กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์

Notices

เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #81  
เก่า 13-02-2011, 10:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,695 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อยู่ดี ๆ พี่เขยก็ความดันสูง เส้นเลือดในสมองแตก หมอยังบอกว่ามีโอกาส ควรจะทำบุญอะไร เพื่อที่จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบา ?
ตอบ : ไม่ใช่ทำบุญ แต่ให้หาดีหมีให้ได้ หาแถวร้านขายยาจีนเยาวราชน่าจะมี แต่ราคาแพง เอาเหล้าขาวมาประมาณครึ่งแก้ว ขูดดีหมีลงไป จะเป็นเศษ ๆ ผง ๆ ขูดใส่จนกระทั่งเหล้าเป็นสีชา แล้วให้กินเข้าไป จะละลายลิ่มเลือดได้หมด

หลังจากนั้นก็เป็นฝีมือหมอรักษาแล้วว่าจะเอาอยู่หรือไม่อยู่ เพราะถ้าไม่ละลายลิ่มเลือดหมดก็จะเป็นอัมพาตเลย แต่ดีหมีแพงมากจ้ะ อาตมาเคยซื้อเมื่อ ๒๐ ปีก่อน ลูกหนึ่ง ๗,๐๐๐ บาท ตอนนี้ไม่รู้ราคาเท่าไรแล้ว

เหล้าขาวนะจ๊ะประมาณครึ่งแก้ว เราก็ขูด ๆ ดีหมีให้เป็นผง พอลงไปแล้วจะละลายกลายเป็นสีเหมือนกับน้ำชา อย่าให้เข้มมาก เพราะถ้าเข้มมากเดี๋ยวเลือดจะไม่ยอมหยุด เอาแค่ละลายลิ่มเลือดได้

ถาม : ตอนนี้นอนอยู่โรงพยาบาล ๒ วันแล้วครับ ?
ตอบ : ยังทันอยู่ เป็นแค่ไม่กี่วัน มีอยู่รายหนึ่ง คุณปรีชา บ้านอยู่ยะลา อยู่ ๆ ก็ล้มตึงไปเฉย ๆ ญาติเขาโทรมา อาตมาถามว่า มีดีหมีไหม ? พอดีบ้านเขาเป็นคนจีนก็เลยมี จึงบอกให้ทำอย่างที่ว่า ให้บีบจมูกกรอกปากไปเลย เพราะเขาหมดสติไปแล้ว ปรากฏว่าหาย

แต่แขนข้างซ้ายใช้งานไม่ได้เป็นปี เขาเป็นคนถนัดซ้าย พยายามทำกายภาพอย่างไรก็ไม่หาย พอไปหาหมอสมัยใหม่เอ็กซเรย์ ผลปรากฏว่า ตอนที่เขาเพิ่งล้มใหม่ ๆ คนไปช่วยยกจนไหล่หลุด โดยที่เขาไม่รู้ตัว คิดว่าเป็นเพราะเส้นเลือดในสมองแตกจึงทำให้เป็นอัมพฤกษ์ พอไปให้หมอรักษา หมอบอกว่า ไหล่หลุดมาตั้งครึ่งค่อนปี พังผืดขึ้นหมดแล้ว ก็ต้องเจ็บตัวไปให้หมอผ่าตัดใหม่ นั่นถือว่าซวยจริง ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2011 เมื่อ 17:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #82  
เก่า 13-02-2011, 10:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,695 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คนที่จำอะไรไม่ค่อยได้ เรียนรู้เข้าใจยาก ทำกรรมอะไรมาคะ ?
ตอบ : น่าจะเป็นแบบเดียวกับพระจูฬปันถกเถระ ในอดีตชาติพระจูฬปันถกเถระเป็นคนเก่ง ท่องปาฏิโมกข์ได้ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน แต่เพื่อนของท่านท่องไม่ได้สักที พระจูฬปันถกเถระจึงไปหัวเราะเยาะเพื่อนว่าโง่

พอมาเกิดชาติใหม่ พระจูฬปันถกเถระท่องกลอนสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าแค่สี่ประโยค ใช้เวลาสามเดือนยังท่องไม่ได้ เพราะฉะนั้น..อย่าไปดูถูกใครว่าโง่ เดี๋ยวกรรมตามทันเราจะแย่กว่าเขาอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2011 เมื่อ 17:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #83  
เก่า 13-02-2011, 10:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,695 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำไมเวลาถวายสังฆทาน ท่านให้พรหลายคาถา แต่ละคนไม่เหมือนกัน ?
ตอบ : จริง ๆ มีสิบกว่ายี่สิบบท นึกบทไหนได้ก็ให้ไปเรื่อย

ถาม : เกี่ยวกับคนไหมคะ ?
ตอบ : เกี่ยวนิดหน่อยจ้ะ

ถาม : ดูจากอะไรเจ้าคะ ?
ตอบ : ความต้องการของเขาเป็นหลัก รองลงไปก็บุญที่เขาทำมา ถ้าของเก่าเขามี ควรจะได้อะไรก็ว่าอย่างนั้นไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2011 เมื่อ 17:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #84  
เก่า 13-02-2011, 13:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,695 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หนูเพิ่งเริ่มปฏิบัติ ดูลมหายใจกับบริกรรมพุทโธ สงสัยว่าคำบริกรรมสำคัญไหม ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วคำภาวนาเป็นเครื่องช่วยโยงใจให้เป็นสมาธิจ้ะ ถ้ากำลังสมาธิทรงตัวแล้ว เราจะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ตาม ใจนึกจะให้เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เพราะว่ากำลังของเราพอแล้ว

ดังนั้น..ตอนนี้คำภาวนาไม่ต้องไปใส่ใจ เอาให้ใจเราเป็นสมาธิเพราะคำภาวนานั้นก่อน พอสมาธิทรงตัว คราวนี้จะใช้บทอะไรก็ได้แล้ว เหมือนกับหาเงินใส่กระเป๋าไว้ก่อน พอมีเงินแล้วเราจะซื้ออะไรก็ได้

ถาม : คำภาวนาอะไรก็ได้หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าคำภาวนายาวไป บางทีอาจจะไม่เหมาะกับเรา ให้ใช้พุทโธของเราไปก่อน ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวเป็นสมาธิ ต่อไปจะใช้สมาธิในการทำอะไร แค่คิดก็เป็นแล้วจ้ะ ต้องขยันทำบ่อย ๆ นะจ๊ะ ถ้าไปทำ ๆ ทิ้ง ๆ เดี๋ยวกิเลสตีเราตายเสียก่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2011 เมื่อ 18:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #85  
เก่า 13-02-2011, 13:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,695 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อาสวักขยญาณ เป็นตั้งแต่ผู้ที่จะบรรลุอรหัตผลเท่านั้นหรือ ?
ตอบ : ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป อาสวักขยญาณ แปลว่า ญาณอันทำให้กิเลสสิ้นไปได้ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปสามารถทำให้กิเลสหมดไปบางส่วน เขาเรียกว่าเป็นอาสวักขยญาณ

ถาม : จะต้องผ่านฌานอะไรเป็นอย่างน้อย ?
ตอบ : ปฐมฌานเป็นอย่างน้อย เพราะกำลังปฐมฌานขึ้นไป เพียงพอที่จะตัดกิเลสเบื้องต้นในสังโยชน์ได้แล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2011 เมื่อ 18:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #86  
เก่า 13-02-2011, 15:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,695 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ปฐมฌานเป็นพื้นฐานขั้นแรกก็พอแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อย่าลืมว่าใช้คำพูดผิดไปแม้แต่คำเดียว จะทำให้หลักธรรมของพระพุทธเจ้าผิดไปด้วย

ถาม : ขอประทานอภัยครับ
ตอบ : คุณใช้คำว่าปฐมฌานก็พอ แล้วเขาจะไปทำถึงฌานสี่ทำซากอะไร..! อย่างน้อยต้องถึงปฐมฌานจึงจะใช้ได้ ไม่อย่างนั้นกำลังไม่พอตัดกิเลส

ถาม : คำว่าน้อมไปเพื่อความสิ้นอาสวะ เขาทำกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไล่ไปตามสังโยชน์ ตัดไปทีละข้อ ๆ อาสวกิเลสหยาบที่สุดก็คือนิวรณ์ ๕ ถ้าเราทรงปฐมฌานได้ นิวรณ์ ๕ ก็กินเราไม่ได้ หลังจากนั้นก็เป็นในส่วนของกรรมกิเลสก็คือในส่วนที่เราละเมิดแล้วผิดศีล หลังจากนั้นก็จะเป็นสังโยชน์คือกิเลสที่ร้อยรัดเราให้ติดอยู่กับวัฏฏะ ไล่ไปทีละระดับ

เรารู้จักศีลอย่างเดียวว่าห้ามทำนั่นห้ามทำนี่ แต่ตัวที่ทำแล้วผิดศีล เขาเรียกว่ากรรมกิเลส (การกระทำที่เกิดจากกิเลส) ฆ่าสัตว์ก็เพราะโทสะกิเลสบังคับไว้ ลักทรัพย์เพราะโลภะกิเลสบังคับไว้ ฯลฯ เขาจึงเรียกว่ากรรมกิเลส

ถัดจากนิวรณ์ก็ต้องแก้ไขกรรมกิเลส จากนั้นก็อาศัยกำลังของศีลซึ่งเกิดจากการที่เราระมัดระวังรักษาเอาไว้ไม่ให้เกิดกรรมกิเลส ทำให้เกิดสมาธิ ก้าวขึ้นไปสู่การตัดสังโยชน์เบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด

แต่พระพุทธเจ้าท่านแบ่งสังโยชน์ออกเป็นสองส่วน เขาเรียก โอรัมภาคิยสังโยชน์ (สังโยชน์เบื้องต่ำ) กับ อุทธัมภาคิยสังโยชน์ (สังโยชน์เบื้องสูง) สังโยชน์เบื้องต่ำ ก็คือ สังโยชน์ข้อที่ ๑-๕ สังโยชน์เบื้องสูง คือ ข้อที่ ๖-๑๐ แค่สังโยชน์ข้อ ๑-๕ ก็แทบปางตายแล้ว โดยเฉพาะข้อที่ ๔ กับ ๕
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2011 เมื่อ 18:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #87  
เก่า 13-02-2011, 21:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,695 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เขาบอกว่า ต้องทรงฌานให้มากที่สุด เกี่ยวไหมครับ ?
ตอบ : จำเป็นต้องมี ถ้าสมาธิหลุดเมื่อไรกิเลสก็กินเรา เพียงแต่ให้ทรงในลักษณะที่มีสติ มีปัญญาประกอบรู้อยู่เสมอว่า นี่เป็นเครื่องมือที่จะพาเราให้พ้นกิเลส ไม่อย่างนั้นคนจำนวนมาก จะไปหลงติดอยู่ในสุขของฌานที่ปราศจากกิเลส และไม่คิดจะขยับขยายไปทำอะไรอีก ถ้าอย่างนั้นก็จะเป็นรูปราคะสังโยชน์หรืออรูปราคะสังโยชน์ แล้วแต่ว่าตัวเองได้รูปฌานหรืออรูปฌาน

ถาม : ถ้าเราทรงปฏิภาคนิมิตในกสิณใดกสิณหนึ่ง เราจะน้อมไปเป็นอาสวักขยญาณได้หรือไม่ ?
ตอบ : ได้..ลักษณะเดียวกัน เพราะตัวปฏิภาคนิมิตในกสิณนั้น ต้องเป็นฌานสี่จึงจะเป็นปฏิภาคนิมิตเต็มที่ เราก็ใช้กำลังของฌานในการละนิวรณ์ ๕ หรือเรื่องการระมัดระวังศีลของเรา หรือใช้ในเรื่องการตัดสังโยชน์

ถาม : การพิจารณาองค์ฌาน ถือว่าเป็น..?
ตอบ : เป็นการซักซ้อมให้เกิดความคล่องตัว ถึงเวลาจะได้หนีกิเลสได้ทัน ต้านกิเลสได้ทัน

ถาม : การพิจารณาองค์ฌาน ยังไม่ใช่อาสวักขยญาณ ?
ตอบ : การพิจารณาองค์ฌานเป็นสมถกรรมฐาน ต้องตัดสังโยชน์ให้ได้อย่างน้อยได้ ๓ ข้อแรก จึงจะเป็นอาสวักขยญาณ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2011 เมื่อ 03:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #88  
เก่า 13-02-2011, 21:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,695 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จักรวาลในวิทยาศาสตร์และในพุทธศาสนาต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : เหมือนกัน เพียงแต่วิทยาศาสตร์รู้ไม่เท่าพระพุทธศาสนา จักรวาลทางวิทยาศาสตร์ก็คือหมู่ดาวหมู่หนึ่ง ที่มีดาวฤกษ์คือดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง จักรวาลของพระพุทธศาสนาก็ลักษณะเดียวกัน แต่พระพุทธเจ้าท่านรู้ว่าจักรวาลไหนมีมนุษย์อยู่บ้าง และพระองค์ท่านหรือพระอรหันต์ก็เสด็จไปโปรดเขาเป็นประจำ

แต่ในเรื่องของวิทยาศาสตร์ แค่ดาวพฤหัสกว่าเขาจะส่งยานเข้าไปในบริเวณที่สามารถสำรวจได้ใกล้เคียง ก็ใช้เวลาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีทั้งหมดแสนโกฏิจักรวาล ไม่น่าเชื่อว่าเยอะขนาดนั้น สุดชายขอบจักรวาลจึงเริ่มเป็นเขตของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา

มีพระสูตรหนึ่ง กล่าวถึงฤๅษีองค์หนึ่ง ท่านอยากจะรู้ว่าจักรวาลนี้กว้างใหญ่เท่าไร ท่านจึงใช้อำนาจอภิญญาเริ่มเหาะจากโลกมนุษย์ไปเรื่อย ๆ มุ่งตรงไปอย่างเดียว ปรากฏว่าท่านหมดอายุของความเป็นมนุษย์เสียก่อน ยังเหาะไม่พ้นเขตจักรวาลเลย นั่นขนาดไปด้วยอำนาจอภิญญานะ ท่านก็เล่าให้เป็นอุทาหรณ์ว่า เรื่องพวกนี้สงสัยไปก็เสียเวลาเปล่า เพราะท่านตายฟรีมาแล้ว..!

ถาม : ตายแล้วไปเป็นพรหมหรือครับ ?
ตอบ : เป็นพรหม เพราะตายด้วยกำลังของอภิญญา จำไม่ผิดน่าจะอยู่ในเทวตาสังยุต ของสังยุตตนิกาย ลองไปหาอ่านดู
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2011 เมื่อ 03:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #89  
เก่า 13-02-2011, 21:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,695 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ขอให้ช่วยอธิบาย การเร่งรัดบารมี
ตอบ : จริง ๆ ก็คือ ปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากเข้าไว้ การทำให้มากเข้าไว้ ไม่ได้หมายถึงทุ่มเทที่เวลา แต่จริง ๆ คือ รักษากำลังใจให้ต่อเนื่อง ถ้าเราสามารถรักษากำลังใจให้ต่อเนื่องกันได้ ความที่จิตเคยชินกับความสงบ สมาธิทรงตัวได้ง่าย ปัญญาเกิด ก็จะเห็นช่องทางว่าจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะก้าวหน้า

ถาม : ขี้เกียจนี่เป็นกิเลสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เป็นกิเลสหยาบมากเลย เป็นส่วนหนึ่งของถีนมิทธะนิวรณ์ ถีนมิทธะนิวรณ์ไม่ใช่ง่วงเหงาหาวนอนอย่างเดียว แต่ชวนให้ขี้เกียจปฏิบัติด้วย ถ้าตราบใดที่จิตยังทรงฌานไม่ได้ เราทำอะไรเขาไม่ได้หรอก เสร็จแน่ ๆ เพราะฉะนั้น..ต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ อย่างน้อยให้ทรงปฐมฌานได้จึงจะพ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2011 เมื่อ 04:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #90  
เก่า 13-02-2011, 22:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,695 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ท่านสอนปฏิบัติสายไหนหรือคะ ?
ตอบ : สอนแบบกลาง ๆ ทั่วไป จะเป็นอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออกควบกับการภาวนา แล้วก็อธิบายเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่จะต้องพบเห็น หรือว่าสิ่งที่นักปฏิบัติจะต้องพบเจอ แล้วควรที่จะแก้ไขอย่างไร

จริง ๆ แล้วที่อาตมาเรียนมาเป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่เราจะไปดูนรก สวรรค์ เพื่อพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เท่าที่มีประสบการณ์มา ส่วนใหญ่คนเอาไปใช้ผิด ในเมื่อไปใช้ผิดก็เลยไม่สอน สอนธรรมะกลาง ๆ ดีกว่า เพราะถ้าผิดแล้วจะติดนาน

อาตมาเองก็เคยไปหลงติดอยู่สามปีเต็ม ๆ คนนั้นให้ดูเรื่องนั้น คนนี้ให้ดูเรื่องนี้ พอถูกต้องแม่นยำก็ชม แล้วเราก็ตัวลอย กลายเป็นคนรับใช้เขาโดยที่ไม่ตั้งใจ ใครต้องการรู้เรื่องอะไรก็มาถาม จนกระทั่งต้องเลิกไปเอง เพราะเวลาคนมาหา เขาจะเอาแต่เรื่องของตัวเอง โดยที่ไม่สนใจว่าเราจะว่างหรือไม่ว่าง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2011 เมื่อ 04:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #91  
เก่า 13-02-2011, 22:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,695 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คนที่เขาเป็นโรคไต ถึงขั้นฟอกไตแล้ว พอจะรักษาได้ไหมคะ ?
ตอบ : ใช้เซี่ยงจี๊หมู ๑ ข้าง ล้างให้สะอาด ฝานบาง ๆ แกะพวกเอ็นขาว ๆ ออกให้หมด แล้วก็ต้มกับน้ำฝน ๓ ชาม ต้มให้เหลือน้ำแค่ ๑ ชาม ระหว่างที่ต้ม ให้เอาเมล็ดลิ้นจี่ ๗ เม็ด ทุบให้แตก ห่อผ้าขาวบางต้มไปด้วย ถึงเวลากินให้หมดทีเดียว แล้วจะฟื้นสภาพไตชนิดที่ไม่ทำงานแล้ว ให้ทำงานใหม่ได้

แต่ถ้ายังไม่ถึงขั้นฟอกไต ให้ใช้หญ้าหนวดแมวสัก ๓ - ๕ ช่อมาต้มน้ำ กินแทนน้ำไปเลย มีสรรพคุณในการขับปัสสาวะ ต้องขยันเข้าห้องน้ำหน่อย จะช่วยล้างไตให้สะอาด

ถาม : อย่างนี้คนทั่ว ๆ ไปก็ล้างไตได้ ?
ตอบ : ทำได้จ้ะ ช่วงไหนที่เราไม่ได้ออกไปไหน ก็ลองดูสักวัน

ถาม : แล้วล้างลำไส้ละคะ ?
ตอบ : ใช้ใบชุมเห็ดสักก้านหรือสองก้าน ย่างไฟพอเกรียม ๆ แล้วก็ใส่ไปในหม้อน้ำร้อน กินแทนน้ำ แต่ถ่ายดุเดือดน่าดูเลยนะ

ถาม : ต้นชุมเห็ดหรือคะ ?
ตอบ : จ้ะ ใช้ใบชุมเห็ด อย่าให้เกินสองก้านนะจ๊ะ ถ้าใช้เยอะ เดี๋ยวจะถ่ายข้ามวัน ไม่ได้ไปทำงานกันพอดี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2011 เมื่อ 04:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #92  
เก่า 13-02-2011, 23:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,695 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "อะไรก็ตามที่เป็นงานที่สมควรทำ เป็นงานของพระ เป็นงานของพระศาสนา ถึงเวลาจะไปได้เอง ไม่มีอะไรที่น่ากังวลเลย

บางคนเขาเห็นว่าอาตมารวย อาตมาก็นั่งหัวเราะ บางวันมีเงินเหลือติดกระเป๋าไม่ถึง ๔๐ บาท เขาเห็นแต่ตอนที่เราจ่ายเท่านั้น

ท่านเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๑ โทรมาหา

"อาจารย์เล็ก..ผมยืมเงินจ่ายค่าวัสดุก่อสร้างสักสี่แสนก่อนสิ ผมติดร้านค้ามาเป็นปี ยังไม่มีจ่ายเลย"
"ท่านอาจารย์ยืมผิดที่แล้ว ผมมีเสียที่ไหน.."

"อาจารย์เล็กรวยจะตายไป.."
"ที่คุณเห็นว่าผมรวย เพราะผมจ่ายหมดทุกบาททุกสตางค์ แต่คนที่ไม่เคยจ่ายให้เห็นเลย คุณไปยืมเถอะ มีเงินทุกคนแหละ"

อาตมาได้มาเท่าไรก็ใช้หมด พอใช้หมดเขาจะเห็นว่าเรารวย เพราะมีใช้อยู่ตลอด วัดนั้นให้ช่วยสร้างอย่างนั้นก็สร้างให้ วัดนี้ให้สร้างอย่างนี้ก็สร้างให้ ไหนจะวัดของตัวเองอีก เขาจึงเห็นว่าเรารวย ความจริงแล้วได้มาเท่าไรก็ใช้หมด"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-09-2013 เมื่อ 19:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #93  
เก่า 13-02-2011, 23:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,695 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ยันต์เกราะเพชร มีคุณอะไรคะ ?
ตอบ : เอาไว้ป้องกันไสยศาสตร์จ้ะ แต่ต้องสวดอิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ทุกเช้าประมาณ ๓ จบ พอกำลังใจมั่นคง นึกขอบารมีพระท่านช่วยคุ้มครอง จะป้องกันได้ทั้งวัน ใครทำไสยศาสตร์ใส่เราจะย้อนคืนหมด กลายเป็นว่า ใครคิดร้ายต่อเรา เขาจะซวยเอง..!

วิชานี้สืบสายมาจากตำราพระร่วง มาดังสมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และมากระหึ่มอีกทีสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านจัดงานเป่ายันต์ทีคนไปเป็นแสน

ถ้าเราไม่เคยไปรับเป่ายันต์ เราก็พกผ้ายันต์ติดตัวไว้ แต่แปลก..ผ้ายันต์เกราะเพชรของอาตมา มีคนเขาเอาไปใช้ในทางค้าขายแล้วขายดี ก็เลยมีคนตามไปหาถึงวัด อาตมาก็สงสัยว่าตั้งใจสร้างในทางป้องกัน กลายเป็นค้าขายได้อย่างไร ? อ๋อ..ที่แท้ พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ ถ้าเราศรัทธาจริง ๆ และมีบุญเก่าหนุนเสริม อธิษฐานอย่างไรก็ได้อย่างนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2011 เมื่อ 04:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #94  
เก่า 13-02-2011, 23:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,695 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาจับภาพพระ ผมรู้สึกเหนื่อยอย่างไรก็ไม่รู้ ต้องแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : นานแค่ไหนที่คุณว่าเหนื่อย ?

ถาม : สักพักหนึ่ง
ตอบ : ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคุณทำถูกวิธีหรือเปล่า ? เอาเป็นว่าก่อนที่คุณจะจับภาพพระ ให้หายใจเข้าออกยาว ๆ สักสองสามครั้ง ระบายลมหยาบให้หมด ถ้าสมาธิทรงตัว ลมจะละเอียด ถ้าลมหยาบยังค้างอยู่ บางทีจะรู้สึกว่าเหนื่อยมาก แต่ถ้าทำอย่างนี้แล้วยังเป็นอีก เขาเรียกว่าขันธมารมาขวาง ถ้าเราเกิดอาการเหนื่อยแล้วท้อใจหรือกลัวตาย เลิกปฏิบัติไป เราก็เสียผลเอง ต้องตัดสินใจว่าตายเป็นตาย แล้วลุยเข้าไปเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2011 เมื่อ 04:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #95  
เก่า 14-02-2011, 00:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,695 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "บัวบ้านเรามีแค่ ๓ ตระกูล ก็คือ ตระกูลบัวหลวง ตระกูลบัวสาย และตระกูลบัวผันหรือบัวเผื่อน

ตระกูลบัวหลวง สีขาวคือปุณฑริกา สีแดงคือปัทมา
ตระกูลบัวสาย สีขาวจะเป็นโกมุทหรือกมุท สีแดงจะเป็นสัตบุษย์หรือสัตบรรณ
ตระกูลบัวผันหรือบัวเผื่อน สีเหลือง คือ จงกลนี สีน้ำเงินคือนิโลตบลหรือนิลุบล

ถาม : แล้วสีบานเย็น ?
ตอบ : เป็นบัวต่างประเทศ แต่จริง ๆ แล้ว สีบานเย็นน่าจะจัดอยู่ในพวกนิลุบล ที่โบราณเขาเรียกว่าบัวเขียว

สีม่วง สีเขียว หรือสีน้ำเงิน โบราณจะเรียกว่าสีเขียวทั้งหมด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2011 เมื่อ 04:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #96  
เก่า 14-02-2011, 00:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,695 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การเดินจงกรม เราควรจะใช้ในลักษณะพิจารณาการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือเราควรจะใช้ในการจับภาพมโนมยิทธิแล้วเดินครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่ที่ความถนัดของเรา ทำอย่างไรก็ได้ ให้นิวรณ์กินใจของเราไม่ได้ ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว

ถ้าเราพิจารณาการเคลื่อนไหวของร่างกาย สติอยู่กับปัจจุบัน รัก โลภ โกรธ หลงก็เกิดไม่ได้ ถ้าจับภาพแบบมโนมยิทธิ ถ้าใจเกาะมั่นคง กิเลสก็กินไม่ได้เหมือนกัน เขาต้องการแค่ความสะอาดของจิต ท้ายสุดก็ให้มีปัญญาตัดกิเลส รู้อยู่เสมอว่าเราเดินอยู่บนกองทุกข์ กำลังก้าวไปหาความตายอยู่ทุกก้าว ถ้าเราตายแล้วเราจะไปไหน ?

ถาม : แต่พอยิ่งเดิน ยิ่งช้าไปเรื่อย ๆ ช่วงท้ายเหมือนกับผมจะระเบิด เกิดความรู้สึกว่า อยากพบคน อยากคุยกับคนไปหมด
ตอบ : นั่นกิเลสชวนแล้ว พอเราบังคับอยู่ในกรอบ กิเลสก็จะดิ้น เป็นเรื่องปกติ ถ้าเป็นสายพองหนอยุบหนอ เขาบอกว่าสภาวธรรมกำลังเกิด แต่ส่วนใหญ่จะเกิดเป็นโทสะแทน

ถาม : ใช่ครับ คิดว่าเมื่อไรจะจบสักที ส่วนที่เราต้องทำต่อก็คือเราควรจะพิจารณาใน..?
ตอบ : เปลี่ยนอิริยาบถก็ได้ เปลี่ยนไปนั่งบ้าง หางานหาการทำบ้าง จะกวาดบ้านถูบ้านก็ได้ แต่ต้องเอาสติอยู่กับปัจจุบัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2011 เมื่อ 04:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 143 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #97  
เก่า 14-02-2011, 01:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,695 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ธรรมะของผู้ครองเรือนเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ธรรมะของผู้ครองเรือน บาลีเรียก ฆราวาสธรรม ประกอบไปด้วย สัจจะ มีความจริงใจต่อกัน พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่นอกใจกัน ทมะ คือ มีความข่มกลั้น เกิดการกระทบกระทั่งกันขนาดไหนก็ตาม ก็ต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้

ขันติ ทนต่อความยากลำบากในการครองชีวิต ในการทำมาหากิน ท้ายสุด จาคะ ต้องมีความเสียสละ สละความสุขส่วนตัวเพื่อคู่ครองของเรา

ถาม : ถ้าปฏิบัติมโนมยิทธิ เราจะครองเรือนได้ไหม ? มโนมยิทธิจะเสื่อมไหมครับ ?
ตอบ : เขาไม่ได้ห้าม อยู่ที่เรา ถ้าขยันซ้อมจะไปเสื่อมอะไร ยกเว้นว่าไม่สนใจเท่านั้นเอง

ถาม : หมายถึงเวลาที่เราครองเรือนครับ ?
ตอบ : ก็ครองไปสิ ไม่ได้ห้ามหรอก

ถาม : แบ่งเวลาเป็นช่วงได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้ อย่าลืมว่า แม้แต่พระโสดาบันท่านก็ยังมีคู่ มีลูกมีหลาน เราเองยังไม่ถึงระดับนั้น ถ้าทรงกำลังใจระดับโสดาบันได้เมื่อไร เราก็ใช้มโนมยิทธิไปนิพพานเป็นปกติอยู่แล้ว

ถาม : ถ้าเราภาวนาสัมปะจิตฉามิ และเราจับภาพพระไปด้วย เราจะมีอานิสงส์เหมือนกับจับภาพพระไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เหมือนกัน ถ้าทำเป็นจริง ๆ จะได้มากกว่า คาถาสัมปะจิตฉามิถ้าทำขึ้นจริง ๆ เราสามารถใช้อภิญญาได้เหมือนกับฝึกกสิณ ๑๐ มา พูดง่าย ๆ ก็คือ แทนที่เราจะไปแต่ใจ เราก็ไปทั้งตัวเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 14-02-2011 เมื่อ 10:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #98  
เก่า 14-02-2011, 09:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,695 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาเราทำงานต้องมีเรื่องที่พูดเลี่ยงออกไป แต่ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน จัดเป็นการละเมิดศีลข้อมุสาหรือไม่ ?
ตอบ : ศีลยังด่างยังพร้อยอยู่ แต่เราไม่ได้โกหกทั้งวัน ระยะเวลาที่เหลือเราก็รักษาศีลของเราให้ดี

ถาม : ถ้าคิดแล้วไม่ทำผิด..?
ตอบ : การคิดก็เป็นมโนกรรมแล้ว

ถาม : อยากได้ของคนอื่น เกิดกรรมแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : มโนกรรม กรรมที่เกิดจากใจคิด ตายตอนนั้นก็ลงนรกเลย ขาดทุนมาก

ถาม : ศีลข้อสาม รวมคนในปกครองด้วยหรือไม่ ?
ตอบ : ทุกประเภท ถ้าผู้ปกครองไม่ได้ยินยอม กระทั่งท้ายสุดแม้กระทั่งกฎหมายไม่ได้ยินยอม ถือว่าผิดทั้งนั้น

ถาม : แม้ตัวเขาจะยินยอมก็ผิดในธรรม ?
ตอบ : ผิด..เพราะเขาหมายเอาถึงคนที่ยังมีผู้ปกครองอยู่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2011 เมื่อ 11:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #99  
เก่า 14-02-2011, 09:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,695 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในแง่ของกามราคะที่เกิดขึ้น ด้านความคิดมีความกำหนัด ไม่ว่าจะเกิดจากการเห็น การมอง ก็เป็นมโนกรรมอยู่ตลอดเวลาสิครับ ?
ตอบ : เป็นอยู่ตลอดเวลา เท่ากับว่าเราสร้างกรรมอยู่ตลอดเวลา ถึงได้บอกว่า เราต้องชำระจิตของเราให้ผ่องใสให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นกามวิตก (การระลึกตรึกถึง) กามราคานุสัย (กามที่นอนเนื่องอยู่ภายในใจ) ตราบใดที่ยังไม่มีคนไปสะกิดให้รู้ตัว ก็ยังมีอยู่ แต่พอสะกิดเข้าจึงรู้ว่ายังมีอยู่เต็ม ๆ

ถาม : บางทีนั่งสมาธิแล้วคิดถึงเรื่องกาม
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ เขาตั้งใจจะกวนเราอยู่แล้ว เขามาชวนว่าเรื่องนั้นสนุกกว่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2011 เมื่อ 11:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #100  
เก่า 14-02-2011, 09:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,695 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น ถ้าเราปฏิบัติธรรมภาวนา จะช่วยคนอื่นได้ไหม ?
ตอบ : สำหรับเรา..ถ้าปฏิบัติจนกำลังใจมั่นคง ก็ถือว่าปลอดภัย แต่ถ้ากำลังของเราน้อยเกินไป ก็อาจจะช่วยคนอื่นไม่ได้ ถ้าตัวเราเอาตัวเองรอดได้ ก็เท่ากับไม่เป็นภาระให้กับคนอื่น ดังนั้น..เราปฏิบัติของเราให้เต็มที่ไว้ก่อน ส่วนที่เหลือจะเป็นภาระแก่พรหม เทวดาเท่าไร ก็แล้วแต่เวรแต่กรรม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2011 เมื่อ 12:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:40



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว