กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > กระทู้ธรรม > ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 10-11-2011, 11:53
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default ให้สนใจศีล

ให้สนใจศีลที่ท่านพระ... แนะนำให้มาก

๑. “การรักษาศีลเพื่อป้องกันกิเลส มีขั้นตอนดังนี้

ก) ใหม่ ๆ จะเคร่งและเครียดมาก ขนาดต้องจดศีล ๒๒๗ ใส่กระเป๋าไว้ และหมั่นทบทวนเมื่อมีโอกาสทุกครั้ง จนจำขึ้นใจได้

ข) ศีลพระ จะเอาแต่เจตนาเป็นหลักตัวเดียวไม่ได้ เพราะจะรู้-จะไม่รู้ หรือสงสัยหรือสำคัญผิด ก็มีอาบัติปรับทั้งสิ้น

ค) ในที่สุด จะต้องมาดูอารมณ์จิตของตนว่า มันเกิดกิเลสหรือไม่ เพราะพระพุทธเจ้าทรงมีบัญญัติศีลก็เพื่อประโยชน์กับผู้ปฏิบัติเอง ทรงตรัสไว้ ๑๐ อย่าง (๑๐ ข้อ)

ในข้อ ๕ เพื่อป้องกันอาสวะ (กิเลส) ที่จะเกิดในปัจจุบัน (มิให้เกิดขึ้น)
ในข้อ ๖ เพื่อกำจัดอาสวะ (กิเลส) ที่จะเกิดในอนาคต (ให้หมดไป)

ง) จุดนี้ทำให้ท่านพิจารณาใคร่ครวญจนเห็นคุณของการมีศีล และเห็นโทษของการไม่มีศีล จนกระทั่งใจไม่ยอมละเมิดศีลอีก (เพียรหมั่นศึกษาศีลด้วยปัญญา จนกระทั่งศีลรักษาใจไม่ให้ละเมิดอีกเป็นอัตโนมัติ) จึงเท่ากับระมัดระวังจิตไม่ให้เกิดกิเลสนั่นเอง (ยกตัวอย่างง่าย ๆ ไม่ปาณาติบาตก็ตัดโกรธ ไม่อทินนาทานก็ตัดความโลภ ไม่กาเมฯ ก็ตัดความหลง เป็นต้น)

๒. “ท่านจึงเข้าใจดีว่า รักษาศีลทำไม รักษาศีลเพื่อป้องกันกิเลสตัวใหญ่ ๆ คือ โลภ โกรธ หลง ผลจากความเพียรระมัดระวังรักษาศีล รักษาใจท่านไม่ให้ละเมิดศีลเป็นอัตโนมัติ เท่ากับป้องกันจิตไม่ให้เกิดกิเลสไปในตัว ผลทำให้จิตสงบเยือกเย็นมาก เพราะการรักษาศีลก็คือการรักษาจิตไม่ให้เกิดกิเลส การระมัดระวังศีลก็คือ การระมัดระวังจิตไม่ให้เกิดกิเลส ซึ่งเป็นอันเดียวกัน”

๓. “เมื่อจิตเป็นสีลานุสติ จิตเป็นฌานในศีล จึงเท่ากับศีลรักษาจิตไม่ให้เกิดกิเลสได้ไปในตัว นี่แหละคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ต่างอาศัยซึ่งกันและแยกกันไม่ได้ในการปฏิบัติ รวมกันเป็นหนึ่งตรงจุดนี้แหละ คือต้องเกิดมรรคผลก่อนจึงจะรู้จริงได้ ดังนั้นศีลพระจึงละเอียดกว่าศีล ๕ และศีล ๘ ของฆราวาสมาก เมื่อศีลรักษาใจท่านไม่ให้ละเมิดศีลได้เป็นอัตโนมัติแล้ว จึงเท่ากับตัดอารมณ์ราคะ (โลภ) และปฏิฆะ (โทสะ) ได้ไปในตัวเช่นกัน”
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 11-11-2011, 11:47
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเสริมให้ มีความสำคัญดังนี้

๑. “สำหรับพวกเจ้า จงหมั่นศึกษาคำสอนเรื่องศีล ป้องกันไม่ให้เกิดกิเลสของท่านพระ... ให้มาก ๆ จักได้ตัดอารมณ์ราคะและปฏิฆะได้จริง ๆ เสียที”

๒. “การรักษาศีล-สมาธิ-ปัญญา ให้ดูบารมี ๑๐ หรือกำลังใจเต็มเป็นสำคัญ ถ้ากำลังใจไม่เต็มเสียอย่างเดียว ศีล สมาธิ ปัญญาก็เต็มอยู่ในจิตไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง.. จักต้องคอยตรวจดูการกระทำของกาย วาจา ใจอยู่ตลอดเวลา ว่ากรรมนั้นเป็นไปเพื่อกิเลสหรือเป็นไปเพื่อพระนิพพาน เรื่องของการผิดพลาดบ้าง เป็นของธรรมดา แต่พึงมีสติ-สัมปชัญญะกำหนดรู้ด้วยปัญญาว่า ต่อไปจักไม่ทำ ไม่พูด ไม่คิดอย่างนั้นอีก”

๓. “การปฏิบัติงานทั้งทางโลกและทางธรรมต้องไม่ทิ้งสายกลางหรือมัชฌิมาปฏิปทา ให้จิตยอมรับความจริง ยอมรับกฎธรรมดาหรือกฎของกรรมเข้าไว้ หากจิตยังฝืนอยู่เท่าไหร่ ถือว่ายังห่างไกลวิปัสสนาญาณเท่านั้น ทำอะไรก็ให้จิตยอมรับกฎของธรรมดาเข้าไว้บ้าง พิจารณาทุกอย่างให้เข้าหาธรรมดา เพราะจุดนี้แหละ.. คืออริยสัจ และเป็นเหตุให้ตัดร่างกายได้ในที่สุด”
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 14-11-2011, 11:29
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๔. “ดูจิต ดูอารมณ์ของจิตที่เกาะติดขันธ์ ๕ ด้วยอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา เป็นของเรา ว่าอารมณ์อันไหนเกิดแก่จิตบ้าง ถ้าไม่เห็นก็แก้ไขอันใดมิได้ จักต้องเห็นจิต เห็นอารมณ์ของจิตจึงจักแก้ไขได้ ในประการอื่น ๆ ไม่สำคัญเท่ากับดูจิต เป็นอารมณ์ของตนเอง ให้เห็นคุณของศีล สมาธิ ปัญญา ให้เห็นโทษของการไปติดขันธ์ ๕ ให้เห็นโทษของกามคุณ ๕ นี้ จักต้องอาศัยความใจเย็น สอบสวนจิตให้ลึกลงไป ค่อย ๆ ทำไป แล้วจักเห็นเหตุเห็นผล เห็นหนทางแก้ไขอารมณ์ของจิตชัดเจนขึ้น

๕. “อย่าสนใจสิ่งอื่นใดให้มากกว่าจิตของตน เพราะการส่งจิตออกนอกกายนั้น เป็นการแสวงหาทุกข์ เป็นสมุทัยเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แต่การเห็นอารมณ์จิตของตนเอง รักษาอารมณ์จิตของตนเองให้ทรงอยู่ในความผ่องใส ว่างจากกิเลส เป็นความสุข แม้จักระงับได้ชั่วคราว ก็จัดว่าเป็นความดีสูงสุดในพระพุทธศาสนา เห็นจิต เห็นอารมณ์ของจิต จึงเป็นคุณสมบัติของนักปฏิบัติธรรมในเขตพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง แต่จักจำต้องเห็นจิต เห็นอารมณ์ของจิตตามความเป็นจริง อย่าให้เห็นไปด้วยการเจือไปด้วยอารมณ์กิเลส คือ โมหะ โทสะ ราคะ เข้ามาบดบังความเห็นของจิตก็ใช้ไม่ได้ จักต้องมองเห็นด้วยปัญญา คือในอริยสัจนั่นแหละ จึงจักเป็นการมองจิต รู้อารมณ์ของจิตอย่างแท้จริง”

๖. “อย่าเป็นกังวลเรื่องสงฆ์ในวัด หรือแม้นอกวัดให้มากเกินไป เพราะความหวังดีกับพระพุทธศาสนาก็จงหวังดีกับจิตของตนเองด้วย ทุกอย่างทำตามหน้าที่ อย่าเก็บเอาความกังวลเข้ามา หรือเก็บเอากรรม หรือการกระทำของผู้อื่น จริยาของผู้อื่นเข้ามา เพราะจักทำให้เป็นทุกข์ พยายามทำทุกอย่างให้ดี ก็ต้องทำด้วยจิตเป็นสุข อย่าให้จิตตนตกเป็นทาสของกิเลสตามอุปาทานของตนเองก็แล้วกัน”


ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๙
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่ www.tangnipparn.com
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:55



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว