กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 22-07-2015, 15:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,166 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๘

ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติเอาไว้เฉพาะหน้า หายใจเข้า..ให้ความรู้สึก คือ สติของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ที่เราถนัดมาแต่เดิม จะกำหนดการสัมผัส ๗ ฐาน ๓ ฐาน ฐานเดียวหรือรู้ตลอดกองลมก็ได้

วันนี้เป็น วันอาทิตย์ที่ ๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ก่อนเจริญกรรมฐานได้คุยกันถึงเรื่องสิ่งที่มาขวางการปฏิบัติทั้งหลาย ก็ขอกล่าวให้ชัด ๆ ว่าสิ่งที่มาขวางนั้นเราเรียกกันว่า มาร , มาระ ศัพท์นี้แปลว่า ผู้ฆ่า คือ ฆ่าเราเสียจากความดีทั้งปวง

มารมีหน้าที่ขัดขวางการทำความดีทั้งหลายทั้งปวงของเรา ถ้าถามว่าเขาขวางในการทำความดี เขาจะมีเวรกรรมหรือไม่ ? ก็ต้องบอกว่าไม่มี เพราะว่านั่นเป็นหน้าที่ และการขวางของเขานั้น ก็ไม่ใช่ว่าขวางไม่ให้เราสร้างความดี แต่เป็นการขวางในลักษณะทดสอบว่า ความดีของเราได้ระดับเพียงพอที่จะก้าวข้ามไปสูงกว่าเดิมหรือยัง

มารนั้นทั้งหมด ๕ อย่าง ได้แก่ กิเลสมาร ก็คือรัก โลภ โกรธ หลง ทุกประการที่อยู่ในจิตในใจของเรา ขันธมาร ก็คือร่างกายของเรานี่เอง ถึงเวลาถ้าจะทำความดีก็เจ็บโน่น ปวดนี่ เมื่อยนั่น บางท่านสมัยก่อนกินเหล้าเมาหัวราน้ำ นอนตากน้ำค้างทั้งคืนก็ไม่เป็นอะไร แต่พอเลิกราในสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวง หันมาให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาก็เจ็บโน่นปวดนี่ไปเรื่อย

ลำดับที่ ๓ เทวปุตตมาร เป็นพรหมหรือเทวดา ตลอดจนครูบาอาจารย์ที่มาลองใจของเรา มากันเป็นตัว ๆ ให้เห็น ๆ ลำดับ ๔ เรียก อภิสังขารมาร คือ บุญบาปที่มาขวางเรา ในส่วนของบุญนั้น ก็คือ ฌานสมาบัติ ทั้งรูปฌานและอรูปฌาน เพราะว่ารูปฌานนั้นมีความสุขเยือกเย็นประณีตมากเป็นพิเศษ ถ้าเราไปติดอยู่แค่นั้นก็ไม่สามารถเข้าถึงมรรคถึงผลที่ต้องการได้ ในส่วนของอรูปฌานนั้น ถ้าเผลอไปเกิดเป็นอรูปพรหมก็จะมีอายุขัยหนึ่งหมื่นมหากัป สองหมื่นมหากัป สี่หมื่นมหากัป แปดหมื่นมหากัป เป็นต้น ทำให้ไม่มีเวลาที่จะไปสร้างเสริมความดีต่อบารมีอื่น ๆ ได้

ดังนั้น ในส่วนของบุญบาปที่มาขวางเรานั้น ส่วนของบุญให้พึงเข้าใจตามนี้ ในส่วนของบาป ถ้าเราทำความชั่วก็ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ซึ่งห่างไกลความดีไปเป็นปกติอยู่แล้ว พวกเรามีความเข้าใจกันอยู่

ตัวสุดท้าย คือ มัจจุมาร คือความตายมาขวาง บางท่านกำลังใจเข้มแข็ง กล้าแข็งมากเป็นพิเศษ มีปัญญามาก ถ้าหันมาปฏิบัติธรรมจะสามารถบรรลุมรรคผลได้ในระยะเวลาอันใกล้ เขาไม่สามารถที่จะขวางด้วยวิธีใด ๆ แล้ว ก็จะฉวยโอกาสในวาระของอุปฆาตกรรมมาถึง ทำให้เราต้องตายลงไปด้วยอำนาจของกรรมเก่าที่เคยสร้างมา จึงเรียกว่ามัจจุมาร คือความตายมาขวาง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-07-2015 เมื่อ 17:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 58 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 23-07-2015, 16:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,166 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นกับเรา ขวางเราอยู่ตลอดเวลา ทดสอบเราอยู่ตลอดเวลา ขอให้ทุกท่านทำความรู้สึกและความเข้าใจให้ชัดเจนว่า มารไม่ใช่ศัตรู แต่มารเป็นครูที่ขยันเหลือเกิน ออกข้อสอบทดสอบเราทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาทีที่เราเผลอ ถ้าหากว่าเราสามารถสอบได้ ก้าวพ้นความรัก โลภ โกรธ หลงในระดับนั้น ๆ ได้ เขาก็กลายเป็นครูที่มีบุญคุณอย่างยิ่ง แต่ถ้าเราก้าวไม่พ้น เขาก็จะกลายเป็นมาร คือผู้ขวาง คือผู้ฆ่าเราเสียจากความดีทั้งปวง

ถ้าถามว่าจะจัดการกับมารอย่างไร ? ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปจัดการ ให้คิดเสียว่าต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง มารมีหน้าที่ขวางก็เชิญท่านขวางไป เรามีหน้าที่ที่จะหลีกหนีและก้าวข้ามอุปสรรคต่าง ๆ ที่เข้ามาทดสอบ เราก็ทำหน้าที่ของเราไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน เมื่อถึงวาระที่กำลังใจของเราก้าวพ้นไปได้ในระดับที่สูงขึ้น เราก็จะเห็นเองว่ามารเป็นครูที่ดีที่สุด เป็นครูที่เข้มงวดที่สุด ไม่เคยผ่อนปรนให้กับลูกศิษย์เลยแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่กลัวว่าลูกศิษย์จะต้องยากลำบากเวียนว่ายตายเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน เพราะถ้าทดสอบแล้วผ่าน เราก็จะก้าวไปสู่หนทางแห่งการหลุดพ้น ถ้าทดสอบแล้วไม่ผ่าน ก็แปลว่าคุณความดีที่เราสร้างสมมายังไม่เพียงพอ ก็จำเป็นที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อสร้างสมบุญญาบารมีของเราต่อไป

เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจึงเป็นผู้ที่ไม่มีศัตรู เรามีแต่ครูมาทดสอบเรา ครูคนนี้สามารถใช้สิ่งของทั้งหมด คนทั้งหมด สัตว์ทั้งหมดรอบตัวของเราเป็นเครื่องมือในการทดสอบได้ โดยเฉพาะคนที่เรารัก ยิ่งรักมากเท่าไร ก็สร้างความสะเทือนใจให้กับเรามากเท่านั้น ยิ่งสร้างความเศร้าหมองให้กับเราได้มากเท่านั้น สัตว์ทุกตัวก็สามารถที่จะเป็นเครื่องมือของมารในการขวางเราจากความดีได้ วัตถุทุกชิ้นก็เป็นเครื่องมือที่ขวางเราจากความดีได้ อย่างเช่นเห็นถังน้ำวางอยู่ เราก็เกิดโทสะขึ้นมาว่าใครเอามาวางไว้เกะกะอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่ถังน้ำไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย สักแต่ว่าเป็นวัตถุธาตุชิ้นหนึ่ง แต่มารสามารถนำมาเป็นเครื่องขวาง ทำให้จิตใจของเราต้องเศร้าหมอง เมื่อจิตใจของเราเศร้าหมองก็มีทุคติเป็นที่ไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2015 เมื่อ 02:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 24-07-2015, 13:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,166 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น...เราจึงต้องพยายามสร้างเสริมศีล สมาธิ ปัญญาของเราให้สมบูรณ์บริบูรณ์ เพื่อที่จะได้รู้เท่าทันลีลาของมาร ซึ่งคอยจะยั่วให้กำหนัด ล่อให้หงุดหงิด ลวงให้หลงผิดอยู่เสมอ สิ่งที่เรานำมาสอบเราก็มีแค่ ๔ ข้อ คือรัก โลภ โกรธ หลง เพียงแต่ว่าข้อสอบนั้นแตกแขนงออกไปเป็นล้าน ๆ แล้วก็ยิ่งละเอียดประณีตขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามระดับจิตของเรา เมื่อเราสั่งสมศีล สมาธิ ปัญญาของเราเพียงพอ ก็จะก้าวเข้าไปสู่ในระดับที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “มารไม่สามารถที่จะมองเห็นได้”

เอาแค่เราสามารถทรงฌานสมาบัติ ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปแบบแน่วแน่และมั่นคง ตราบใดที่เราไม่หลุดออกมา มารก็ไม่สามารถที่จะมองเห็นได้ เหตุที่มารมองไม่เห็นเพราะว่าอำนาจของฌานสมาบัตินั้น ได้ทำลายบริวารของมารทั้งหลาย คือรัก โลภ โกรธ หลงให้ดับลงไปชั่วคราว ในเมื่อไม่มีบริวารคอยรายงาน มารก็ไม่รู้ว่าเราเป็นใคร เราทำอะไร จนกว่ากำลังของเราจะคลายลงพ้นจากอำนาจของฌานสมาบัตินั้น ๆ ก็จะโดนมารครอบงำได้อีก

เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราจึงควรจะใช้กำลังสมาธิสมาบัติทั้งหลายเหล่านั้น เกาะภาพพระหรือเกาะพระนิพพานเป็นปกติ ตราบใดที่จิตใจของเราจดจ่ออยู่กับภาพพระหรืออยู่บนพระนิพพาน มารก็ไม่สามารถที่จะทำอันตรายเราได้

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๘

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2015 เมื่อ 14:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:00



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว