กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 19-07-2010, 01:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,231 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๓

ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตัว อย่าลืมตั้งกายให้ตรงด้วย เพียงแต่ว่าอย่าไปเกร็งร่างกาย ขยับให้อยู่ในจังหวะที่ตรงพอดี เพื่อที่ลมหายใจเข้าออกจะได้เดินได้โดยสะดวก

แล้วกำหนดความรู้สึกทั้งหมด ให้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนา ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา จะได้สร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นแก่เราก่อนเป็นอันดับแรก

สำหรับวันนี้เป็นวันที่ ๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมวันสุดท้ายของเดือนกรกฎาคมของเรา แต่ที่จริงเดือนนี้เรามาปฏิบัติทั้งหัวเดือนและท้ายเดือน เพราะว่าวันที่ ๓๐ - ๓๑ กรกฎาคม ก็จะมาปฏิบัติกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง จริง ๆ นับเนื่องเป็นเดือนสิงหาคม แต่ว่ามาปลายเดือนกรกฎาคมเท่านั้น

เมื่อตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเรา จนกระทั่งกำลังใจทรงตัวแล้ว สิ่งที่สำคัญก็คือ ต้องคลายกำลังใจออกมา แล้วพิจารณาให้เห็นสภาพที่แท้จริงในร่างกายของเรา ร่างกายของคนอื่น สัตว์อื่น ตลอดจนสรรพสิ่งทุกอย่างในโลก ว่าตกอยู่ในสามัญลักษณะ คือ ลักษณะที่จะต้องเป็นไปโดยทั่วหน้ากัน

มีสามอย่างด้วยกัน คือ
๑. อนิจจลักษณะ ความไม่เที่ยง มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด
๒. ทุกขลักษณะ เป็นสิ่งที่เราต้องทน การดำรงชีวิตอยู่ของเรา ต้องทนอยู่กับสิ่งต่าง ๆ รอบข้าง ความทุกข์ที่เกิดกับเรานั้น มีตั้งแต่ลืมตาขึ้นจนกระทั่งหลับตาลง แม้กระทั่งนอนอยู่ ความทุกข์ก็กัดกินเราอยู่ตลอดเวลา
๓. อนัตตลักษณะ ลักษณะของความไม่ใช่ตัวตน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนประกอบขึ้นจากธาตุสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อแยกแยะออกมาแล้ว จะไม่มีอะไรเหลือเป็นเรา เป็นของเราเลย

โบราณาจารย์ท่านกล่าวเอาไว้ว่า สันตติ คือ ความสืบเนื่องกันอย่างไม่ขาดสาย ปิดบังไว้ซึ่งอนิจจลักษณะ ถ้าหากขาดช่วงลง เราก็จะเห็นว่าไม่เที่ยง

การเกิดต่อเนื่องตามกันอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราคิดว่าเป็นของเที่ยง แต่บุคคลที่มีปัญญา สามารถพิจารณาเห็นได้ แม้ว่าสันตติจะครอบงำอยู่ในมนุษย์และสัตว์ ตลอดจนสรรพสิ่งทุกรูปทุกนามก็ตาม

อย่างเช่น เราเห็นว่านี่เป็นเด็กเล็ก นี่เป็นเด็กโต นี่เป็นเด็กหนุ่มเด็กสาว นี่เป็นคนหนุ่มคนสาว นี่เป็นคนวัยกลางคน นี่เป็นคนแก่ เป็นต้น เราจะเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จะต้องให้สติปัญญาของเรารู้เท่าทันในทุกครั้งที่ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด ว่าทุกอย่างมีความไม่เที่ยงเป็นปกติ เกิดขึ้นแล้วก็สลายไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-07-2010 เมื่อ 03:39
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 19-07-2010, 01:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,231 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนของทุกขลักษณะนั้น ท่านบอกว่า อิริยาบถปิดบังซึ่งความทุกข์ อย่างเช่น เรานั่งอยู่แล้วเมื่อย เราก็ขยับเปลี่ยนท่า บางทีการขยับนั้น แทบจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าพิจารณาจริง ๆ แล้ว เป็นเจตนาของเราที่จะเปลี่ยนอิริยาบถเอง

แต่เนื่องจากสติ สมาธิของเรายังไม่มั่นคง จึงเห็นว่าพอเราเมื่อยก็เปลี่ยนท่าโดยอัตโนมัติเลยทีเดียว แต่ว่าต้องมีการสั่งงานจากจิตเสียก่อน เราจึงเปลี่ยนท่านั้นได้

ในเมื่อเราเปลี่ยนแปลงอิริยาบถต่าง ๆ ไม่ว่าจะยืน จะนอน จะนั่ง เพื่อปกปิดความทุกข์ที่เกิดขึ้น พอขยับก็หายเมื่อย หายปวด เราก็ลืมว่า เหล่านี้ที่แท้จริงเป็นความทุกข์ ดังนั้น..ในการปฏิบัติเมื่อสมาธิทรงตัวคลายออกมาแล้ว ให้มาดูความทุกข์ในส่วนนี้ด้วย ว่าแท้จริงแล้ว ความทุกข์นั้นโดนปิดบังโดยอิริยาบถ คือ การเคลื่อนไหวของเรา การเคลื่อนไหวทุกอย่าง ขอให้รู้ว่าเราเคลื่อนไหวอยู่ในกองทุกข์ ยืน เดิน นั่ง นอน อยู่ในกองทุกข์

ในส่วนของอนัตตลักษณะนั้น คือ ความไม่สามารถจะทรงตัวอยู่ได้ โบราณาจารย์ท่านว่า ฆนสัญญา(ความเป็นแท่งเป็นก้อน) ปิดบังซึ่งอนัตตลักษณะ

ในเมื่อเป็นแท่งเป็นก้อน เราก็รู้สึกว่าแข็งแรง จึงไปยึดมั่นว่าเป็นตัวเป็นตน อย่างเช่น กำแพงหรือฝาบ้าน ก่อขึ้นมาจากอิฐนับร้อยนับพันก้อน เราก็เห็นว่าแข็งแรง แต่ถ้าลองรื้อออกมาทีละก้อน ทีละก้อน กำแพงหรือฝาบ้านนั้นก็จะพังทลายไป ไม่คงสภาพความเป็นกำแพงหรือฝาบ้านอีก ร่างกายของเราก็เช่นกัน ประกอบขึ้นมาจากธาตุสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม

ส่วนที่แข็งเป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้น เป็นอัน คือธาตุดิน ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ตลอดจนอวัยวะภายในใหญ่น้อย อย่างตับ ปอด ม้าม หัวใจ เป็นต้น นี่เป็นส่วนของธาตุดิน เราลองกำหนดแยกเอาไว้ส่วนหนึ่ง

ส่วนที่เป็นของเหลว ไหลอยู่ในร่างกายคือธาตุน้ำ ได้แก่ เลือด น้ำเหลือง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ ปัสสาวะ ไขมันเหลว เหล่านี้เป็นส่วนของธาตุน้ำ เราแยกไว้อีกส่วนหนึ่ง

ส่วนที่พัดไปมาในร่างกายของเรา นับเป็นธาตุลม เช่น ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมที่ค้างอยู่ในท้องในไส้ ลมที่พัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ พัดไปทั่วร่างกาย ที่เรียกว่าความดันโลหิต เหล่านี้จัดอยู่ในธาตุลม ให้แยกเอาไว้อีกส่วนหนึ่ง

ส่วนที่ให้ความอบอุ่นในร่างกายของเรา ไม่ว่าจะช่วยกระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต เผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลง ทำให้ร่างกายนี้กระวนกระวายป่วยไข้ หรือช่วยในการสันดาปเผาย่อยอาหาร จัดเป็นธาตุไฟ เราแยกเอาไว้อีกส่วนหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-07-2010 เมื่อ 03:47
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 19-07-2010, 14:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,231 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เราก็จะเห็นว่านี่คือดิน นี่คือน้ำ นี่คือลม นี่คือไฟ เมื่อแยกแยะออกมาจนครบถ้วนแล้ว ไม่มีอะไรเหลือเป็นตัวตนของเราเลย สภาพตัวตนของเราจริง ๆ แล้วไม่มี สภาพตัวตนของคนอื่น ของสัตว์อื่นก็ไม่มีอย่างนี้เช่นกัน วัตถุธาตุทั้งหมดก็ไม่มี

แต่การที่ร่างกายจับคุมเข้ามาเป็นชิ้น เป็นก้อน เป็นแท่ง ทำให้เราไปยึดถือมั่นหมายว่าเป็นตัวเรา พยายามพิจารณาให้เห็นจริงว่า ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา จนกระทั่งเมื่อมองสภาพร่างกายนี้ในทันทีทันใด สภาพจิตก็รายงานเราเลยว่าไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา จิตเราก็จะละ จะคลายจากการยึดถือในร่างกายนี้ เราก็จะมีสิทธิ์หลุดพ้นก้าวสู่พระนิพพานได้ แต่ถ้าเรายังยึดมั่นถือมั่นในร่างกายนี้อยู่ เราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด ทุกข์ทรมานต่อไปไม่รู้จบ

การพิจารณาธรรมนั้น ขอให้พยายามเห็นให้ได้ทุกเวลา ไม่ว่าจะทำหน้าที่การงานใด ๆ ก็ตาม เห็นเด็ก เห็นผู้ใหญ่ เห็นคนแก่ ให้รู้ว่าไม่เที่ยง ให้เห็นว่าแต่ละคนกำลังทำสิ่งต่าง ๆ อยู่บนกองทุกข์ของแต่ละคนนั้น

และท้ายสุดทั้งหมดก็ล้วนแต่ประกอบขึ้นจากธาตุสี่ ไม่มีอะไรยึดถือเป็นตัวตนเราเขาได้เลย เมื่อเห็นจริงดังนี้แล้ว ก็ให้กำหนดจิตว่า ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรที่ยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนได้ เราก็สักแต่ว่าเป็นผู้อาศัย ถึงเวลาสิ้นชีวิตลงก็ก้าวพ้นไปสู่พระนิพพาน

ความรู้สึกสุดท้ายให้ทุกคนเอาใจจดจ่ออยู่กับพระนิพพาน ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ กำหนดรู้ลมหายใจไปด้วย ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่กำหนดคำภาวนาไปด้วย ถ้าไม่มีทั้งลมหายใจ ไม่มีทั้งคำภาวนา ก็ให้กำหนดรู้ว่าไม่มีลมหายใจ ไม่มีคำภาวนา ให้ทุกท่านทำดังนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันอาทิตย์ที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๓
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-07-2010 เมื่อ 19:25
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:14



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว