กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > กระทู้ธรรม > ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 03-06-2011, 08:19
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default หนู ๔ ประเภท

ส่วนของคำนำ


สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสว่า อย่าไปเอาวิชา ความรู้ ศักดิ์ศรี ฐานะ ตระกูลมาเป็นเครื่องตัดกิเลส
เพราะนั่นเป็นสิ่งภายนอก มิใช่ตัวจิตแท้ ๆ ใครยึดถือก็เป็นมานะกิเลส ให้พิจารณาถึงตัวจิตล้วน ๆ ตามที่สมเด็จองค์ปฐมตรัสไว้ในคิริมานนทสูตรว่า ผู้มีความรู้จะฉลาดสักปานใด ไม่ควรถือตัวว่าเป็นผู้ยิ่งกว่าผู้มีศีล


ดูกรอานนท์ บุคคลผู้ไม่มีศีล ปราศจากการรักษาศีล หรือเข้าใจว่าตนเองดีกว่าผู้มีศีล จัดเป็นมิจฉาทิฎฐิเป็นคนหลงทาง ห่างจากความสุขในมนุษย์ สวรรค์และพระนิพพานมาก เพราะเหตุผลว่าผู้มีศีล ได้ชื่อว่าใกล้ต่อพระนิพพานอยู่แล้ว จะถือเอาความรู้และความไม่รู้เป็นเครื่องวัดความดีไม่ได้ ต้องถือเอาการละกิเลสได้เป็นเครื่องวัด เพราะผู้จะเข้าถึงพระนิพพานต้องอาศัยการละกิเลสได้ส่วนเดียว เมื่อละได้แล้ว แม้จักไม่มีความรู้มาก รู้แต่เพียงการละกิเลสได้เท่านั้น ก็อาจถึงพระนิพพานได้ จักเห็นได้ว่าชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ที่มุ่งเข้ามาปฏิบัติธรรม มิได้มีวิชา ความรู้ ศักดิ์ศรี ฐานะ ตระกูลเลย แต่เอาจิตที่เต็มไปด้วยศรัทธาเข้ามาปฏิบัติด้วยกำลังใจเต็ม ในศีล สมาธิ ปัญญา มุ่งปฏิบัติกันที่จิตโดยตรง อันเป็นธรรมภายในด้วยกันทุกคน ไม่เอาธรรมภายนอก ๕ อย่างนั้นมาใช้ตัดกิเลส จัดได้ว่าเป็นหนูประเภทที่สอง คือ มิได้ขุด แต่ได้อยู่

สมเด็จองค์ปัจจุบัน ทรงตรัสสอนพระอานนท์เรื่องหนูมี ๔ ประเภท มีความโดยย่อว่า

หนูประเภทที่ ๑ มันขุด(รู) แต่มิได้อยู่ คือ พวกรู้ปริยัติ แต่มิได้ปฏิบัติ

หนูประเภทที่ ๒ มันมิได้ขุด แต่ได้อยู่ คือ พวกไม่รู้ปริยัติ แต่มุ่งตัวปฏิบัติอย่างเดียว

หนูประเภทที่ ๓ มันขุดด้วย และได้อยู่ด้วย คือ พวกรู้ปริยัติ และปฏิบัติด้วย

หนูประเภทที่ ๔ มันไม่ได้ขุด และไม่ได้อยู่ คือ พวกไม่รู้ทั้งปริยัติและไม่ปฏิบัติด้วย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 94 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 06-06-2011, 09:21
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ที่ผมยกเอาพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จองค์ปฐม และสมเด็จองค์ปัจจุบันมาอ้าง ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ตรวจสอบอารมณ์จิตของตนเองว่า ในปัจจุบันนี้เราเป็นหนูประเภทไหนกัน ส่วนตัวผมมีความเห็นว่ามีทั้ง ๓ ประเภทแรก คือ ประเภทแรกได้ขุด แต่มิได้อยู่ มีมาก เพราะได้รับพระธรรมคำสั่งสอนจากหลวงพ่อฤๅษีโดยตรงและโดยอ้อมจากหนังสือและเทปคำสอนของท่านมากมาย บวกกับมีการสนทนาธรรมเพื่อนำไปสู่ความหลุดพ้นกันอีก ๑๖ ปีแล้ว แต่ก็ยังขี้เกียจปฏิบัติเพื่อให้เกิดมรรคผลนิพพาน มรรคนั้นรู้แสนที่จะรู้ (ปริยัติ) แต่ยังไม่ยอมปฏิบัติให้เกิดผล หรือปฏิบัติแบบถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง มิได้เอาจริง จัดว่าเป็นผู้ประมาทในชีวิต เท่ากับประมาทในพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ บท

หนูประเภทที่ ๒ มิได้ขุดแต่ได้อยู่ อย่างที่องค์สมเด็จทรงตรัสไว้แล้วเรื่องชาวนา ชาวสวน ซึ่งก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน จัดว่าเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต

หนูประเภทที่ ๓ ได้ขุดด้วยและได้อยู่ด้วย ส่วนตัวผมเห็นว่ามีน้อย หาได้ยากเต็มที

หนูประเภทที่ ๔ เป็นพวกไม่ศรัทธาในพระองค์ พระองค์จึงไม่โปรดสอนพวกนี้ ก็จงอย่าไปสนใจ ให้ระวังอารมณ์จิตของเราเอาไว้ให้ดี ๆ อย่าให้มันเผลอหลุดเข้าไปอยู่ในหนูประเภทที่ ๔ แล้วกัน

สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสว่า การบวชใจนั้นบวชได้ทุกคน ไม่จำกัดทั้งเพศและวัย อายุตั้งแต่ ๗ ขวบ ก็บวชใจได้ทุกคนและบวชใจแล้วปฏิบัติตามศีล สมาธิ ปัญญา หากตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการได้ขาด ก็เป็นพระอรหันต์ได้


แต่การบวชกายนั้นมีได้แต่เฉพาะบางท่านเท่านั้นที่โอกาสอำนวย มีพร้อมทั้งกายและครอบครัวด้วย จัดเป็นหนูประเภทที่ ๓ สำหรับพวกที่โอกาสไม่ได้อำนวย เช่น คุณหมอ และพวกที่เป็นทั้งเพศชายและหญิงโอกาสไม่อำนวยให้บวชกายได้ แต่ก็นับว่าโชคดีที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้พบท่านฤๅษีเป็นครูบาอาจารย์ สอนให้ทั้งปริยัติและปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน ให้เป็นหนูประเภทที่ ๓ คือได้ขุดด้วยและได้อยู่ด้วย ที่ยังเอาดีกันไม่ได้ อยู่ที่ขาดความเพียรนะ ควรจักพิจารณาตนเองว่าเราเป็นหนูประเภทไหนกัน อยากไปพระนิพพานก็ต้องปฏิบัติธรรมเพื่อสู่พระนิพพานด้วย อยากแต่ไม่ยอมปฏิบัติไปพระนิพพานไม่ได้
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 07-06-2011, 08:41
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ตรัสสอนแต่อริยสัจหรือกฎของกรรม หรือกฎธรรมดาเท่านั้น ทรงตรัสเน้นว่า จะทรงสอนอีกกี่แสนครั้งก็ไม่พ้นจากอริยสัจ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ต่างบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้ด้วยอริยสัจ และสอนให้พระสาวกทุกองค์จบกิจได้ด้วยอริยสัจ เพราะอริยสัจแปลว่า ของจริงในพระพุทธศาสนาที่พระองค์ทรงพบก่อนผู้อื่นในโลก ได้พิสูจน์ด้วยพระองค์เองแล้ว จึงค่อยนำมาสั่งสอนให้ผู้อื่นได้รู้แจ้งเห็นจริงตามพระองค์ ดังนั้นคำสอนของพระองค์จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นของจริง (อริยสัจ) ไม่จริงพระองค์ก็ไม่ตรัส ตรัสอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นไม่เป็นอื่น คำสอนของพระองค์จึงไม่มีใครคัดค้านได้ หากยังค้านได้สิ่งนั้นมิใช่คำสอนของพระองค์

ในปัจจุบันนี้มีนักบวช สมมุติสงฆ์มากมายที่คัดค้านคำสอนของพระองค์ จะโดยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ก็ล้วนเป็นโทษทั้งสิ้น เพราะชอบเอาคำสอนของพระองค์นำหน้า แล้วเอาปัญญาของตนเองออกมาอธิบายธรรมให้เพี้ยน หรือผิดไปจากอริยสัจหรือความจริง โดยจำมาผิด ๆ ก็มี แปลความหมายของพระธรรมผิดไปก็มี บางรายหลงตนเองสุด ๆ คัดค้านคำสอนเอาดื้อ ๆ เช่น สอนว่านรกไม่มี สวรรค์ไม่มี เทวดา นางฟ้า พรหมไม่มี นิพพานสูญ ตายแล้วสูญ เป็นต้น บางรายก็ตัดออกไปจากคำสอนของพระองค์ในพระไตรปิฎกเลยก็มี เช่นบอกว่า เรื่องฤทธิ์หรืออิทธิปาฏิหาริย์นั้นเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ให้ตัดออกไปให้หมด เอาความคิดความโง่ของตนเป็นใหญ่ หากกูทำไม่ได้ คนอื่นก็ต้องทำไม่ได้ เหมือนกูเช่นกัน ซึ่งตรงกับคำตรัสที่ว่า บุคคลใดที่คิดว่าตนเองเป็นบัณฑิต เป็นคนฉลาด บุคคลนั้นเป็นคนโง่อย่างแท้จริง พระองค์ทรงเอาการตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการ ซึ่งก็มีอธิศีล อธิจิตและอธิปัญญานั่นเอง เป็นเครื่องวัดความดีในการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา มิได้เอาการบวชนาน มีพรรษามาก มียศ มีฐานะ มีศักดิ์ศรีใหญ่ของตนเอง ออกมาคัดค้านคำสั่งสอนของพระองค์ ทำให้พระเล็ก ๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรี และฆราวาสไม่กล้าค้าน ส่วนพระแท้ที่ท่านจบกิจแล้ว ตัดสังโยชน์ ๑๐ ข้อได้เด็ดขาดแล้ว ท่านก็วางเฉย เพราะท่านมีอารมณ์เดียว คือ สังขารุเบกขาญาณ ท่านเคารพในกฎของกรรม ถือว่ากรรมใครกรรมมัน เพราะกฎของกรรมนั้นเที่ยงเสมอ และให้ผลไม่ผิดตัวด้วย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 08-06-2011, 09:52
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

การที่จะดูว่าพวกนักบวช หรือสมมุติสงฆ์ มีศีลปาฏิโมกข์ ๒๒๗ ข้อครบหรือไม่นั้นดูยาก เพราะจะรู้หรือไม่จะต้องอยู่กับเขาสักระยะหนึ่งจึงจะรู้ได้ จุดที่เห็นได้ง่ายก็คือ กรรมบถ ๑๐ หมวดวาจา ๔ พวกนี้จะเผลอกล่าววจีกรรมปรามาส หรือไม่เคารพในผู้มีพระคุณอยู่เสมอ เพราะไม่รู้จริงว่าร่างกายของตนเองนั้นประกอบด้วยธาตุ ๔ มีอาการ ๓๒ ไม่เที่ยง มีความสกปรกเป็นพื้นฐาน รู้แค่สัญญาหรือความจำเท่านั้น จึงขาดสติสัมปชัญญะ กล่าววาจาดูถูกพระแม่ทั้ง ๕ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟและพระแม่โพสพ (ข้าว) ซึ่งเป็นเสมือนหนึ่งมารดาทางธรรมที่อยู่กับเราตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย เมื่อมีอารมณ์ไม่พอใจเกิด (ปฏิฆะหรือโทสะ) ก็มักจะกล่าวคำว่ามันนำหน้า เช่น น้ำมัน ลมมัน ไฟมัน แผ่นดินมันและข้าวมัน พวกนี้มักเผลอกล่าวเวลาเทศน์หรือสนทนาธรรม แม้แต่เขียนหนังสือออกมาก็ยังเผลออยู่ตามสันดานของตน

อีกประโยคหนึ่งที่ได้ยินอยู่เป็นปกติคือคำว่า ใส่บาตรกับตักบาตร ซึ่งค้านได้ ๑๐๐% จึงมิใช่อริยสัจ มิใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ของที่อยู่ในบาตรพระแล้ว ใครไปตักออกจากบาตรของท่าน ก็เป็นการทำบาป มิใช่ทำบุญ การกระทำทุกอย่างทางกาย วาจา ใจที่เป็นโทษ โดยคิดว่าไม่มีโทษ ก็ยังเป็นโทษ ไปทำบุญมา (ใส่บาตรพระ ใส่บาตรเทโว) จงใช้ปัญญาให้มาก อย่าใช้แต่สัญญา เชื่ออะไรง่าย ๆ โดยขาดเหตุผล พระพุทธศาสนาท่านสอนแต่อริยสัจ สอนให้รู้ให้เชื่อด้วยปัญญา ไม่สอนให้รู้ให้เชื่อโดยขาดปัญญา การจะไปพระนิพพานนั้น หากผิดหรือติดอะไรแม้แต่นิดเดียว ก็ไม่มีทางเข้าแดนพระนิพพานได้เลย

อีกประโยคหนึ่ง ได้ยินกันชินหูคือ อยู่กัน ๒ คน หรืออยู่กัน ๑ ต่อ ๑ กลับไปพูดว่าอยู่กัน ๒ ต่อ ๒ หากได้ยินใครพูดก็จงอย่าไปพูดตามเขา เพราะมิใช่อริยสัจ ปล่อยไปตามกรรมของเขา เราไม่มีเจตนาจะโกหกเขา แต่ก็เหมือนโกหก หากอยู่กันแค่สองคนหรือ ๑ ต่อ ๑ แต่ไปพูดว่าเราอยู่ ๒ ต่อ ๒

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 09-06-2011 เมื่อ 07:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 09-06-2011, 07:44
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เรื่องทั้งหมดที่ผมนำเอามากล่าวไว้ในคำนำนี้ ล้วนเป็นปกิณกธรรม ธรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ทั้งสิ้น ด้วยพระเมตตาของพระองค์ หวังให้พวกเราที่ปรารถนาจะไปพระนิพพานในชาตินี้ มีจิตละเอียดขึ้นตามลำดับ หรือมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ขึ้น จนไม่เผลอในกรรมบถ ๑๐ หมวดวาจา ๔ ถือเป็นหลัก นักปฏิบัติธรรมที่หวังจะเข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้ จะต้องสนใจแต่คำสอนของพระองค์ซึ่งล้วนเป็นอริยสัจทั้งสิ้น



จงอย่าเสียเวลาไปศึกษาสิ่งที่ไม่ใช่อริยสัจ คือ ยังค้านได้ หากเข้าใจจุดนี้ จิตก็จะละเอียดขึ้นตามลำดับ หันมาสนใจแต่พระธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น ซึ่งพิมพ์แจกเป็นธรรมทานมาตามลำดับ จนถึงเล่มนี้เป็นเล่มที่ ๘ แล้ว ความตายและเวลาไม่คอยใคร ทุกคนกำลังเดินไปหาความเสื่อม และความตายด้วยกันทุกคน โดยไม่มีทางหนีพ้น แต่ก็อธิษฐานจิตไว้ว่า จะขอตายเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยความไม่ประมาทในชีวิต ด้วยอุบายสั้น ๆ ที่ทรงให้ไว้ว่า รู้ลม รู้ตาย รู้นิพพาน ส่วนรายละเอียดทุกท่านทราบดีอยู่แล้ว ที่พึ่งอันสุดท้ายก็คือจิตของเราเอง จงอย่าเผลอโง่ไปเกาะติดร่างกายซึ่งมันหาใช่เรา หาใช่ของเราเข้า สิ่งเหล่านี้หากไม่พร้อมโดยไม่ซ้อมตายไว้ให้จิตมันชิน ก็จัดว่าเป็นผู้ประมาทในธรรมของพระองค์อย่างยิ่ง จุดนี้ไม่มีใครช่วยใครได้ กรรมใครกรรมมัน ตัวใครตัวมัน ผมเน้นจุดนี้สำหรับนักปฏิบัติเพื่อหวังพ้นทุกข์เท่านั้น

ในที่สุดผมขออาราธนาบารมีคุณของพระศรีรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง ขอให้ท่านผู้บริจาคเงินเป็นธรรมทานทุกท่าน ได้อ่านธรรมะในเล่ม ๘ นี้ ของพระพุทธองค์และของหลวงพ่อหลวงปู่ทั้งหลายซึ่งล้วนเป็นธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น อ่านแล้วเข้าใจ มีดวงตาเห็นธรรมได้ตามลำดับ จนเข้าสู่พระนิพพานได้ในชาติปัจจุบันนี้ด้วยกันทุกท่านเทอญ


ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๘
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน


ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่ www.tangnipparn.com

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-06-2011 เมื่อ 02:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:57



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว