#1
|
||||
|
||||
โอวาทช่วงงานบวชเนกขัมมะ ๑๑-๑๕ เมษายน ๒๕๕๘
โอวาทช่วงงานบวชเนกขัมมะ ๑๑-๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ สำหรับพวกเราที่มาปฏิบัติธรรมกัน นอกจากสร้างความดีให้แก่ตัวเองแล้ว ยังตั้งใจถวายกุศลให้แก่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีด้วย ถ้าในช่วงวันที่ ๒ เมษายนที่ผ่านมาญาติโยมจะเห็นว่าทางส่วนราชการจัดงานถวายพระองค์ท่านใหญ่โตมโหฬารมาก ใหญ่พอ ๆ กับงาน ๖๐ พรรษาหรือ ๗๒ พรรษาหรือ ๘๐ พรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเลย แม้กระทั่งธนบัตรที่ระลึกที่กระทรวงการคลังพิมพ์ออกมา กะว่าเพียงพอแล้วยังต้องสั่งเพิ่มอีก ๑๐ ล้านฉบับ เพราะว่าชาวบ้านให้ความเลื่อมใสศรัทธาเป็นส่วนพระองค์ จัดการแลกเปลี่ยนเอาไปเก็บเรียบ ฉะนั้น ไม่ว่าคนเราจะทำอะไรอยู่ก็ตาม จะอยู่ในสายตาชาวบ้านเสมอ ที่เรามาทำความดีกันวันนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราแสดงซึ่งความจงรักภักดี และขณะเดียวกันก็เสริมสร้างคุณความดีของพวกเราให้มากยิ่งขึ้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2015 เมื่อ 16:59 |
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
จากการคาดเดาของอาตมาเอง ถ้าโลกนี้ไม่มีพัดลม คาดว่าคนจะตายไปครึ่งหนึ่ง แล้วถ้าไม่มีเครื่องปรับอากาศ อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือก็ตายไปด้วย วันก่อนอาตมาไปรับตำแหน่งเจ้าคณะตำบล ปรากฏว่าเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๒ กับ เจ้าคณะตำบลปิล็อก เดินออกมาจากสำนักงานเจ้าคณะอำเภอ ถามท่านว่า "มาตั้งแต่เมื่อไรวะ ?" "ก่อนเพล" "แล้วรีบมาทำอะไร ?" "มานอน..ที่วัดไม่มีห้องแอร์..แต่ที่นี่มี" อาศัยนอนในห้องสำนักงานเจ้าคณะอำเภอ ท่านติดเครื่องปรับอากาศไว้
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ถ้าเราทำจนชินจะกลายเป็นนิสัยเฉพาะตัว ถ้าโยมเลี้ยงหมาจะรู้เลย เปิดพัดลมหรือเปิดเครื่องปรับอากาศเมื่อไร หมาจะวิ่งมานอนทันที บ้านใครเป็นอย่างนี้บ้าง ? สรุปว่าหมาฉลาดกว่าเรา รอเมื่อไรเจ้าของจะเปิดพัดลมหรือว่าเปิดเครื่องปรับอากาศก็วิ่งมานอนรอเลย คราวนี้ในการที่เราทำอะไรจนกลายเป็นสุขนิสัยหรือกลายเป็นความเคยชิน ก็มีทั้งสิ่งที่เป็นประโยชน์และสิ่งที่เป็นโทษ ถ้าเราทำในสิ่งที่ดีจนเคยชิน ถึงเวลาแล้วต้องทำ ถ้าลักษณะนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าทรงฌานแล้ว ก็คือเคยทำความดีจนชิน ไม่สามารถที่จะขาดได้แล้ว จัดเป็นการทรงฌานในการทำความดีชนิดนั้น ๆ แต่ถ้าหากว่าสร้างสุขนิสัยที่ไม่ดีอย่างอื่น เป็นต้นว่า บ่ายสามโมงกินข้าว ห้าโมงเย็นกินข้าว สองทุ่มกินข้าว หรือจะกินขนมอะไรก็แล้วแต่ แล้วก็บ่นว่าจะลดความอ้วน ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ต้องสร้างสุขนิสัยที่ดีใหม่ เช่น หลังบ่ายสามไปแล้วจะไม่กินอะไรเด็ดขาด อาตมาเองทำวิทยานิพนธ์อยู่ ๒ เดือน น้ำหนักหายไป ๔ กิโลกรัมเศษ ใช้เวลาสะสมอยู่เกือบ ๓๐ ปี หายไปภายใน ๒ เดือน ตั้งใจว่าจะต้องต้องกินคืนมาให้ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2015 เมื่อ 17:02 |
สมาชิก 122 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ที่กล่าวเรื่องอย่างนี้ก็เพราะว่า ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ชิน ทำจนถึงชนิดที่ขาดไม่ได้ ทิ้งไม่ได้ ทำอย่างไรจะให้จิตของเราผูกอยู่กับลมหายใจเข้าออกตลอดเวลาโดยไม่หลุดไปอารมณ์อื่น นี่เป็นปัญหาที่อยากจะฝากพวกเราเอาไว้ทุกคน
การต่อสู้กับกิเลสนั้น เรื่องของสมาธิมีความจำเป็นสูงมาก เพราะทันทีที่กิเลสเกิดขึ้น สติรู้ตัวว่ารัก โลภ โกรธ หลงเข้ามา ก็ต้องมีสมาธิ ที่เหมือนอย่างกับห้ามล้อหรือเบรกรถ หยุดให้ทัน การที่เราจะหยุดได้ทันกำลังของสมาธิต้องดีพอ ถ้ากำลังไม่ดีพอเราจะหยุดไม่ทัน ก็จะโดนกิเลสชักจูงไปได้ พวกเรามีไหม..ที่รู้สึกโกรธแล้วสามารถหยุดได้ทันที ? ช่วยยกมือให้ชื่นใจหน่อย หรือว่าไปด่าชาวบ้านเขา ๓ วันแล้วเพิ่งรู้ตัวว่าโกรธ ? ดังนั้น..ในขั้นตอนของการปฏิบัติช่วงนี้ของเรา สำคัญที่สุดคือสร้างสมาธิให้ทรงตัว สมาธิจะทรงตัวได้ก็เริ่มจากศีล เราต้องระมัดระวังศีลทุกสิกขาบทของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ การใช้สติระมัดระวังจดจ่ออยู่กับศีล จะสร้างสมาธิให้ค่อย ๆ เกิดขึ้น เราก็มาเพิ่มเติมด้วยการตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออก หลายท่านรู้สึกว่าตัวเองใจเย็นขึ้น รู้จักยับยั้งชั่งใจมากขึ้น อย่าเพิ่งเชื่อว่าสมาธิดีขึ้น อาจจะเป็นเพราะแก่จนหมดไฟ เลยโกรธใครไม่ค่อยไหวแล้ว ก่อนหน้านี้ไฟลุกท่วมฟ้า..โกรธได้ทุกเวลา เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าปฏิบัติธรรมไปแล้วเราน่าจะดีขึ้น โกรธน้อยลง ที่ไหนได้..มาดูอายุ..จะเกษียณแล้ว ไม่มีแรงจะโกรธใครแล้ว ต้องระมัดระวังให้ดี อย่าเพิ่งเชื่อว่าตัวเองดี ต้องค่อยเป็นค่อยไป ค่อย ๆ ทำ ถ้าเราทำอย่างสม่ำเสมอความก้าวหน้าก็จะมี แต่ถ้าทำ ๆ ทิ้ง ๆ ก็จะไม่มีความก้าวหน้าให้ใครเห็น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2015 เมื่อ 01:13 |
สมาชิก 114 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
เรื่องของการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของบุคคลที่เป็นปรมัตถบารมี บารมีต้นให้ทานได้ บอกให้รักษาศีล บอกให้ภาวนา..เป็นตายก็ทำไม่ได้ บารมีกลางให้ทานได้ รักษาศีลได้ บอกให้ภาวนา..อย่างไรก็ไม่เอา ต้องปรมัตถบารมีหรือบารมีขั้นสุดยอด บารมีขั้นปลาย ให้ทานได้ รักษาศีลได้ เจริญภาวนาได้
ในเมื่อการปฏิบัติธรรม การเจริญภาวนาเป็นบารมีระดับสุดยอด ก็คือปรมัตถบารมี แปลว่าไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำกันเล่น ๆ เราจะเหลาะแหละไม่ได้ ต้องเอาจริงเอาจังอย่างเดียว ไม่ใช่ว่าลองทำดูหน่อย จะทำต้องทำจริงเลย..! มัวแต่ไปลองทำอยู่ เดี๋ยวเกิดกิเลสอยากลองกับเราบ้าง กำลังเราไม่พอ..จะโดนตีตายเสียเปล่า ๆ ไหน ๆ ก็คุยเรื่องไปรับตราตั้งเจ้าคณะตำบลแล้ว เขานัดบ่าย ๓ โมง อาตมาฉันเพลเสร็จก็ไป ไปเตรียมเอกสารงานเจ้าคณะตำบลเพื่อส่งรายงานอำเภอ ๒ เรื่อง แล้วก็ทำหนังสือสุทธิอีก ๕ เล่ม ต้องเผื่อเวลาไว้สำหรับไปทำ ปรากฏว่าหลวงพ่อพระราชรัตนวิมล เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี มาถึงบ่ายโมงกว่า ๆ นั่งรอไปเถอะ เจ้าคณะตำบลหินดาดกับเจ้าอาวาสวัดธารน้ำร้อนยังไม่มา ในเมื่อนัด ๓ โมงคงจะมาก่อน ๓ โมงไม่ได้ ต้องเป็นคนตรงเวลา ก็เลยให้เจ้านายนั่งรอเกือบ ๒ ชั่วโมง ถ้าเป็นอาตมานี่คุณไม่ได้ก้าวหน้าในชีวิตแน่เลย บุคคลที่จะไปพระนิพพาน สภาพจิตมุ่งตรงต่อเป้าหมายแล้ว จะทำอะไรเร็ว เพราะเรื่องรุงรังต่าง ๆ ไม่เอาแล้ว มุ่งตรงเป้าหมายอย่างเดียว เป็นการทำที่เร็วแต่ไม่ผิดพลาด เพราะสภาพความละเอียดของจิตมีมาก ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะพิสูจน์ได้ง่ายที่สุดก็คือลองนัดเวลาดู รับประกันว่าท่านไม่ผิดเรื่องเวลาแน่นอน มีแต่ก่อนไม่มีหลัง ไม่ใช่ให้เจ้านายไปนั่งรอ ในเมื่อเป็นอย่างนี้ใครที่ยังผิดนัด นัดแล้วไม่ตรงเวลา แปลว่ากำลังใจยังใช้ไม่ได้ ตกลงนี่อาตมากำลังหาเรื่องว่าใครหรือเปล่า ? แปลว่ากำลังใจยังไม่พอที่จะไปพระนิพพาน ต้องเร่งรัดกำลังใจให้มากกว่านี้ ตรวจสอบรายชื่อ ๘ โมง ไม่ใช่มาเอาตอน ๑๑ โมง แต่ ๗ โมงครึ่งต้องมาพร้อมแล้ว จะอ้างว่าอยู่ไกลไม่ได้ เพราะเรารู้ว่าวัดอยู่ไกล ต้องเผื่อเวลาในการเดินทางด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2015 เมื่อ 01:18 |
สมาชิก 114 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ตอนสมัยที่ยังเป็นนักเรียนทหารอยู่ อาตมาโดนเพื่อนต่อว่าอยู่เสมอว่า “มึงจะจริงจังอะไรกับชีวิตนักหนาวะ” อาตมาก็ไม่ได้จริงจังอะไรกับชีวิต เพียงแต่ผู้บังคับบัญชาสั่งอะไรมา ทำให้เสร็จก็หมดเรื่องหมดราวไป เมื่อผ่านการเรียนในห้องเรียนแล้ว ต้องไปเรียน ชกท. คือชำนาญการทหาร แต่ละคนจะได้รับการคัดเลือกแล้วแบ่งแยกออกไปเรียน ชกท.แต่ละอย่างในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน เพื่อที่จะได้มีกำลังพลที่มีความชำนาญการทหารในแต่ละด้านจำนวนไล่เลี่ยกัน เพียงพอต่อการใช้งาน
การเรียนในสิ่งที่เรียกว่าความชำนาญด้านการทหารนั้น เขาให้ระยะเวลา ๖ เดือน อาตมาเองต้องเรียนเกี่ยวกับอาวุธปืนกลเบาวิถีโค้ง ที่เขาเรียกว่า M.๖๐ ถ้าใครเคยดูหนังเรื่องแรมโบ้ภาค ๑ ก็คือปืนกระบอกเบ้อเริ่มที่แรมโบ้ใช้ มีกระสุนสะพายเป็นสาย ๆ นั่นแหละ ระยะเวลา ๖ เดือน เพื่อนเรียนชำนาญการทหาร ๑ วิชาแทบจะไม่ผ่าน ส่วนอาตมาเรียนไป ๘ วิชา..! เพราะว่าเรียนของตัวเองจนครูไม่มีอะไรจะสอนแล้ว ครูบอกว่า “มึงไปให้พ้นหน้าพ้นตากูได้แล้ว..!” อาตมาก็ย่องไปห้องอื่น เห็นเขาเรียนอะไรน่าสนใจอย่างเช่นสงครามทุ่นระเบิด ก็เข้าไปขอเรียนกับเขา ข่าวกรองก็เข้าไปขอเรียนกับเขา แผนที่เข็มทิศก็เข้าไปขอเรียนกับเขา เครื่องยิงลูกระเบิดก็เข้าไปขอเรียนกับเขา ปืนเล็กกลก็เข้าไปขอเรียนกับเขา เรียนจนหมด เข้าไปถึงก็ “ขออนุญาตครับ ผมขอเรียนด้วยครับ” ครูฝึกก็ว่า “จ่ายมาเลย ๒๐..!” การจ่ายค่าเรียนของทหารคือวิดพื้น ๒๐ ครั้ง เข้าไปเรียนแล้วทำให้เพื่อนลำบาก เพราะว่าเสือกทะลึ่งเรียนเก่งกว่าเพื่อน ครูฝึกก็ด่าเพื่อนอีก ไปเรียนเกี่ยวกับเครื่องยิงลูกระเบิด เขาเรียกปืน ค. ย่อมาจากเครื่องยิงลูกระเบิด จะมีอยู่ ๓ ขนาดด้วยกัน ก็คือ ค. ๔๐ มิลลิเมตรหรือที่เราเรียกว่า M.๗๙ ส่วน ค.๖๐ มิลลิเมตร เป็นเครื่องยิงลูกระเบิดประกอบฐาน แล้วก็ ค.๘๑ มิลลิเมตร เครื่องยิงลูกระเบิดประกอบฐาน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2015 เมื่อ 02:26 |
สมาชิก 103 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
หลัก ๆ ที่เรียนก็คือ ค.๘๑ ปรากฏว่าพอจ่ายค่าเรียนเสร็จ ครูฝึกตอนนั้นคือจ่าสิบโทสมยศก็กวักมือเรียก ”มึงมานี่ซิ ไปปรับเลย” คือเครื่องยิงลูกระเบิดเขาจะมีเส้นหลักเล็งอยู่ ปรับให้ตรงเป้า เราก็จะยิงลงเป้าหมายนั้นได้พอดี อาตมาเข้าไปถึงก็ถาม “ปรับตรงไหนบ้างครับ ?” เขาก็บอกว่าอันนี้ซ้ายขวา อันนี้บนล่าง อาตมาก็เอาลูกตาทิ่มเข้าไปในกล้อง หลักเล็งข้างหน้าระยะ ๑,๒๐๐ เมตรก็หมุน ๆ ปรับไปพักเดียว “เสร็จแล้วครับ” ครูฝึกสะดุ้งเฮือก ถามว่า "เสร็จแล้วจริงหรือ ?" บอกว่า "จริงครับ" ครูก็มาเล็งดู เสร็จแล้วหันมาหาเพื่อนทั้งห้อง “ลงไปเลย..คนละ ๒๐ จ่ายค่าเรียนให้มันด้วย” ตกลงอาตมาจ่ายไป ๒๐ ได้คืนมาหลายร้อยเลย
ครูฝึกก็ถามว่า “มึงทำอย่างไร ?” “ผมก็ปรับตามที่ครูฝึกบอกครับ” ครูฝึกก็กวักมือเรียกเพื่อนคนหนึ่งมาบอก “เอ้า..มึงปรับดูซิ” ปรับซ้ายก็ไม่ได้ ปรับขวาก็ไม่ได้ บนก็ไม่ได้ ล่างก็ไม่ได้ ครูฝึกก็ถอดหมวกเหล็กออกมาบอก “มา..เป็นวัวกระทิง..!” เพื่อนต้องตะกุยดินด้วยนะ แล้วก็วิ่งมาชนหมวกเหล็ก เป็นวิธีลงโทษแบบทหาร ชนหมวกเหล็กจนครูฝึกพอใจแล้วก็หันมาถามอาตมา “มึงทำอย่างไรบอกมันที” ตอบไปว่า “ก็ปรับซ้ายขวากับสูงต่ำพร้อมกันครับ พอถึงเวลาเส้นเล็งทับกันก็ตรงเป้าแล้ว” เพื่อนทั้งห้องนั่งอ้าปากหวอ เพราะเวลาเขาปรับซ้ายขวา สูงต่ำจะเสีย ปรับสูงต่ำ ซ้ายขวาจะเสีย ปรับมาตั้งเป็นเดือนแล้วยังไม่ได้เลย อาตมาเห็นว่ามือมี ๒ ข้างเรื่องอะไรจะไปใช้ข้างเดียว ก็ปรับพร้อมกัน ตาก็เล็ง พอเส้นเล็งทับกันก็ใช้ได้แล้ว นี่คือลักษณะที่ว่าทำไมการที่คนหนึ่งเรียนระยะเวลา ๖ เดือนเรียนได้ ๘ อย่าง กับอีกคนหนึ่งเรียนอย่างเดียวแทบจะไม่สำเร็จ แล้วครูฝึกก็ปล่อยดูว่าเมื่อไรจะฉลาด ทั้ง ๆ ที่ถ้าบอกให้ตรง ๆ คาดว่าไม่กี่นาทีนักเรียนก็ทำถูก อยากรู้ว่านักเรียนมีไหวพริบแค่ไหน ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมสำคัญกว่านั้นอีก เพราะว่ากิเลสมีแค่ ๔ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ แค่นี้แหละ แต่ข้อสอบที่มาหาเรานี่เป็นล้าน ๆ ข้อ ถ้ารู้จักสังเกตจะเห็นว่าอยู่ใน ๔ ข้อนี้แหละ ในเมื่อเขาพลิกแพลงได้ขนาดนั้น ถ้าเรายังซื่อ ๆ ตรง ๆ อยู่ขอบอกอย่างเดียวว่าโดนกิเลสตีตาย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2015 เมื่อ 02:31 |
สมาชิก 110 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
อาตมาปฏิบัติตามวัดป่าสายหลวงปู่มั่นมาตั้งแต่เด็ก ครูบาอาจารย์สายโน้นไม่พูดอะไรมากหรอก “ไปทำเอา ไปภาวนาเอา เป็นอย่างไรแล้วมาบอก” ไหวไหม ? ไปทำเอา ไปภาวนาเอา เป็นอย่างไรแล้วมาบอก ครูบาอาจารย์ท่านจะวิเคราะห์แล้วแยกแยะให้ว่าตอนนี้ของเราเป็นอย่างไร แล้วท่านก็จะบอกก้าวต่อไป ถ้าโดนอย่างนั้นตายแน่ เพราะพวกเรานี่เคี้ยวเสร็จป้อนใส่ปากแล้วยังไม่ค่อยอยากจะกินเลย
ในเมื่อความละเอียดในการปฏิบัติมีมากกว่าทางโลก กิเลสสามารถที่จะพลิกแพลงมาทุกซอกทุกมุม สติ ปัญญา ของเราจึงต้องเท่าทัน ถ้าไม่เท่าทันก็เสร็จ หลายคนโดนกิเลสจูงไปไกลมาก ปฏิบัติธรรมมาแล้วรู้สึกว่าเราเป็นคนดีเหลือเกิน เรามีศีลขณะที่คนอื่นไม่มี เรามีสมาธิขณะที่คนอื่นไม่มี เรามีทิพจักขุญาณขณะที่คนอื่นไม่มี กว่าจะรู้ตัวว่าที่แบกไว้นั่นกิเลสทั้งนั้น แต่ก็ยังไม่รู้ตัว กิเลสที่แบกไว้คือมานะ ความถือตัวถือตนว่าเราดีแล้ว เรามีหลักการปฏิบัติที่เหนือกว่าคนอื่นเขา เรามีความรู้ความสามารถที่มากกว่าคนอื่นเขา จำไว้ว่า ถ้ายังมีคำว่า “กว่า” มากกว่าก็ดี น้อยกว่าก็ดี หรือเท่ากันก็ดี เสร็จกิเลสหมด เราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา ดี เลว กับเสมอ นี่ไม่ใช่ความชั่วเลย ชั่วตรง “เรา” “กว่าเรา” เพราะเอาตัวเองเป็นใหญ่ นั่นคือสักกายทิฐิ ตัวกูของกู กิเลสตัวเบ้อเริ่มเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-04-2015 เมื่อ 10:59 |
สมาชิก 99 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
อย่าเพิ่งท้อ สมัยนี้ไม่มีหรอกที่สามารถลุยกับกิเลสแล้วจบภายในม้วนเดียว บุคคลกว่าจะมาเป็นครูบาอาจารย์ได้ อาตมาเคยเปรียบว่าถ้าเป็นนักรบก็แผลทั้งตัว เย็บกันจนภาษาโบราณเขาว่า "เข็มหลง" ไม่รู้จะเย็บไปทางไหน แผลไหนกันแน่วะ ? ก็แปลว่าต้องผ่านการปฏิบัติ ต้องผ่านการฝ่าฟันมามาก กว่าจะถึงระดับที่เป็นที่พอใจคือรู้เท่าทันกิเลสได้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แหละที่เราต้องมานั่งปฏิบัติกัน
เวลาปฏิบัติพยายามดูตัวเองด้วย เรามีความยินดียินร้ายอยู่หรือเปล่า ? ตอนเดินจงกรมเราก้าวยาวหน่อย เพื่อนก้าวสั้นเดินอยู่ข้างหน้าก็รำคาญเขา หงุดหงิด โกรธเขา ทั้ง ๆ ที่เพื่อนยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย “แล้วทำไมต้องมาซ้ายย่างหนอขวาย่างหนอ เดินธรรมดา ๆ ไม่ได้หรือ ?” อ้าว..ไปอีกแล้ว แปลว่าเราแบกกิเลสมาปฏิบัติธรรม ถ้าคนที่ไม่ได้แบกกิเลสมาปฏิบัติธรรม ทำตัวเหมือนอย่างกับแก้วน้ำเปล่า ๆ ภาชนะเปล่าเทอะไรใส่ลงไปก็บรรจุเอาไว้ได้ แต่ถ้าเราแบกกิเลสมาปฏิบัติธรรมเหมือนกับภาชนะที่เต็มแล้ว เทอะไรลงไปไม่ได้สักอย่าง จึงเป็นเรื่องที่ต้องสังวรกันเอาไว้ว่า ถ้ารักการปฏิบัติจริง ๆ สภาพจิตของเราต้องละเอียดมากกว่านี้ เพราะกิเลสนั้นละเอียดเหลือเกิน ในช่วงท้าย ๆ ของการต่อสู้กับกิเลส อาตมาพูดอย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า กิเลสกับเราหน้าตาเหมือนกันเลย ขึ้นอยู่กับปัญญาของเราเท่านั้นแหละ ว่าเราจะสามารถมองออกหรือเปล่าว่านั่นคือกิเลส เพราะฉะนั้น..ในการปฏิบัติธรรมจึงต้องทุ่มเท จริงจัง ทำอย่างสม่ำเสมอจนกว่าจะสามารถชนะกิเลสได้ในข้อใดข้อหนึ่ง แล้วกำลังในการชนะกิเลสนั้นสามารถไปใช้กับตัวอื่น ๆ ได้ เพราะกิเลสตัวอื่นก็กำลังเท่ากัน นี่เป็นสิ่งที่อยากจะฝากพวกเราเอาไว้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-04-2015 เมื่อ 11:02 |
สมาชิก 103 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
ญาติโยมจำนวนหนึ่งบอกว่ามาปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุน เวลาปฏิบัติจริง ๆ ไม่ค่อยจะได้อะไรหรอก เพราะมัวแต่ไปติชาวบ้านเขาอยู่ แต่ที่ได้จริง ๆ ก็คือฟังพระอาจารย์พูดตอนก่อนปฏิบัตินั่นแหละ ซึ่งอาตมาเองก็ตั้งใจที่จะให้ด้วย
บุคคลที่ปฏิบัติผ่านมาแล้ว ย่อมรู้ว่าหนทางนั้นเป็นอย่างไร สามารถที่จะชี้แนะในการก้าวเดินของพวกเราได้ อาตมาอยากจะให้พวกเราเดินได้เร็วที่สุด เพื่อที่จะเป็นภาระแก่ครูบาอาจารย์ให้น้อยที่สุด เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจึงต้องทุ่มเท จริงจัง อย่าไปเชื่อกิเลสว่าไปฉี่เสียหน่อย อย่าไปเชื่อกิเลสว่าไปรับโทรศัพท์สักนิดหนึ่ง เวลาปฏิบัติมีน้อยอยู่แล้ว อั้นเอาไว้เถอะ เวลาไปนั่งรับสังฆทานอาตมานั่งเช้ายันเย็นไม่เห็นตายเลย พวกเราปฏิบัติช่วงบ่ายนานที่สุดก็แค่ ๒ ชั่วโมง เดี๋ยวจะให้พระไปปิดห้องน้ำไว้นะ ปฏิบัติเสร็จแล้วค่อยเปิด แล้วให้เก็บโทรศัพท์ ดูว่า ๕ วันนี้ถ้าไม่ใช้โทรศัพท์ชีวิตจะมีความสุขแค่ไหน อย่าให้กิเลสหลอกให้เราเห็นว่าจำเป็น แล้วก็ไปสนใจอยู่กับโทรศัพท์ เลยไม่ได้สนใจเรื่องการปฏิบัติ แล้วเราก็เลยสู้กิเลสไม่ได้สักทีหนึ่ง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 08-05-2015 เมื่อ 18:21 |
สมาชิก 91 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
"เห็บลม" บางคนเรียกว่า "แมงแดง" ตัวเล็ก ๆ นิดเดียวประมาณปลายเข็ม เวลากัดทำให้อักเสบเพราะพวกนี้ชอบกัดปลายประสาท พอเราเจ็บจะได้ไม่ไปแตะตรงนั้น เห็บจะได้กินไปเรื่อย ๆ เวลาลมพัดพวกเห็บจะปล่อยตัวลอยตามลมไป ลอยได้ทีเป็นกิโล ๆ ถ้าเข้าป่าแล้วมีคนเพิ่งย้ายออกไป อย่ารีบไปนอนทับที่ เพราะพวกนี้จะไปรุมกันอยู่ตรงนั้น
วิธีแก้ง่าย ๆ ก็เอาขี้เถ้าสาดให้ทั่ว ๆ ปูผ้าพลาสติกทับแล้วค่อยนอน ถ้าเพิ่งเข้าป่ามาแล้วเจ็บเหมือนเป็นสิวหรือเป็นฝีระวังไว้ว่าจะเป็นเห็บลม เพราะพวกนี้กัดปลายประสาท เวลาโดนให้เอายาหม่องทา แล้วก็รอให้พวกนี้ปล่อยเอง ถ้าไปดึงบางทีหัวหลุดติดแผล รักษาเป็นปีกว่าจะหาย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-04-2015 เมื่อ 15:50 |
สมาชิก 96 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
บ้านเราเลี้ยงลูกแบบโอ๋จนเกินไป ต้องเอาแบบฝรั่งบ้าง พอเด็กเริ่มจับช้อนเล่นพ่อแม่ก็ส่งอาหารให้กินเลย ไม่กินก็ไม่ว่า จะละเลงให้เละอย่างไรก็ไม่ว่า แต่พอพ้นมื้ออาหารเก็บล้างแล้ว ไม่มีอีกจนกว่าจะถึงมื้อต่อไป เด็ก ๆ พอได้บทเรียนก็รู้ว่าถ้าไม่กินก็หิวเอง ถึงเวลาก็ต้องตักใส่ปาก
ส่วนบ้านเรา ๑๐ กว่าขวบแล้วยังไล่ป้อนรอบบ้านอยู่เลย บางคนถึงขนาดเครียดจนเข้าโรงพยาบาลเพราะว่าลูกไม่กินข้าว มาปรึกษาอาตมาว่าจะแก้ไขอย่างไร บอกว่าอย่าไปง้อ ดูว่าผ่านไปสักครึ่งวันจะวิ่งมาหากินเองไหม เด็ก ๆ เขารู้วิธีว่าจะจัดการกับผู้ใหญ่อย่างไร โดยเฉพาะจัดการกับพ่อแม่ เพราะฉะนั้น..อย่าได้ใจอ่อนเป็นอันขาด ใจอ่อนเมื่อไรโดนแน่ ๆ เรื่องของการปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน ส่วนใหญ่แล้วเราไปใจอ่อนกับกิเลส พอถึงเวลาปฏิบัติธรรมไปหน่อยหนึ่ง ความเพียรที่เราสร้างขึ้นมา ต้องบอกว่าเกิดความร้อนในการแผดเผากิเลส กิเลสก็จะหงุดหงิด กลัดกลุ้ม ดิ้นรนสารพัด ไม่อยากปฏิบัติแล้ว “จะตายแล้ว” เราก็มักจะเผลอไปคิดว่าเราจะตายทุกที แล้วเราก็เลิก หรือไม่ก็ไปรามือ ไปผ่อนให้กับกิเลส หลายท่านที่ปฏิบัติมาหลายสิบปีแล้วเอาดีไม่ได้ ก็เพราะไปเชื่อว่ากิเลสว่าเราจะตายแล้ว เกิดความรักความสงสารกิเลส ก็เลยเลิกปฏิบัติ ท้ายสุดกิเลสนั้นแหละที่ตีเราเกือบตาย ถ้าเราไม่เด็ดเดี่ยว ไม่เด็ดขาดพอ เราจะสู้กิเลสไม่ได้เพราะกิเลสมีมายามาก เราไปใจอ่อนให้ กิเลสตัวอ้วน ๆ ก็เลยร่าเริงต่อไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-04-2015 เมื่อ 16:22 |
สมาชิก 94 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
สมัยนี้เครื่องมือเครื่องไม้ต่าง ๆ มีเยอะ ช่วยกิเลสได้ดีมาก วันก่อนเขาส่งคลิปมาให้ดู อาตมาเปิดแล้วจะหัวเราะดีหรือไม่หัวเราะดี น่าจะเป็นเด็กนักเรียนผู้หญิงวัยรุ่น ให้เพื่อนช่วยถ่ายคลิปตอนแซวหนุ่มให้ ก็คงกะว่าจะเก็บเอาไว้ดู ถึงเวลาเพื่อนก็ตั้งกล้องอย่างดีเลย รอกระทั่งหนุ่มหล่อเดินผ่านมาก็ “อ๊ายย...หล่ออ่ะ” ปรากฏว่าหนุ่มหล่อชะงักกึก หันขวับมาว่า “อีชะนี..!” หมดราคาเลย อุตส่าห์ตั้งกล้องถ่ายทั้งที เพื่อนไม่อยากให้เสียของโพสต์ลงยูทูปไปเลย ขายหน้าไปทั้งชาติ..!
บรรดาเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ จึงเป็นเครื่องสนับสนุนกิเลสเสียมาก เราปฏิเสธความเจริญไม่ได้หรอก แต่ต้องเอาความเจริญมาหนุนเสริมการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของเรา ไม่ใช่เอาเทคโนโลยีและความเจริญมานำชีวิตของเรา ฉะนั้น..ใครที่ก้มจนกระทั่งปวดหลังปวดคอปวดไหล่ แค่เลิกก้มก็หายแล้ว นั่งหันหลังชนกันแท้ ๆ ดันส่งไลน์คุยกัน หันไปคุยกันเสียก็หมดเรื่อง เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเครื่องมือ ถ้าหากภาษาบาลีเขาเรียกว่า มารเสนา คือทหารของมาร เครื่องไม้เครื่องมือของมาร ที่จะมาร้อยรัด มาฉุดดึงเราให้ติดอยู่กับโลกนี้ ลำพังสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ คือปัจจัยสี่เท่านั้น ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคเท่านั้นแหละ สี่อย่างนี้ถ้าขาดอาจจะถึงแก่ชีวิต อย่างอื่นขาดไม่เป็นไร ในเมื่อขาดแล้วไม่เป็นไรก็แปลว่าสามารถที่จะขาดได้ ไม่ใช่ของที่จำเป็น แต่ปัจจุบันคนหลงประเด็นกันมาก อย่างที่ประกาศขายไตเพื่อซื้อไอโฟน ๖ อีกคนหนึ่งประกาศขายเมียเพื่อซื้อไอโฟน ๖ ถ้าอาตมาเป็นเมียจะแถมรางวัลให้ด้วย เอาให้หัวร้างคางแตก ดูว่าจะได้สติขึ้นมาไหม นั่นเป็นเพราะว่าไปลุ่มหลงอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเป็นเครื่องมือของมารที่มาร้อยมารัดเราให้ติดอยู่กับโลก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-05-2015 เมื่อ 16:57 |
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
กลางคืนปิดโทรศัพท์เสียบ้าง ถ้าเป็นโทรศัพท์บ้านก็ดึงสายออก เพราะสมัยนี้พวกไม่รู้ตาม้าตาเรือมีเยอะ ตัวเองไม่นอนก็คิดว่าคนอื่นต้องไม่นอนด้วย แล้วโทรไปหา อาตมาที่เลิกใช้โทรศัพท์ก็เพราะเหตุนี้ เพิ่งจะนอนได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็โดนปลุกขึ้นมา แล้วปัญหาบางทีก็ไม่เป็นเรื่องเป็นราวอะไรหรอก
มีอยู่รายหนึ่งโทรมาตอนตีสองกว่า อาตมาสะดุ้งเฮือกขึ้นมารับโทรศัพท์ เขาบอกว่า “อาม่าผมเพิ่งจะตาย อาม่าไปไหนครับ ?” เรื่องโคตรสำคัญเลยนะนั่น..! ถึงขนาดต้องปลุกพระขึ้นมาถาม อาตมาถามว่า “อาม่าตายที่บ้านหรือโรงพยาบาล ?”เขาตอบว่าโรงพยาบาลครับ "ก็อยู่โรงพยาบาลนั่นแหละ..!" ปิดโทรศัพท์เสียบ้าง ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าให้หมด เพราะรบกวนคลื่นสมองและสัญญาณชีพของเรา โรคภัยไข้เจ็บแปลก ๆ จึงเกิดขึ้นเยอะมาก โดยเฉพาะเด็กรุ่นหลัง ๆ จะป่วยเป็นโรคหัวใจกันง่ายที่สุด โดยเฉพาะเอาโทรศัพท์ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ หัวใจของเราเต้นโดยระบบไฟฟ้าสถิตของร่างกาย โทรศัพท์ก็ทำงานด้วยระบบไฟฟ้าเหมือนกัน ความถี่ที่ส่งออกมารบกวนการเต้นของตัวใจ ก็เลยทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะอยู่เรื่อย นานไปสถานเบาก็หัวใจพิการ หรือใครบอกว่าอย่างไรก็จะตายอยู่แล้ว ขอเล่นไอโฟนให้ยันตายเลยก็แล้วกัน ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่เตือนสติให้รู้ไว้ว่าเทคโนโลยีมีคุณอนันต์และมีโทษมหันต์ ปัจจุบันนี้ญาติโยมลองสังเกตดูบ้านแต่ละหลังที่สร้างขึ้นมา ถ้าไม่มีเครื่องปรับอากาศอยู่ได้ไหม ? แต่ถ้าสร้างแบบศาลาหลังนี้ต่อให้ไม่มีอะไรเลยก็อยู่ได้ เพราะระบายอากาศรอบข้าง เราไปเอาเทคโนโลยีของต่างประเทศมา เอารูปทรงบ้านของต่างประเทศมา ของเขาเป็นเมืองหนาว ถึงเวลาต้องเก็บความอบอุ่นไว้ในบ้านให้มากที่สุด ถึงขนาดต้องติดเตาผิง แต่บ้านเราอย่างทองผาภูมิกลางวัน ๔๐ องศา แล้วไปสร้างบ้านตามแบบเขา แล้วจะอยู่ได้หรือไม่ ? ไม่ต้องถึงขนาดสร้างเรือนไทยหรอก บ้านไทยโบราณใต้ถุนสูง หน้าร้อนอาศัยอยู่ใต้ถุนเย็นสบายดี หน้าฝนน้ำท่วมอยู่ชั้นสอง ชั้นล่างผูกเรือเอาไว้ ไม่เห็นเขากลัวน้ำท่วมกัน ถ้าใครทำงานเกี่ยวกับการสร้างบ้านจัดสรร อาตมาขอแนะนำสร้างบ้านลอยน้ำให้ที หลังหนึ่งอย่างเก่งใช้ลูกทุ่นประมาณ ๔ ลูกเท่านั้น ตอกเสาหลักเอาไว้สัก ๘ เมตร ๑๐ เมตรสี่มุมบ้าน แล้วก็เอาห่วงโซ่คล้องเสาไว้ น้ำมาสูงเท่าไรบ้านก็ลอยสูงเท่านั้น ไม่เห็นต้องไปกลัวอะไร ลองทำดู..คาดว่าจะเป็นโครงการที่ขายดีมากในกรุงเทพฯ ใครวางดาวน์วันนี้แถมเรือ ๑ ลำให้ด้วย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-05-2015 เมื่อ 17:00 |
สมาชิก 82 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
สมัยอาตมายังเด็กอยู่ ไม่รู้จักว่าพระนิพพานคืออะไร สมัยนั้นผู้ใหญ่เขาจะสอนให้อธิษฐานทุกครั้งที่ทำบุญว่า “ขอให้เกิดมาสวย ๆ ขอให้เกิดมารวย ๆ ขอให้ได้พบพระศรีอาริย์” ทุกบ้านทุกครอบครัวจะเป็นอย่างนี้หมด นี่แสดงว่าอาตมาตุนบุญในยุคพระศรีอาริย์ไว้มาก ถ้าเผลอหลุดไปเมื่อไรก็ได้ไปในยุคนั้นเลย
มารู้จักพระนิพพานก็เมื่อปี ๒๕๑๘ เรียนอยู่ชั้น มศ.๓ โยมพ่อตาย พี่ชายเอาหนังสือคู่มือปฏิบัติกรรมฐานเล่มแรกของวัดท่าซุงมาให้ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๑ เลย บอกว่า “ลองอ่านดู ถ้าทำได้ก็ทำ จะได้ไม่ต้องเสียใจ” ความจริงพ่อตายนี้อาตมาดีใจอย่าบอกใครเลย ดันไปคิดว่าจะเสียใจ ก็คือกำลังเป็นวัยรุ่น กำลังกินกำลังนอนอยู่ แต่โยมพ่อป่วย เรียกทั้งคืน เพราะว่านอนนิ่ง ๆ ประมาณ ๕-๖ นาที ท่านก็จะแข็งไปทั้งตัว ต้องเรียกให้นวดเพื่อให้คลาย ไม่อย่างนั้นท่านจะปวดทรมานมาก ในเมื่อเด็กกำลังกินกำลังนอนโดนเรียกทั้งคืนก็ตกนรกชัด ๆ ฉะนั้น..โยมพ่อตายแทนที่อาตมาจะร้องไห้เสียใจกลับดีใจว่าท่านไปเสียที จะได้ไม่ต้องทรมานทั้งท่านและเรา พออ่านตำราของหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้วทึ่งมาก ว่าทำไมพระองค์นี้เขียนหนังสืออ่านได้ง่ายอย่างนี้ อาตมาคลุกคลีตีโมงมากับหลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่า ซึ่งท่านไม่ได้สอนอะไรแบบนี้ ท่านสอนแบบให้ไปหากินเอาเอง เหมือนอย่างกับปลูกต้นไม้เสร็จแล้วก็ชี้ว่าน้ำอยู่ในห้วยนะ ไปหากินเอง น่าจะมีต้นไม้รอดเหมือนกัน ท่านจะบอกแค่ว่า “ไปทำเอา ไปภาวนาเอา ติดขัดอะไรแล้วค่อยมาถาม” เมื่อมาอ่านตำราหลวงพ่อวัดท่าซุงเห็นว่าง่าย อาตมาก็ลุยกระจาย ตอนนั้นทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนเขาสรุปคำเดียวว่าอาตมา “บ้า” ถึงได้ยืนยันกับพวกท่านทั้งหลายว่า ถ้าใครปฏิบัติธรรมแล้วยังไม่โดนคนว่าบ้า ยังเอาดีไม่ได้หรอก ต้องให้เขาว่าบ้าเสียก่อน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2015 เมื่อ 18:33 |
สมาชิก 81 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
คราวนี้ในการปฏิบัติธรรมนั้น เป็นการเร่งรัดบารมีของตนเอง เรายิ่งทำกำลังใจก็จะยิ่งเข้มข้น ก้าวเข้าใกล้จุดหมายไปเรื่อย สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นความรกรุงรังก็ไม่ต้องการแล้ว มุ่งยังเป้าหมายของตนเองอย่างเดียว ไม่ต้องเสียเวลาอธิษฐานยาว ๆ
มีใครอธิษฐานครึ่งชั่วโมงยังไม่จบบ้างไหม ? อาตมาเจอมาแล้ว อธิษฐานอะไรได้เยอะแยะขนาดนั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนว่าอธิษฐานขอพระนิพพานอย่างเดียวก็พอ ท่านบอกว่าพระนิพพานเหมือนกับยอดเขาสูงสุด เราเดินทางก่อนจะถึงยอดเขาสูงสุด ระหว่างทางมีอะไรก็เจอทั้งหมดนั่นแหละ สรุปว่าอธิษฐานไปแล้วเหนื่อยเปล่า สมัยเด็ก ๆ ผู้ใหญ่เขาสอนให้อธิษฐานว่า “ขอให้สวยเหมือนนางวิสาขา ขอให้มีปัญญาเหมือนพระมโหสถ ขอให้มีน้ำใจอดเหมือนพระเตมีย์ ขอให้เป็นเศรษฐีเหมือนเจ้ากรุงสญชัย ขอให้มีศรัทธาเลื่อมใสเหมือนพระเวสสันดร” ก่อนใส่บาตรอธิษฐานอยู่นั่นแหละ ตายละวา..กว่าจะอธิษฐานเสร็จพระเดินกลับวัดไปแล้ว มาระยะหลังเวลาเจอท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็ได้ใส่บาตรแค่ท้าย ๆ แถว อาตมาปล่อยให้อธิษฐานตามสบาย เดินผ่านไปเลย ถ้าหากว่าทันก็ใส่ท้ายแถว ถ้าหากว่าไม่ทันก็รอพรุ่งนี้มาอธิษฐานใหม่ พระเดินไปถึงบ้าน ๖ โมงเช้า อนุญาตให้อธิษฐานตั้งแต่ตี ๕ เลย..! การอธิษฐานเป็นการเล็งเป้าว่าเราต้องการอะไร คราวนี้การเล็งเป้าต้องเล็งเป้าหมายเดียว ไม่ใช่กวาดทีจะเอาปลาทั้งทะเล เลือกปลาตัวที่ดีที่สุดตัวเดียวก็พอแล้ว หลายท่านก็ยังติดขัดอยู่ตรงที่คิดว่า การอธิษฐานเป็นการโลภ ทำแล้วขอโน่นขอนี่ อาตมายืนยันว่าไม่ใช่ความโลภ เราจะทำดีหรือชั่วก็ตาม ถึงเวลาผลดีผลชั่วเกิดกับเราแน่นอน การอธิษฐานเพียงแต่ระบุว่าจะให้เกิดเมื่อไร จะให้เกิดอย่างไร ถึงเวลาจะได้เป็นไปตามความต้องการของเรา ไม่ใช่ตอนนี้หิวข้าวอีก ๓ วันข้าวค่อยมาถึง ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะเป็นลมเป็นแล้งหรือถึงตายไปแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2015 เมื่อ 18:34 |
สมาชิก 81 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
การอธิษฐาน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้บอกว่า โเป็นเรื่องของคนมีปัญญาโ ในเมื่อผลจะเกิดแน่นอนแล้ว ต้องการหรือไม่ต้องการก็เกิด ก็ให้เกิดในสิ่งที่เราต้องการไปเลยดีกว่า ผู้ที่จะใช้อธิษฐานบารมีเป็นก็ต้องปรมัตถบารมีหรือไม่ก็อุปบารมีขั้นปลาย คือบารมีกลางตอนปลาย ๆ แล้วก็ขึ้นถึงบารมีขั้นสูงสุด คือปรมัตถบารมี
เรื่องที่เราอธิษฐานไว้ บางอย่างก็เป็นสิ่งที่อันตราย ฟังแล้วแปลก ๆ อย่างเช่น การขอเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบัน ถ้าทำไม่สมกับที่อธิษฐานไว้ ขอยืนยันว่าอันตรายมาก ในเมื่ออธิษฐานขอจะไปพระนิพพานชาตินี้ ตัวอธิษฐานบารมีจะค้ำอยู่ จะเจ็บป่วยทรมานหรือโดนรถพ่วง ๑๘ ทับยับเยินขนาดไหนก็ยังตายไม่ได้หรอก ต้องตัดร่างกายนี้ให้ได้เพื่อไปพระนิพพานก่อน เนื่องจากว่าเราไปตั้งเป้าเอาไว้แล้ว ลองนึกดูว่า ถ้ารถยนต์วิ่งแค่สูบเดียวแถมยางแตกอีก ๔ ล้อ จะไปถึงจุดหมายปลายทางอีท่าไหน ก็ต้องลากกันถูลู่ถูกังไป ดังนั้น..ท่านที่อธิษฐานขอพระนิพพานในชาติปัจจุบัน บางท่านสถานการณ์ครอบครัวบีบคั้นมาก แทบจะน้ำตาร่วงอยู่ทุกวัน หารู้ไม่ว่าเป็นเพราะเราทำเอง เพราะบุคคลที่ไม่เห็นทุกข์ก็ไม่เห็นธรรม บุคคลที่ไม่เห็นธรรมจะเข้าสู่พระนิพพานไม่ได้ กลายเป็นเราซ้ำเติมตัวเองให้ลำบาก แล้วทำอย่างไรถึงจะแก้ไขได้ ? ก็ต้องพิจารณาให้เห็นจริงว่าการเกิดมานี้มีแต่ความทุกข์ ร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์ โลกนี้มีแต่ความทุกข์ ไม่มีอะไรที่อยากได้ใคร่ดี มีความปรารถนาอย่างเดียวคือหลุดพ้นจากกองทุกข์เหล่านี้ไปสู่พระนิพพาน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-05-2015 เมื่อ 20:01 |
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
พิจารณาให้มั่นคง มั่นใจ ชนิดที่พูดเมื่อไร คิดเมื่อไร อีกใจหนึ่งไม่เถียง บอกว่าร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์ก็ไม่เถียงเลย..ยอมรับ บอกว่าเกิดมามีแต่ความทุกข์ สภาพจิตยอมรับ..ไม่เถียงเลย บอกว่าโลกนี้มีแต่ความทุกข์ สภาพจิตยอมรับ..ไม่มีการเถียงเลย ต้องพิจารณาให้ถึงระดับนี้ไว้ทุกวัน แล้วสถานการณ์ความทุกข์ในชีวิตจะคลายตัวไปอย่างมหาศาล เพราะท่านเห็นทุกข์แล้ว บรรดาพี่ป้าน้าอา ปู่ย่าตาทวดก็ไม่จำเป็นต้องบังคับให้เราทุกข์แล้ว
แต่ถ้าเราไม่ยอมพิจารณาแล้วตั้งใจจะไปพระนิพพาน ขอยืนยันว่าท่านกำลังหาเรื่องเดือดร้อน ในเมื่อจะไปพระนิพพานท่านก็ต้องบังคับให้เห็นทุกข์ เพราะไม่เห็นแล้วไปไม่ได้ อธิษฐานเอาไว้มาก อุทิศส่วนกุศลให้กับเทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า เทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพ และพญายมราช โหย..ทุกคนช่วยซ้ำ จะได้เห็นทุกข์ ก็อยากไปนี่ เหมือนกับเราเลี้ยงวัว ถ้าวัวเดินตรงทางก็ไม่ต้องเฆี่ยนต้องตี วัวตัวไหนแวะข้างทางไม่ยอมกลับขึ้นมาสักที ก็โดนทั้งไม้ ทั้งแส้ ทั้งปฏัก วันนี้บอกเคล็ดลับให้แล้ว หมั่นไปพิจารณาไว้ทุกวัน ให้เห็นจริง ๆ ว่าการเกิดมามีแต่ความทุกข์ การดำเนินชีวิตอยู่ของเรานี้อยู่บนกองทุกข์ ทุกฝีก้าวที่เราเดินจงกรมนี้เราเดินอยู่บนกองทุกข์ ทุกลมหายใจเข้าออกที่เราภาวนาเราอยู่กับความทุกข์ ลองหายใจแรง ๆ ติดกันสัก ๒๐ ครั้งสิ เหนื่อยไหมเล่า ? หายใจเบา ๆ ก็พอกับหายใจแรง ๆ แหละ แต่อาจจะต้องสัก ๒๐๐-๓๐๐ ครั้ง ถึงจะเหนื่อย แปลว่าแม้แต่ลมหายใจก็เป็นทุกข์
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-05-2015 เมื่อ 20:04 |
สมาชิก 81 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
ชักจะเริ่มมองเห็นแล้วใช่ไหม ? มิน่า..ฝรั่งถึงให้คำจำกัดความว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มองโลกในแง่ร้าย อะไร ๆ ก็ทุกข์หมด เป็นศาสนาแห่งความทุกข์ยาก ..(หัวเราะ).. แปลว่า ยากที่จะทุกข์ มีแต่ความสุขล้วน ๆ อยู่ที่เราว่าจะมองมุมไหน
ดังนั้น..ในการปฏิบัติธรรมของเราก็คือ ตอกย้ำให้สภาพจิตของเราให้ยอมรับว่า เดินก็เดินบนกองทุกข์ เราเดินก้าวยาว คนข้างหน้าก้าวช้า เราโกรธก็ทุกข์ “ทำไมต้องมาค่อย ๆ ย่องด้วย เดินธรรมดาไม่ได้หรือ ?” อ้าว..เครียด..ก็ทุกข์อีก อยู่บนกองทุกข์ตลอดเวลา แต่เราไม่ค่อยจะรู้ตัวกัน วันนี้ต้องดูให้เห็นให้ได้ และหมั่นทำอย่างนี้ไว้ทุกวัน ๆ แล้วต่อไปทำอะไรจะสะดวกสบายเหมือนกับอาตมา เห็นแล้วว่าทุกข์เป็นอย่างไร คราวนี้เขากลัวเราหนี ในเมื่อเขากลัวเราหนีมารก็ต้องให้เราทุกอย่าง จะเอาชื่อเสียงเกียรติยศเงินทองอะไรเขาให้หมด เราก็รับไว้ด้วยความยินดี เอาไปทำบุญต่อ ยิ่งให้เราก็ยิ่งหนีห่างออกไปเรื่อย มารจริง ๆ แล้วไม่มีอะไรน่ากลัว มารไม่ใช่ศัตรู..แต่เป็นครูที่ดีที่สุด เป็นครูที่ขยันทดสอบลูกศิษย์มาก ในเมื่อขยันทดสอบลูกศิษย์มาก ถ้าลูกศิษย์สอบได้ก็จะไม่ตกตรงจุดนั้นอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเราคิดในลักษณะนี้ เราก็จะไม่มีศัตรู เราจะมีแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์อยู่รอบตัว ไม่มีอะไรที่น่าเสียใจในชีวิต สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เราคิดว่าผิดพลาด เอาไว้เป็นบทเรียนแล้วแก้ไข ถ้าเราไม่ได้ทำก็ไม่ผิดพลาด ถ้าเราไม่ผิดพลาดเราก็ไม่ได้บทเรียนดี ๆ อย่างนั้น ถ้าเราทำแล้วถูก เราก็ได้กำไร ถ้าเราทำแล้วผิด เราก็ได้บทเรียน มีแต่ได้ทั้งนั้น แม้แต่ความทุกข์ก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่าจนประมาณไม่ได้ ตอนนี้เรียกร้องอย่างไรทุกข์ก็ไม่อยากจะมา เหตุที่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าจนประมาณไม่ได้นั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2015 เมื่อ 19:26 |
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
อย่างเช่นเราเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง มีลูกมีหลานหรือเก็บเด็กมาเลี้ยงก็ได้ สมัยก่อนเขาบอกมีลูก ๑ คนจนไป ๗ ปี สมัยนี้อาตมายืนยันว่าจนไป ๒๒ ปี จนกว่าเขาจบปริญญาตรี ถ้าไม่ยอมทำงานจะจนนานกว่านั้นอีก แล้วลองคิดดูว่าต้องเป็นค่าใช้จ่ายเท่าไร แค่ลูกอายุ ๒๒ ปี อาตมาเรียนปริญญาเอกหมดไปล้านกว่า เรียน ๒ คนหมดไป ๒ ล้านกว่า ตอนนี้วัดท่าขนุนเรียนปริญญาเอก ๕ คน จบ ๒ เหลืออีก ๓ ปริญญาโทเรียน ๙ จบมา ๔ เหลืออีก ๕ ปริญญาตรีเรียน ๗ คน ยังไม่จบสักรายหนึ่ง ยังต้องจนไปอีกนาน
ทรัพยากรทั้งหลายที่ใช้ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นจำนวนเท่าไร ตีเสียว่า ๑ ล้าน ใช้แบบประหยัดสุด ๆ เลยนะ ใช้แบบชูชก ประหยัด อดออม ๑ ชีวิต ๑ ล้านบาท เราเกิดมากี่ชาตินับได้ไหม ? เกิดจนนับกัปไม่ถ้วนแล้ว ไม่ใช่นับชาติไม่ถ้วน แต่ละกัปเกิดนับชาติไม่ถ้วน คิดเป็นทรัพยากรมหึมามโหฬารขนาดไหน กว่าที่จะเห็นทุกข์ได้ อย่างน้อยก็ต้องสร้างบารมีมา ๒๐ อสงไขยกับอีกหนึ่งแสนมหากัป บาลีบอกไว้ชัดเลย จิตติตัง สัตตสังเขยยัง การที่คิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้านี้ ๗ อสงไขยกัป นวสังเขยยะ วาจะกัง พูดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขยกัป ปาไป ๑๖ อสงไขยกัปแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๔ อสงไขยกับหนึ่งแสนมหากัป เป็น ๒๐ บวก ๑ ต้องเกิดกันนับชาติไม่ถ้วน ใช้ทรัพยากรไปจนประมาณไม่ได้ว่าเป็นเงินเท่าไรกว่าจะได้เห็นทุกข์ ทุกข์จึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่าจนประมาณไม่ได้ ซื้อก็ไม่ได้ จ้างก็ไม่มา ไหว้วานก็ไม่โผล่หัว ยกเว้นท่านที่มีปัญญาถึงจะมองเห็น ความทุกข์เป็นสิ่งที่มีคุณค่าจนประมาณไม่ถูก ขอร้องเถอะ..รีบมา อยากเห็นมาก ส่งไลน์เรียก จะไลน์เดี่ยวไลน์กลุ่มก็ไม่มา ถ้าหากว่าปฏิบัติธรรมมาถึงตรงท้าย ทุกอย่างเหมือนกับโลกพลิกกลับ สิ่งที่เราเคยเห็นว่าไม่ดี จะกลายเป็นของดีทั้งหมด สมัยก่อนอาตมาอยู่กับหลวงปู่ฝั้น ที่เป็นครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต หลวงปู่ฝั้นบอกว่า “ถ้าใจดี อะไร ๆ ก็ดีหมด ตัวเองก็ดี ครอบครัวก็ดี เรือนชานบ้านช่องก็ดี ชาวบ้านร้านตลาดก็ดี ประเทศชาติก็ดี” อาตมาฟังไม่รู้เรื่อง ดีได้อย่างไร ? ตอนนี้รู้แล้วว่าถ้าหากปฏิบัติได้อย่างหลวงปู่ว่านี่ทุกอย่างดีหมด ส่วนของพวกเราปฏิบัติมาถึงตรงนี้นะ ทุกอย่างดี..หมด เพราะฉะนั้น..เราถึงต้องมาหาดีให้ได้ แต่ของหลวงปู่นั้นดีทุกอย่างแล้ว ของท่านดีหมดคือดีทุกอย่าง ของเราดีหมดคือหมดความดี จึงต้องรีบหาความดีให้ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2015 เมื่อ 19:31 |
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
เมื่อวานเจอเพื่อนสมัยเรียนมัธยมพาลูกมากราบ คนโตอายุ ๒๘ ปีแสดงว่าเพื่อนแต่งงานตอนอายุราว ๆ ๓๐ ปีได้ เพื่อนคนนี้หัวล้านแต่เด็กเลย ทำไมโตขึ้นถึงผมเยอะได้ จำแทบไม่ได้ เพื่อนคนนี้เป็นที่ประทับใจของเพื่อนร่วมรุ่นเพราะว่าตอนไปเขาวงพระจันทร์ ขาขึ้นไม่เป็นไร แต่พอขาลงกำลังขาหมด เข่าอ่อน เอาหน้าไถลงมา หน้าพังไปทั้งแถบเลย
อาตมาตอนแรกไปเขาวงพระจันทร์ ๓,๖๘๕ ขั้น หรือ ๓,๘๖๕ ขั้นนี่แหละ เดินขึ้นก็คิดว่า ทำไมทำขั้นบันไดเล็กแท้ ? เดินขึ้นต้องเดินที ๒-๓ ขั้น ปรากฏว่าขาลงถึงรู้เลยว่าทำไมถึงทำเล็ก เพราะว่าขืนทำใหญ่แล้วก้าวไม่ไหว ตอนลงขาจะหมดแรง ไม่ใช่ฝีมือใครหรอก ฝีมือหลวงปู่ปานนี่แหละไปทำไว้ งวดนั้นขากลับมีผีเกาะโยมในคณะมาถึงกรุงเทพฯ ขอโน่นขอนี่ขอนั่น อาตมารำคาญเลยไล่กลับไป เขาวงพระจันทร์อยู่ลพบุรี มีประวัติว่านางวงพระจันทร์ทอผ้าเตรียมถวายพระศรีอาริยเมตไตรย เพื่อขอพรให้ท้าวกกขนากผู้เป็นบิดา ที่โดนศรพระรามตรึงเอาไว้ จะได้หลุดจากศรมาเสียที เมืองลพบุรีนี้เขากลัวไก่กันมาก เขาบอกว่าพอพระรามยิงท้าวกกขนากตรึงติดภูเขาเอาไว้ แล้วสั่งให้หนุมานคอยเฝ้าดูแลอย่าให้หลุดมาได้ หนุมานก็เลยเนรมิตไก่แก้วทิ้งเอาไว้ ถ้าไก่ขันเมื่อไรแปลว่ายักษ์ดิ้นจะหลุดแล้ว หนุมานก็จะมาเอาค้อนตีให้ลูกศรตรึงติดกับภูเขาไปใหม่ แล้วตีทีไร ประกายไฟที่แลบออกมาจะทำให้ลพบุรีเกิดไฟไหม้ ถ้าหากว่าไก่ขันกลางดึกเมื่อไร จะมีไฟไหม้ลพบุรีทุกที เป็นเรื่องที่ประหลาดดีเหมือนกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 13-05-2015 เมื่อ 09:05 |
สมาชิก 57 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|