กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > กระทู้ธรรม

Notices

กระทู้ธรรม รวมข้อธรรมะจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติ

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #101  
เก่า 26-08-2010, 08:08
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ท่านผู้รู้จงคิดพิจารณาดูว่าคำสอนของท่าน ทั้งเจ็บทั้งลึกซึ้ง ทั้งเหน็บแนมให้เจ็บปวดเสียจริง ๆ พร้อมทั้งแฝงด้วยความจริงอันบริสุทธิ์ เที่ยงแท้ เถียงไม่ได้เลย เป็นคติเตือนใจ จับจิตให้สะเทือนสะท้านในอารมณ์

ท่านพูดต่อ “คิดไม่ได้ ก็น่าอับอายฟ้าดิน อายพ่อแม่ที่ให้กำเนิด” ข้าพเจ้าพูดอะไรไม่ออกเลย นอกจากตั้งใจจดจำแล้วจะนำไปปฏิบัติ พอคิด ท่านก็บอกว่า “ดีแล้ว คิดได้อย่างนั้น ขอบใจจิตของตนเองเสีย เราด่าตัวเราเอง ตำหนิตัวเราเอง อบรมตัวเราเอง มันไม่เจ็บ คนอื่นว่าอบรมเรามันเจ็บ เพราะจิตมันยังมีมานะอุปาทาน มันไม่ยอมง่าย ๆ ถ้าคนอื่นมาว่าเรา สอนเรา จิตมันอาจแข็งกร้าว มันยโส มันอหังการ ก็จะกระชากเราให้ใฝ่ต่ำโดยไม่รู้ตัว แล้วมันจะไม่หยุด ก็จะเป็นคนอ่อนไหวคุมตัวเองไม่ได้ รุ่มร้อนในจิตตลอดเวลา ไม่มีเวลาจะเสพสุขสมปรารถนา ที่แสวงหา เรียกร้องหา โหยหา ดิ้นรนหา ไม่ต้องไปหาที่ไหน มันอยู่ในตัวเรา ใกล้แค่เอื้อมแต่ไกลสุดขอบฟ้า อยู่ในใจเรานี่แหละ จะไปหาตรงไหนก็หาไม่เจอหรอก อย่าไปหานอกกาย ให้ค้นหาในกาย คือ ในจิตของเรา ตรงนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ หาวินาทีนี้ก็พบเดี๋ยวนี้ ดีชั่วพบแน่ถ้าเราไม่ลำเอียงเข้าข้างตัวเรา

เมื่อไม่ชอบอารมณ์นิสัยของคนนี้ว่ามันไม่ดี แต่นิสัยอารมณ์เช่นนั้นมันก็มีอยู่กับเรา ใครผิดเขาหรือเรา? คิดดูเอาเอง ไม่คิดไม่รู้ แล้วก็ไม่เห็น ตัวเราไม่รู้จักตัวเรามัวแต่ไปรู้จักคนอื่น คนเช่นนี้หาได้ถมไป คนที่ไม่รู้จักตนเอง แต่รู้จักผู้อื่นจึงจมอยู่กับความมืดตลอดกาล ให้รู้จักปล่อยวาง รู้ว่าวันนี้ยังทำไม่ได้แน่นอน แต่พรุ่งนี้ วันอื่น ๆ ต่อไปต้องค่อย ๆ ทำให้ได้


ในอดีตมีตัวอย่างให้รู้เห็นเป็นตัวอย่างมามากต่อมากแล้ว ต้องพยายาม สิ่งที่คนในโลกนี้ทำไม่ได้ คือ หลอกตัวเอง จะหลอกปิดบังความรู้สึก ความคิด หลอกกันก็ได้ แต่กับตัวเองแล้วย่อมทำไม่ได้ ตัวเองรู้จริงเท็จอยู่เต็มเปี่ยมในจิต รู้ว่าถูก รู้ว่าผิด เมื่อรู้ผิดคิดชั่ว แต่ยังยินดีกับจิตคิดชั่วนั้น จิตย่อมไม่เป็นคน แต่เป็นจิตของสัตว์เดรัจฉาน จิตของเปรต ของอสุรกาย ของสัตว์นรก แล้วเราจะยินดีที่จะเป็นสัตว์ประเภทนั้นอยู่หรือไร? ในเมื่อเราได้เกิดเป็นสัตว์ที่ได้ชื่อว่า มนุษย์สัตว์ประเสริฐ คือ มีความกตัญญูกตเวที จิตเป็นเทวดา มีความละอายต่อการกระทำชั่ว จิตเป็นพรหม มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จิตเป็นอรหันต์ จิตหมดจากกิเลส เครื่องเศร้าหมอง กิเลสไม่มาทำกำเริบรบกวนในจิตเรา แล้วจะคอยอะไรอยู่ กลัวอะไรอยู่ จงให้โอกาสที่ดีกับตัวเรา” หลวงปู่ให้ข้อคิดมากนัก
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 89 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #102  
เก่า 27-08-2010, 08:36
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

นอกจากนั้น การได้สนทนากับหลวงปู่ในเรื่องโชคลาภ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ได้ถามหลวงปู่ว่า “การมีโชค ลาภลอย หลวงปู่ประทานได้หรือไม่? นั่งสมาธิแล้วมองเห็นไหม?” หลวงปู่บอกว่า “เห็นได้ เป็นจริงได้ แต่โชคลาภนั้นเป็นเรื่องของกรรม หรือเรียกว่าดวงชะตาของแต่ละคน ชะตาของใครมีโชคลาภแล้ว ไม่ต้องบอกตัวเลข ก็มีโชคตามดวงชะตา หากจะไม่มีโชคแล้วแม้จะบอกให้ก็ไม่มีโชค จึงไม่ควรจะสนใจให้มากินใจเรา อันตราย บอกเขาได้โชคเขาก็เคารพเราชั่วขณะ ทั้งยกย่องสรรเสริญ แต่หากบอกผิดหลาย ๆ ครั้ง เพราะเขาหมดโชค เขาจะตำหนิ โกรธ เกลียด จะวิจารณ์เอา หรือเขาไม่ได้รักเรา เขารักความร่ำรวยของเขาต่างหาก อย่าคิดผิดอยู่เลย เสียเวลาใช่เหตุ หวังว่าจะเข้าใจนะ”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-08-2010 เมื่อ 10:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #103  
เก่า 27-08-2010, 08:46
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

อภินิหารหลวงปู่ขึ้นเขาวงพระจันทร์

หลวงปู่ท่านมารับข้าพเจ้าตามนัด แล้วพาขึ้นเขาวงพระจันทร์ด้วยเหตุผลอะไรไม่รู้ได้ ข้าพเจ้าก็ขึ้นเพราะคิดว่าหลวงปู่ต้องมีเหตุผลแน่ ตอนแรกคิดว่าคงไม่สูงนัก เราเป็นนักกีฬาคงไหวแน่ ได้ยินแต่ข่าวว่าปีหนึ่ง ๆ มีคนขึ้นไปแสวงบุญกันมาก ตัวเราเองเสียอีกไม่เคยขึ้นไป สมควรขึ้นไปศึกษาดู

ไปถึงตีนเขาวงพระจันทร์ คิดว่าคงขึ้นไม่ยากมีบันไดให้ขึ้น แต่พอเดินขึ้นไป *เป็นที่ลาดชันสูงขึ้นไปเรื่อย* ๆ ยังไม่ถึงครึ่งทาง เหนื่อยแทบแย่ เกือบถอดใจ เดินได้ไม่นานนัก ต้องพักเป็นระยะ ๆ ร้อนก็ร้อน หลวงปู่ท่านขึ้นนำหน้าเราไป มองไม่เห็นหลังทั้งที่ท่านก็อายุมากแล้ว คิดว่าท่านอายุประมาณ ๘๐ ปีเศษ คิดในใจว่าท่านไม่หยุดพักเลยหรืออย่างไร? ไม่เหนื่อยหรืออย่างไร? *เพราะเรายังเหนื่อยเลย*



เดินไปเกือบครึ่งทาง เห็นหลวงปู่เดินกลับลงมา เอาเกลือให้กินหนึ่งเม็ด แล้วท่านบอกว่า “อย่าท้อถอย ค่อย ๆ ขึ้นไปให้ถึง ทำใจให้เข้มแข็ง ฝึกความอดทน อดกลั้น ต่อสู้กับอุปสรรคของชีวิต เราจะได้รู้จักอะไร ๆ มากขึ้น” แล้วท่านก็เดินหายไปอีก แต่ตอนนี้เห็นว่าท่านก้าวเดินไปตามขึ้นบันไดที่สูงขึ้น เท้าท่านไม่ได้ติดพื้นเลย เห็นท่านเดินอย่างรวดเร็ว นึกฉงนอยู่ในใจ!

เดินไปพักไปจนครึ่งทาง ทางขึ้นยิ่งชันสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ มองขึ้นไป *อยากจะเดินกลับลงไป ไม่อยากขึ้นต่อ* มันท้อ เพราะใจเราไม่สู้ความลำบาก เราชอบความสะดวกสบายจนเคยชิน อีกสักพัก หลวงปู่ก็เดินลงมาให้กินเกลือหนึ่งเม็ดเช่นเดิม เกลือแต่ละเม็ดที่ท่านให้นั้น กินแล้วมีกำลังอย่างประหลาด!!! เที่ยวนี้ท่านนั่งสนทนาธรรมอยู่ด้วยพักหนึ่ง


หมายเหตุ : เขาวงพระจันทร์มีบันได ๓,๘๖๕ ขั้น

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-08-2010 เมื่อ 10:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 91 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #104  
เก่า 30-08-2010, 17:02
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ท่านบอกว่า “นี่คือเหตุผลที่ให้ขึ้นมา ให้เอาชนะใจตนเอง อย่าคิดว่าเราเก่ง คนเก่งกว่าเรามีอีกมากนัก อย่าทรนงตน รู้จักคิด คนอื่นขึ้นได้เราต้องขึ้นได้ คนอื่นปฏิบัติได้ เราต้องปฏิบัติได้ การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับการเดินขึ้นเขา ทั้งเหนื่อยยากลำบากต้องต่อสู้กับตนเอง และสภาพแวดล้อม ค่อย ๆ เดิน ค่อย ๆ ปฏิบัติก็จะถึงจุดมุ่งหมายได้ อย่าอ่อนแอ อย่าท้อ อย่าเลิกกลางคัน แค่นี้ก็จะพบหนทางแห่งความสำเร็จ แล้วเดินต่อไปความสำเร็จก็จะรอเราอยู่ รอทุกคนที่ไปถึง เหมือนยอดเขาวงพระจันทร์ รอการขึ้นไปของผู้กล้า ใครขึ้นไปถึงก็จะพบกับทุกสิ่งทุกอย่างบนนั้นเหมือนกัน เห็นเหมือนกัน อยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน สภาพอากาศอย่างเดียวกัน เดินขึ้นเหนื่อยเหมือนกัน ต่างพักเป็นระยะ ๆ เช่นเดียวกัน แต่บางคนขึ้นไปไม่ถึง บางคนไม่เคยขึ้นไป ย่อมไม่รู้เห็นยอดเขาวงพระจันทร์ คนขึ้นถึงย่อมเหนื่อยมากกว่าคนขึ้นไม่ถึง หรือคนที่ไม่ได้ขึ้นย่อมไม่เหนื่อย

นักปฏิบัติเจริญกรรมฐาน ปฏิบัติธรรมเจริญภาวนา ย่อมต้องต่อสู้กับตนเอง ต่อสู้ทั้งภายนอกคือ ร่างกายที่ต้องต่อสู้กับความเมื่อยล้า เจ็บปวดร่างกาย ทั้งต้องอดตาหลับขับตานอน ยามนอนต้องนั่ง ต้องเดิน ต้องยืน ต้องทนความง่วง อาหารการกินน้อยหรือไม่มีกิน แทนที่ต้องนอนอยู่บ้านอันแสนสุข ต้องหลับนอนกลางดินกินกลางทราย ต่อสู้กับสัตว์เล็กสัตว์น้อย รูปกายเจ็บไข้ได้ป่วย

การต่อสู้ภายในคือ การต่อสู้กับจิตภายในของตนเอง สู้กับความว้าวุ่นของจิต การขับเคี่ยวกับความรุ่มร้อน ฟุ้งซ่าน ถดถอย ท้อแท้ ยุ่งยาก เกียจคร้าน ความอยากสบาย อยากได้แต่ลาภ ยศ สรรเสริญ จิตตกอยู่ในกาม จิตต้องตกอยู่ในอำนาจของกามเข้าครอบงำ มีความปรารถนาในโลกธรรม กินอยู่กับกาม ทุกข์ก็ทน สุขก็หลงใหล ชีวิตสับสนวุ่นวาย

แต่สัตว์โลกยังต้องการจะครองชีวิตร่วมกับมันตลอดเวลา จนถอนตัวไม่ขึ้น จึงเดือดร้อนกันทั่ว แสวงหาอำนาจกัน สร้างความเดือดร้อนกันทั่ว ทั้งอำนาจจากยศถาบรรดาศักดิ์ ในหน้าที่ราชการมีอำนาจครอบครองโลกที่เป็นกันอยู่"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 90 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #105  
เก่า 31-08-2010, 09:17
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

"จำเอาไว้ คนที่ขึ้นเขาวงพระจันทร์นั้นมีน้อย แต่คนที่ไม่ได้ขึ้นเขานั้นมีมากมายมหาศาล คนจะมาปฏิบัติธรรมนั้นน้อยนิด แต่คนที่ไม่ชอบปฏิบัติธรรมนั้นมีมาก คนชอบแต่ความสบายมีมากมายมหาศาลเช่นกัน โลกนี้จึงมืดมัว คนเมาหมกอยู่กับความทุกข์ไม่จบสิ้นน่าเวทนาเสียจริง”

คำสอนของหลวงปู่สร้างพลังให้มีความเข้มแข็ง มีกำลังใจที่ต้องต่อสู้กับชีวิต ต่อสู้เอาชนะความชั่วของตัวเอง แล้วเริ่มปฏิบัติแต่ความดีตามที่ตั้งสัจจะแห่งตนเอาไว้ในใจ เกิดกำลังใจเข้มแข็งขึ้นอย่างล้นพ้นจึงเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ จิตเริ่มไม่บ่น ยิ่งใกล้ถึงยอดเขายิ่งชัน เราก็ยิ่งเหนื่อย แต่จิตมันแข็งแกร่งเสียแล้ว

ในที่สุดก็ถึงยอดเขาวงพระจันทร์ ก้าวถึงบันได้ขั้นสุดท้าย มีลมพัดเย็น *อาการเหน็ดเหนื่อยหายไปหมดสิ้นทันที ไม่ทันได้นั่งพักเลย* เห็นหลวงปู่นั่งรออยู่แล้ว ท่านให้เกลือกินหนึ่งเม็ด แปลกจริง ๆ ใจคิด แต่ก็กิน ท่านให้ไปอาบน้ำแล้วพักผ่อน ตัวท่านหายไปไหนไม่รู้ เดินหาก็ไม่พบ จึงพักผ่อนนอนหลับจนตะวันใกล้ตกดิน พอมืดหลวงปู่มาหาแล้วพาไปกราบพระผู้มีพระภาคเจ้าในศาลา แล้วพาไปกราบรอยพระพุทธบาท พาสวดพระพุทธมนต์เจริญกรรมฐานแล้วให้พักผ่อน ส่วนท่านไปไหนไม่รู้ในความมืด
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 86 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #106  
เก่า 01-09-2010, 11:33
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

วันรุ่งขึ้นเช้ามืด ท่านมาเรียกให้ตื่นแล้วพาไปสวดพระพุทธมนต์จนสว่าง รุ่งอรุณกำลังจะขึ้นจากขอบฟ้า พอสว่างดีแล้วหลวงปู่ก็พาลงไปที่ลานกว้างด้านริมผาชัน มีหินลูกใหญ่วางอยู่เหมือนจอมปลวก แต่เป็นจอมปลวกขนาด ๗๐ คนโอบ ด้านหนึ่งอยู่บนลาน ด้านหนึ่งอยู่ล้ำหน้าผาเดินอ้อมไม่ได้ ถ้าเดินไปก็ต้องตกลงข้างล่างที่สูงชัน

หลวงปู่บอกว่า “ให้นั่งสมาธิอยู่ตรงนี้ หลวงปู่จะทักษิณาหินลูกนี้เอาอานิสงส์” แล้วท่านก็เดินไป ข้าพเจ้าคิดในใจทำได้อย่างไร? ครั้นจะนั่งหลับตาก็ไม่เห็น จึงไม่หลับตา เห็นหลวงปู่เหาะเวียนหินก้อนนั้น ๓ รอบ ใช้ไม้เท้าที่ท่านถือกรีดรอบหินลูกนั้น ข้าพเจ้าตื่นเต้นมาก!!!

ได้อ่านในนิทานชาดกว่า พระผู้ทรงอภิญญาท่านเหาะไปเที่ยวในที่ต่าง ๆ ครั้งแรกคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เป็นเรื่องแต่งพิศดารเท่านั้น แต่ที่หลวงปู่กระทำนั้นมันเหาะจริง ๆ เพราะตัวท่านลอยจากพื้น เท้าท่านไม่ได้แตะพื้น ตัวท่านลอยอยู่ในอากาศแล้วเวียนรอบหินลูกนั้น ๓ รอบ ถ้าไม่เหาะจะวนไปอีกด้านหนึ่งไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ต้องตกลงไปด้านล่าง (ครั้งแรกหลวงพ่อริม รัตนมุนีได้เคยแสดงให้ดูแล้วครั้งหนึ่ง)




แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-09-2010 เมื่อ 12:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 93 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #107  
เก่า 02-09-2010, 09:16
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ข้าพเจ้าจึงก้มกราบ หลวงปู่มาหยุดยืนอยู่ด้านหน้า ถามว่า “แอบดูหรือ? ทุกอย่างทำได้ทั้งนั้น นี่เพียงของหยาบ ๆ ง่าย ๆ มันทำไม่ยาก ที่ยากคือสร้างจิตให้มีพลังอำนาจ สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่อ่อนไหวต่อสิ่งมากระทบ ให้เกิดปัญญา รู้เห็น รู้จริง มีสติเข้มแข็ง สร้างสติให้เป็นมหาสติให้เจริญอยู่ในกายตลอดเวลา อันนี้ยากกว่ามากนัก ไม่เคยรู้เห็น ทำไม่ได้ก็ดูน่าตื่นเต้น รู้ทำได้ก็เป็นธรรมดาเท่านั้น เป็นปกติไม่ได้วิเศษอะไร งานที่ต้องทำมีอีกมาก สิ่งที่ต้องต่อสู้ทั้งภายใน ภายนอกมีอีกไม่น้อย มันสลับซับซ้อนซ่อนเร้นที่เราต้องพบอีก จึงต้องเตรียมตัว เตรียมใจเอาไว้อย่าประมาท อย่าละโอกาสอันดีเสีย

ทำให้ดูเพื่อสร้างแรงขับภายในจิตของเราเท่านั้น เข้าใจแล้วอยากทำได้ เร่งศึกษาขยันปฏิบัติ ชำระล้างจิตใจของตนเองให้ขาวสะอาด อย่าให้กิเลสมารบกวนจิตให้เสียคุณภาพ ให้เสียพลังเดชาอานุภาพ จิตตานุภาพจึงเข้มแข็ง ทำอะไรก็ได้ จะช่วยใครก็ได้”


คำพูดของหลวงปู่ตอนนี้ มีความหมายต่อชีวิตของข้าพเจ้ามากมาย จะได้เขียนในเรื่องต่อไปชื่อเรื่อง “พลังจิตรักษาโรคร้าย” หลวงปู่กล่าวว่า “เมื่อลงจากเขาแล้ว จะไม่พบหลวงปู่อีก ๙๕ ปี จึงจะค่อยพบกันให้ดูแลตัวเองให้ดี มีงานต้องทำ ให้เร่งปฏิบัติ อย่าจำใจทำ ให้ทำด้วยความเต็มใจ”
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 92 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #108  
เก่า 03-09-2010, 08:42
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ข้าพเจ้าจึงถามหลวงปู่ว่า “หลวงปู่เป็นใคร? มีนามว่าอะไร?” ท่านตอบว่า “รู้ไปทำไม? ได้อะไร? หลักธรรมที่ปู่บอกกล่าวมีคุณค่ากว่า รู้ก็เท่านั้น ไม่รู้ก็เท่านั้น มีอะไรดีขึ้น แต่หากปฏิบัติตามคำสอนให้รู้ได้ด้วยตนเอง จะเป็นประโยชน์มากกว่า ได้คุณค่ามากกว่ากับตัวเราเอง เรื่องของปู่ ปู่ก็ได้ของปู่ ใครจะมาแย่งไปก็ไม่ได้ แต่จะบอกให้เอาบุญ คนเขาเรียกปู่ว่า “พระครูเทพโลกอุดร” แต่เป็นนามสมมติเท่านั้น (นามที่เขาแต่งให้กันเอง) ปู่อยู่เขาพนมฉัตร ภูเขาควาย ภูอีด่าง อยู่ถ้ำวัวแดง อีกหน่อยจะได้ไปต่อไป จะได้ไปเที่ยวถ้ำวัวแดง ได้บำเพ็ญที่ถ้ำนั้น จงจำไว้”

จึงถามท่านว่า “จริง ๆ แล้วหลวงปู่เป็นใครกันแน่ หลวงปู่ช่วยให้ความกระจ่างแก่กระผมหน่อย จะได้ไม่ติดอยู่ในอารมณ์ เวลาคิดถึงได้นึกถึงหลวงปู่ถูก เพราะชื่อพระครูเทพโลกอุดรนั้นไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย” ท่านจึงบอกว่า “พูดไปก็ไม่เชื่อ ปู่คือ “องค์มหากัสสปะเถระ” ผู้ถือธุดงค์อยู่ในป่าช้า ครองผ้า ๓ ผืนเคยได้ยินไหม?”

ข้าพเจ้าบอกว่า “เคยเรียนในพุทธประวัติ” ท่านบอกว่า “นั่นแหละ หากเจริญอิทธิบาท ๔ สมบูรณ์แล้ว ได้ตั้งจิตทรงอายุอยู่ได้ ดังนั้น เราก็ต้องเจริญอิทธิบาท ๔ เพื่อความสำเร็จแห่งชีวิต ไปศึกษาเสีย” ข้าพเจ้าจึงถามต่อว่า “อย่างนั้นหลวงปู่อายุก่อน พ.ศ. อีกใช่ไหม?” ท่านจึงพูดว่า “พระมุสาต้องผิดศีล จะเป็นพระอยู่ได้อย่างไร"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 91 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #109  
เก่า 06-09-2010, 08:24
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ข้าพเจ้าได้พบท่านอย่างไม่รู้ตัว คนอยากพบก็ไม่ได้พบ เดินทางไปแสวงหาก็ไม่พบ ส่วนข้าพเจ้าได้พบแต่ไม่รู้ อยู่ด้วยกันตั้ง ๑๑ วัน หลวงปู่ใช้อุบายอันแนบเนียนอบรมจิตของข้าพเจ้า สอนธรรม สอนปฏิบัติ เป็นอาจารย์ทางกรรมฐานต่อจากหลวงพ่อริม รัตนมุนี และตรงตามที่หลวงพ่อท่านบอกไว้ก่อนมรณภาพ ตอนนั้นเราไม่เอาใจใส่จดจำเองเท่านั้น

สาย ๆ ก็เดินลงจากเขา ข้าพเจ้าคิดว่าขาลงเขาคงจะง่าย แต่ความคิดนั้นผิดถนัด ลงเขาช่วงแรกสบายมาก แต่พอเดินไปได้ไม่ไกลนัก เริ่มปรากฏความไม่จริงตามที่ได้คิดไว้ มันเริ่มเมื่อย กำลังขาเริ่มอ่อนเพราะต้องพยุงตัวลงจากที่สูงชันตามขั้นบันไดแรงกระแทกทำให้เข่าเริ่มเจ็บ ขาเริ่มสั่น มันเพิ่มเป็นทวีคูณเกือบลงไม่ถึงตีนเขา มันเจ็บระบมไปหมดโดยเฉพาะตรงหัวเข่า ถึงตีนเขาหลวงปู่ให้ศีลแล้วเดินหายไป เพื่อลดความข้องใจของท่านที่ได้อ่าน ท่านอาจถามอยู่ในใจว่า มีใครไปด้วย ไปรู้ ไปเห็นด้วย ขอเรียนว่าไม่มี ท่านไม่ให้ใครติดตาม

ข้อเขียน ได้ตัดตอนในส่วนที่ไม่จำเป็นอีกมากมาย ดังได้บอกกล่าวไว้แล้วว่ามีแต่ขาด ไม่เกินจากที่ได้พบเห็น จะเห็นได้ว่าอุบายธรรมของท่านให้รู้ด้วยตนเองเพื่อสร้างกำลังใจให้ปฏิบัติ การเข้าปฏิบัติธรรมได้นั้นต้องมีศรัทธา มีวิริยะ มีสติ มีสมาธิ มีสัมปชัญญะ จึงจะนำความสำเร็จมาให้ ที่เรียกว่าต้องมีพละห้าประการนั่นเอง

จากนั้นมาข้าพเจ้าเอาจริงเอาจังกับการเจริญกรรมฐาน ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ความเข้าใจ ศึกษาจิตของตนเองตามคำบอกกล่าวของหลวงปู่และหลวงพ่อริม รัตนมุนี ต่อสู้กับอำนาจความเกียจคร้าน ความเจ็บปวดเมื่อยล้า ความง่วงเหงาหาวนอน ชนะบ้างแพ้บ้าง เห็นจิตของตนเองตะคอกตัวเองให้เลิกทำบ้าง ให้ไปหลับนอนยกเหตุผลต่าง ๆ นานามาบอกให้เลิก ให้อยู่สบาย ๆ ไม่เอา จะเห็นว่ากิเลสมารมาทำลายล้างความวิริยะของเรา ทำลายขันติ ทำลายความขยันมุ่งมั่นในความเพียรของเราให้หมดสิ้น เราจึงต้องสร้างขันติธรรมมาตั้งรับต่อสู้อยู่ตลอดเวลา
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 85 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #110  
เก่า 08-09-2010, 08:49
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

อำนาจพลังจิต พิชิตโรคร้าย

ลงจากเขาวงพระจันทร์ จากการบำเพ็ญอย่างเอาจริงเอาจัง ทดลองคำสอนของหลวงปู่ในการสร้างพลังจิตให้บังเกิดจิตตานุภาพ ให้มีอิทธิฤทธิ์ ด้วยความอยากรู้ อยากเห็น ขอเรียนให้ท่านผู้อ่านได้พบอ่านได้ทราบว่า ความรู้ทั้งหลายที่ข้าพเจ้ารู้และท่านรู้ตามประสบการณ์ไม่ถูกไม่ผิด วันนี้อาจถูกและอาจไม่ถูกในอนาคต ขึ้นอยู่กับอุปาทานในสัญญาของแต่ละบุคคล ตลอดจนภูมิจิต ภูมิปัญญาในขณะนั้น วันนี้เราบอกว่าใช่ แต่พรุ่งนี้อาจจะบอกว่าไม่ใช่เสียแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจเอง ใครก็ตัดสินใจให้ไม่ได้ ใครตัดสินใจให้ก็จะเกิดความขัดแย้ง ความเป็นศัตรูก็จะเกิดขึ้น

ท่านทั้งหลายลองหลับตา นึกย้อนอดีตสัญญาความจำได้หมายรู้ทั้งหลาย ย้อนไปก็จะพบว่าท่านเคยยอมรับกับตนเองมาแล้ว หลายเรื่องที่เข้าใจผิดพลาด อย่างเช่นที่ข้าพเจ้าได้ประสบมาแล้ว หลวงพ่อ หลวงปู่จึงได้มาปราบพยศ แก้ความสำคัญผิดทั้งหลายในอารมณ์ในจิต ความยึดมั่นถือมั่นในสัญญาผิด ๆ เบื้องต้น เมื่อไม่รู้ก็บอกถูกต้องแล้ว แต่พอรู้สึกละเอียดขึ้น เห็นตามความเป็นจริงมากขึ้น เห็นกฎธรรมชาติมากขึ้น อาจเป็นเพราะจิตเข้มแข็งมากขึ้น มีสติสัมปชัญญะมากขึ้นกระมัง แต่ยังไม่สิ้นสุด

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-09-2010 เมื่อ 12:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #111  
เก่า 09-09-2010, 09:14
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

หากจิตของเรายังถูกห่อหุ้มด้วยกิเลส ย่อมจะค้นพบความผิดในจิตของตัวเองได้ยากเพราะจิตไม่อิสระ พลังจิตก็จะเสื่อมพลังอำนาจ พลังอำนาจจิตก็จะถูกขวางกั้น เหมือนเมฆที่บดบังดวงจันทร์ แสงจันทร์ก็ไม่ส่องหล้า

การสร้างพลังจิตนั้นต้องสร้างภาวะจิต ให้จิตอิสระจากพันธนาการของกิเลสตัณหา สร้างองค์ฌานให้เกิดองค์ฌานอันบริสุทธิ์ จนจิตนั้นพ้นจากกามที่มาห่อหุ้ม *ต้องสำรอกกิเลสออกจากจิตจนหมดสิ้น หมดจดอย่างแท้จริง เรื่องฌานนั้นข้าพเจ้าได้เขียนไว้ในวิธีเจริญฌานไว้แล้ว ซึ่งเขียนเป็นโครงสร้างง่าย ๆ อ่านง่าย ๆ ปฏิบัติได้ก็จะเกิดองค์ฌานในจิต แล้วทรงฌานให้ทรงอยู่โดยการสร้างวสีฌาน*

ในพุทธศักราช ๒๕๓๐ ข้าพเจ้าถูกย้ายให้ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการวิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดสมุทรสาคร ก็ได้เจริญจิตภาวนาจนสามารถใช้พลังจิตรักษาโรคร้ายต่าง ๆ ได้ โรคอะไรก็หายโดยเฉพาะโรคร้ายแรงอย่างเช่น มะเร็งต่าง ๆ ที่หมอก็รักษาไม่หาย ช่วงนั้นมีคนป่วยมากมายมารักษาจนเกือบไม่มีเวลาพักผ่อน จะทำการรักษาตอนกลางคืนเพราะไม่ให้เสียเวลาราชการ สนุกมาก ภูมิใจมากที่ช่วยเขาได้และก็ไม่ได้เอาอะไรใคร ทั้งยังต้องเลี้ยงอาหารเขาด้วย เงินเดือนไม่เหลือเลย ไม่พอใช้ต้องกู้มาใช้

ที่เล่าเรื่องนี้ เพื่อให้รู้ว่าจิตนั้นมีพลังอำนาจเหนือเหตุผลหากกำกับได้ แต่ขอเรียนว่าขณะนี้ไม่ได้รักษาให้ใคร เพราะผลของการกระทำครั้งนั้น มีผลกระทบต่อสุขภาพของข้าพเจ้าจนถึงปัจจุบันนี้ ทำให้สุขภาพของข้าพเจ้าทรุดโทรม เพราะไปทำผิดกฎแห่งกรรมเข้า พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เรื่องกฎแห่งกรรมว่า “บุคคลใดทำกรรมนั้นไม่ให้ศักดิ์สิทธิ์ บุคคลนั้นจะต้องชดใช้กรรมนั้น” เช่นกัน


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #112  
เก่า 10-09-2010, 08:04
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ข้าพเจ้าไปขวางกรรมของบุคคลอื่นไม่ให้เป็นไปตามกรรมที่บุคคลนั้นได้กระทำไว้ เราได้ใช้พลังอำนาจจิตบำบัดรักษาไปขวางกรรมนั้น ทำให้ไม่เป็นไปตามกฎแห่งกรรม เราจึงต้องชดใช้กรรมบางส่วน ทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้าพยายามแก้ด้วยการบำเพ็ญบารมี ทำบุญสืบทอดพระพุทธศาสนา ทำคุณงามความดี ทอดผ้าป่า ทำกฐิน สร้างอุโบสถ สร้างพระประธานในอุโบสถ เป็นต้น ก็เพียงทุเลาเท่านั้น กินยาอะไรก็ไม่ถูกกับโรคต้องใช้พลังจิตเข้ารักษาอยู่ตลอดเวลา

จึงขอเตือนไว้ให้เป็นข้อคิด เตือนสติตนเองไม่ให้หลงผิด สมควรใช้พลังจิตที่ฝึกได้ให้ถูกทาง ใช้บำบัดกิเลสของตนเองที่เป็นโรคร้ายเกาะกินใจเราให้เศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา ใช้เป็นพลังอำนาจควบคุมจิต อารมณ์ให้อยู่ในกุศล จิตที่มีอารมณ์แน่วแน่ คือ อารมณ์กุศลเรียกว่า การสร้างสัมมาสมาธิจิตนั่นเอง ทำได้แค่นี้อย่าคิดว่าเราเก่งแล้ว ไม่มีอะไรเลย กามตัณหา ความอยากได้ยังไม่จางเลย ภวตัณหาความอยากเป็น ยังไม่จางหาย วิภวตัณหาความไม่อยากได้ ก็ยังไม่จางไปจากจิตเช่นกัน ยังลุ่มหลงอยู่และจะเพิ่มมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ เพราะทำให้จิตมันเหิมเกริม ทะเยอทะยาน ทะนงตน โอ้อวด ล้วนเป็นโทษแก่ตนเองทั้งสิ้น

หากไปติดยึดกับสิ่งเหล่านี้ ถ้าทำให้เขาไม่ได้ เขาก็ตำหนิ เหยียดหยามเรา ทำให้เราเสื่อมเสียในที่สุด ได้แล้ว รู้แล้ว สมควรละวาง แล้วเดินต่อไป ข้างหน้ามีอะไรอีกมาก ไม่ไปข้างหน้า มัวเมาติดอยู่ ก็ไปไม่ได้ อย่างที่เรียกว่า “มัวพายเรือวนอยู่ในอ่าง จะไปไหนได้”
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 82 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #113  
เก่า 13-09-2010, 08:21
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พระพุทธองค์จึงไม่สรรเสริญการใช้อิทธิฤทธิ์ พระองค์ท่านจะสรรเสริญการสร้างปัญญารู้เห็นมากกว่า พระองค์ท่านส่งเสริมให้ใช้ปัญญา มากกว่าการใช้ฤทธิ์ทั้งที่มีอยู่

*นักปฏิบัติจะต้องพบ จะต้องผ่านตรงนี้ทั้งนั้น เพราะในขั้นของสมถะกรรมฐานอันเป็นอุบายทำให้จิตสงบ จะต้องผ่านจุดนี้ก่อนที่จะถึงวิปัสสนากรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานเป็นอุบายให้เกิดปัญญากันทั้งนั้นไม่มีเว้น สมถะกรรมฐานเป็นฐานของวิปัสสนากรรมฐาน จึงต้องผ่านขั้นตอนของรูปฌานสี่ บังเกิดอิทธิฤทธิ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะติดหลงอยู่ คิดว่าได้แล้ว เก่งแล้ว ที่แท้แค่ตุ๊กตาเด็กเล่น ไม่เว้นแม้แต่ตัวข้าพเจ้าเอง กว่าจะเข้าใจและหลุดได้ จิตมันก็เกาะติด หลงเข้าใจผิดเรียกว่าติดวัตถุธรรม อวดศักดาไปเรื่อย ๆ ทะนงตน จิตอหังการจนบังคับไม่อยู่ หากไม่ละวาง ฌานจะค่อย ๆ เสื่อมจนเป็นปกติจิตในที่สุด*

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-09-2010 เมื่อ 02:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #114  
เก่า 13-09-2010, 17:02
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default เข้าเมืองลับแลนคร

เข้าเมืองลับแลนคร

ในปีเดียวกัน ถูกคำสั่งย้ายไปอยู่ที่วิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดชุมพร (อยู่จังหวัดสมุทรสาครได้ ๙ เดือน) อยู่จังหวัดชุมพรได้ผจญอะไรมากมายทั้งคน ทั้งวิญญาณ ต้องพบความทุกข์ยาก แต่ด้วยพลังของครูบาอาจารย์ได้ช่วยปัดเป่าให้ผ่านพ้นไปได้ เหมือนเอาเราไปฝึกจิตให้แข็งแกร่ง เรียนรู้อะไรอีกมากมาย

การปฏิบัติของข้าพเจ้าก็ยังมั่นคงอยู่ ครูบาอาจารย์ทุก ๆ รูป ทุก ๆ นามในอเนกชาติได้มาสอนวิชาให้ ได้มาฝึกอบรม สั่งสอนในสมาธิฌานให้รู้จักกำกับจิต ให้รู้จักเดินฌานให้เข้าใจในการขับเคลื่อนจิต ใกล้วิทยาลัยมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง ชาวบ้านเรียกว่า “เขาขุนกระทิง” อยู่ติด ๆ กับถนนหน้าเขา มีวัดตั้งอยู่เรียกว่า "วัดขุนกระทิง"

เขาลูกนี้มีอะไรแปลก ๆ หินที่ย้อยลงมาจะเป็นรูปกระโหลกหน้าคน เมื่อมองขึ้นไปน่ากลัวมาก เคยมีบริษัทได้สัมปทานระเบิดหินจำหน่าย มีผู้ต่อต้านแต่ต่อต้านไม่ได้ บริษัทจึงทำการระเบิดหินจำหน่าย แต่ก็ทำให้บริษัทนี้พบความวิบัติล่มจม ครอบครัวพลัดพรากตายจากกันไป การค้าที่เคยรุ่งเรืองก็พบความยุ่งยาก ประสบความขาดทุน มีคดีความ จนล่มสลายในที่สุด



แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-09-2010 เมื่อ 02:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #115  
เก่า 14-09-2010, 08:36
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

มีอยู่ครั้งหนึ่ง คนงานขึ้นไปวางชนวนระเบิดอยู่ ๓ ถึง ๔ คน ขณะต่อสายชนวนอยู่นั้นประมาณ ๑๓ นาฬิกา แดดกำลังจ้าอยู่ ไม่มีเมฆฝน ท้องฟ้าสว่างหมดจด ไม่มีเค้าว่าฝนจะตก แต่เหตุเกิดขึ้นมาอย่างไรไม่คาดคิด มีสายฟ้าฟาดลงมาใส่ชนวนระเบิด ที่คนงานกำลังฝังลงในหินเพื่อระเบิดเอาหิน เกิดระเบิดขึ้นมาทำให้คนงานตายหมด จะเกิดจากอะไร? ขอให้ท่านผู้รู้พิจารณาเอาเอง ใช้วิจารณาญาณเอาเอง ข้าพเจ้าไม่กล้าพอที่จะบอก ไม่กล้าวิจารณ์ลงไป ขอเป็นความลับในโลกต่อไป ว่าเกิดอะไรขึ้น !!!

*ที่ด้านหน้าภูเขาลูกนี้ มีถ้ำไม่ใหญ่มากนัก มีพระพุทธรูปปางปรินิพพานอยู่ ๑ องค์ เป็นพระพุทธรูปองค์ไม่ใหญ่ไม่เล็ก สร้างเมื่อไหร่ไม่ทราบ มีแต่คำบอกเล่ากันมาหลายชั่วคนว่า “ก็เห็นอยู่อย่างนี้ สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างตั้งแต่สมัยศรีวิชัย อายุประมาณ ๑,๒๐๐ – ๑,๕๐๐ ปีเก่าแก่มาก เป็นที่เคารพของพระพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างมาก มีความศักดิ์สิทธิ์ตามคำร่ำลือ
*

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 14-09-2010 เมื่อ 08:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #116  
เก่า 15-09-2010, 08:03
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

*ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปสักการะ ไปสวดพระพุทธมนต์อยู่หลายครั้ง พร้อมทั้งขึ้นไปนั่งปฏิบัติธรรมเมื่อมีเวลาว่าง ส่วนใหญ่จะเป็นวันเสาร์ วันอาทิตย์ ข้าพเจ้าจะขึ้นไปนั่งอยู่บนนั้นเกือบทั้งวัน ขึ้นเช้าลงมาเย็น จิตสงบดีไม่มีอะไรมารบกวน คนทั่วไปก็ไม่ค่อยขึ้น ส่วนใหญ่จะขึ้นเฉพาะมีเทศกาลเท่านั้น*

อยู่มาวันหนึ่งได้เจริญภาวนาตามปกติ แล้วออกมานั่งพักผ่อนอยู่ที่ปากถ้ำ เมื่อหายเมื่อยแล้วก็จะได้ปฏิบัติต่อ ขณะนั้นมีชายรูปหนึ่งร่างสูงใหญ่แต่งตัวแบบกษัตริย์มาจากไหนไม่รู้!!! เดินมาถามข้าพเจ้าว่า “มาทำไม?” ข้าพเจ้าตอบว่า “มาปฏิบัติธรรม แล้วท่านมาจากไหน? แต่งตัวแปลก ๆ มาอย่างไร? ไม่ทันเห็น” ชายผู้นั้นตอบว่า “อยู่ที่นี่แหละ อยู่ในเมืองลับแล ข้าพเจ้าเป็นเจ้าเมืองชื่อสิงหล ออกมาดูว่าท่านอยากได้อะไร? จะได้หามาให้ เห็นว่าเป็นคนดี” เขาชมเชย ข้าพเจ้าได้ตอบไปว่า “ไม่เอาอะไรทั้งนั้น มาหาความสงบ ไม่ปรารถนาอย่างอื่น ขอจับมือหน่อยได้ไหม?” เขายื่นมือมาให้จับ จับดูก็เป็นเนื้อหนังอย่างเรา ๆ นี่เอง เราไม่ได้ตาฝาดไปแน่ คิดอยู่ในใจ


เจ้าเมืองลับแลได้ถามข้าพเจ้าว่า “อยากไปเที่ยวเมืองลับแลไหม? เขาชี้ไปที่ผนังถ้ำอยู่ด้านปลายพระบาทของพระพุทธรูป เห็นแต่หินผนังถ้ำ จึงบอกว่าไม่เห็น เขาบอกว่า “อยากเข้าไปไหม? อยากได้อะไร? สมบัติมากล้นเหลือ เอาเท่าไหร่ก็ไม่หมด” จึงตอบไปว่า “อยากเข้าไป แต่ไม่เอาอะไร อยากเห็น แต่กลัวออกมาไม่ได้” เขาตอบว่า “เข้าได้ ก็ต้องออกได้ ไม่ต้องกลัวจะพามาส่ง ถ้าจะเข้าไปก็จับมือข้าพเจ้า จะพาไปดู จะได้รู้เห็นเป็นบุญ” ตรึกตรองอยู่พักหนึ่ง ใจหนึ่งก็อยากเข้าไป ใจหนึ่งก็กลัวออกมาไม่ได้ กลัว ๆ กล้า ๆ ในที่สุดจึงตัดสินใจ เข้าก็เข้า เลยเอามือจับมือเจ้าเมืองลับแล จับไว้ที่ข้อมือ เขาพาเดินไปที่ผนังถ้ำ แปลก !!! ผนังหินแท้ ๆ แต่เดินผ่านเข้าไปได้ พอผ่านเข้าไปหันกลับมาดู ก็เป็นหินเหมือนเดิม เหมือนมิติซ้อนมิติอย่างไรก็อย่างนั้น
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #117  
เก่า 16-09-2010, 08:19
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ข้างในสว่างไสวเหมือนกลางวัน มีบ้านเรือน มีผู้คน แต่ละคนล้วนผิวพรรณดี ทุกคนมองดูสุภาพเรียบร้อยทั้งหญิงทั้งชาย มีปราสาทราชวังสวยงามเต็มไปด้วยเพชรพลอย เงินทองเต็มไปหมด ใครเห็นเข้าคงจะเพลิดเพลินกับทรัพย์สินที่มีอยู่ดาษดื่น ละลานตา

เจ้าเมืองพาตรงไปยังปราสาทหลังหนึ่ง พาเข้าไปดู เขาบอกวังของเขา ทำด้วยทองคำทั้งหลัง ข้างในสวยงามด้วยเครื่องประดับนานาชนิด แล้วพาชมเมืองจนทั่ว ใช้เวลานานพอสมควร ก่อนจะออกมาส่งที่ปากถ้ำ เขาถามข้าพเจ้าว่า “จะเอาอะไรบ้าง? จะให้” ข้าพเจ้าบอก “ไม่เอาอะไร ได้ให้สัญญาไปแล้ว” แต่เขาหยิบเหรียญทองคำขึ้นมาเหรียญหนึ่ง เหมือนเหรียญหนึ่งสตางค์สมัยก่อน แต่เหรียญใหญ่กว่าเล็กน้อย ด้านหนึ่งเป็นรูปกงจักร ด้านหนึ่งเป็นตัวหนังสือแต่อ่านไม่ออก เขาให้เอามาจะได้เป็นหลักฐานว่าได้มาเที่ยวเมืองนี้ เดี๋ยวจะไม่เชื่อ จึงรับเหรียญอันนั้นใส่กระเป๋าไว้

ได้จับมือกับเจ้าเมือง เขาพาเดินมาทางเดิม พาผ่านผนังถ้ำออกมาข้างนอกเกือบค่ำพอดี ได้กล่าวขอบคุณและร่ำลากัน ก่อนจะแยกจากกันนั้น เขายังสั่งไว้ว่า “หากต้องการอะไรให้ไปบอก เขาจะช่วยทุกอย่าง" แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่เคยไปขออะไร ถ้าไปขอแล้วจะได้ไหม? นั่นก็ยังไม่รู้ !!!

กลับถึงบ้านก็เอาเหรียญที่ได้ขึ้นมาดู เป็นทองสุกเปล่งปลั่งทั้งอัน นำเก็บไว้ในห้องพระ ย้ายไปย้ายมาเลยหายไป ขณะนี้ไม่มีให้ดูแล้วก็น่าเสียดาย จากเหรียญอันนั้น ทำให้รู้ว่าได้เข้าไปในเมืองลับแลจริง ๆ เมืองลับแลมีจริง ไม่ใช่เป็นเรื่องเล่ากันเพราะได้เข้าไปแล้วด้วยตนเอง เอากายหยาบเข้าไป ไม่ได้หลอกลวงตัวเอง มีหลักฐานออกมาเป็นเหรียญทองอันที่หายไป ข้าพเจ้าไม่แปลกใจอะไรเลยว่า โลกใบนี้มีอะไรเร้นลับที่ท้าทายให้ศึกษาอีกมากมาย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๕๓๐
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #118  
เก่า 17-09-2010, 08:07
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default พบวิญญาณขอส่วนบุญ

พบวิญญาณขอส่วนบุญ

ขอย้อนกลับไปพุทธศักราช ๒๕๒๖ เพื่อไม่ให้สิ่งที่ได้พบเห็นตกหล่นไป เรื่องนี้อาจเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้ไม่กลัวบาป หันมาเกรงกลัวต่อการสร้างกรรมอันเป็นอกุศลกรรม ได้เกรงกลัวงดกระทำกรรมชั่ว กลับมาทำคุณงามความดี จะได้ทำประโยชน์ให้กับสังคมได้ในเบื้องต้น ได้กล่าวไว้แล้วว่า “มาก็ไม่ได้เอามา ไปก็ไม่ได้เอาไป” แต่สิ่งที่เอามาคือกรรม สิ่งที่เอาไปคือกรรม เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้

กรรมดีกรรมชั่วเราเอามาแล้วก็ไปกับเราแน่แท้ ไม่อยากเอามาก็มา ไม่อยากเอาไปก็ต้องเอาไป ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว ต้องเอาไปแน่ ต้องตอบสนองแน่ต้องอยู่กับเราตลอดไป เป็นเพื่อนยามสุขเพื่อนยามทุกข์ ยามสุขก็ส่งเสริมให้สุขมากขึ้น ยามตกทุกข์ก็ให้ทุกข์มากขึ้น ซ้ำเติมอยู่ตลอดเวลา นี่แหละกรรม จำไว้ให้ดีแยกแยะให้ได้ อยากสุขในทุก ๆ ภพ ทุก ๆ ชาติให้ทำกรรมดี อยากทุกข์ในทุก ๆ ภพ ทุก ๆ ชาติก็ให้ทำกรรมชั่ว เราได้ทำของเราเองทั้งนั้น

ดังตัวอย่างที่ได้พบมา พุทธศักราช ๒๕๒๖ ได้ไปอุปสมบททดแทนคุณบิดามารดาที่วัดเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประเพณีทางภาคใต้บุคคลที่อุปสมบทเป็นพระ จะต้องท่องบทขานนาคให้คล่องแคล่ว ก่อนบวชนาคผู้ที่จะบวชต้องไปนอนวัด เพื่อซ้อมการขานนาคให้ถูกต้องตามขั้นตอนอุปัชฌาย์จะเคร่งครัดเรื่องนี้มาก

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 04-10-2010 เมื่อ 14:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #119  
เก่า 20-09-2010, 07:25
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ก่อนบวชสองวันข้าพเจ้าไปนอนวัดเช่นคนอื่น แต่ข้าพเจ้าบวชนอกพรรษา บวชด้วยกันสามคน เมื่อซ้อมขานนาคเสร็จก็เข้านอนในกุฏิกำลังจะหลับ มีวิญญาณที่อยู่ในวัดได้มาหามากมาย มากันเป็นระเบียบ มาขอร้องให้แผ่อานิสงส์ไปให้พวกเขาด้วยเมื่อบวชเสร็จแล้ว พวกเขาทนทุกข์ทรมานมานานนักหนา ให้ช่วยปลดปล่อยทุกข์ให้พวกเขาด้วย พวกเขาสำนึกผิดที่ได้กระทำไว้ ตอนมีชีวิตอยู่ได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้มากมาย วิญญาณแต่ละคนมารู้สำนึกบาปเมื่อสายเสียแล้ว รูปกายแตกดับทำอะไรไม่ได้ ต้องทนทุกข์รับกรรมที่ได้กระทำมาอย่างแสนสาหัสอยู่จนถึงบัดนี้

วิญญาณบางคนต้องทนทุกข์มาหลายร้อยปี บางคนก็ไม่นานนัก เขาบอกว่าเห็นท่านมาบวช และพอติดต่อประสานขอส่วนบุญได้จึงได้มากัน คอยมานานแล้ว จะมีใครสามารถประสานให้รู้ทุกข์ของพวกเขา ไม่มีเลย บวชแล้วพวกเขาได้รับอานิสงส์น้อยเพราะไม่ได้อุทิศเจาะจงให้พวกเขา ขอท่านจงเมตตาเถิด

ทำให้คิดถึงคำตรัสขององค์พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เขียนไว้ตอนต้น ขอยกมาอีกครั้งเพื่อเตือนใจ กระตุ้นความจำทรงตรัสไว้ว่า “บุคคลทำกรรมชั่ว มักไม่รู้ว่าตนนั้นทำกรรมชั่ว เพระผลของกรรมชั่วยังไม่ปรากฏ ต่อเมื่อผลของกรรมชั่วนั้นปรากฏ จึงรู้ว่ากรรมชั่วนั้นเหมือนดั่งยาพิษ”

เหมือนดวงวิญญาณผู้น่าสงสารเหล่านั้น ถ้าท่านได้เห็นได้สนทนาด้วย ก็จะเกรงกลัวการทำกรรมชั่วเพราะมันน่าสะพรึงกลัวเสียจริง ๆ แม้คนเคยเก่งกล้า เคยกล้าหาญ ก็ยังต้องขยาดไม่กล้าทำในสิ่งผิดศีลธรรมอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเสือให้วัวกลัว เขียนบอกเล่าจากการได้พบได้เห็น


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #120  
เก่า 21-09-2010, 07:32
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

สนทนากับดวงวิญญาณที่ตกทุกข์ได้ยาก ลำบากถูกทรมานต่าง ๆ นานา จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่ว่า กรรมนั้นเป็นของแต่ละคนอยู่แล้ว จะแบ่งปันให้ผู้อื่นไม่ได้ ใครทำกรรมใดคนนั้นต้องรับกรรมนั้น อย่างวิญญาณที่ต้องทนทรมาน นี่คือสิ่งที่เมื่อตายไปแล้วเอาติดตัวไปทุก ๆ คน บางคนไปดี บางคนไปในที่ไม่อยากไปแต่ต้องไป ที่อยากไปก็ไปไม่ได้ เข้าไปไม่ได้เพราะกรรมดีกรรมชั่ว นี่แหละอย่าประมาท

พึงระวังไว้ทุกขณะ ให้มีสติสัมปชัญญะตลอดที่มีลมหายใจ ไม่เช่นนั้นท่านอาจเป็นอย่างดวงวิญญาณเหล่านั้นก็ได้ เมื่อรู้ย่อมป้องกันได้เมื่อยังมีชีวิตอยู่ รู้ตอนไม่มีชีวิตแล้วหมดโอกาสจะป้องกัน หมดโอกาสจะแก้ตัว ทั้งสองคืนที่นอนวัดได้พบวิญญาณที่ตกทุกข์ระกำลำบากมากมายหลายร้อยหลายพันคน จึงได้รับปากจะช่วยวิญญาณเหล่านั้นวันบวชเป็นพระ

เป็นนาคเข้าอุโบสถจนสำเร็จเป็นพระ แม่ดีใจปีติมาก เป็นลูกชายคนเดียวที่ได้บวช นอกนั้นไม่ยอมบวช ข้าพเจ้าภูมิใจที่ได้ทดแทนค่าน้ำนมของแม่ และได้ปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้กับดวงวิญญาณ ได้อุทิศอานิสงส์ให้ตามสัญญา อุปัชฌาย์ได้จัดที่พักให้ ตกตอนเย็นก็ลงอุโบสถทำวัตรเย็น เสร็จกิจข้าพเจ้าขออนุญาตอุปัชฌาย์ไปนั่งปฏิบัติธรรมในป่าช้าในคืนนั้น

ครั้งแรกอุปัชฌาย์ไม่อนุญาต แต่ได้ทำความเข้าใจกับท่านว่าได้เคยปฏิบัติมาแล้ว มีครูอาจารย์อบรมสั่งสอนด้านการเจริญกรรมฐานตอนเป็นฆราวาสอยู่เป็นประจำ ท่านจึงอนุญาตตามที่ขอ เวลาประมาณ ๓ ทุ่มได้เข้าไปในป่าช้า หาที่เหมาะสมแล้วขออนุญาตเจ้าที่ ขอนั่งปฏิบัติธรรมอย่ารบกวน ขณะที่นั่งอยู่วิญญาณที่ได้รับส่วนบุญได้มาขอบคุณที่แผ่บุญกุศลให้เขา
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:05



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว