กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 30-07-2023, 19:49
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,532
ได้ให้อนุโมทนา: 216,752
ได้รับอนุโมทนา 743,776 ครั้ง ใน 36,244 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๖


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 31-07-2023, 01:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,571
ได้ให้อนุโมทนา: 151,699
ได้รับอนุโมทนา 4,410,941 ครั้ง ใน 34,161 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ หลายวันนี้พวกเราตากฝนเปียกโชกกันอยู่ทุกวัน ถ้าว่ากันตามสำนวนชาวบ้านก็คือ "อยู่ใต้ฟ้า กลัวอะไรกับฝน" เพียงแต่ว่าหลายท่านไม่เคยชินกับความลำบากตรากตรำในลักษณะอย่างนี้ ก็ให้ฉันยาแก้แพ้แก้ไข้ล่วงหน้าเอาไว้เลย เพราะว่าอากาศบ้านเราเปลี่ยนไปค่อนข้างจะมาก

จากประสบการณ์ที่กระผม/อาตมภาพอยู่ทองผาภูมิมา ก็ถึง ๓๐ ปีแล้ว อากาศแบบช่วงปีสองปีนี้ยังไม่เคยพบมาก่อน ก็คือฝนตกแล้วก็มีลมหนาวมาด้วย ลักษณะอากาศแบบนี้เคยไปพบทางประเทศยุโรป ก็คือถึงเวลาฝนตกพร้อมกับลมหนาว ตอนแรกกระผม/อาตมภาพก็สงสัยว่าป้ายรถเมล์บ้านเราเปิดโล่งแทบจะรอบทิศทาง ถ้าไม่ใช่จะติดป้ายโฆษณา ด้านหลังก็เปิดด้วย แต่ป้ายรถเมล์ในยุโรปปรากฏว่าปิดมิดชิด พอไปเจอฝนตกพร้อมกับลมหนาวก็ซาบซึ้งเลยว่า ถ้าไม่ปิดมีหวังหนาวตายกันหมด..!

อากาศที่เปลี่ยนแปลงจะว่าไปก็เป็นปกติธรรมดาของโลก แต่คราวนี้เป็นปกติธรรมดาที่ยาวนานเกินช่วงอายุของคน บางทีหลายชั่วอายุคนก็ยังไม่ได้พบ ก็เลยทำให้พวกเรารู้สึกว่าแปลก ก็คือสภาพภูมิอากาศในโลกของเรา มีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่ตลอดเวลา สถานที่บางแห่งทะเลทรายขยายตัวขึ้น หรือว่าขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ชั้นน้ำแข็งบางลง หดตัวเล็กลง มนุษย์เรามีอยู่อย่างเดียวก็คือต้องคล้อยตามธรรมชาติ

สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเล็กอยู่ บ้านเรือนผู้คนส่วนใหญ่แล้วปลูกบ้านใต้ถุนสูง พอถึงเวลาหน้าร้อนก็ทำงานอยู่ใต้ถุนบ้าน มีหลังคา มีพื้นเรือน กรองความร้อนสองชั้น พอถึงเวลาหน้าน้ำหลาก ก็ย้ายขึ้นชั้นบน เอาเรือลงจากคาน ถึงเวลาก็เดินทางด้วยการแจวเรือไป นั่นเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษของเราที่อยู่กันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า รู้ว่าถึงเวลาแล้วน้ำจะหลากมา

แล้วทุกคนก็อยากให้น้ำหลากด้วย เพราะอันดับแรกเลยก็คือเวลาน้ำหลากมา บรรดาโอชะหรือว่าปุ๋ยต่าง ๆ ก็มากับน้ำ โดยเฉพาะเกือบทุกบ้านจะขุดบ่อ เพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง พอน้ำหลากมา ของแถมก็คือปลา จะลงไปตกคลั่กอยู่ในบ่อเอง เท่ากับว่ามีอาหารสำรองไว้กินได้ทั้งปี

แต่พอมีการส่งลูกหลานไปเรียนต่างประเทศ เห็นบ้านเมืองของต่างประเทศเขาแล้วสวยงาม ก็เอามาสร้างไว้ในบ้านเรา โดยที่ไม่ได้ดูบริบทหรือภูมิอากาศของเรา ว่าเหมาะสมกับบ้านเรือนชนิดนั้นหรือไม่ ? เมื่อสร้างขึ้นมาจึงทำให้ร้อนอบอ้าว โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ๆ สร้างบ้านไม่ดูทิศทางแดด ทิศทางลมเลย

บ้านสมัยก่อนจะสร้างให้รับลมหน้าร้อน และหลบลมหน้าหนาว ก็แปลว่าหน้าต่างทุกบานจะไม่เปิดรับลมเหนือ เพราะว่าบ้านเราลมเหนือเป็นลมหนาว การสร้างตัวอาคารก็จะไม่สร้างขวางตะวัน เพราะว่าแดดจะร้อนทั้งเช้าทั้งบ่าย แต่จะสร้างในลักษณะตามตะวัน ก็คือหันข้างให้กับพระอาทิตย์ เช้าร้อนด้านหนึ่ง บ่ายร้อนด้านหนึ่ง พอที่จะบรรเทาไปได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2023 เมื่อ 02:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 31-07-2023, 01:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,571
ได้ให้อนุโมทนา: 151,699
ได้รับอนุโมทนา 4,410,941 ครั้ง ใน 34,161 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้เมื่อพวกเราไปเอาวัฒนธรรมจากตะวันตกเข้ามา ซึ่งไม่เหมาะสมกับประเทศของเรา แล้วพวกเรารับกันเข้ามาโดยที่ไม่ได้ดูความเหมาะสม ก็ทำให้บ้านเราเมืองเรา สภาพอากาศต่าง ๆ ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป เพราะว่าบ้านยิ่งปิดทึบ ก็ยิ่งต้องการเครื่องปรับอากาศมาก ยิ่งใช้เครื่องปรับอากาศมาก ก็ยิ่งทำลายโอโซนที่ป้องกันโลกไปมาก โอโซนยิ่งโดนทำลายมากเท่าไร รังสียูวีหรืออัลตร้าไวโอเลตก็จะลงมามาก ทำให้เกิดความร้อนสะสมมากขึ้นเท่านั้น โลกเราจึงร้อนขึ้นทุกวัน

คราวนี้ของพวกเราร้อนนิดหน่อยก็บ่น อาตมภาพเองตอนเด็ก ๆ หน้าหนาวนี่หนาวจนเนื้อตัวแตกลายเป็นเกล็ดเลย ริมฝีปากแตกเลือดซิบ ๆ ถึงเวลากลางคืนหนาวจนนอนไม่ได้ โยมพ่อเป็นคนจีนก็สร้างบ้านดินแบบจีน ในเมื่อพื้นเป็นดินจึงก่อไฟได้เลย ใช้วิธีก่อไฟกลางบ้านแล้วก็นั่งล้อมผิงไฟกัน รอให้สว่าง หนาวจริงหนาวจัง หนาวชนิดด้านหน้าอยู่ใกล้กองไฟเกือบจะไหม้ แต่ด้านหลังเย็นวาบ ๆ เหมือนคนเอาน้ำแข็งมานาบเลย..!

ไม่น่าเชื่อว่าจะมีบรรยากาศแบบนั้น แค่ช่วงกระผม/อาตมภาพเป็นเด็ก ซึ่งต่างกับปัจจุบันนี้มาก สมัยโน้นหน้าร้อนเป็นหน้าร้อน หน้าฝนเป็นหน้าฝน หน้าหนาวเป็นหน้าหนาว เพราะว่าธรรมชาติยังสมบูรณ์อยู่ จนกระทั่งเรามาทำเกษตรอุตสาหกรรม ต้องตัดไม้ทำลายป่ากัน เพราะว่าต้องการพื้นที่จำนวนมากในการปลูกข้าว ปลูกข้าวโพด ปลูกยางพารา ทำลายป่าไปมากเท่าไร ความร้อนความแล้งก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น อากาศก็เปลี่ยนแปลงมากขึ้นไปเรื่อย ๆ

สมัยวัยรุ่นถ้าหากว่าอากาศถึง ๒๙ - ๓๐ องศาเซลเซียส ก็บ่นกันแล้วว่าร้อนตับแตก คำว่า "ร้อนตับแตก" ไม่ใช่คนตับแตก บ้านสมัยก่อนส่วนใหญ่มุงจาก ก็คือใช้ใบจากมาเข้าตับ แล้วมุงหลังคา ครั้งหนึ่งจะอยู่ได้ประมาณ ๓ ปี คราวนี้พอร้อนจัดมาก ๆ ใบจากจะขยายตัวแล้วแตก หน้าฝนหลังคาก็จะรั่ว เขาก็เลยเรียกกันว่า "ร้อนตับแตก" ก็คือ ร้อนจนตับจากแตก ไม่ใช่ตับคนแตก พวกเราส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามีที่มามาจากไหนก็ได้แต่บ่นกัน

พอยุคต่อมาอุณหภูมิขึ้นถึง ๓๒ - ๓๓ องศาเซลเซียส ครั้งแรกเลยที่ได้ฟังการประกาศอุณหภูมิสูงสุดในประเทศไทย จำได้ว่าเป็นอำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ๓๑ องศาเซลเซียส..!

คนรอบข้างบ่นกันว่าอยู่ได้อย่างไร ? ร้อนอย่างกับนรก..! แล้วพวกเราลองคิดดูว่าปัจจุบันทองผาภูมิ ๓๘ องศาเซลเซียสทุกวัน นี่คือแค่ชั่วชีวิตคน ๆ หนึ่ง ภูมิอากาศยังเปลี่ยนแปลงไปจนขนาดนี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2023 เมื่อ 02:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 31-07-2023, 01:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,571
ได้ให้อนุโมทนา: 151,699
ได้รับอนุโมทนา 4,410,941 ครั้ง ใน 34,161 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้พวกเราทั้งหลายถ้าหากว่าสิ่งหนึ่งประการใดเป็นของที่เราไม่ชอบใจเกิดขึ้น เราก็จะไปผลักไส แต่ถ้าสิ่งใดที่เราชอบใจ เราก็จะไปยึดเกาะ ไขว่คว้ามาเป็นของเรา ดังนั้น..สิ่งที่ไม่ดีไม่งามต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งที่ตัดละได้ง่ายกว่า เพราะว่าเราไม่ชอบอยู่แล้ว

พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราพิจารณาทุกข์ เมื่อเห็นความทุกข์ชัดเจน แล้วไม่อยากได้ เราจะได้ผลักไสออกไป ถ้าให้พิจารณาความสุข พวกเราไม่มีใครรอดสักคน ติดอยู่แค่นั้นกันหมด แต่ขนาดให้พิจารณาความทุกข์ ส่วนมากก็ยังปัญญาไม่ถึง ในเมื่อปัญญาไม่ถึง เห็นไม่ชัดเจน จิตใจยอมรับไม่ได้ ปล่อยวางไม่ลง การเข้าถึงมรรคถึงผลที่ควรมีจึงไม่มี..!

ดังที่วันก่อนกระผม/อาตมภาพบอกว่า นิพพิทาญาณเป็นของดีมาก ความเบื่อหน่ายนี้เราควรที่จะรักษาไว้ให้อยู่กับเราให้นานที่สุด เพราะว่าถ้าไม่เบื่อ เราก็ไม่เข็ด ถ้าไม่เข็ด เราก็ไม่ต้องการไปจากร่างกายนี้ ไม่ต้องการไปจากโลกนี้ ดังนั้น..สิ่งหนึ่งประการใดที่เราเห็นว่าไม่ดี แต่ถ้าหากว่าเราเข้าถึงอย่างแท้จริง เราจะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีเลิศชนิดที่หาที่ไหนก็หาไม่ได้

พระพุทธเจ้าของเราเป็นพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ ตรัสรู้เร็วที่สุด ยังใช้เวลาถึง ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป หนึ่งมหากัปนี่ไม่รู้เกิดกี่ร้อยกี่พันล้านครั้ง..! ในเมื่อเกิดนานขนาดนั้น ใช้ทรัพยากรชาติหนึ่ง ตีเสียว่าหนึ่งล้านบาทต่อหนึ่งคน ก็จะเป็นตัวเลขอัศจรรย์ที่อ่านไม่ออกเลยว่ามูลค่าสูงเท่าไร แล้วพระองค์ถึงได้เห็นทุกข์

พวกเราเองเห็นทุกข์ชัดเจน แทนที่จะรีบไขว่คว้าไว้ ว่านี่เป็นของที่มีค่าที่สุด เวียนว่ายตายเกิดสิ้นงบประมาณไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรกว่าที่จะได้เห็น เรากลับไปผลักไส ไม่ต้องการทุกข์ การที่เราไม่ต้องการทุกข์เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่เราดันไปต้องการสุขแทน ก็เลยกลายเป็นผลักของดีออกไป แล้วไปคว้าของไม่ดีเข้ามา เพราะว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ เห็นสิ่งที่ดีว่าไม่ดี เห็นสิ่งที่ไม่ดีว่าดี

จึงฝากไว้เป็นข้อคิดสำหรับพวกเราทุกคนว่า ทุกข์เป็นของดีที่สุด มีคุณค่ามหาศาลที่สุด ปรากฏขึ้นในชีวิตใครมีคุณค่ายิ่งกว่าถูกรางวัลที่ ๑ เสียอีก อย่าปล่อยโอกาสในการพิจารณาให้เห็นจริง แล้วถอนจิตจากการยึดเกาะร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ การยึดเกาะโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ ละทิ้งความปรารถนาในการเกิดมาทุกข์แบบนี้ แล้วท่านทั้งหลายจะมีโอกาสหลุดพ้นจากกองทุกข์ไปสู่พระนิพพานได้

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2023 เมื่อ 02:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:18



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว