กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 09-03-2012, 18:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,209 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๕

ทุกคนขยับตัวนั่งในท่าที่สบายของตน ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้า ไหลตามลมหายใจออกของเรา กำหนดดู กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก พร้อมกับคำภาวนาที่เราถนัด

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ วันนี้มีญาติโยมบางท่าน มาสอบถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องความต่างของจิตวิญญาณ กับวิญญาณในอุปาทานขันธ์ อาตมาก็บอกไปว่า ให้ถามคำถามที่มีประโยชน์แก่ตน ที่ทำให้การปฏิบัติของตนเองก้าวหน้า ไม่ใช่ถามปัญหาที่สงสัยแล้วเอาไปถกกับคนอื่นเขา

เมื่อได้รับคำตอบ ถ้านำไปคัดค้านคนอื่น ก็จะเกิดการโต้เถียงวิวาทะกันขึ้น ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้วว่า บุคคลไม่ควรกล่าววาจาอันเป็นเหตุให้เถียงกัน เพราะวาจาอันเป็นเหตุให้เถียงกันทำให้จำเป็นต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมากจิตใจย่อมฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่านย่อมห่างจากสมาธิ แต่เขาก็ยังยืนยันว่าเป็นประโยชน์แก่ตน ซึ่งความจริงแล้วอาตมาหาได้เห็นประโยชน์ตรงนั้นไม่

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ต้องมาสงสัย บาลีกล่าวไว้ว่า เกวะละปะริปุณณัง ปะริสุทธัง พรัหมะจะริยัง ปะกาเสสิ พระองค์ทรงประกาศพรหมจรรย์ ก็คือ ธรรมวินัยนี้โดยบริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว

คำว่า "บริบูรณ์" หรือ "ปะริปุณณัง" ก็แปลว่าครบถ้วนสมบูรณ์ทุกอย่าง ตัดออกก็ขาด เติมเข้าก็เกิน เราไม่ได้มีหน้าที่ที่ต้องไปสงสัยวิเคราะห์วิจัยใด ๆ ทั้งสิ้น หน้าที่ของเราก็คือปฏิบัติตามอย่างเดียว เหมือนคนที่หิวข้าว เห็นข้าววางอยู่ตรงหน้า ก็ตั้งหน้าตั้งตากินไปให้อิ่ม จะได้เกิดประโยชน์แก่ร่างกายตนเอง ไม่ใช่ไปนั่งเขี่ยดูว่าข้าวจานนี้มีส่วนประกอบอะไรบ้าง มีข้าวกี่เม็ด มีผักกี่ชิ้น มีหมูมีเนื้อมีไก่กี่ชิ้น ประกอบขึ้นมาจากส่วนประกอบอะไรบ้าง ถ้าอย่างนั้นไม่หิวตายเปล่าก็อาจจะเสียเวลาในการที่จะหาประโยชน์จากข้าวจานนั้น

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เช่นกัน เมื่อบริสุทธิ์บริบูรณ์อยู่แล้ว หน้าที่ของเราคือเร่งทำเอาไว้ เราจะได้เป็นผู้ลิ้มรสวิมุตติสุข คือรสแห่งความหลุดพ้นจาก รัก โลภ โกรธ หลง ด้วยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แม้ว่าเป็นวิมุติแบบข่มไว้ก็ดี เป็นวิมุติด้วยองค์วิปัสสนาญาณก็ดี หรือว่าหลุดพ้นโดยสิ้นเชิงก็ดี สิ่งเหล่านี้จะพึงมีพึงเกิดแก่บุคคลที่ตั้งหน้าปฏิบัติเท่านั้น ไม่ใช่บุคคลที่นำเอาข้อธรรมต่าง ๆ ไปนั่งถกเถียงกัน แล้วในที่สุดก็กลายเป็นมานะกิเลส ว่าของกูถูก ของมึงผิด เป็นต้น ยิ่งกลายเป็นพอกพูนกิเลสมากขึ้น กลายเป็นผู้รู้ในฐานะเถรใบลานเปล่า ไม่ได้หาประโยชน์จากหลักธรรมเหล่านั้นอย่างแท้จริงเลย ถ้าใช้คำพูดแรง ๆ ก็ต้องบอกว่าเสียทีที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา หรือว่าเสียชาติเกิดนั่นเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-04-2012 เมื่อ 02:58
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 10-03-2012, 08:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,209 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกส่วนหนึ่งที่พึงระวังก็คือว่า บุคคลที่มีวิสัยเดิมมาในด้านเตวิชโช คือการปฏิบัติตามแนววิชชา ๓ ก็ดี ฉฬภิญโญ คือการปฏิบัติตามแนวอภิญญา ๖ ก็ดี หรือปฏิสัมภิทัปปัตโต คือการปฏิบัติตามแนวของปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ ก็ดี

เมื่อกำลังใจสงบไปถึงจุดหนึ่ง ความสามารถพิเศษต่าง ๆ จะปรากฏขึ้น โดยเฉพาะทิพจักขุญาณปรากฏขึ้น ส่วนใหญ่แล้วก็จะไปยึดมั่นถือมั่นว่า สิ่งที่เรารู้เห็นต้องเป็นจริงตามนั้น ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่ทั้งสิ้น

การรู้เห็นนั้นเรารู้เห็นจริง ๆ แต่เรื่องที่เรารู้เห็นนั้นไม่แน่ว่าจะเป็นจริงตาม เพราะมีการทดสอบอยู่ตลอดเวลา และถ้าหากว่าญาณคือเครื่องรู้ปรากฏขึ้น ยิ่งต้องระมัดระวังให้จงหนัก เพราะว่าตอนนั้นเราต้องการรู้เรื่องอะไร ก็จะรู้ได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางโลกเรื่องทางธรรม ขบคิดพิจารณาอย่างไรก็จะเห็นความเกี่ยวโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งหมด สืบสาวราวเรื่องต่อไปได้เรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งคิดก็ยิ่งกว้างไกล ยิ่งคิดก็ยิ่งแตกฉาน

แต่จุดที่ต้องระมัดระวังก็คือว่า สิ่งที่เราคิดนั้นช่วยในการตัดกิเลสหรือไม่ ? ทำให้รัก โลภ โกรธ หลง เบาบางไปจากใจของเราหรือไม่ ? ถ้าหากว่าไม่ได้ช่วยในการตัดกิเลส ไม่ได้ช่วยให้รัก โลภ โกรธ หลง เบาบางไปจากใจของเรา ก็ให้รู้ว่าเรากำลังโดนหลอกให้หลงทางแล้ว เขากำลังหลอกให้เราเตลิดเปิดเปิง ออกทะเลหาฝั่งไม่เจอ ท้ายสุดก็เสียเวลาไปอีกชาติหนึ่ง เพราะไม่สามารถที่จะเข้าถึงมรรคผลตามที่เราต้องการได้

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับนักปฏิบัติเสมอ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีทั้งสติและปัญญา สติคือรู้จักยั้งคิด รู้จักพิจารณาว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ช่วยในการตัดกิเลสของเราหรือไม่ ปัญญาคือการเล็งเห็นประโยชน์ของทิพจักขุญาน ของญานเครื่องรู้ต่าง ๆ ว่าเป็นเพียงส่วนหนุนเสริมในการปฏิบัติของเราให้ก้าวเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าเท่านั้น ความสามารถทั้งหลายเหล่านี้เหมือนมีด ๒ คม ถ้าเราแตะต้องผิดด้านเมื่อไรก็จะบาดเจ็บเองเมื่อนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-03-2012 เมื่อ 03:24
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 11-03-2012, 08:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,209 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นของแถมในการปฏิบัติปรากฏขึ้นแก่พวกเรา จึงต้องใช้สติสัมปชัญญะและใช้ปัญญา ในการพิจารณากำหนดรู้อยู่เสมอ ถ้าหากว่าเอาความปลอดภัยเลยก็คือ สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น ไม่ไปใส่ใจ

แต่ถ้าต้องการรู้เห็นหรือไปใส่ใจ ก็ต้องมีสติยั้งคิดอยู่เสมอว่า สิ่งเหล่านี้ช่วยในการบรรเทา รัก โลภ โกรธ หลง จากใจเราได้หรือไม่ ? ช่วยในการตัดรากเหง้าของกิเลสทั้งหลายเหล่านี้ให้เบาบาง หรือหมดไปจากใจของเราได้หรือไม่ ? ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะเป็นคนที่โดนหลอกให้หลงทางไปเรื่อย โดยเฉพาะตัวทิฐิมานะ ในลักษณะว่า "กูเห็น กูจึงเชื่อ"

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะยิ่งพาให้เราหลงทาง หาทางกลับไม่เจอ เนื่องจากว่าเมื่อผู้รู้ท่านเตือน เรากลับไปเถียง ไปคัดค้านว่าเราเห็นด้วยตัวเอง ในเมื่อเราเห็นเอง เราจึงไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นอย่างนั้น ก็ยากที่จะมีคนเปลี่ยนทิฐิของเราได้ ทำให้เราหลงทางไกลออกไปเรื่อย ๆ และท้ายที่สุดเมื่อตายไปก็เข้าไม่ถึงประโยชน์อย่างแท้จริง ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด อยู่กับความทุกข์ไม่รู้จบกันต่อไปอีก

ดังนั้น..สิ่งที่เกิดขึ้นกับญาติโยมที่มาถามปัญหาในวันนี้ จึงควรเป็นตัวอย่างให้พวกเราได้สังวรระวังเอาไว้ ว่าการปฏิบัติธรรมนั้น การรู้เห็นต่าง ๆ เป็นเพียงของแถมเท่านั้น เป้าหมายหลักของเราก็คือปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น เราต้องมีสติตามดูตามรู้อยู่เสมอ ว่าเราปฏิบัติแล้วได้เกิดสันตุฏฐิตา คือความสันโดษ ยินดีตามมีตามได้หรือเปล่า ? สัลเลขตา มีความขัดเกลาตนเองทั้งกาย วาจา ใจ ให้ดีขึ้นตามลำดับหรือเปล่า? อัปปิจฉตา เป็นผู้มักน้อยลงหรือไม่? ปวิเวกตา เป็นผู้ยินดีในที่สงัด หลีกออกจากหมู่หรือไม่ ?

ทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเรารู้จักคิด รู้จักพิจารณา รู้จักกำหนดรู้ตามไป เราก็จะไม่พลาดท่าให้โดนหลอกจนหลงทาง มิฉะนั้นแล้ว หลายต่อหลายคนเมื่อพบเห็นเพื่อนฝูงสหธรรมิก ก็เอาแต่ฟุ้งซ่านกล่าวถึงเรื่องผลของการปฏิบัติต่าง ๆ ซึ่งยังไม่ใช่ของจริงแท้ของเราให้เพื่อนฝูงฟัง เอามาถกเถียงกันบ้าง เอามาบอกกล่าวจนคนอื่นเขาเลื่อมใสแล้วหลงตามไปบ้าง กลายเป็นเอาทิฐิคือความเห็นของตน ไปปนกับธรรมะของพระพุทธเจ้า กลายเป็นสัทธรรมปฏิรูป ถ้าหากว่ามีคนเชื่อแล้วยึดตาม ก็กลายเป็นมิจฉาทิฐิ ย่อมเกิดโทษใหญ่แก่ตนเองได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 12-03-2012 เมื่อ 11:24
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 12-03-2012, 07:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,209 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..เมื่อพวกเราปฏิบัติแล้วจึงควรระลึกรู้ตัวอยู่ มีปัญญาคอยกำกับ รู้ตัวเสมอว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นผลของการปฏิบัตินั้น ถ้าไม่ได้ช่วยในการลด ละ เลิก ใน รัก โลภ โกรธ หลง แล้วไซร้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปใส่ใจ การรู้เห็นไม่ต้องรู้เห็นก็ได้ เราทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง เรารักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เรารู้ตัวอยู่เสมอว่าชีวิตนี้ต้องตายลงไปแน่นอน ถ้าตายแล้วเราจะไปพระนิพพาน

ไม่มีข้อใดบอกว่าเราต้องได้มโนมยิทธิ ไม่มีใครบอกว่าต้องได้ทิพจักขุญาน ไม่มีข้อใดบอกว่าต้องได้อภิญญา ดังนั้น..การปฏิบัติเพื่อเข้าถึงมรรคผลนิพพานอย่างแท้จริง เดินตรงตามสายสุกขวิปัสสโกได้จะปลอดภัยที่สุด ถ้าหากว่าวิสัยเก่าเกิดขึ้นก็ต้องรับรู้ด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด เหมือนกับไต่อยู่บนขอบเหว ถ้าพลาดเมื่อไร เราต้องเสียเวลาเกิดมาทุกข์ทนอย่างนี้ใหม่อีกนับชาติไม่ถ้วน

ลำดับต่อไปให้ทุกคนตั้งใจกำหนดดู กำหนดรู้ลมหายใจของตนเอง พร้อมกับคำภาวนาหรือภาพพระตามอัธยาศัยของตน จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๕
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2012 เมื่อ 12:27
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 18-03-2012, 18:35
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 259
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,227 ครั้ง ใน 1,280 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2555-03-03

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:04



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว