กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 23-06-2013, 19:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖

ทุกคนนั่งขยับตัวในท่าที่สบายของตน ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราแนบชิดติดกับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เราถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันแรกของต้นเดือนมิถุนายน ช่วงประมาณอาทิตย์หนึ่งที่ผ่านมา มีญาติโยมนำเอาลูกสาวไปหาอาตมาที่วัด เขาอยากรู้ว่าลูกบ้าหรือเปล่า ? อาตมาก็ปล่อยให้พ่อแม่ลูกเจรจากันไประยะหนึ่ง ถึงได้เข้าใจว่า ทั้งสองฝ่ายพูดคนละภาษากัน ฝ่ายพ่อกับแม่พูดภาษาทางโลก ฝ่ายลูกพูดภาษาทางธรรม ไม่สามารถที่จะปรับหาเข้ากันได้ เพราะต่างฝ่ายต่างยึดแนวความคิดของตนเองว่าถูก

คนเป็นพ่อเป็นแม่บอกว่า ลูกสาวของตนไม่ได้ทำหน้าที่ของความเป็นลูกที่ดี ไม่ได้ทำหน้าที่ของความเป็นแม่ที่ดี คำว่าไม่ได้ทำหน้าที่ของความเป็นลูกที่ดี ก็คือไม่ดูแลผู้เป็นพ่อเป็นแม่ ลูกสาวก็บอกว่าคนเราเกิดมาต่างคนต่างตายอยู่แล้ว ก็แปลว่าลูกสาวพูดถูก แต่พ่อแม่ก็พูดถูก

ส่วนไม่ได้ทำหน้าที่ของความเป็นแม่ที่ดี ก็คือเขามีลูกชายเล็ก ๆ อยู่คนหนึ่ง แต่ก็แค่ไปรับไปส่งเข้าโรงเรียนเท่านั้น ไม่ได้ดูแลใกล้ชิด เขาบอกว่าเขาพยายามที่จะตัดลูกให้ได้ คนเป็นพ่อเป็นแม่ซึ่งก็คือตากับยายของเด็ก ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา อาตมาจึงต้องชี้แจงให้ทราบว่า เป็นเรื่องปกติของนักปฏิบัติ ถ้ายังไม่สามารถที่จะปรับตนให้ตรงจุดพอดีได้ ก็จะมีอาการอย่างนี้

ลักษณะนั้นเป็นลักษณะของบุคคลที่ปัญญาเกินสติ ก็คือจะเอาแต่หลักธรรมอย่างเดียว โดยไม่ได้ยั้งคิดว่าตนเองยังอยู่กับโลก ก็ต้องเคารพสมมติทางโลก ไม่ใช่ไปเอาแต่ทางธรรมล้วน ๆ ทางโลกกับทางธรรมเหมือนเหรียญสองหน้า เป็นเหรียญเดียวกัน ไม่ว่าเราจะพลิกทางไหน อีกทางหนึ่งก็อยู่ชิดติดด้วย ไม่สามารถที่จะทิ้งไปได้

จึงต้องบอกกับคนเป็นพ่อเป็นแม่ว่า ลูกของคุณนั้นปกติ ในขณะเดียวกันก็บอกกับคนเป็นลูกว่า สิ่งที่เราทำนั้นทำให้โลกช้ำธรรมเสีย เราพูดความจริงทุกอย่าง แต่โปรดเห็นใจด้วย คนที่กำลังใจยังมาไม่ถึงขั้นนั้น เขาไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ในเมื่อเขาไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ เธอก็ปล่อยวาง เพราะถือว่าต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างตาย แต่อาการที่เธอวาง เป็นการวางใส่หัวคนอื่นเขา..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2013 เมื่อ 19:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 24-06-2013, 14:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การปฏิบัติธรรมที่ดีจริง ๆ นั้น ต้องระมัดระวังอย่าให้ กาย วาจา ใจ ของตน เป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่น การที่เราพูดในลักษณะนั้น ทำในลักษณะนั้น ทำให้บุคคลที่เป็นพ่อเป็นแม่ไม่เข้าใจในพระพุทธศาสนา ไม่เข้าใจในเรื่องของครูบาอาจารย์ที่สอน ถ้าไม่เข้าใจแล้วโกรธมาก ก็อาจจะมีการด่าว่าหรือตำหนิครูบาอาจารย์ หรืออาจจะจ้วงจาบไปถึงพระรัตนตรัย ทำให้เกิดโทษใหญ่แก่คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ได้

เราอาจจะถือว่าต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างตาย ก็จริงอยู่ แต่ในสมมติทางโลก อย่างน้อยเราก็เป็นลูกของท่าน เราได้ทำหน้าที่ของความเป็นลูกได้เต็มที่แล้วหรือยัง ? ถ้าเราจะคิดว่าเราตัดได้เร็วเท่าไร เราก็สบายเท่านั้นก็ใช่ แต่การที่เราตัดนั้นเป็นการตัดที่คนอื่นเขาไม่เข้าใจ ทำให้กาย วาจา ใจของเราเป็นโทษกับคนอื่น โอกาสที่เขาจะเข้าถึงธรรมก็ไม่มี เพราะเขาปรามาสในพระรัตนตรัยเสียแล้ว

ดังนั้น..ขอให้ลดกำลังใจลงมานิดหนึ่ง ถือเสียว่าเราอยู่กับโลกเพื่อทำข้อสอบ จะได้เห็นอย่างชัดเจน และเชื่ออย่างแน่นแฟ้นว่า ในโลกนี้เป็นทุกข์เป็นโทษอย่างแท้จริง ถ้าเราตัดละทิ้งไปเลย ก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของความเป็นลูก ที่ต้องกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมา ทำไมถึงต้องกตัญญูต่อพ่อต่อแม่ ทั้งที่ต่างคนต่างเกิด ต่างคนต่างตาย ? ก็เพราะว่าพ่อแม่เป็นแดนให้เราเกิดมา ถ้าไม่มีท่านก็ไม่มีโอกาสเกิดมา และได้ปฏิบัติธรรมจนถึงปัจจุบันวันนี้

เพราะฉะนั้น..เราไม่ได้ทำหน้าที่ของลูกอย่างเต็มที่ แล้วเราก็ตัดก็ละไปเลย คนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ไม่เข้าใจตรงจุดนี้ก็รับไม่ได้ แทนที่ท่านจะมีโอกาสได้มรรคได้ผลบ้าง ถ้าท่านปรามาสพระรัตนตรัย โอกาสที่ท่านจะได้มรรคได้ผลของท่านก็ไม่มี กลายเป็นเราสร้างกรรมใหญ่โดยไม่รู้ตัว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2013 เมื่อ 14:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 25-06-2013, 20:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ขณะเดียวกัน การปฏิบัติของเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปบอก ไปกล่าว ไปพูดในเรื่องของภาษาธรรมมากจนเกินไป ใช้วิธีประคับประคองกำลังใจของเราเอาไว้ ทำในลักษณะที่เราพร้อมจะไปอยู่ตลอดเวลา แต่ขณะเดียวกันก็ยังเอื้อเฟื้อต่อกำลังใจของผู้อื่นเขา อย่างน้อย ๆ ถ้าการปฏิบัติของเรามีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีอย่างชัดเจน มีกาย วาจา ใจที่พัฒนาขึ้นมาในทางที่ดีอย่างชัดเจน ถึงเวลาถ้าเขาสนใจหรือสงสัยสอบถามขึ้นมา เราก็บอกเขาไปว่าเกิดจากการปฏิบัติธรรม ถ้าอย่างนั้นพ่อแม่จะเชื่อและเลื่อมใส เพราะมีเราเป็นตัวอย่างที่ดีให้เห็นอยู่แล้ว

แต่ถ้าเราเอาแต่ตัวของเรารอด แล้วเป็นทุกข์เป็นโทษให้คนอื่นเดือดร้อนทั้งหมด โดยเฉพาะลูกเล็ก ๆ ที่ไม่รู้อะไรเลย ย่อมต้องคิดถึง ย่อมต้องรัก ย่อมต้องหวังความอบอุ่นของผู้เป็นแม่ แต่เรากลับทิ้งไปเลย อาจจะทำให้ลูกเกิดปมด้อย และมองศาสนาในแง่ร้ายไปทีเดียว โอกาสที่จะเข้าถึงธรรมของเขาก็ไม่มี เมื่อได้ชี้แจงไปอย่างนี้ ทางฝ่ายคนเป็นลูกถึงได้พยายามลดตัวเองลงมา พูดคุยกับพ่อแม่ของตัวเองได้

ที่นำเรื่องนี้มากล่าวเพื่อจะเตือนพวกเราว่า การปฏิบัติธรรมนั้นเป็นของดี แต่ตัวเราผู้ปฏิบัติธรรมนั้นดีจริงหรือเปล่า ? ถ้าดีจริงต้องมีการพัฒนากาย วาจา ใจของตน โดยเฉพาะตัวเราเองให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในเมื่อคนอื่นเขามองเห็นพัฒนาการที่ดีของเรา ก็จะเกิดการเลื่อมใสศรัทธา อยากจะปฏิบัติตามบ้าง ถ้าอย่างนี้ก็นับว่าเราเป็นผู้เสริมส่งพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง

แต่ถ้าเราทำตนในลักษณะของการตัดละ ตัดช่องน้อยแต่พอตัว อาจจะทำให้คนรอบข้างมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อพระพุทธศาสนา อาจจะสร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่เขา ต้องตกสู่อบายภูมิเพราะปรามาสพระรัตนตรัย ต้องหมดโอกาสที่จะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าเพราะการกระทำของเรา ก็ถือว่าเราได้สร้างกรรมใหญ่ให้แก่คนอื่นเขาแล้ว เราอยู่กับโลก เราต้องเคารพสมมติทางโลก เราจะยึดธรรม ก็ให้ยึดในลักษณะน้ำกลิ้งบนใบบอน ก็คืออยู่กับโลกนี้ อาศัยโลกนี้มองให้เห็นทุกข์อย่างชัดเจน แต่ไม่ได้ติดอยู่กับโลก ถึงจะเป็นการกระทำที่ถูกต้อง

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกคนตั้งใจภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกาและเถรี)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-06-2013 เมื่อ 02:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:40



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว