรู้ตัวก็ไม่สามารถที่จะตั้งสติ ตั้งกำลังใจของตัวเองให้มั่นคงขึ้นมาได้

ในสภาวะเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่มีความคล่องตัวจริง ๆ ในการปฏิบัติ ที่ได้ชื่อว่าจะทรงสมาธิเมื่อไรก็ได้ทันที ย่อมไม่มีใครสามารถที่จะรักษากำลังใจให้มั่นคงผ่องใสอยู่ได้ ย่อมเป็นไปตามสภาวะแวดล้อมของน้ำที่ท่วมเข้ามาอยู่ตลอดเวลา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-11-2011 เมื่อ 15:51
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 20-11-2011, 06:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,379 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าถามว่าการที่เราจะรักษาสภาพจิตให้ผ่องใสมั่นคงอยู่ได้นั้น ต้องรักษาถึงระดับไหน ? ถ้าหากว่าถามเช่นนี้ คำตอบที่อยากจะบอกกับทุกท่านก็คือว่า ต้องให้ได้ถึงระดับที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในมงคลสูตรว่า ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะนะกัมปะติ คือสภาพจิตที่กระทบโลกธรรมแล้วไม่หวั่นไหว ก็แปลว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เกิดขึ้นกับเรา หรือเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เกิดขึ้นกับเรา เราก็ไม่หวั่นไหว สามารถรักษากำลังใจให้ตั้งมั่นผ่องใสคงตัวอยู่ได้ตลอดเวลา

อย่างเช่นตอนนี้ ความทุกข์ที่ระดมมาจากน้ำท่วมรอบด้านเกิดขึ้นกับเรา ถ้าหากว่ากำลังใจของเราไม่ทรงตัวถึงระดับกระทบแล้วไม่หวั่นไหว ก็จะต้องเศร้าหมอง ไม่ผ่องใสเป็นธรรมดา

การที่เราจะรักษากำลังใจของเราให้ทรงตัวตั้งมั่น กระทบกับโลกธรรมแล้วไม่หวั่นไหวได้ ก็ต้องเริ่มพื้นฐานจากศีล ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ หรือศีล ๘ ก็ดี ต้องรักษาศีลของเราให้ทรงตัวมั่นคง ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นกระทำ ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นทำการละเมิดศีลนั้น ๆ

เมื่อเราทุ่มเทสติสมาธิอยู่กับการระมัดระวังตนเองไม่ให้ละเมิดศีล ระมัดระวังไม่ให้ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ระมัดระวังไม่ให้เรายินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ก็แปลว่าเรามีกำลังสมาธิที่สามารถจะควบคุมกาย ควบคุมวาจา และควบคุมใจของเราได้แล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ การปฏิบัติในสมาธิภาวนาของเราก็จะทรงตัวตั้งมั่นได้ง่าย เราจะเห็นได้ว่า ศีลเป็นเครื่องหนุนให้สมาธิทรงตัวตั้งมั่นได้ง่าย

เมื่อสมาธิทรงตัวตั้งมั่นแล้ว สภาพจิตมีความผ่องใส ปัญญาก็จะเกิดขึ้น ในช่วงปัญญาที่เกิดขึ้นนี้มีทั้งในส่วนของจินตามยปัญญา คือขบคิดแล้วเข้าใจ ว่าควรต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไรจึงจะรักษาสภาพจิตให้ผ่องใสได้ และมีทั้งภาวนามยปัญญา สภาพจิตที่ยอมรับเห็นธรรมดาของโลก เห็นว่าการอยู่ในโลกนี้มีปกติที่จะต้องพบกับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และต้องพบกันเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เป็นปกติ

จิตใจจะยอมรับ เห็นธรรมดาแล้วปล่อยวางลงได้ ก็จะไม่ไปแบกไปหามความทุกข์เอาไว้ในใจ ให้ตัวของเราต้องเครียดต้องมากลุ้มใจ จากสภาพแวดล้อมที่เกิดจากน้ำท่วมอย่างนี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-11-2011 เมื่อ 10:10
สมาชิก 64 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 21-11-2011, 16:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,379 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พวกเราส่วนใหญ่แล้ว รักษาศีลได้เป็นปกติ ก็ให้มาเน้นที่สมาธิเป็นหลัก ก็คือการอยู่กับลมหายใจเข้าออก รักษาสติสมาธิของเราให้จดจ่อตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบันธรรมตรงหน้า คืออยู่กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก อยู่กับคำภาวนาหรือภาพพระของเรา

เมื่ออารมณ์ทรงตัวถึงระดับที่เราพอใจแล้ว ก็อย่าลืมแผ่เมตตาด้วย กำหนดใจของเราให้เปี่ยมไปด้วยความรักความสงสาร อยากให้เพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหมดที่เผชิญหน้ากับสภาวะน้ำท่วมอยู่ มากบ้างน้อยบ้าง ให้ล่วงพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้นโดยเร็ว ขอให้รัฐบาลและข้าราชการทุกภาคส่วน สามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมให้ลุล่วงไปโดยง่าย

เมื่อเราแผ่เมตตาออกไปจนกำลังใจทรงตัวแล้ว ก็มาพิจารณาให้เห็นชัดว่า สภาพร่างกายของเราเมื่อเกิดมาก็มีความทุกข์เช่นนี้เป็นปกติ การที่น้ำท่วมนั้นเป็นเพียงทุกข์จรที่เพิ่มขึ้นมาเท่านั้น สภาวะทุกข์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเรา คือทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์ของการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของการปรารถนาที่ไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ มีกับร่างกายนี้เป็นปกติอยู่แล้ว มีมากกว่าทุกข์จรจากน้ำท่วมจนนับเท่าไม่ได้

และในขณะเดียวกัน นิพัทธทุกข์ คือความทุกข์เนืองนิตย์ที่เกิดขึ้นกับสภาวะร่างกายนี้ ไม่ว่าจะเป็นความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความปวดอุจจาระปวดปัสสาวะ ความสกปรกโสโครกของร่างกาย มีปรากฏเป็นความทุกข์ปกติอยู่แล้ว เราเกิดมาเมื่อไรเราก็ต้องเผชิญกับความทุกข์ที่หนักหนาสาหัสเช่นนี้ไปทุกชาติ แล้วถ้ายิ่งสภาวะจิตตกต่ำลงไปสู่อบายภูมิ ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ก็จะหนักยิ่งขึ้น

ดังนั้น..การขึ้นชื่อว่าเกิดมามีความทุกข์เช่นนี้ เราไม่ต้องการอีกแล้ว การเกิดมามีสภาพร่างกายที่มีความทุกข์เช่นนี้ เราไม่ต้องการอีกแล้ว การเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนเช่นนี้ เราไม่ต้องการอีกแล้ว เราปรารถนาที่เดียวคือพระนิพพาน

แล้วให้เรากำหนดใจของเราเกาะพระนิพพาน หรือเกาะภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ ถ้าหากว่ายังมีลมหายใจเข้าออก ก็ตามดูลมหายใจเข้าออกของเราต่อไป ถ้ายังมีคำภาวนา ก็ให้กำหนดการภาวนาของเราต่อไป ถ้าหากว่าลมหายใจเบาลงหรือว่าหายไป คำภาวนาหายไป ก็ให้กำหนดใจรับรู้เอาไว้เท่านั้น

อย่าอยากให้ลมหายใจหรือคำภาวนากลับมา อย่าอยากให้ลมหายใจหรือคำภาวนาหายไป วางกำลังใจเป็นกลาง ๆ มีหน้าที่เป็นคนดู กำหนดรู้ต่อไปเรื่อย ๆ รักษากำลังใจของเราเอาไว้เช่นนี้ จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2011 เมื่อ 16:36
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 05-02-2012, 22:53
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 259
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,288 ครั้ง ใน 1,280 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2554-11-05

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:56



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว