กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 20-08-2015, 06:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,680 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๘

ให้ทุกคนขยับตัวนั่งในท่าสบายของตน ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ เมื่อประมาณครึ่งเดือนที่ผ่านมา เกิดภาวะฝนแล้งสร้างความทุกข์ยากลำบากให้แก่บรรดาเกษตรกรทั่วประเทศ แต่ช่วงไม่กี่วันนี้เกิดพายุ ทำให้น้ำท่วม ต้องบอกว่าทั่วทุกภาคของประเทศเช่นกัน เพื่อนบ้านอย่างพม่า เวียดนาม ปากีสถาน อินเดีย ก็น้ำท่วมหนัก

เราจะเห็นได้ว่าการที่เราเกิดมาในโลกนี้นั้น ประกอบไปด้วยความทุกข์ทั้งสิ้น ฝนแล้งก็ทุกข์ ไม่มีน้ำจะทำการเกษตร ไม่มีน้ำจะใช้ ไม่มีน้ำจะกิน น้ำท่วมก็ทุกข์ ข้าวของทรัพย์สินทุกอย่างเสียหายจมน้ำไป เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จะว่าไปแล้วเป็นธรรมดาของโลก แต่ว่าเป็นธรรมดาของโลกที่สร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่เราตลอดเวลา เป็นความทุกข์ที่นอกเหนือจากสภาวทุกข์ ก็คือความทุกข์ของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในนิพัทธทุกข์ ก็คือความหนาวร้อน หิวกระหาย เจ็บไข้ได้ป่วย ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ เป็นต้น

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นความทุกข์ที่เข้ามาบีบคั้น ทำให้เราต้องเกิดความเครียด เกิดความโกรธแค้น เกิดความโศกเศร้า เกิดความเหือดแห้งใจ ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ ตราบใดที่เรายังมีร่างกายอยู่ ก็ต้องพบเจอเป็นปกติ ตัวเราทุกข์เช่นนี้ คนอื่นทุกข์เช่นนี้ สัตว์อื่นก็ทุกข์เช่นนี้ วันนี้เราเห็นคนอื่นเขาทุกข์ด้วยสภาพเช่นนี้ วันหน้าเราก็อาจจะทุกข์เช่นนี้บ้าง ด้วยเพราะยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้ ขึ้นชื่อว่าความทุกข์เช่นนี้ก็จะบังเกิดมีแก่เราอยู่ตลอดไป

เรายังอยากจะเกิดมามีความทุกข์เช่นนี้อีกหรือไม่ ? ถ้าเราไม่ปรารถนามีความทุกข์เช่นนี้ เราก็พึงหาทางหลุดพ้น การที่เราจะหลุดพ้นไปได้ อย่างน้อยก็ต้องก้าวเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบัน คือเป็นผู้เข้าถึงกระแสของพระนิพพาน ซึ่งเป็นดินแดนแห่งการไม่เกิดไม่ตาย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2015 เมื่อ 09:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 21-08-2015, 19:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,680 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การที่จะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันนั้น ในพระบาลีท่านว่าต้องตัดอุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๓ ข้อ คือ สักกายทิฎฐิ มีความเห็นว่าตัวเราเป็นของเรา วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในคุณพระศรีรัตนตรัย สีลัพพตปรามาส การถือศีลไม่มั่นคง

การที่เราจะถือศีลให้มั่นคงได้ ก็ต้องคอยระมัดระวังรักษาสิกขาบทเหล่านั้นไว้เสมอ ๆ เราจะต้องไม่ล่วงละเมิดศีลทั้งหลายเหล่านั้นด้วยตนเอง ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงใจ

การที่เราจะเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้น ต้องพิจารณาเห็นคุณค่าของสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ประกอบไปด้วยพระปัญญาคุณอันล้ำเลิศ สามารถตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ รู้เห็นธรรมที่คนอื่นไม่สามารถจะรู้เห็นได้ มีพระบริสุทธิคุณอันยอดเยี่ยม สามารถชำระจิตใจให้ผ่องใสจากกิเลสได้อย่างวิเศษยิ่ง มีพระกรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ ทรงตรากตรำพระวรกายสั่งสอนสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นจากกองทุกข์อยู่ถึง ๔๕ ปีเต็ม ๆ

คุณของพระธรรมนั้น รักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกสู่อบายภูมิ นำพาทุกคนให้ก้าวขึ้นสู่ภพภูมิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป และท้ายสุดก็ล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

พระสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติตามธรรม ปฏิบัติชอบ นำธรรมะไปเผยแพร่ให้แก่ปวงชนทั้งหลายได้ศึกษาปฏิบัติ เพื่อได้ล่วงพ้นจากกองทุกข์ตามไปด้วย

พยายามพิจารณาให้ละเอียด เราจะเห็นคุณของพระรัตนตรัยได้ชัดเจน เกิดความเคารพเลื่อมใส แล้วไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-08-2015 เมื่อ 02:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 22-08-2015, 18:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,680 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลังจากนั้นก็ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นว่า การเกิดมานั้นประกอบด้วยความไม่เที่ยงเป็นปกติ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง ตายไปในที่สุด มีความทุกข์เป็นปกติ โดยเฉพาะความทุกข์ที่เราเห็นอยู่ก็คือ ฝนแล้งและน้ำท่วม เป็นต้น ในเมื่อบังคับบัญชาไม่ได้ ดังนั้น..จึงไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ให้ยึดถือมั่นหมายได้

ร่างกายนี้เป็นเพียงเปลือกที่เรามาอาศัยอยู่ชั่วคราว เหมือนกับรถยนต์คันหนึ่ง ให้เราอาศัยขับไปสร้างบุญสร้างกรรมตามแต่ปัญญาของตน พอถึงวาระสุดท้าย ร่างกายนี้เสื่อมสลายตายพังไป ตัวเราก็ไปตามบุญตามบาปที่ได้สร้างไว้ เราเกิดมาแล้วต้องตายอย่างแน่นอน ขึ้นชื่อว่าตายแล้วต้องเกิดมาทุกข์เช่นนี้เราไม่ต้องการอีกแล้ว เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน

เมื่อทบทวนมาถึงตรงนี้ ก็ให้กำหนดใจคิดถึงภาพพระองค์ใดองค์หนึ่งที่เรารักเราชอบไว้ จะเป็นพระพุทธรูปก็ดี จะเป็นพระเครื่องก็ตาม นึกถึงภาพพระองค์ท่านว่านั่นเป็นพระพุทธนิมิตแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ใดนอกจากพระนิพพาน เราเห็นพระองค์ท่านก็คือเราอยู่กับพระองค์ท่าน เราอยู่กับพระองค์ท่านก็คือเราอยู่บนพระนิพพาน ให้เอาใจจดจ่ออยู่กับภาพพระองค์ท่านเอาไว้ ตั้งใจว่า..ถ้าวันนี้เราหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิตก็ตาม เราขอมาอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพานนี้แห่งเดียวเท่านั้น

หลังจากนั้นก็ดูลมหายใจและคำภาวนาของเรา ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ให้ตามดูตามรู้ลมหายใจของเรา ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ ให้กำหนดคำภาวนาไปด้วย ถ้าลมหายใจเบาลงหรือหายไป คำภาวนาหายไป ให้กำหนดรู้ว่าขณะนี้ลมหายใจเบาลงหรือหายไป คำภาวนาหายไป อย่าไปดิ้นรนอยากพ้นจากสภาพนั้น หรืออย่าพยายามฝืนเพื่อให้เป็นสภาพนั้น เรามีหน้าที่ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกหรือคำภาวนาเท่านั้น ให้ทุกท่านรักษาอารมณ์ของตนเองเอาไว้เช่นนี้ จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๘

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2015 เมื่อ 02:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:27



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว