กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 29-06-2010, 23:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,831 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๓

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตน ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้ากำหนดรู้ตามเข้าไป หายใจออกกำหนดรู้ตามออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็แล้วแต่เราชอบ ให้เป็นไปตามความถนัดของเรา

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๓ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันสุดท้ายของเดือนมิถุนายนนี้ ที่ต้องมาย้ำเกี่ยวกับเรื่องของลมหายใจเข้าออกนั้น ก็เพราะว่าลมหายใจเข้าออกหรืออานาปานสตินั้น เป็นพื้นฐานของกรรมฐานทุกกอง

หากว่ากรรมฐานกองใดไม่ได้ควบด้วยอานาปานสติ กรรมฐานกองนั้นจะไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้
โดยเฉพาะถ้าหากท่านทั้งหลายสามารถทรงอารมณ์ภาวนาได้ เอาแค่ปฐมฌานเท่านั้น เราก็มีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงมรรคถึงผลได้แล้ว

เนื่องจากว่าสภาพจิตของเราที่ส่งส่ายวุ่นวายอยู่นั้น ถ้าหากว่าสงบลง ก็จะมีกำลังในการตัดกิเลส แต่ต้องประกอบด้วยปัญญา เพราะว่าในการปฏิบัตินั้น ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องมีโดยครบถ้วนสมบูรณ์ คือ ในตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เรานั่งปฏิบัติอยู่ ศีลทุกสิกขาบทของเราสมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่ได้ขาดตกบกพร่อง ก็แปลว่าศีลและสมาธิของเราสมบูรณ์พร้อมแล้ว เหลือแต่เพียงปัญญาเท่านั้น ที่เราจะรู้เท่าทันกิเลสหรือไม่

ถ้าหากท่านทั้งหลาย สามารถทรงฌาน คือ ปฐมฌานได้ โอกาสที่ท่านจะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันและพระสกิทาคามี ก็จะมีมาก แต่ต้องประกอบไปด้วยปัญญาดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

จะใช้ปัญญาอย่างไร เราถึงสามารถอาศัยกำลังของปฐมฌานก้าวเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบันได้ ? ก็ต้องขอกล่าวว่า ในขณะจิตที่สมาธิดำเนินเข้าสู่ความเป็นปฐมฌานนั้น กำลังของฌานสมาบัติจะไปกด รัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นไฟใหญ่สี่กอง ให้ดับลงชั่วคราวด้วยกำลังของสมาธินั้น

ทันทีที่ไฟใหญ่สี่กองนี้ดับลงไป เราจะเกิดความสุขที่อธิบายเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้ เป็นความสุขเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน บุคคลที่โดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา แล้วไฟดับลงนั้น เขามีความสุขอย่างไร ย่อมไม่สามารถที่จะอธิบายให้คนอื่นทราบได้ จัดเป็นปัจจัตตัง คือรู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 30-06-2010 เมื่อ 11:26
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 29-06-2010, 23:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,831 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ทันทีที่ไฟใหญ่ทั้งสี่กองถูกกดดับลง แล้วเรามีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ถ้าใช้ปัญญาประกอบไปด้วยสักนิดหนึ่ง เราก็จะเห็นอย่างชัดเจนว่า ในความเป็นโลกียบุคคล ทรงโลกียฌานเพียงปฐมฌาน(ฌานที่ ๑)แค่นี้ เรายังมีความสุขถึงเพียงนี้

แล้วบุคคลที่ทรงทุติยฌาน(ฌานที่ ๒) จะมีความสุขเพียงไหน ? บุคคลที่ทรงตติยฌาน(ฌานที่ ๓) จะมีความสุขเพียงไหน ? บุคคลที่ทรงจตุตถฌาน(ฌานที่ ๔)จะมีความสุขเพียงไหน ? เพราะว่ากำลังทั้งหลายเหล่านั้น มั่นคงกว่าปฐมฌานมากนัก สามารถที่จะกดกิเลสให้ดับลงชั่วคราวได้ หนักแน่นยิ่งกว่าปฐมฌานหลายเท่า

ในเมื่อบุคคลที่เป็นโลกียฌานยังมีความสุขขนาดนี้ แล้วบุคคลที่เป็นพระโสดาบันซึ่งพ้นจากอบายภูมิอย่างแน่นอนแล้ว อบายภูมิปิดสำหรับท่านทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว ท่านจะมีความสุขเพียงใด ?

บุคคลที่เป็นสกิทาคามี นอกจากจะปิดอบายภูมิแล้ว ยังทำให้ รัก โลภ โกรธ หลง เบาบางลงได้มากกว่าพระโสดาบันนั้น จะมีความสุขเพียงไหน ?

บุคคลที่เป็นพระอนาคามี ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก รอเวลาเข้าพระนิพพานอย่างเดียว จะมีความสุขเพียงไหน ?

และท้ายสุด พระอรหันตเจ้า ที่พ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิง ไม่ต้องมาเกิดอีกแล้วในภพไหน ภูมิไหน ท่านจะมีความสุขเพียงใด ?

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นยอดของพระอรหันต์นั้น พระองค์จะมีความสุขเพียงใด ?

เมื่อใช้ปัญญามองเห็นตรงจุดนี้ เราก็จะเห็นคุณที่แท้จริงของพระรัตนตรัย คือ คุณของพระพุทธเจ้า ว่าคุณของพระองค์ท่านมีมากขนาดไหน ? คุณของพระธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ที่เราหยิบเอาเพียงส่วนน้อยนิดมาปฏิบัติ ก็คือ ปฐมฌานนั้น มีคุณถึงเพียงไหน ? คุณของพระสงฆ์ ที่เป็นพระอริยเจ้า ตัดกิเลสได้ตามลำดับของตน จนหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานนั้น มีคุณขนาดไหน ?

เมื่อเห็นคุณของพระรัตนตรัยชัดเจนอย่างนี้ ความเคารพเชื่อมั่นและศรัทธา ก็จะเต็มเปี่ยมอยู่ในจิตในใจของเรา เราจะกราบพระ..จะไหว้พระ ก่อนหน้านี้อาจจะกราบจะไหว้แค่อาการที่แสดงออก แค่อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา สักแต่ว่าให้จบ ๆ ไป สักแต่กราบให้จบ ๆ ไป

แต่เมื่อเราเห็นดังนี้ เราจะกราบ จะไหว้ ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจจริง ๆ เพราะซาบซึ้งในคุณของพระรัตนตรัยอย่างแท้จริงแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2010 เมื่อ 02:57
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 30-06-2010, 19:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,831 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อถึงเวลาว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระธรรมเป็นที่พึ่ง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

เราก็จะยึดด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจจริง ๆ เมื่อมีความเคารพในพระรัตนตรัยเกิดจากใจจริง กติกาข้อแรกของความเป็นพระโสดาบันก็สมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ในจิตในใจของเรา

ทีนี้ก็เหลือแต่ว่า เรามาทบทวนศีลทุกสิกขาบทของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นกระทำ และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นกระทำการล่วงละเมิดศีล

หลังจากนั้นก็ให้กำหนดรู้ด้วยปัญญาว่า ตัวเราก็ดี บุคคลอื่นก็ดี สรรพสัตว์ทั้งหลายก็ดี ล้วนแล้วแต่ต้องตายทั้งสิ้น ล้วนแล้วแต่มีความตายเป็นธรรมดาทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเราตายแล้วเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว

ถ้ากำลังใจของท่านทั้งหลายหนักแน่นมั่นคงดังนี้ ก็จะเห็นว่าอานาปานสติในระดับเพียงปฐมฌาน บวกด้วยปัญญาเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เราเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ปิดอบายภูมิ ๔ ได้อย่างสิ้นเชิง ถ้าหากยังต้องเกิดใหม่ก็วนเวียนอยู่ระหว่างเทวดาและมนุษย์เท่านั้น อย่างแย่ที่สุดก็ ๗ ชาติ อย่างกลางก็ ๓ ชาติ หรือถ้าทำได้ละเอียดก็ชาติเดียวเท่านั้น

เมื่อเป็นดังนี้แล้วก็ขอให้ทุกคนใช้การพยายามในการประคับประคอง รู้ลมหายใจพร้อมกับคำภาวนา หรือพร้อมกับภาพพระของเรา ทำให้กำลังใจในการภาวนาของเรา ทรงฌานได้ระดับใดระดับหนึ่งตั้งแต่ปฐมฌาน เพื่อที่จะได้เอามาประกอบปัญญาในการพิจารณา ก้าวล่วงจากกิเลสเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป

ขอให้เราทุกคนรู้ว่า ความยากลำบากในการปฏิบัติภาวนาของเรานั้น ยากเพราะเรายังไม่เอาจริง ลำบากเพราะเรายังไม่เอาจริง ไม่เกิดผลเพราะเรายังไม่เอาจริง ถ้าหากท่านทั้งหลายทุ่มเทอย่างจริงจังแล้ว คำว่ายาก คำว่าลำบาก คำว่าไม่เห็นผล จะไม่มีสำหรับเราเลย

ดังนั้น..หน้าที่ที่สำคัญที่สุดก็คือ การตามรู้ลมหายใจเข้าออก หรืออานาปานสติ พยายามสร้างสมาธิให้ทรงตัวให้ได้ ถ้าใครบอกว่าไม่มีเวลา ก็อยากจะบอกกับทุกท่านว่า ถ้าตราบใดที่เรายังหายใจอยู่ ตราบนั้นเราต้องมีเวลา เพราะเราแค่เอาความรู้สึกกำหนดรู้ตามลมหายใจไปเท่านั้นเอง เมื่อทำได้แล้ว ใช้ปัญญาประกอบเข้าเล็กน้อย ความเป็นพระอริยเจ้าก็อยู่แค่เอื้อมมือถึง

ลำดับต่อจากนี้ไปก็ขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา

พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันอาทิตย์ที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๓
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2010 เมื่อ 04:39
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:28



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว