กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 30-07-2018, 23:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกทั้งหมดของเราเอาไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ สำหรับวันนี้เมื่อฟังจากคำถามต่าง ๆ ของเราแล้ว สรุปได้ว่าหลายท่านยังมีการปฏิบัติที่เปะปะ ถ้าเป็นอาการอย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า “เหวี่ยงแห” ก็คือสักแต่ว่าทำ โดยบางทีเป้าหมายก็ยังไม่ชัดเจน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนพุทธบริษัทให้ปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา ซึ่งความจริงแล้วเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ เมื่อย่อลงมาแล้วเหลือ ศีล สมาธิ ปัญญา

การปฏิบัติธรรมของเราทั้งหลายก็ขอให้ว่ากันตามแนวนี้ ก็คือเบื้องต้นอันดับแรก ให้เราตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะชำระศีลทุกข้อของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ถ้าหากว่าเป็นฆราวาสทั่วไปก็ศีล ๕ อุบาสกอุบาสิกาก็ศีล ๘ สามเณรศีล ๑๐ พระภิกษุศีล ๒๒๗ เป็นต้น พยายามไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล นี่คือเป้าหมายแรกของเราที่ต้องทำเอาไว้ให้ชัดเจน

ดังนั้น...สิ่งที่สมควรจะต้องทำต่อในแต่ละวัน คือ เราต้องระมัดระวังรักษาศีลทุกสิกขาบททุกข้ออย่าให้ผิดพลาดได้ ถ้าหากว่าผิดพลาดเสียหายตรงไหน ก็ให้ตั้งใจทันทีเดี๋ยวนั้นว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์

ในเมื่อเป้าหมายทางด้านศีลของเราชัดเจนแล้ว ก็ไปดูในด้านของสมาธิ ในด้านของสมาธิ ให้ตั้งเป้าเอาไว้ว่า อย่างน้อยเราต้องทรงปฐมฌานละเอียดให้ได้ เพราะว่ากำลังของปฐมฌานละเอียดนั้น ตัดกิเลสในระดับของพระโสดาบันและพระสกทาคามีได้ และโดยเฉพาะถ้าท่านใดเข้าถึงปฐมฌานละเอียดได้แล้ว โอกาสที่เข้าถึงฌานที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็เป็นเรื่องที่ไม่เกินความสามารถ ในเมื่อเป้าหมายของเราชัดเจนแล้ว ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องประคับประคองรักษาสภาพจิตของเรา ให้อยู่กับลมหายใจเข้าให้มากเข้าไว้ในแต่ละวัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2018 เมื่อ 03:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 01-08-2018, 08:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เวลาที่ตั้งหน้าตั้งตาระมัดระวังในเรื่องของศีล สภาพจิตก็จะเป็นสมาธิโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว เราก็แค่พยายามเอาสติเข้าไป ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเราเพิ่มขึ้น ถ้าหากว่าสติไม่หลุดไปจากลมหายใจ หายใจเข้าผ่านจมูก ผ่านกึ่งกลางอก ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออกจากท้อง ผ่านกึ่งกลางอก มาสุดที่ปลายจมูก สามารถรักษาอารมณ์นี้ได้โดยที่ไม่เคลื่อนคลายไปไหน โอกาสที่จะเข้าถึงอัปปนาสมาธิที่ละเอียดขึ้นไป ก็เป็นของที่หวังได้

ในขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าท่านสามารถเข้าถึงได้แล้ว ก็พยายามที่จะปลดความอยากออกจากใจของเรา ก็คือเรามีหน้าที่ภาวนา ส่วนจะทรงสมาธิระดับสูงขึ้นไปได้หรือไม่เป็นเรื่องของเขา คำว่าเป็นเรื่องของเขาในที่นี้ก็คือ เราอย่าไปอยากมี อยากได้ อยากเป็น แต่ให้ตั้งหน้าตั้งตาตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเราไป เพราะว่าถ้าเราอยากได้ฌานที่ ๒ อยากได้ฌานที่ ๓ อยากได้ฌานที่ ๔ ตัวอยากคือตัณหานั้นจะพาสภาพจิตให้ฟุ้งซ่าน ไม่สามารถที่จะเข้าถึงสมาธิระดับสูงขึ้นไปกว่านั้นได้

เมื่อเป้าหมายในด้านศีล ด้านสมาธิของเราชัดเจน และมีการทบทวนอยู่ในแต่ละวันแล้ว ก็มาดูเป้าหมายสุดท้ายคือด้านปัญญา อย่างน้อย ๆ เราต้องมีปัญญาเห็นชัดว่า ตัวเราต้องตายอย่างแน่นอน ในเมื่อรู้ตัวว่าตัวเราจะต้องตายอย่างแน่นอน ทำอย่างไรที่ตายแล้วเราจะไม่ขาดทุน นั่นก็คืออย่างน้อย ๆ เราจะต้องเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันให้ได้ เพื่อที่จะปิดอบายภูมิทั้ง ๔ ไม่ให้ก่อทุกข์ก่อโทษแก่เราได้

การที่เราจะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันได้นั้น ก็ต้องเคารพในพระพุทธเจ้าจริง ๆ เคารพในพระธรรมจริง ๆ เคารพในพระสงฆ์จริง ๆ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ต้องตั้งหน้าตั้งตารักษาสิกขาบทตามสภาพของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล พร้อมกับต้องมีความรู้อยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย

ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกของเราเท่านั้น หายใจเข้าถ้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกถ้าไม่หายใจเข้าก็ตายอีกเช่นกัน ถ้าหากว่าตายจากชาตินี้ เราไม่พึงปรารถนาสิ่งหนึ่งสิ่งใดอีกแล้ว ขอเพียงพระนิพพานเป็นที่ไปของเราเท่านั้น หากว่าเป้าหมายของเราในด้านศีล ด้านสมาธิ ด้านปัญญาชัดเจนแบบนี้ มีการทบทวนอยู่ทุกวัน ๆ พยายามปฏิบัติขัดเกลากาย วาจา ใจของเราให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เราก็จะมีโอกาสล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้



ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้สัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันอาทิตย์ที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2018 เมื่อ 14:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:02



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว